Title -:- Once Upon a time Seven
Writer -:- Nalikakeaw
Pairing -:- HaruYuya
คืนข้างขึ้น...
พระจันทร์ส่องสว่างอยู่บนฟ้า
แม้ยังไม่เต็มดวง
แต่แสงจันทร์เรืองรองกระจ่าง
แม้ดวงไฟนับร้อยในเมืองเบื้องล่างยังต้องยอมสยบให้
ยูยะไม่ชอบพระจันทร์...
เพราะเจ้าลูกกลมๆสว่างไสวนั่น
มีผลต่อพลังอำนาจของคนข้างกาย
ยิ่งใกล้วันพระจันทร์เต็มดวงเท่าไหร่
พลังอำนาจของมนุษย์หมาป่ายิ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ จนบางครั้งเวทมนตร์ก็ไม่อาจช่วยกลบร่องรอยได้
คุณหมอยูยะเองก็ไม่ชอบพระจันทร์
เพราะพลังอำนาจของมันมีผลกระทบต่ออารมณ์ของน้องชายคนเล็ก
ดังเช่นที่น้ำทะเลที่ขึ้นลงตามแรงดึงดูดของดวงจันทร์
รู้ดีอยู่แก่ใจ...
แต่ไม่อาจทำใจให้คุ้นชินกับอารมณ์แปรปรวน
ค่อนไปทางโหดร้ายของยูมะที่นับวันมีแต่จะมากขึ้น โดยเฉพาะในวันข้างขึ้นอย่างนี้
“ยูยะ!!
ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!!”
แล้วยังต้องมาปวดหัวกับเสียงเห่าของไอ้หมาบ้านี่อีก..
ฮารุมะนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงคนป่วย แขนทั้งสองข้างแนบติดกับลำตัว
และกำลังดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการที่มองไม่เห็น
“ใช้คำสาปมัดร่างทั้งที
น่าจะร่ายคาถาปิดปากมันด้วย หนวกหูเป็นบ้าเลย”
ยูยะคนน้องถอนหายใจหนัก
“ขืนทำแบบนั้นวันนี้ทั้งวันฮารุก็จะอาละวาดแบบนี้แหละ ทนฟังหน่อยก็แล้วกัน”
เสียงคำรามดังมาจากเตียงคนป่วย คุณหมอยูยะไม่ใส่ใจ นานๆทีจะเห็นน้องชายออกฤทธิ์ปราบหมาบ้า คุณหมอจึงอยากรู้เรื่องราวเป็นพิเศษ
“ฮารุจะจับนักแสดงคนหนึ่งโยนลงน้ำน่ะสิ”
“มันพยายามจะกอดนาย!! ฉันจะฆ่ามัน!!”
“เขาแค่เดินมาหาฉัน ยังไม่ทันจะทำอะไรเลย”
“พูดแบบนี้อยากให้มันทำหรือไง!? โว้ย!! ปล่อย!!!”
ฮารุมะเอาหัวกระแทกหมอนโครมใหญ่
เตียงผู้ป่วยสะเทือนลั่นเอี๊ยดอ๊าดเหมือนจะหักในนาทีใดนาทีหนึ่ง แต่ยูยะทั้งสองคนไม่ได้สนใจ ยังคงคุยกันเป็นปกติ
ราวกับว่าไม่ได้มีเสียงโวยวายเป็นเสียงประกอบฉาก
“แล้วนี่..
น้องไปไหนล่ะ?
ฉันมาตั้งนานแล้วยังไม่เจอเลย”
พูดถึงยูมะ คุณหมอก็ถอนหายใจ ทำให้น้องชายรู้ทันทีว่ามีปัญหา
“เผลอดุแรงไปหน่อยน่ะ แต่น้องก็ทำเกินไป สาปให้ตัวแข็งแล้วเอาไปไว้ในห้องเก็บศพแบบนั้น
ถ้าฉันไม่ไปเจอเข้า
คงถูกจับดองฟอร์มาลีนไปแล้ว
เจ้าปาปารัสซี่นั่น”
แม้แต่ฮารุมะยังเงียบฟังและครุ่นคิด ปกติยูมะไม่ใช่เด็กโหดร้าย
ที่เป็นแบบนี้ก็น่าจะเป็นเพราะพลังอำนาจของมนุษย์หมาป่าที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น
“ฉันจะไปดูน้อง ฝากทางนี้ด้วยนะพี่”
ยูยะก้าวยาวออกจากห้องไปอย่างรีบเร่ง ทิ้งพี่ชายเอาไว้กับปีศาจมนุษย์หมาป่า ที่ถึงจะยังไม่เปลี่ยนร่าง แต่ก็ตาขวางน่ากลัวอยู่ไม่น้อย
“อย่ามาขู่ฉันให้เหนื่อยเลย
ฉันไม่กลัวแกหรอก อย่านะ!-“
คุณหมอลุกขึ้นชี้หน้ามนุษย์หมาป่า “ขืนโวยวายอีกคำเดียว ฉันจะเอาเข็มเย็บปากแก!!”
ฮารุมะจำเป็นต้องหุบปากเงียบ เพราะรู้ดีว่าคุณหมอคนสวยนั้นพูดจริงทำจริง โหดจริง
ถ้าบอกว่าจะเย็บปาก
คงเอาเข็มร้อยด้ายแทงกันสดๆไม่ต้องใช้เวทมนตร์
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องยูยะ”
“เออ!! รู้แล้ว แต่ระวังหน่อยไม่ได้รึไง
เดี๋ยวมันพลาดไปถูกคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้า การทำร้ายคนบริสุทธิ์ไม่ใช่เรื่องดี”
นัยน์ตาสีอำพันเยือกเย็น
จ้องมองมนุษย์หมาป่าด้วยความเกลียดชังเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ฮารุมะมองเห็นความกังวลอยู่ในดวงตาคู่นั้น แม้เพียงเศษเสี้ยว แต่ก็มากพอที่จะทำให้มนุษย์นิ่งฟัง
“และการที่นายทำให้ยูยะเจ็บตัว ก็ไม่ใช่เรื่องดี”
ชายเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดสะบัดเบาๆเมื่อคุฯหมอหันหลังให้ฮารุมะ และเมื่อหันกลับมาอีกครั้ง แววกังวลในดวงตาคู่นั้นหายไปแล้ว
เหลือเพียงสีอำพันเยือกเย็นที่ฮารุมะเดาไม่ออกว่าเจ้าของดวงตานั้นกำลังคิดอะไร หรือรู้สึกอย่างไร
“ถ้าหากว่ายูมะรู้เรื่องนี้
-“ คุณหมอหยุดไปนิดหนึ่ง “รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยูยะตามหาน้องได้ไม่ยากนัก
เวลาที่โกรธหรือหงุดหงิดมากๆ ยูมะจะไม่ไปไหนห่างจากพี่ชาย เพราะรู้ตัวดี...รู้ดีว่าตัวเองเป็นอะไร และอาจจะทำอะไรได้บ้างยามที่โกรธจนขาดสติ
แต่คราวนี้ยูมะไม่ได้ซ่อนตัวอย่างเคย
กลับมานั่งเล่นอยู่ที่โถงด้านหน้าของโรงพยาบาล ด้วยสีหน้าที่ดูสงบ สบายใจ
ไม่เหมือนอีกคนที่ถูกสาปไว้บนเตียงที่ห้องด้านบน
“หายโกรธแล้วนี่”
ยูมะย่นจมูกกับคำถามของพี่ชาย
“พูดเหมือนกับน้องโกรธง่ายหายยาก”
“ก็เห็นว่าช่วงนี้เป็นบ่อย”
ยูมะทำหน้าคว่ำ
การที่พี่ชายแสดงออกว่าไม่ถือสาในสิ่งที่เขาเป็นนั้นทำให้ยูมะรู้สึกดีกว่าคำพูดปลอบโยนมากมายนัก เพราะเป็นแบบนี้ ต่อให้โกรธมากมายแค่ไหน
ไม่กี่นาทีต่อมายูมะก็กลับมาอ้อนพี่ชายได้เหมือนเดิม
“เมื่อกี๊มีไอดอลมาเล่นเปียโนให้คนไข้ฟังด้วย
เพราะมากเลย”
“ไอดอลเหรอ?
ใครล่ะ”
ยูมะหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบว่าจำไม่ได้
“ชื่ออะไรน๊า~ มันติดอยู่ตรงปากเนี่ย น้องจำไม่ได้แล้ว”
“เพราะมากจนฟังเพลินจำชื่อเขาไม่ได้ ไอดอลคนนั้นคงดีใจแย่เลยนะ”
ยูยะขยี้ผมน้องชายจนยุ่งฟูเป็นรังนก
แต่ยูมะไม่ได้ใส่ใจ
ชื่อของไอดอลหน้าหล่อ
ผิวสีแทน
คนนั้นยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก
เลยยอมให้พี่ชายโอบไหล่พากลับห้องไปง่ายๆ
“ชื่อทามะ เอ๊ะ! หรือโทโมะ ว๊า~ ทำไมนึกไม่ออกล่ะ”
ยูยะหยุดเดิน
แขนที่โอบไหล่น้องเลื่อนขึ้นมาจับไหล่ผอมบางทั้งสองข้าง จ้องมองยูมะด้วยสีหน้าจริงจัง จนคนเป็นน้องแปลกใจ
“ยูมะ กินยาบำรุงสมองหน่อยมั๊ย?”
“หืมม์”
ยูมะนิ่งคิดตามคำพูดพี่ชาย กว่าจะรู้ตัวว่าถูกแกล้ง พี่ชายก็ก้าวยาวๆนำไปหลายก้าวแล้ว
“พี่ยูยะ เดี๋ยวเถอะ
ว่าน้องสมองเสื่อมเหรอ?”
ยูมะเร่งฝีเท้าวิงตาม พอได้จังหวะเหมาะก็กระโดดเกาะหลังพี่ชาย น้องน้อยที่ตัวโตเท่ากันเกือบทำพี่ชายเซล้ม แต่ยูยะกลับยิ้มกว้าง นานแล้วที่พวกเขาไม่ได้หัวเราะร่าเริงกันแบบนี้...
ทั้งหมอทั้งคนป่วยมองสองพี่น้องแล้วอดยิ้มตามไม่ได้
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้งสองคนเหมือนกับเป็นเวทมนตร์ที่ทำให้ ที่แห่งนั้นสว่างไสว สดชื่นกว่าเคย
โดยเฉพาะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่แสนจะหายากของคนเป็นพี่ ทำให้ปาปารัสซี่ กระทั่งคุณหมอ
พยาบาล และคนไข้ ยกกล้องและโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพหายากเอาไว้เป็นที่ระลึก
และรอยยิ้มที่แสนจะหายากนั้น..ได้สะกดใจใครอีกคนหนึ่งให้ยืนนิ่งนาน... จ้องมองจนทั้งคู่ลับสายตาไป
โทโมฮิสะ ยามาชิตะ
เผยยิ้มออกมาอย่างลำบากใจ
“แย่จริงน๊า~
หน้าตาดีทั้งพี่ทั้งน้อง แบบนี้ก็เลือกกันลำบากหน่อยล่ะ”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คำเตือนของคุณหมอ
ไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์หมาป่าเลยแม้แต่น้อย เพราะฮารุมะยังคงหวงแหนยูยะ คอยงับทุกคนที่เข้าใกล้เกินระยะห้าเมตร ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้จัดการส่วนตัวอย่างยาบุ
“โว้ย!! พาไอ้นี่ไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าทีซิยูยะ”
ฮารุมะทำตาขวางเหมือนคนถูกผีเข้า ยูยะรู้ดีว่ายิ่งห้าม
มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้นจึงทำเฉยเสีย
ทำให้ผู้จัดการส่วนตัวนึกอยากจะเป็นบ้าแทน
แต่ทำไม่ได้ เพื่องาน !
เขาต้องหาวิธีตะล่อมหมาบ้าให้เชื่องให้ได้
ยาบุเดินไปนั่งข้างฮารุมะ
“แกหวงยูยะมากเหรอ?”
ฮารุมะไม่ตอบ
หันมามองผู้จัดการส่วนตัวประหนึ่งจะถามว่า
ของแบบนี้รู้ๆกันอยู่ จะถามทำซากอะไร
“แกไม่ชอบให้ใครๆอยู่ใกล้ยูยะสินะ”
ฮารุมะถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด หันกลับไปมองยูยะที่ยืนห่างไปไม่ไกล กำลังฟังผู้กำกับอธิบายรายละเอียดของฉากต่อไปอย่างเงียบๆ
สำหรับฮารุมะ ยูยะเป็นอะไรบางอย่างที่...
เขาก็อธิบายไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่า เขายึดติดกับคนๆนี้มานานแสนนาน ไม่มีใครคนไหนเหมือนยูยะ สายตาของเขามองเพียงยูยะ ร่างกายเขาไม่ต้องการกอดใครคนอื่น และไม่ต้องการให้คนอื่นแตะต้องยูยะ แม้เพียงแต่จะมองอยู่ห่างๆ เขาก็ไม่พอใจแล้ว
แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร..
เขาไม่รู้
“ฉันมีวิธีที่ทำให้ยูยะไม่ต้องอยู่ใกล้ๆใครนานๆ สนใจมั๊ย?”
ฮารุมะหลุดจากความคิดสับสน
หันกลับมามองยาบุอย่างรอคอย
ผู้จัดการคนดียื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆหูของฮารุมะ
“รีบๆทำงานให้เสร็จ
แล้วรีบๆพายูยะกลับบ้านไปสิโว้ยยย!!!”
ยาบุตะโกนกรอกหูฮารุมะสุดเสียง
มนุษย์หมาป่านั่งมึนเพราะแก้วหูสะเทือนวิ้งๆอยู่ประมาณห้านาที ระหว่างนั้นทุกคนที่ตกใจเสียงตะโกนของยาบุก็คอยลุ้นว่านักแสดงหนุ่มจะลุกขึ้นอาละวาดหรือไม่
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น?
ฮารุมะเพียงแต่นั่งทำคิ้วขมวดอยู่ที่เดิม ด้วยสีหน้าแบบที่ยูยะดูไม่ออกว่า
มนุษย์หมาป่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจสิ่งที่ยาบุบอกกันแน่
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การถ่ายทำดำเนินต่อไป แต่ทีมงานดูจะไม่ค่อยเป็นปกติสุขเท่าใดนัก ตั้งแต่เปิดกล้อง พวกเขาเคยชินกับฮารุมะที่ร่าเริงสดใส
และขี้หวงอย่างร้ายกาจมาตลอด
ฮารุมะเวอร์ชั่นเงียบไม่พูดไม่จาแบบนี้มันเดาใจยากว่าเจ้าตัวกำลังคิด
หรือรู้สึกอะไรอยู่
ยาบุอาศัยช่วงที่ฮารุมะนอนเหยียดยาวบนเก้าอี้ผ้าใบเอาบทปิดหน้ามากระซิบกระซาบกับยูยะที่เพิ่งออกจากห้องแต่งตัวชั่วคราวที่เป็นเหมือนกระโจมผ้าใบ
“ยูยะ
ช่วยไปง้างปากไอ้หมาบ้าให้มันพูดอะไรออกมาสักคำซิ เงียบแบบนี้แล้วมันหลอนว่ะ”
“ก็อยากให้กองถ่ายอยู่กันแบบสงบๆไม่ใช่เหรอ นี่ก็..สงบแล้วนะ”
“แบบนี้มันเหมือนความสงบก่อนพายุจะมาน่ะสิ ขอร้องล่ะทาคาคิคุง ~
ช่วยกันหน่อย”
นากามะ จุนตะ และคิริยามะ อาคิโตะ พร้อมใจกันประกบสองมือแล้วยกขึ้นท่วมหัว
สองหนุ่มเป็นคนที่ต้องร่วมฉากกับฮารุมะมากที่สุด แต่เวลานี้ .. แค่ให้เข้าใกล้ยังไม่อยากจะทำ
“มองหน้าทีไรรู้สึกเหมือนฮารุมะจะฉีกฉันเป็นชิ้นๆ ทาคาคิคุงช่วยทีเถอะ”
ยูยะถอนหายใจ
ไม่ใช่เพราะรำคาญคนรอบข้าง
แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเข้าใกล้มนุษย์หมาป่าที่อารมณ์ขึ้นๆลงๆไม่คงที่แบบนี้เหมือนกัน
อยู่ห่างกันสักห้านาทีก็ไม่ได้เลยสินะ
พอเดินเข้าไปใกล้ คนที่ทุกคนคิดว่าหลับกลับตวัดแขนดึงร่างของยูยะล้มลงบนอกหนา
เก้าอี้ผ้าใบลั่นเอี๊ยดเพราะรับน้ำหนักเกินพิกัด และพร้อมจะหักในไม่ช้า
“ฮารุ?”
ยูยะปรามเบาๆ เพราะยาบุเคยเตือนทั้งสองคนไว้ว่าไม่ควรจะมีรูปถ่ายที่ดูเป็นคู่รักชวนให้อิจฉาไปมากกว่านี้แล้ว
เพราะภาพและคำบรรยายใต้ภาพที่มักจะเป็นถ้อยคำจิกกัดประชดถากถางนั้นมันชวนให้เกิดแรงริษยาเกลียดชังขึ้นในหมู่แฟนคลับ
ซึ่งตอนนี้แบ่งแยกกันเป็นหลายพวกไม่พอ
ยังตามมาทะเลาะตบตีกันทุกงานที่ทั้งสองไปปรากฏตัว
จนยาบุต้องสั่งห้ามแฟนคลับทุกคนไม่ให้มาคอยตามอีก
“ฉันรู้หรอกน่ะ! ไม่ได้คิดจะสร้างปัญหาให้ยาบุมันเสียเวลาตามหาปาปารัสซี่ผมทองหรอก”
พูดเสียงดังฟังชัดจนยาบุที่แอบยืนมองห่างๆอย่างห่วงๆแทบจะหาอะไรปาใส่หัวฮารุมะ
ถ้าไม่ติดว่ามันมีสิทธิ์จะพลาดไปโดนหัวยูยะละก็..
“แค่อยากให้นายระวังหมอนั่นเอาไว้หน่อย”
ฮารุมะก้มลงกระซิบ เบาจนยูยะฟังแทบไม่ออก
แต่ท่าทางของมนุษย์หมาป่าก็ทำให้เขารู้ได้ทันที ว่าจะต้องมีปีศาจอยู่ใกล้นี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ใกล้แค่ไหน
“อย่าหันไปมอง” ฮารุมะเตือน “ไอ้คนที่ฉันเกือบจะจับมันทุ่มลงแม่น้ำเมื่อวันก่อนนั่นแหละ มันไม่ใช่มนุษย์”
ยูยะนึกถึงนักแสดงที่รับบทอันธพาลที่จะสลับเปลี่ยนนักแสดงไปทุกตอน
คนที่ฮารุมะพูดถึงเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบห้า
ที่ดูไม่มีอะไรผิดแปลกจากคนธรรมดา
และถ้าหากไม่ใช่มนุษย์ฮารุมะก็น่าจะดูออกตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรก
“ฉันมัวแต่หวงนาย เลยไม่ได้สังเกต แล้วหมอนั่นก็ปกปิดตัวเองได้เก่งพอตัว ถ้าหากวันนั้นฉันไม่ทำให้มันตกใจ มันก็คงไม่เปิดเผยตัวหรอก”
“เขาดูเป็นมิตรดีนะ”
“แต่ฉันไม่ไว้ใจ!!”
ยูยะไม่อยากเถียงด้วย ต่อให้เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ อยู่ใกล้เขา มนุษย์หมาป่าก็ไม่เคยไว้ใจอยู่แล้ว
“ฉันจะระวังไว้”
อีกสองวันจะถึงเวลาที่ฮารุมะจะต้องขังตัวเองและเปลี่ยนร่าง อย่างน้อยขอแค่ให้พ้นช่วงนี้ไปก่อน
แล้วฮารุมะจะกลับมาเป็นนักแสดงหนุ่มยิ้มหวานร่าเริงที่ทุกคนรู้จัก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยูยะควรจะรู้ตั้งแต่แรก ว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด นักแสดงคนนั้น เรียกอีกอย่างคือปีศาจตนนั้น
คงรู้ว่ายูยะรู้ตัวตนที่แท้จริงของมันแล้ว
จึงพยายามหาโอกาสจะจู่โจม แต่น่าแปลก
หลายครั้งที่มันพยายามจะเข้ามาใกล้ยูยะ แต่ทำไม่ได้ ยูยะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
“มองเจ้านั่นนานๆเดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีกหรอก”
อิชิงุระ
ฮิเดโอะ
ที่รับบทเป็นเจ้าหนุ่มหัวทองเพื่อนร่วมชั้นนั่งลงข้างๆ เอ่ยเตือนเบาๆ ยูยะพยักหน้ารับ แต่ก็ยังอดหันไปมองไม่ได้ ปีศาจตนนั้นดูหงุดหงิดกับอะไรบางอย่าง...
บางอย่างที่ตัวมันเอง และมนุษย์คนอื่นๆมองไม่เห็น
แต่ยูยะเห็น..
ในอากาศที่ว่างเปล่า มีอะไรบางอย่างกางกั้นเอาไว้
กำแพงเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นมากางกั้นบางสิ่งที่ไม่เป็นที่ปรารถนาไม่ให้เข้ามาในอาณาเขตได้
กำแพงนี้ผู้ร่ายมนตร์กำหนดให้ป้องกันแต่ปีศาจ
เพราะทีมงานคนอื่นๆที่เป็นมนุษย์สามารถเดินผ่านไปมาได้
แต่มนตร์นี้เป็นของใครกัน..
“กำแพงมนตราสินะ
เจ้านั่นคงหัวเสียน่าดู”
ยูยะหันกลับไปมองฮิเดโอะอย่างไม่เชื่อสายตา
“นายมองเห็นเหรอ?”
“ไม่หรอก
เดาเอาน่ะ
เพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้แถวนั้นก็เลยรู้ว่ามันต้องอยู่ตรงนั้นแน่ๆ”
ฮิเดโอะพูดออกมาเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ยูยะรับฟังด้วยความสับสน หากฮิเดโอะมองไม่เห็นเวทมนตร์ นั่นแสดงว่าเขาไม่ใช่พ่อมด และถ้าหากว่าเขาเข้าใกล้กำแพงมนตราไม่ได้..
“นายเป็นปีศาจ”
“ไม่ต้องพูดเบาขนาดนั้นก็ได้น่า มนุษย์ธรรมดาไม่ได้ยินที่เราคุยกันหรอก”
เวทมนตร์สินะ
ยูยะค่อยมีสีหน้าสบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงสอดส่ายสายตามองหาใครอีกคน ที่เป็นผู้ร่ายมนตร์สร้างกำแพงมนตรา ทำไมก่อนหน้านี้ยูยะถึงไม่เคยรู้สึกเลยว่ามีพ่อมดอีกคนอยู่ใกล้ๆ
“เพราะเขาก็เหมือนนายไงล่ะ
ระวังตัวมากเวลาที่จะต้องใช้เวทมนตร์ต่อหน้าพวกมนุษย์ แต่เดี๋ยวเขาก็มาแล้วล่ะ”
ไม่ถึงห้านาที
มิอุระ
โชเฮก็เดินเข้ามาหาทั้งสองคน
นั่งลงบนเก้าอี้ผ้าใบข้างๆฮิเดโอะแล้วส่งยิ้มมาให้ยูยะ
คนนี้เองสินะ..
ยูยะพอจะเข้าใจเหตุผลที่ทั้งสองปิดบังตัวเอง
ทั้งเขาและฮารุมะก็ต้องซ่อนพลังอำนาจที่มีไว้ให้พ้นจากสายตามนุษย์เช่นกัน เพราะจิตใจของมนุษย์นั้นไม่อาจคาดเดาได้
แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งคู่ถึงยอมเปิดเผยตัวง่ายๆแบบนี้
“เพราะฮารุมะเคยช่วยฉันไว้น่ะ จากเจ้าปีศาจนั่น ” โชเฮอธิบาย พยักเพยิดไปทางปีศาจในร่างมนุษย์ ที่ยังเดินวนเวียนอยู่ไม่ห่าง “มันเคยคิดจะลักพาตัวฉันตอนที่ฮิเดโอะไม่อยู่
แต่ฮารุมะมาขวางเอาไว้พอดี
ตอนแรกฉันไม่รู้หรอก
เพราะฮารุมะแค่จ้องหน้าหมอนั่นเฉยๆ
แต่พอมีกลิ่นปีศาจติดตัวกลับไปบ้านเท่านั้นแหละ ฮิเดโอะถึงได้รู้”
“พวกนายอยู่ด้วยกันเหรอ?”
“ใช่
แต่เราไม่เหมือนนายสองคนหรอก
เราเป็นเพื่อนกันน่ะ”
ยูยะพยายามหลบสายตาล้อเลียนของทั้งสองคนด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย
ทั้งฮิเดโอะและโชเฮคงไม่รู้ว่าเขาอยู่กับฮารุเพื่ออะไร
แต่สายตาของทั้งคู่ก็ทำให้ยูยะแก้มร้อนแปลกๆได้เหมือนกัน
“ทำไมเจ้านั่นถึงต้องลักพาตัวนายด้วยล่ะ”
“ไม่รู้สิ
คงอยากได้ไปเป็นคู่ชีวิตละมั้ง”
“คู่ชิวิตเหรอ?
ปีศาจก็ต้องการมีคู่ด้วย ฉันคิดว่าปีศาจชอบอยู่โดดเดี่ยวไม่ยุ่งกับใครซะอีก”
“มันก็แหงสิ!! พวกเราก็เหงาเป็นนะ
โดยเฉพาะปีศาจที่มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยปีน่ะ
โคตรจะเหงาเลยต้องมีใครสักคนมาอยู่ข้างๆ
ถึงจะอยู่ในฐานะอะไรก็ช่าง
อย่างน้อยขอให้มีสักคนก็ยังดี แต่คนที่จะยอมรับแล้วก็อยู่กับเราได้
มันหาโคตรยากกกก
ปีศาจบางตนก็เลยใช้วิธีที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ แบบเจ้านั่นแหละ พวกเราก็เลยต้องดูแลคนของเราให้ดีที่สุด”
ยูยะยังจำได้ถึงแววตาเจ็บปวดยามที่ฮารุมะพูดถึงอดีตของตนเอง
ว่าตั้งแต่จำความได้ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างโดดเดี่ยวในป่าลึก อาจเป็นเพราะถูกมนุษย์หมาป่ากัดตั้งแต่ยังเล็กจึงจำอะไรไม่ได้มากนัก แม้กระทั่งครอบครัวที่ทอดทิ้งไป
ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากสัตว์ป่าและปีศาจที่คอยจ้องจะทำร้ายหรือจับไปเป็นอาหาร
หล่อหลอมให้ฮารุมะเคยชินกับการตอบโต้อย่างป่าเถื่อนและโหดร้าย
และช่วงชิวิตที่เงียบเหงายาวนาน ก็คงทำให้ฮารุมะหวงยูยะมากมายถึงขนาดนี้สินะ
ไม่ใช่เพราะขาดไม่ได้
... แต่เป็นเพราะกลัวจะหาใหม่ไม่ได้ต่างหาก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“มีผู้พิทักษ์มากจริงนะ”
ยูยะสะดุ้งสุดตัว ไม่นึกว่าจะมีใครเดินตามมาตอนที่เขาเดินออกห่างจากกองถ่ายเพื่อมากดน้ำที่เครื่องขายน้ำดื่มอัตโนมัติ พ้นจากอาณาเขตของกำแพงมนตรา
“มีธุระอะไรกับฉัน?”
ยูยะเอ่ยถามเรียบๆ ก่อนที่จะเดินออกมาจากสตูดิโอ
ยูยะเห็นนักแสดงประกอบทุกคนกำลังซ้อมบทเพื่อเตรียมตัวเข้าฉากต่อไป คิดว่าปีศาจในร่างมนุษย์ตนนี้ไม่น่าจะปลีกตัวออกมาได้
แต่หมอนั่นกลับตามเขาออกมา
“มาอยู่กับฉัน!!”
“ไม่!!”
ยูยะตอบง่ายๆแต่หนักแน่น แล้วเดินเลี่ยงออกมาอย่างรวดเร็ว อย่างที่ฮิเดโอะและโชเฮเตือนเอาไว้ก่อนหน้านั้น ว่ายิ่งยูยะได้รับการคุ้มครองมากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งร้อนรนอยากได้ตัวยูยะมากขึ้น
ยูยะเองก็เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนหลายครั้ง
แต่ไม่นึกว่าปีศาจตนนี้จะอับจนปัญญาจนทำให้ต้องใช้วิธีการอย่างนี้
กลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาผู้คน
ในสวนสาธารณะช่วงกลางวันแม้ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกจับได้ และยังเสี่ยงต่อการตกเป็นแบบหน้ากล้องของปาปารัสซี่โดยไม่ตั้งใจ ต่อให้ยูยะอยากหนีจากมนุษย์หมาป่ามากแค่ไหนก็จะไม่เลือกรับความช่วยเหลือจากปีศาจตนนี้เด็ดขาด
“ไปซะ!! แล้วอย่ามายุ่งกับฉันอีก นายสู้เขาไม่ได้หรอก”
ยูยะหวังว่าคำพูดของเขาจะทำให้เจ้าปีศาจรู้จักประมาณตนว่า มันไม่มีทางต่อกรกับฮารุมะด้วย ทั้งความแข็งแกร่งและพลังปีศาจ มนุษย์หมาป่าย่อมเหนือกว่ามากนัก แต่เขาคิดผิด
เพราะแค่เพียงหันหลังให้
ปีศาจตนนั้นก็เข้าจู่โจม
ยูยะระวังตัวอยู่ก่อนแล้วจึงทำแค่เพียงเอี้ยวตัวหลบ และผลักเจ้านั่นออกไป แรงของมนุษย์บวกกับการร่ายคาถาเล็กน้อยทำให้ปีศาจหลังกระแทกตู้กดน้ำโครมใหญ่
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วเสียจนผู้เห็นเหตุการณ์ไม่ทันได้ตกใจด้วยซ้ำ นั่นถือเป็นเรื่องดี ยูยะต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่ฮารุมะจะรู้ แต่นั่นอาจจะใช้เวลาแค่วินาทีเดียวเท่านั้น
“แก!!!”
อีกฝ่ายมีแต่จะโกรธมากขึ้น แต่ยังน้อยกว่าความเกรี้ยวกราดจากมนุษย์หมาป่าที่มันจะได้รับต่อจากนี้
..
มือหยาบที่มีเล็บแหลมคมไม่ได้แตะแม้เพียงปลายเล็บของยูยะ ร่างหนาเข้ามาขวางระหว่างทั้งสองไว้อย่างรวดเร็ว ยูยะหันไปมองข้างหลัง ยาบุและทีมงานในกองถ่ายกำลังยืนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาดีดนิ้วร่ายคาถา สร้างมนตร์บังตา
เพื่อให้มนุษย์เห็นในสิ่งที่ควรเห็นเท่านั้น
บัดนี้ความโกรธของมนุษย์หมาป่าปะทุขึ้นดุจเปลวไฟ ดวงตาสีเข้มเริ่มมีจุดสีทองเรืองรอง พลังปีศาจสูงขึ้นจนอากาศรอบตัวสั่นไหว อีกฝ่ายที่ไม่ยอมแพ้แผ่พลังปีศาจของตนเข้าสู้ ยิ่งทำให้ฮารุมะโกรธมากขึ้นเหมือนลมโหมไฟป่า
มันจะเผาไหม้ทุกสิ่งให้พินาศวายวอดสิ้น
“ฉันเตือนแล้ว”
เสียงคำรามของมนุษย์หมาป่าก้องสะเทือนไปทุกหนทุกแห่ง ทีมงานหลายคนที่กำลังวิ่งเข้ามาหา
ร้องลั่นด้วยความตกใจ
เพียงขยับตัวนิดเดียวฮารุมะก็คว้าปีศาจตนนั้นเอาไว้ได้ มือแกร่งออกแรงบีบมากขึ้น อีกฝ่ายตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัว ไม่ใช่แรงบีบที่กำลังจะทำให้คอหัก
แต่เป็นพลังปีศาจของฮารุมะที่อาจทำให้ร่างของมันสลายเป็นผุยผง
“ฮารุ- อย่า!!!!”
มือที่ยึดไหล่หนาถูกสะบัดออกรุนแรงจนมือชา แต่ยูยะไม่ยอมแพ้ง่ายๆกอดแขนของฮารุมะเอาไว้ พยายามเตือนให้ได้สติ หากว่าร่างของคู่ต่อสู้สลายลงตรงนี้ ต่อให้มีมนตร์บังตาก็ไม่อาจช่วยอะไรได้
แต่มนุษย์หมาป่าถูกความโกรธครอบงำจนลืมสิ้นทุกสิ่ง
ครั้งสุดท้ายที่สะบัดแขนให้หลุดจากการเหนี่ยวรั้ง..
ยูยะรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเบาหวิวอย่างแปลกประหลาด
ทุกสิ่งรอบตัวพร่ามัวช้าลงขณะที่เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เสียงร้องหวีดหวิวแว่วมาจากที่ไกลๆ
เบื้องหน้าของยูยะ...คือสีเงินพร่ามัวและเงาเลือนรางของอะไรสักอย่าง
แล้วทั้งหมดนั้นก็หยุดชะงักกะทันหัน
ยูยะนิ่งตะลึงเมื่อมองเห็นชัดเจนว่าเบื้องหน้านั้น คือตู้ขายน้ำอัตโนมัติ
มันอยู่ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงนิดเดียวเท่านั้น นาทีต่อมาเขาจึงรู้สึกได้ถึงวงแขนแกร่งที่โอบรอบตัว
“เป็นอะไรรึเปล่า”
แสงสีทองในดวงตาของฮารุมะหายไปแล้ว
เหลือเพียงดวงตาสีดำสนิทอย่างมนุษย์
ฮารุมะเกือบทำร้ายเขาแต่ก็ช่วยเขาเอาไว้ก่อนที่จะกระแทกกับตู้ขายน้ำ
ยูยะจับแขนของมนุษย์หมาป่าไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนจะหันไปกอดร่างหนาเอาไว้ กระซิบพูดคุยพอให้ได้ยินกันสองคน
“นายจะฆ่ามันก็ได้- แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้นะ ฮารุ”
“เข้าใจแล้ว”
มนุษย์หมาป่ามองตามแผ่นหลังศัตรูที่หนีไปด้วยแรงอาฆาต
ท่ามกลางความเงียบงันของทีมงานและเพื่อนนักแสดง เสียงเอ็ดตะโรโวยวายของยาบุ มนุษย์หมาป่าได้พูดออกมาอีกคำหนึ่ง คำที่ยูยะได้ยินน้อยครั้งนัก นับตั้งแต่มาอยู่ด้วยกัน
“ขอโทษ”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีครั้งใดที่คุณหมอยูยะจะนึกเกลียดปาปารัสซี่ได้เท่าครั้งนี้ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกองถ่าย
ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ทั้งๆที่ฮารุมะและยูยะยังถ่ายละครไม่เสร็จด้วยซ้ำ
ภาพวิโอนี้ทำเอายาบุหัวหมุนวิ่งวุ่นปิดข่าวเสียจนไม่มีเวลามาเทศนาฮารุมะ
ผู้จัดการคนเก่งเครียดจนถึงขั้นลั่นวาจาออกมาว่า
ถ้าตามตัวคนถ่ายวิโอไม่ได้
จะเลิกทำงานผู้จัดการซะ
ภาพวิดีโอที่ถูกเผยแพร่นั้น
ถูกตัดต่อให้เหลือเพียงตอนที่ร่างของยูยะถูกเหวี่ยงตัวปลิวไปทางตู้ขายน้ำอัตโนมัติ แล้วก็ตัดจบเพียงเท่านั้น ชวนให้สงสัยว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทำให้เกิดข้อสงสัยในหมู่ผู้ที่ได้ดูวิโอว่าความสัมพันธ์ของฮารุมะและยูยะเป็นอย่างไรกันแน่ จนถึงตอนนี้ยอดคนดูก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้วิดีโอถูกลบไป
ก็ยังมีคนเอามาเผยแพร่ได้อีก
รวมทั้งความเห็นที่โพสท์ลงในเว็บก็ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ไม่ประสงค์ออกนามหลายคนถึงกับกล้ายืนยันว่าตนเองเคยเห็นฮารุมะทำร้ายร่างกายยูยะหลายต่อหลายครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้คุณหมอยูยะสติแตกจนแทบบ้า
คือผลกระทบจากภาพวิดีโอและข้อความเหล่านั้นที่มีต่อยูมะ
“น้องเป็นยังไงบ้าง”
ยูยะถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหว
เขาและฮารุมะถูกพี่ชายเรียกตัวด่วนจนต้องทิ้งงานมาที่โรงพยาบาล
ยูยะบอกกับทีมงานว่าข่าวที่ออกมานั้นทำให้ยูมะเข้าใจผิดจนเกิดอาการช็อก ทีมงานทุกคนตกใจมากจึงยอมให้ทั้งสองมา
“ฉันไม่รู้
ฉันเข้าใกล้น้องไม่ได้เลย”
ยูยะคนพี่บอกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ตั้งแต่ยูมะลืมตาดูโลก เขาไม่เคยเห็นน้องเป็นอย่างนี้เลย
กำแพงในห้องพักผู้ป่วยของยูมะปริร้าว ข้าวของภายในห้องถูกฉีกกระจายไม่มีชิ้นดี
นัยน์ตาสีอำพันเริ่มมีจุดเรืองรองสีทองแบบเดียวกับฮารุมะยามที่ใกล้เวลาเปลี่ยนร่าง
แต่ยูมะไม่เคยเปลี่ยนร่างเลย ...
นับตั้งแต่เกิด..
สายเลือดมนุษย์หมาป่าเพียงครึ่งเดียวในร่างกายของยูมะอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เปลี่ยนร่าง หรือพลังอีกครึ่งหนึ่ง
สายเลือดแวมไพร์อีกครึ่งหนึ่งในตัวของยูมะกดดันพลังของมนุษย์หมาป่าเอาไว้ เขาไม่รู้
รู้เพียงว่าบางครั้งพลังปีศาจทั้งสองต่อต้านกันเอง จนทำให้ยูมะเจ็บปวดทรมานแทบขาดใจ
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม..คุณหมอยูยะจึงต้องให้ยูมะอยู่ใกล้ๆ คอยดูแล
ปกต้องให้ปลอดภัย
จากพลังปีศาจของยูมะเอง
และการตามล่าของใครบางคน
“พลังปีศาจของยูมะสูงขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยเอาไว้แบบนี้ น้องอาจจะฝ่ากำแพงเวทมนตร์ออกมาทำร้ายคนอื่นได้แน่ๆ”
ฮารุมะสัมผัสถึงมันได้
พลังปีศาจที่แผ่ขยายปกคลุมอาคารทั้งหลัง
ไม่นึกเลยว่ายูมะจะมีพลังปีศาจสูงถึงขนาดนี้
เสียงครืนครานดังมาตามกำแพง
พื้นอาคารสั่นสะเทือน ระบบไฟฟ้ารวนไปชั่วครู่
ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ตื่นตระหนกเพราะคิดว่าแผ่นดินไหว
"ฉันอยู่ในห้องนานเกินหนึ่งนาทีไม่ได้เลย
ก็เลยได้แต่เสกคาถาป้องกันจากด้านนอก"
คุณหมอยกมือขึ้นกุมขมับ
ชายแขนเสื้อร่นลง มองเห็นผ้าพันแผลสีขาวเด่นชัดบนผิวกายสีน้ำผึ้ง
"พี่-นั่นมัน"
คุณหมอถอนหายใจ
"น้องเหมือนจะจำฉันได้ แต่ก็จำไม่ได้ พอเข้าใกล้-"
รอยแผลที่ถูกน้องทำร้าย
มีผลต่อจิตใจทำให้เวทมนตร์ของคุณหมอไม่แข็งแกร่งดังเคย
"ปล่อยเอาไว้แบบนี้แย่แน่ๆ
ไม่ใช่แค่ทุกคนที่นี่จะเป็นอันตราย
แต่พลังของยูมะตะดึงดูดปีศาจในเมืองนี้ให้มาที่นี่ด้วย"
"ฉันจัดการเอง!!"
ฮารุมะลุกขึ้นยืน
ยูยะทั้งสองคนมองร่างหนาด้วยแววตาสงสัยแบบเดียวกันใม่ผิดเพี้ยน
มันบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจและไม่แน่ใจอย่างชัดเจน
"ฉันรับมือยูมะไหวหรอกน่า"
คุณหมอยูยะทำหน้าเชิด
"ฉันไม่ได้ห่วงแก ฉันกลัวแกพลั้งมือฆ่าน้องฉันตายต่างหาก"
"พี่!!!"
ใบหน้าของยูยะคนน้องเริ่มซีด
จนคนเป็นพี่ตกใจว่าตนเองเพิ่งพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป
ตอนนี้ยูมะขาดสติไปแล้ว
หากว่าฮารุมะเข้าไปในห้องแล้วต่อสู้กันจนบ้าเลือดไปอีกคน อาจมีใครต้องตายก็ได้
"แล้วมีทางเลือกอื่นอีกหรือไง
ให้ฉันจัดการนั่นแหละดีแล้ว นายสองคนอยู่ที่นี่
คอยระวังไม่ให้พวกมนุษย์เข้าใกล้ห้องนั่นได้ก็แล้วกัน"
สองพี่น้องมองตากันครู่หนึ่ง
ก่อนจะดีดนิ้วพร้อมกัน แล้วร่างของฮารุมะก็หายวับไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ห้องนั้นอยู่ในสภาพที่ยิ่งกว่าพังพินาศ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนดูไม่ออกว่าก่อนหน้านั้นมันคืออะไร เศษซากของทุกอย่างกระจายเกลื่อนภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างผ่านหน้าต่างเข้ามา
แต่ถึงไม่มีแสงจันทร์ฮารุมะก็ยังมองเห็นได้ดีในความมืด
แต่เขามองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของยูมะ..
พริบตาเดียว
ร่างที่ซุกตัวอยู่ในมุมมืดที่สุดของห้องก็เข้าถึงตัวมนุษย์หมาป่า ร่างหนาถูกเหวี่ยงไปกระแทกกำแพงห้อง
เศษอิฐและปูนร่วงกราว
ยังไม่ทันจะตั้งตัวได้
ก็ถูกเหวี่ยงไปกระแทกกำแพงอีกด้านจนร่วงลงไปกองกับพื้น
ฮารุมะไม่ได้บาดเจ็บ เขาเพียงแต่ตกใจกับความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของยูมะ การโจมตีสองครั้งเขามองเห็นเพียงแต่ดวงตาสีทองที่ไหววูบไปมาในความมืดเท่านั้น
ร่างของยูมะพุ่งเข้ามา แต่ครั้งนี้ฮารุมะหลบได้
กำแพงด้านหลังตรงที่เขาเคยยืนเกิดรอยแยกเป็นทางยาวเหมือนถูกกรีด ยูมะคำรามโกรธเกรี้ยวแล้วพุ่งโจมตี แต่ฮารุมะก็หลบได้อีกครั้ง ยิ่งหลบเลี่ยงได้เท่าไหร่
ยิ่งทำให้ยูมะยิ่งโกรธและขาดสติยิ่งขึ้น
แต่ฮารุมะจะต่อสู้ไม่ได้
เพราะหากทำเช่นนั้นสัญชาตญาณปีศาจในตัวเขาอาจจะตื่น มันจะทำให้เขาต่อสู้กับน้องอย่างขาดสติ
และเขาอาจจะฆ่ายูมะได้จริงๆ...
ในความมืดนั้น...ฮารุมะมองเห็นว่าร่างกายของยูมะยังเป็นเหมือนคนปกติ มีเพียงดวงตาสีทองวาวโรจน์เจิดจ้า แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขากังวลเท่ากับพลังปีศาจของยูมะที่ยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ต่อให้ไม่เปลี่ยนร่าง แต่ยูมะก็กำลังจะกลายเป็นปีศาจเต็มตัวเหมือนเขา!!!
เพียงเสี้ยววินาทีที่หยุดใช้ความคิด คลื่นพลังแหวกอากาศเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกถึงมันแต่หลบไม่พ้น คมอากาศกรีดลงบนแขนแกร่ง
เกิดแผลลึกกว้าง
ของเหลวสีคล้ำสาดกระจาย
กลิ่นคาวลอยฟุ้งไปในอากาศ
เลือด...
กระตุ้นสัญชาตญาณดิบเถื่อนของมนุษย์หมาป่าได้ดียิ่งกว่าแผลที่สร้างความเจ็บปวด ดวงตาของฮารุมะเรืองรองเจิดจ้า กล้ามเนื้อเกร็งไปทุกส่วน เตรียมพร้อมจะต่อสู้
เลือด..ทำให้พลังปีศาจอีกครึ่งหนึ่งของยูมะตื่นขึ้นมา นัยน์ตาสีทองเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ กลิ่นคาวเลือดทำให้เขากระหายจะได้ดื่มมัน
แล้วทั้งสองก็พุ่งเข้าหากัน ด้วยความมุ่งร้าย..
พลังปีศาจของทั้งคู่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็นผุยผง ฝุ่นควันตลบฟุ้งอยู่ในความมืด มีเพียงเงาร่างทั้งสองที่เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายฟ้า ฉีก
กระชาก ฟาดฟัน โดยไม่มีใครยอมใคร
การต่อสู้อาจยาวนาน
หากว่ายูมะไม่ได้กรีดแผลยาวเข้าที่กลางอกของมนุษย์หมาป่า ความเจ็บปวดนั้นทำให้ฮารุมะได้สติ
และตกใจไม่น้อยเมื่อนึกได้ว่าเขากำลังจะทำอะไรลงไป
นั่นทำให้เขาพลาด!!
ร่างหนาถูกเหวี่ยงไปกระแทกผนังอีกครั้ง หากว่ามันแรงกว่านี้
ร่างของฮารุมะอาจจะทะลุกำแพงเวทมนตร์ออกไปยังห้องข้างๆก็เป็นได้ มนุษย์หมาป่าเจ็บหนักอยู่ไม่น้อย เขาเพิ่งรู้ว่าช่วงเวลาที่ขาดสตินั้น ตนเองได้ต่อสู้อย่างบ้าบิ่นเพียงใด มันไม่ทำให้เขาได้เปรียบขึ้นเลย ทั้งร่างมีแต่รอยแผลน่าสยดสยอง เหลือไหลรินไม่หยุด มันทำให้เขาหมดแรงและเริ่มขยับตัวไม่ไหว
มือเรียวเล็กกำรอบลำคอ กระชากร่างหนาให้ลุกขึ้นนั่ง ในความมืด
อารุมะมองลึกลงไปในดวงตาแดงก่ำของน้อง
เห็นเพียงความโหดร้ายกระหายเลือดเช่นเดียวกับที่เขาเคยเป็นในยามโกรธ แต่ความคิดก็หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อเขารู้สึกแรงกดหนักที่ลำคอ เมื่อมองหน้ายูมะเขาก็มองเห็น เขี้ยวเล็กๆคมกริบยามที่ยูมะแยกเขี้ยว
ฮารุมะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร เขายอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ !! เขาจะยอมให้น้องเป็นปีศาจไปมากกว่านี้ไม่ได้!!!
แต่ในเวลาอย่างนี้ เขากลับไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย หูได้ยินเสียงแตกทึบๆก้องมาจากข้างในลำคอ กระดูกคอคงจะแตกไปแล้วสักสองสามชิ้น
ร่างหนาหลับตาลงอย่างนึกสมเพชตัวเอง ที่ต้องมาตายอย่างพ่ายแพ้เช่นนี้
“จะฆ่าพี่จริงๆหรือ ยูมะ”
เสียงที่เค้นผ่านหลอดลมที่ถูกบีบนั้นไม่เหมือนเสียงของฮารุมะ แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าแรงบีบที่คอคลายลง เมื่อลืมตาอีกครั้ง
ฮารุมะก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย
ยูมะยืนค้ำเหนือร่างหนา กำจังจ้องมองมือทั้งคู่ด้วยความตกใจ แสงสีแดงในดวงตาเลือนหายไปช้าๆ
แทนที่ด้วยการรับรู้อันแสนเจ็บปวด
“พี่ฮารุ-“
น้ำตาหยดร่วงจากดวงตาสีอำพัน ยูมะได้สติแล้ว “พี่ฮารุ-“
แล้วยูมะก็ล้มลง
“ไม่!!!”
ฮารุมะร้องจนสุดเสียง
ตะเกียกตะกายเข้าไปหาน้องที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส พลังปีศาจในร่างของยูมะเริ่มต่อต้านกันเอง มันทำให้ยูมะทรมานอย่างสุดแสน ฮารุมะพยายามหยุดไม่ให้น้องทำร้ายตัวเองแต่บาดแผลสาหัสบนร่างกายก็เป็นอุปสรรค แต่ถึงอย่างนั้นร่างหนาก็กอดน้องเอาไว้ ทนรับรอยกรีดคมๆที่เฉือนลงบนเนื้อหนัง
แต่เขาจะทนรับความเจ็บปวดได้อีกสักเท่าไหร่..
ยูมะ...พี่ขอโทษ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มนุษย์หมาป่าไม่รู้เลยว่าตัวเองหมดสติ หรือว่าแค่หลับไป แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนโซฟาในห้องพักสีขาว แสงจากหลอดไฟสว่างจ้าจนตาพร่า เขาเอาแต่จ้องมองเพดานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั่วร่าง
เรียกเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นกลับเข้ามาในความทรงจำ
“ยูมะ!!!!” ฮารุมะพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ก็ทำได้ยากลำบาก
เพราะทั้งตัวมีผ้าพันแผลพันอยู่หนาเตอะ
ขณะที่กำลังจะตะเกียกตะกายลุกขึ้น
ก็ถูกมือที่มองไม่เห็นผลักให้ล้มลงนอนอย่างเดิม
“ตื่นปุ๊บก็เห่าปั๊บเลยนะแก” พี่ชายคนโตของยูมะทักทาย เขานั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม
นิ้วชี้ข้างขวายังชี้ตรงมาที่ร่างของฮารุมะ
นั่นทำให้ร่างหนาไม่สามารถขยับตัวได้
“ยูมะล่ะ?”
“หลับอยู่
แกก็อย่าเสียงดังมาก ฉันไม่อยากให้น้องฉันตื่นตอนนี้”
น้ำเสียงอ่อนระโหยของคุณหมอยูยะทำให้ฮารุมะไม่คิดอยากต่อปากต่อคำด้วย เขากวาดสายตามองรอบห้อง แล้วก็พบว่าทุกสิ่งที่กลายเป็นฝุ่นธุลีจากการต่อสู้
กลับคืนสู่สภาพเดิมของมันอย่างเรียบร้อยไม่มีที่ติ ยูมะนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
และยังมีลมหายใจ
ฮารุมะถอนใจโล่งอก...ไม่ว่าตอนนี้หัวใจของยูมะจะเจ็บปวดอย่างไร ขอเพียงแค่น้องยังปลอดภัยเท่านั้น แล้วเขาจะชดเชยทุกอย่างให้เอง
บนพื้นข้างๆโซฟา
ยูยะหลับสนิทอยู่บนพรมขนสัตว์ผืนหนา ใบหน้าซีดเซียว เส้นผมที่ปรกอยู่รอบใบหน้าชื้นเหงื่อ ลมหายใจแผ่วช้ากว่าปกติจนเขาแทบไม่รู้สึก
ฮารุมะสบตากับยูยะคนพี่เพื่อขอคำอธิบาย
“ใช้พลังมากไปหน่อยตอนที่รักษาแผลให้แก แผลเป็นร้อยๆบนตัวแกนั่นฉันรักษาคนเดียวไม่ไหว
ต้องให้ยูยะช่วย”
ฮารุมะพยักหน้ารับรู้ พ่อมดไม่ได้เก่งไปเสียทุกเรื่อง ยูยะใช้เวทมนตร์รักษาได้แต่ก็ไม่เชี่ยวชาญเท่าพี่ชายคนโตของบ้าน แต่หากว่าคุณหมอยังต้องพึ่งพาพลังของยูยะ ก็แสดงว่าบาดแผลที่ได้รับคงสาหัสเอาการ
“งั้น..ต้องขอบใจสินะ”
“ไม่จำเป็น”
คุณหมอตอกกลับด้วยน้ำเสียงเกลียดชังเปิดเผย “เหตุผลที่แกยังอยู่ตรงนี้
ก็เพราะฉันกับยูยะคิดเหมือนกันว่าไม่อยากให้ยูมะต้องกลายเป็นฆาตกรฆ่าใคร ต่อให้มันสมควรตายก็เถอะ!!!”
มนุษย์หมาป่านิ่งเงียบ คำสาบานที่เขาและยูยะมีต่อกันนั้นลึกซึ้งนัก คำสาบานที่ผูกพันกันไว้ด้วยชีวิต
มีแต่ต้องให้อีกฝ่ายตายจากไปเท่านั้นจึงจะหลุดพ้น แต่หากว่ายูยะฆ่าเขา หรือแม้กระทั่งปล่อยให้ตายอย่างจงใจ
คำสาบานนั้นจะกลายเป็นคำสาปที่สะท้อนใส่ตัวยูยะเอง
ผลร้ายของมันไม่อาจคาดเดาได้
และผู้ใช้เวทย์ไม่สามารถก้าวก่ายในมนตร์ของกันและกันได้
เพราะฉะนั้นต่อให้ยูยะคนพี่อยากฆ่าเขาแค่ไหน ก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ทางเดียวที่จะทำลายคำสาบานได้ คือทั้งสองฝ่ายต้องเป็นผู้ถอนคำสาบานต่อกันด้วยความเต็มใจเท่านั้น
“ฉันไม่มีวันปล่อยยูยะไป!!!”
ฮารุมะโพล่งออกมา
คุณหมอยูยะกัดริมฝีปากตัวเองอย่างหงุดหงิดที่วันนี้หมาบ้าฉลาดรู้ทันเขา
“แกอยากจะให้คำสาปตีกลับเพราะแกฆ่ายูยะตายหรือไง?
รู้ตัวรึเปล่าว่าแกมันบ้าอาละวาดหนักขึ้นทุกวัน ฉันไม่ยอมให้น้องฉันเป็นอะไรไปแน่!!”
“ฉันปล่อยมือจากยูยะไม่ได้”
คุณหมออยากจะร่ายคาถาฉีกร่างของมนุษย์หมาป่าเป็นชิ้นๆ แต่อะไรบางอย่างสะกิดใจเขา อะไรบางอย่าง...ในน้ำเสียงของฮารุมะ อะไรบางอย่าง...ที่ทำให้นึกถึงคำพูดของยูมะที่บอกไว้ก่อนหน้านั้น ว่าสำหรับฮารุมะแล้ว ...
ยูยะมีเพียงคนเดียวในโลก
“ทำไม่ถึงไม่ได้
ถ้าแกอยากได้ใครสักคนไว้ระบายอารมณ์
แค่ดีดนิ้วก็มีคนเสนอตัวมาให้ถึงที่
ไม่จำเป็นต้องเป็นยูยะก็ได้”
“ไม่!!! ไม่เหมือนกัน ฉันต้องการแค่ยูยะ ยูยะคนเดียวเท่านั้น!!!”
คำพูดเด็ดขาดหนักแน่นจนคนฟังอดนึกประหลาดใจไม่ได้ บางครั้ง
พี่ชายคนโตของบ้านก็รู้สึกว่าจิตใจของมนุษย์หมาป่านั้นยากจะหยั่งถึง
และไม่อาจจะเข้าใจ และดูเหมือนสมองของฮารุมะก็ไม่อาจหาเหตุผลได้
ว่าทำไม...ต้องเป็นยูยะ
คิดได้เท่านั้นก็ถอนหายใจ ผู้กล่าวคำสาบานต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะตามมาด้วยตนเองเท่านั้น
“ฉันรู้ว่าฉันจะก้าวก่ายในเรื่องที่ยูยะตัดสินใจไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่อยากให้น้องฉันต้องเจ็บอีก”
“ฉันก็ไม่อยากทำให้ยูยะเจ็บตัว”
“ถ้าอย่างงั้นก็ช่วยทำตามที่ฉันบอกสักหน่อย
ฉันรู้ว่าสันดานปีศาจมันเลิกยากแต่อย่างน้อยก็ช่วยทำตัวให้เป็นปีศาจที่อ่อนโยนสักหน่อย โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับยูยะ เพราะถ้ามีอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้เกิดขึ้น ฉันบอกแกไว้ตรงนี้เลยว่าเราสามพี่น้องขอยอมตายเพื่อทำลายคำสาบานของแก!!!”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คำพูดและน้ำเสียงที่เด็ดขาดนั้นทำให้ฮารุมะนิ่งเงียบ เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น หลังจากที่พ่อแม่หายสาบสูญ ก็อยู่ด้วยกันสามคนมาตลอด
พี่ชายคนโตถือความปลอดภัยและความสุขของน้องเป็นหน้าที่ของตนเสมอมา จนกระทั่งได้มาพบกับฮารุมะ
ภาระทั้งหลายจึงถูกแบ่งให้มนุษย์หมาป่าดูแลเสียครึ่งหนึ่ง
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกลียดฮารุมะหนักหนา
แต่จะให้เขาคืนทุกสิ่งในมือกลับไปให้คุณหมอยูยะ เขาก็ทำไม่ได้
“เคยเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหม ว่าจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน”
“แล้วไง?”
คุณหมอคนสวยขมวดคิ้ว เพราะท่าทางของฮารุมะผิดไปจากที่คาดไว้ แทนที่จะลุกขึ้นมาอาละวาด
กลับยอมนอนนิ่งๆ เอาแต่จ้องมองเพดาน
“จริงๆแล้วจำได้นิดหน่อย” มนุษย์หมาป่าถอนหายใจ
“จำได้ว่าพ่อละมั้ง ที่พาฉันเข้าไปในป่า
สอนวิธีการอยู่รอดในป่าให้ฉัน
พอฉันเผลอ พ่อก็หายไป”
ฮารุมะพูดเหมือนเหตุการณ์เหล่านั้น ไม่สลักสำคัญ
แต่คนฟังกลับรู้สึกปวดแปลบในอก
ตอนที่พ่อแม่หายสาบสูญ
พวกเขาทั้งโศกเศร้าและว้าเหว่
แต่ก็ยังมีกันและกัน ฮารุมะกลับไม่มีอะไรเลย เด็กตัวเล็กๆที่ต้องต่อสู้เพื่อให้รอดจากความโหดร้ายในป่ามืดนั้นช่างโดดเดี่ยวและเสนเศร้า ฮารุมะต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้นอยู่กี่ร้อยปีกันนะ
ก่อนที่จะมาพบพวกเขา
“ฉันอยู่คนเดียวมาตลอด แล้วก็คิดว่าอยู่ได้ แต่พอได้เจอยูยะกับพวกนาย
ฉันก็รู้ว่าในโลกนี้มีอะไรมากกว่าเลือดและการฆ่า”
คนฟังเริ่มสับสน
คุณหมอยูยะไม่เข้าใจว่าฮารุมะกำลังพยายามจะบอกอะไร แต่ความอยากรู้ก็มีมากพอจะทำให้นิ่งฟังต่อไป
“หน้าที่ที่ยูยะให้ฉันทำ
มันทำให้ฉันรู้สึกว่าชีวิตมีค่ามากกว่าที่ผ่านมา
ฉันไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นภาระที่ต้องแบกแค่เต็มใจทำก็เท่านั้น”
“ก็แหงล่ะ
น้องฉันจ่ายให้แกอย่างงาม จะไม่เต็มใจได้ไง”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่พอได้เห็นยูมะค่อยๆเติบโต จากเด็กที่ได้แต่นอนอยู่บนเบาะ เริ่มคลาน
เริ่มหัดเดิน จนถึงตอนนี้ มันทำให้ฉันมีความสุข”
“นี่แกพยายามจะบอกอะไรฉันกันแน่”
“ ที่ฉันมียูยะอยู่ข้างๆ หน้าที่พี่เลี้ยงคอยปกป้องยูมะ หรือการได้ทะเลาะกับนาย
มันคือโลกทั้งหมดของฉัน
และโลกใบนั้นยูยะเป็นคนให้ฉันมา
ยูยะจึงสำคัญกับฉัน
ฉันจะไม่มีวันไปจากยูยะและจะไม่ยอมให้ยูยะไปจากฉันด้วย”
คุณหมอยูยะพูดไม่ออก วาจาปีศาจมักเต็มไปด้วยเล่ห์กลเสมอ แต่เขาก็รู้จักฮารุมะมามากพอที่จะรู้ว่า
มนุษย์หมาป่าตนนี้ มีนิสัยตรงไปมาผิดกับปีศาจตนอื่น ไม่ว่าเจ้าตัวจะเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่แฝงในถ้อยคำที่พูดออกมาหรือไม่ แต่นั่นก็เป็นความรู้สึกจริงแท้
ที่ส่งตรงจากสมองและหัวใจ
“ถ-ถ้าหากว่ายูยะสำคัญถึงขนาดนั้นละก็ ลองทำอย่างที่ฉันบอกสิ อย่างน้อยแกก็เคยเป็นมนุษย์ แค่ความอ่อนโยน คงขุดออกมาใช้ได้ไม่ยากหรอก ไม่อย่างนั้น
แกนั่นแหละจะเป็นคนทำลายสิ่งสำคัญด้วยมือของแกเอง”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยูยะคนพี่ออกจากห้องไปแล้ว
ทิ้งเขาไว้กับยูยะคนน้องและยูมะที่กำลังหลับสนิททั้งคู่
คำพูดสุดท้ายที่คุณหมอยูยะทิ้งไว้ให้ยังคงคอยก่อกวนเขา คำพูดนั้นไม่ได้บอกว่าจะให้อภัยหรือให้โอกาส
ความจริงแล้วฮารุมะน่าจะถูกสาปให้หายไปจากโลกนี้ด้วยซ้ำเมื่อนึกถึงคำพูดเห็นแก่ได้ของตัวเอง
เขาทำต้องการยูยะแต่ก็ทำร้ายยูยะด้วยเช่นกัน ทุกครั้งที่ยูยะเจ็บ
ความเจ็บปวดจะมีผลต่อจิตใจของบรรดาพี่น้องอีกสองคนด้วย ทำไมเขาไม่คิดมาก่อนว่ายูมะอาจจะรู้ มากกว่าเรื่องคำสาบาน น้องไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆอีกต่อไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าน้องรู้ได้อย่างไร
แต่คงรู้มานานและเก็บเอาไว้ในใจคนเดียว
ภาพวิดีโอนั่นอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ยูมะขาดสติเกือบกลายเป็นปีศาจไปจริงๆ
ความผิดของเขาแท้ๆ
ฮารุมะหลับตา รู้สึกได้ว่าบาดแผลกำลังสมานตัวอย่างช้าๆ พ่อมดสองคนรวมพลังกัน
ยังรักษาให้หายทันทีไม่ได้ แสดงว่าพลังปีศาจในตัวของยูมะร้ายกาจไม่ใช่ย่อย
บนพื้น ยูยะยังหลับสนิทขดตัวงออยู่บนพรมขนสัตว์ ฮารุมะรู้ว่ายูยะหนาว
เพราะลมจากเครื่องปรับอากาศเป่าลงตรงตัวยูยะพอดี
เขาเลื่อนตัวลงจากโซฟา
แล้วก็ได้ยินเสียงกระดูกของตัวเองลั่นดังกร๊อบ แต่ไม่ได้สนใจ
เพราะพลังการรักษาของคุณหมอยังอยู่บนตัวเขา
อีกไม่กี่นาทีมันก็จะสมานกันเหมือนเดิม
แขนแกร่งตวัดร่างยูยะให้ขึ้นมานอนทับบนตัวแล้วใช้พรมขนสัตว์ต่างผ้าห่มคลุมร่างทั้งสองเอาไว้
แต่อาการบาดเจ็บทำให้มนุษย์หมาป่าไม่ไวพอจนทำให้คนที่หลับรู้สึกตัวตื่น
“ฮารุ”
“นอนไปเถอะ”
น้ำเสียงอ่อนแรงของยูยะคนที่เขากอดน่าเป็นห่วงกว่าคนที่เดินออกจากห้องไปแล้วเสียอีก
มิน่าถึงไม่มีพลังเหลือพอจะเสกเตียงขึ้นมาอีกหลัง หรือผ้าห่มที่หนาและอบอุ่นกว่านี้ได้ และจะให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆเห็นเขาในสภาพนี้ก็ไม่ได้ด้วย
“ยูยะ ความอ่อนโยนคืออะไร?”
คนถูกถามฝืนเปลือกตาที่กำลังจะปิด
เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างหนาที่อุทิศตัวเป็นเตียงให้ด้วยความแปลก
“นายถามทำไม?”
“ฉันอยากรู้
พี่นายบอกว่ามนุษย์มีมัน”
ยูยะหัวเราะเบาๆ
บางทีมนุษย์หมาป่าก็มีอะไรซื่อๆที่มีแต่เขาคนเดียวที่เห็น ไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาพูดอะไรไว้บ้างฮารุมะถึงได้ดูจริงจังกับความหมายของคำว่าอ่อนโยนขนาดนี้ คำง่ายๆที่เข้าใจยากสำหรับมนุษย์หมาป่า
และยูยะก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะอธิบาย
“ฉันอยู่กับนายมานาน จนลืมความรู้สึกแบบนั้นไปแล้วล่ะ” นิ้วเรียวแตะลงบนแก้มของร่างหนา ตรงรอยแผลจางๆที่กำลังจะเลือนหาย ไล้เบาๆไปตามแนวรอยแผลที่ยาวจากหางตาจนถึงคอ
“แบบนี้ละมั้ง”
แล้วยูยะก็หลับไปทันที ปล่อยให้มนุษย์หมาป่าจับแก้มตัวเองด้วยความข้องใจ จนกระทั่งต้องกวนคนที่นอนหลับอยู่อีกครั้ง
“ความอ่อนโยนคืออะไรเหรอ?
ยูมะ”
ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงของผู้ป่วยขยับเล็กน้อย
ก่อนจะลืมตา
ยูมะตื่นหลังจากที่พี่ชายคนโตออกจากห้องไปไม่นาน
ฮารุมะรู้ได้จากลมหายใจที่หนักและเร็วกว่าตอนที่หลับเล็กน้อย
“พี่ไม่มีวันเข้าใจหรอก
แล้วก็ไม่มีวันทำได้ด้วย”
“คิดอย่างนั้นเหรอ?”
ยูมะยังโกรธอยู่ แต่ก็ยังน้อยกว่าที่เขาสมควรได้รับ
“พี่ไม่อยากทำร้ายยูยะอีก แล้วก็ไม่อยากทำให้นายต้องเสียใจด้วย”
ยูมะลุกพรวดจากเตียง
คว้าแจกันกุหลาบสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียง เดินเร็วๆเข้ามาหา ฮารุมะคิดว่าน้องจะใช้มันตีหัวเขา แต่ยูมะเพียงแต่ดึงดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งออกมา
“ดอกกุหลาบนี่ ถ้าจับมันแบบนี้”
ยูมะแตะนิ้วลงบนกลีบกุหลาบสีขาวเบาๆ “มันก็จะไม่ช้ำ แต่ถ้าทำแบบนี้!!”
มือเรียวกำรวบกุหลาบทั้งดอกไว้แน่นแล้วกระชากปลิดกลีบทั้งหมดออกจากก้าน
ทิ้งกลีบสีขาวชอกช้ำลงบนพื้น พร้อมๆกับหยดน้ำตาที่ไหลร่วงลงมาอย่างสุดกลั้น
“ดอกไม้ถ้าถูกตัดออกจากต้น ยังซะมันก็ต้องตาย แต่ถ้าเราคอยดูแลมันอย่างดี มันก็จะไปจากเราช้าลง”
ยูมะสะอื้น
มนุษย์หมาป่านอนมองดวงตาใสๆที่เขารักหนักหนา
ตอนนี้เขากลับทำให้มันชุ่มไปด้วยน้ำตาและความร้าวราน เมื่อเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ น้องน้อยก็ร้องไห้โฮซบลงกับไหล่เขา
น้ำตาของยูมะทำให้แผลที่กำลังสมานกันแสบร้อนเหมือนถูกน้ำกรด คำขอโทษจากเขาไม่อาจเยียวยาหัวใจของยูมะได้
“น้องไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่เจ็บ น้องไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ “
“พี่รู้ ทุกอย่างเป็นความผิดของพี่เอง “
“น้องรักพี่ๆทั้งสามคน น้องไม่อยากเสียใครไปทั้งนั้น”
“พี่ก็ไม่อยาก”
ฮารุมะรำพึงเบาๆ ร่างหนาปล่อยให้น้องร้องไห้จนหลับไป ในใจครุ่นคิดถึงคำพูดของยูมะ เขาเป็นคนที่ทำร้ายยูยะมาตั้งแต่แรก
ตั้งแต่วันที่เขาขอร่างกายนี้มาเป็นสิ่งตอบแทน ดอกไม้ที่ถูกตัดวันหนึ่งมันก็ต้องตายงั้นเหรอ?
ถ้าหากว่าเขาดูแลยูยะดีกว่านี้...ยูยะจะอยู่กับเขาไปได้นานๆสินะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โอย อ่านแล้วอิน ตั้งใจอ่านมากกไม่สนใจโลกเลย55+
ReplyDeleteลูกมะ!!!! จะกลายเป็นปีศาจแล้วเหรอลูก
พออ่านมาจนก็ก็รู้สึกเอ็นดูฮารุมะขึ้นมานิดนึง
จะรอดูความอ่อนโยนของหมาป่านะ
ลูกมะจะได้ไม่เดือด
ปล.พี่เป็ดมาได้ยังไงเนี่ยยย ฮ่าๆ คู่กับคนพี่ใช่ม้า ก็คิดอยู่ว่าคนพี่เมื่อไหร่จะมีคู่น้า
กรี๊ดดดดดดดดดด โชเฮมีบทแล้วววว ^[]^~
ReplyDeleteฉากแอคชั่นลุ้นมาก ฮาาาาาา อ่านแล้วเหนื่อยแทน ((เข้าใจอารมณ์ T^T))
แล้วปีศาจนั่นใครรึ?? จู่ๆ ก็โผล่มาขอคนของเค้าหน้าตาเฉย ว๊ายๆๆๆ นิสัย.. -3-
ยูมะโหด =[]= เป็นเลือดผสมหรอกหรือนี่??
พี่ชายคนโตเป็นพ่อมด น้องคนเล็กเป็นแวมไพร์กะหมาป่า คนกลางเป็นเมียหมาป่า =.,=
ปล. หมาป่ากลายเป็นมัมมี่ไปแย้ววววววว
Delete