Wednesday 31 August 2011

[Fiction] Once Upon a time...T้hree


[Fiction] Once Upon a time...Three



Title -:- Once Upon a time...Three

Writer -:- Nalikakeaw

Rate -:- Not Sure

Pairing -:- HaruYuya



ในฟิคเรื่องนี้มีตัวละครชื่อยูยะสองคนนะคะ  ถ้าใครงง ให้ย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้านั้น เพราะว่ามันมีที่มาที่ไปค่ะ

[Fiction] Once Upon a time...Intro
[Fiction] Once Upon a time...one
[Fiction] Once Upon a time...Two






จิตใจมนุษย์นั้น อาจเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ไม่อาจหาคำนิยามได้  บางครั้งมันล้ำลึกกว่าห้วงเหวที่ลึกที่สุดในท้องทะเล บางครา..ผกผันปรวนแปรได้รวดเร็วกว่าพายุหมุน  มันอาจเป็นได้ทั้งไฟนรกแผดเผาให้ทรมานเจียนตายและเป็นสายน้ำที่มอบความเย็นฉ่ำ  คนเคยรักสุดหัวใจ..อาจเกลียดกันได้ภายในช่วงเวลาอันแสนสั้น

ยาบุเพิ่งรู้ว่าตอนนี้นักแสดงในสังกัดของเขากำลังตกเป็นเป้าหมายของความรู้สึกที่ทั้งรักและเกลียดในเวลาเดียวกัน จากกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าแฟนคลับ ที่แตกแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งชื่นชม รักและสนับสนุนพวกเขาทั้งสองทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว กับอีกกลุ่มหนึ่งที่รักและสนับสนุนฮารุมะหรือยูยะคนใดคนหนึ่ง แต่ไม่ต้องการให้ทั้งสองคนรักกัน  และอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่เชื่อว่าทั้งคู่รักกันอย่างสุดหัวใจ หากว่าวันใดที่ทั้งสองคนต้องมีงานคู่กัน ยาบุต้องปวดหัวกับการปะทะคารมกันของบรรดาแฟนคลับทั้งหลาย จนบางครั้งต้องขอให้รปภ.ไล่ออกไปให้หมด เท่านั้นยังไม่พอเรื่องราวยังเลยเถิดถึงขั้นกลั่นแกล้งด้วย วันก่อนฮารุมะได้รับจดหมายจากผู้ไม่ประสงค์ออกนามเกือบยี่สิบฉบับ ทุกฉบับมีข้อความในทำนองเดียวกันว่าให้เลิกคบกับยูยะเสีย ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย แต่ฮารุมะไม่ได้สนใจ

"ฉันชักจะหมดความอดทนแล้วนะ!!!"

ฮารุมะตะโกนใส่ยาบุกลางสตูดิโอ ท่ามกลางสายตาทีมงานและนักแสดงร่วมคนอื่นๆที่มองมาด้วยความตกใจ ไม่มีใครเคยเห็นนักแสดงหนุ่มอารมณ์ร้อนแบบนี้มาก่อนเลย

แต่ยาบุนั้นชินแล้ว  ความจริงคือฮารุมะเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้โมโหอย่างร้ายกาจ แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพจึงไม่ค่อยแสดงออกมาให้ใครเห็น  ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยูยะ  ...

ฮารุมะหวงแหนคนข้างกายยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แม้บางครั้งอาจเกินเลยจนอาจทำร้ายความรู้สึกของยูยะ แต่ยูยะกลับไม่ได้ถือสาเพราะเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายดี ดูอย่างตอนนี้สิ แค่รอยข่วนเล็กๆบนแขนของยูยะที่ได้มาตอนฝ่าคลื่นแฟนคลับนับร้อยเข้ามาในสตูดิโอ

"ฮารุ ฉันไม่เป็นไร"

"ฉันไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องตัวนายทั้งนั้น บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเป็นใคร"

"ตอนเราเดินเข้ามามีแฟนคลับรออยู่เป็นร้อยนะ ฉันไม่รู้หรอก"

ยูยะตอบเรียบๆ ไม่สะทกสะท้านกับพายุลูกเพลิงที่อยู่ตรงหน้า  นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมยาบุถึงเชื่อมั่นหนักหนาว่าสองคนนี้รักกัน ฮารุมะไม่เคยทำร้ายยูยะไม่ว่าจะโกรธสักแค่ไหน แต่อันที่จริงเรื่องที่ทำให้โกรธนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของยูยะเลยสักนิด

แล้วไอ้ข่าวลือบ้าๆว่าทั้งสองคนเป็นเพียงคู่นอนนั้นมันมาจากไหนกัน

"มีดอกไม้มาส่งครับ"

พนักงานส่งดอกไม้หยุดอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้ามายังมุมที่ฮารุมะ ยูยะ และยาบุนั่งอยู่ วางดอกไม้ลงบนโต๊ะเล็กๆตรงหน้าทั้งสามคน

"แฟนคลับส่งให้นายสองคนละมั้ง"

"ไม่ครับ ดอกไม้นี่ ส่งให้ทาคาคิซังคนเดียว"

ฮารุมะจ้องมองช่อดอกไม้ตรงหน้าราวกับจะฉีกให้เป็นชิ้นๆ


............................................



........................




...............



...



"โว้ยยยย!!!!!"

นักแสดงหนุ่มเตะช่อดอกไม้ที่วางอยู่หน้าห้อง ปลิวไปกระแทกผนังด้วยความหงุดหงิดเกินจะทน แม้แต่ที่ห้องก็ไม่เว้น  ฮารุมะก้าวเข้าห้องแล้วปิดประตูเสียงดังสนั่น

ดอกกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ส่งมาให้ยูยะทุกๆที่  ที่เขาไป ในช่อดอกไม้ไม่มีการ์ด หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้เขารู้ได้ว่าใครเป็นคนส่ง  ไม่อย่างนั้น...

ยูยะยังยืนอยู่ที่เดิม มองช่อดอกไม้นั้นด้วยสายตานิ่งสงบอยู่นานก่อนจะตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าหญิงสาวเพื่อนบ้านกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้อง มองมาทางเขาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

"ไม่มีอะไรหรอกครับ เขาแค่..หงุดหงิดนิดหน่อยเท่านั้น"

"จะไม่เป็นไรแน่เหรอคะ"

เธอถามเมื่อยูยะกำลังจะเดินเข้าห้อง เธอก็เหมือนอีกหลายๆคนที่ไม่เคยเห็นฮารุมะในแง่มุมอื่น นอกจากนักแสดงหนุ่มที่สุภาพใจดี ยูยะเพียงแต่ยิ้มตอบเพียงว่าไม่เป็นไรเท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไง ฮารุก็ไม่เคยทำร้ายเขา...

ไม่ว่าร่างกาย...หรือหัวใจที่ไร้ความรู้สึกนี้





"นายเก็บเข้ามาด้วยทำไม!!!"

ตะคอกใส่ทันทีที่เห็นช่อดอกไม้วางอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น เอื้อมมือหมายจะหยิบดอกไม้นั้นขยี้ให้แหลกคามือ แต่ยูยะกลับคว้าช่อดอกไม้ไว้ได้ก่อน

"ทำไม!! หรือกลัวไอ้คนส่งมันจะเสียใจ รู้สินะว่ามันเป็นใคร บอกฉันมา!!!!"

"ฉันไม่รู้"

"อย่ามาโกหก!!! ส่งดอกไม้นั่นมา!!"

"ดอกไม้มันไม่มีความผิดนะฮารุ ถ้านายไม่พอใจทำไมไม่ไปจัดการคนที่ส่งมาล่ะ"

"ฉันไม่รู้น่ะสิว่ามันเป็นใคร กลิ่นที่อยู่บนดอกไม้นั่นอาจจะไม่ใช่คนส่ง หรือนายอยากให้ฉันไปเล่นงานพนักงานส่งดอกไม้กับคนจัดดอกไม้แทน?"

ไม่มีคำตอบ... ความเงียบของยูยะทำให้อารมณ์ของฮารุมะเย็นลงได้บ้าง แต่พอเห็นดอกกุหลาบสีแดงสดนั่น ก็ทำให้ความโกรธปะทุขึ้นมาอีก แขนแกร่งตวัดกอดเอวร่างที่ยืนหันหลังให้เข้ามาแนบอก กระซิบคำสั่งที่ข้างหู...คำสั่ง ที่ไม่ว่ายังไง ยูยะต้องยอมทำตาม

"กำจัดดอกไม้นั่นไปซะ"

แต่บนโต๊ะกลับมีแจกันดอกไม้สีขาวปรากฏขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่า แล้วดอกกุหลาบสีแดงในมือยูยะ ก็ไปจัดเรียงอยู่ในแจกันนั้นอย่างสวยงาม

"ฉันบอกให้ทำลายมัน!!!"

เพียงดีดนิ้วครั้งเดียว แจกันก็หายวับไป พร้อมๆกับอารมณ์เกรี้ยวกราดของฮารุมะ

"นายส่งดอกไม้นั่นไปไว้ที่ไหน"

"ในห้องน้ำสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ๆนี่แหละ พอใจรึยัง?"

"ยัง!

ลมหายใจร้อนรินรดต้นคอ หากแต่สัมผัสที่กดลงมานั้นผ่าวร้อนยิ่งกว่า  ยูยะหลับตาลงช้าๆปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นผู้นำพาอารมณ์และร่างกายให้เป็นไปอย่างทุกครั้ง นุ่มนวล...แช่มช้า... เพื่อให้ร่างงามตอบสนองฮารุมะได้อย่างถึงใจ

แม้ว่าหัวใจที่ซ่อนอยู่ในร่างกายนี้...

จะไม่ยินดีก็ตาม...



............................................



........................




...............



...



"น่าเบื่อจัง"

ยูมะเท้าคางกับกรอบหน้าต่างจากห้องผู้ป่วยบนชั้นแปดของโรงพยาบาล จ้องมองลงไปในความมืดและแสงไฟจากถนนเบื้องล่าง ค้นหาใครสักคนที่จะมาเป็นเหยื่อที่จะทำให้ชีวิตผู้ป่วยในโรงพยาบาลนี้มีสีสันขึ้นมาอีกหน่อย

แต่มองแล้วมองเล่าก็ไม่มีปาปารัสซี่คนไหนมาให้ยูมะแกล้งเล่นเลยแฮะ~

"สงสัยจะไม่มาแล้ว"

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ข่าวของฮารุมะและยูยะทำให้โรงพยาบาลเต็มไปด้วยช่างภาพปาปารัสซี่ มันมากเสียจนยูมะเลือกไม่ถูกว่าจะแกล้งคนไหนก่อนดี พวกมือใหม่ก็จะโดนพอเบาะๆเพราะแค่นั้นก็ทำให้ใจเสาะไปหาเป้าหมายอื่นแล้ว ส่วนพวกมืออาชีพก็จะโดนมากน้อยไปตามลำดับ แล้วแต่ว่าพวกนั้นจะเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวของพี่ชายเขา และรบกวนผู้ป่วยคนอื่นๆแค่ไหน

อย่างดีก็ถูกถังน้ำหล่นใส่บ้าง หรือกระถางต้นไม้บ้าง ส่วนใหญ่แล้วยูมะจะเล็งกะให้หล่นลงบนเครื่องมือทำมาหากินของเจ้าพวกนั้นมากกว่า  หนักหน่อยก็เหยียบตะปู ลื่นตกบันได แต่วันก่อนยูมะคงโมโหมากไปหน่อย  ปาปารัสซี่คนหนึ่งเลยเข้าไปอยู่ในเตาเผาขยะของโรงพยาบาลแบบที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวว่าเข้าไปอยู่ในนั้นได้ยังไง วุ่นวายกันไปพักใหญ่ แต่เจ้าหมอนั่นก็ปลอดภัยดีถึงจะมีอาการหวาดผวาบ้างนิดหน่อยก็เถอะ แต่รายสุดท้ายนี่ ยูมะไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆนะ แค่ทำให้รถของหมอนั่นหายไปทั้งคันเท่านั้นเอง

ใจจริงแล้วยูมะอยากจะจัดการให้คนพวกนั้นเจ็บหนักอาการโคมา นอนพะงาบๆหยอดน้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาลซักเดือนอย่างที่ฮารุมะทำมากกว่า

แต่พวกปาปารัสซี่ไม่โผล่หัวมาให้เห็นแล้วนี่สิ..

เซ็งเป็นบ้า..

"คงไม่ได้คิดทำอะไรแผลงๆอีกนะ ยูมะ"

คุณหมอยูยะ พี่ชายคนดีของยูมะเดินเข้ามาในห้อง ถือหนังสือเล่มเล็กๆสองสามเล่มมาด้วย พอเดินเข้ามาใกล้ สันหนังสือบางๆเล่มหนึ่งก็เคาะลงมาบนหน้าผากของยูมะ

"ผิดคำพูดนะเรา ไหนว่าจะไม่ใช้เวทมนต์อีกแล้วไงล่ะ"

"ก็มันอดไม่ได้นี่"

ยูมะแก้ตัวง้องแง้งไปเรื่อย มือก็ยกขึ้นปิดหน้าผาก เผื่อว่าพี่ชายคนดีจะแถมมะเหงกมาให้ด้วย

"รู้ไหมยูมะ ว่าตอนนี้ทุกคนเขาลือกันว่ายังไง  เขาว่ากันว่าโรงพยาบาลนี้มีผีสิงหรือไม่ก็มีอาถรรพ์ ญาติบางคนก็กลัวจนพาคนไข้ย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลอื่นแล้วนะ"

"ไหงเป็นงั้น? น้องแกล้งแต่พวกปาปารัสซี่ ไม่ได้ไปยุ่งกับคนไข้ซักหน่อย"

"มนุษย์น่ะ มักจะกลัวในสิ่งที่ตนเองมองไม่เห็นหรือพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าหากว่าพวกเขากลัวจนทนไม่ได้ก็จะหาเหตุผลขึ้นมาสักข้อแล้วก็ปิดหูปิดตาตัวเองเสีย นั่นก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าพวกเขากลัวจนลุกขึ้นมาค้นหาความจริง เราจะลำบากนะยูมะ ถึงแม้ว่ามนุษย์ จะไม่ได้มีพลังอำนาจหรือเวทมนต์เหมือนเรา ก็จงอย่าได้ประมาท "

ยูมะแอบเบ้หน้าใส่คำสั่งสอนยาวเป็นกิโลฯของพี่ชาย แต่พอถูกพี่ชายจ้องก็หันกลับไปพยักหน้าหงึกๆพอเป็นพิธี คุณหมอยูยะเลยโยนหนังสือในมือใส่หัวน้องเสียเลย

"อะไรนี่? หนังสือนิทาน? น้องไม่ใช่เด็กแล้วนะจะได้อ่านนิทานก่อนนอน"

"ไม่ใช่ของน้อง ของจิโนะจังที่อยู่ชั้นสามต่างหาก เด็กคนนั้นได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันเรื่องผี เรื่องอาถรรพ์ จนเก็บเอาไปฝันร้ายมาหลายคืนแล้ว วันนี้คุณอาของจิโนะจังมาเฝ้าไม่ได้ ต้องมีใครสักคนไปอยู่เป็นเพื่อน"

อาโออิ จิโนะ เด็กอายุเก้าขวบที่เป็นโรคภูมิแพ้อย่างหนักจนต้องออกจากโรงเรียนมาอยู่โรงพยาบาลได้ปีกว่า พ่อแม่ก็ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมารักษา นานๆถึงจะมาหาได้สักครั้ง  มีแต่อาที่คอยมาเยี่ยมเและนอนค้างด้วยเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่บ่อยนัก

เด็กคนนั้นมักจะเฝ้ามองคนไข้ที่มีญาติมิตรมากมายมาเยี่ยมด้วยดวงตาหม่นหมองอยู่บ่อยๆ ทำให้ยูมะนึกสงสารเข้าไปคุยด้วย ถ้าไม่นับเวลาที่อาการกำเริบขึ้นมาละก็ จิโนะก็เป็นเด็กที่มีสุขภาพดีพอสมควร

"แล้วทำไมพี่ไม่ไปเองน่ะ จิโนะจังรักพี่มากกว่าน้องซะอีก"

"เพราะพี่ต้องไปช่วยท่าน ผอ. หาคำอธิบายว่าทำไม วันก่อนถึงได้มีปาปารัสซี่คนหนึ่งหลงเข้าไปนอนในตู้เก็บศพได้น่ะสิ"


............................................



........................




...............



...


"ทำไมต้องมาโทษเราคนเดียวด้วยน๊า~"

จริงอยู่ว่าที่พี่ชายคนโตของบ้านพูดนั่นก็ถูก แต่จะโทษเขาฝ่ายเดียวได้ยังไง  ถ้านักข่าวพวกนั้นไม่เขียนข่าวใส่ร้ายพี่ฮารุกับพี่ยูยะ ไม่ตามมารังควานถึงที่นี่ ก็คงไม่โดนยูมะแกล้งเอาหรอก

เบื่อจริงๆ...

ยูมะเคาะประตูห้องเบาๆ แต่ไร้เสียงตอบรับ แปลกจัง? ปกติแล้วเวลานี้เป็นเวลาที่จิโนะจะต้องกินยา อย่างน้อยก็ต้องมีพยาบาลอยู่สิ

"จะเข้าไปละนะ"

ในห้องสว่างจ้า ไฟทุกดวงถูกเปิดเอาไว้ แต่ภายในห้องกลับดูทึบทะมึน อึดอัด  ร่างที่อยู่บนเตียงนั้นนอนนิ่ง ไม่กระดุกกระดิก ลมหายใจแผ่วช้าราวกับว่ามันจะหมดไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือกลุ่มหมอกสีเทาที่ล้อมรอบร่างนั้นอยู่

กลุ่มพลังเล็กๆที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ มันก่อร่างขึ้นจากจิตใจอันชั่วร้าย ซ่อนร่างอยู่ในมุมมืด สกปรก อับชื้น ดูดกลืนพลังอื่นๆรอบตัว ทีละเล็กทีละน้อย เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และเมื่อมีพลังมากพอ มันก็จะกลายเป็นปีศาจที่มีรูปร่าง ปกติแล้วพวกมันจะไม่มาข้องเกี่ยวกับมนุษย์ตราบเท่าที่ยังเป็นกลุ่มพลังเล็กๆอยู่ เพราะถ้าหากเข้าใกล้มนุษย์ที่มีพลังใจที่แข็งแกร่งกว่า  ตัวมันเองก็อาจถูกทำลายได้ง่ายๆ

แต่ไม่ใช่กับเจ้านี่!

มันไม่ใช่แค่พยายามจะดูดพลังชีวิต... แต่มันกำลังจะยึดเอาร่างเด็กคนนี้ไปเลยต่างหาก

"ถอยออกไปนะ"

ยูมะจ้องลงไปในกลุ่มเมฆหมอกสีเทาที่พยายามจะแทรกตัวเองเข้าไปร่างที่นอนอยู่ มันชะงัก...  และถ้าหากว่ามันมีตา มันก็คงจะจ้องมองมาที่เขา  และถ้ามันมีสมอง มันก็คงจะสงสัยว่า..มนุษย์ที่อยู่ตรงนี้มองเห็นมันได้อย่างไร

แต่มันไม่ยอมหยุด กลุ่มควันสีเทายังคงแทรกร่างลงตามผิวหนัง ทุกลมหายใจของเด็กน้อย ยิ่งเข้าไปในร่างมากเท่าไหร่ เด็กน้อยก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ

"ออกไป!!!"

ดวงตาของยูมะที่เคยเป็นสีอำพัน วาวจ้าขึ้นมาด้วยความโกรธ อำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นแผ่ออกมากจากร่างผอมบาง ไร้รูป..ไร้เสียง  แต่มีพลังมหาศาล กดดัน สั่นสะเทือนไปในทุกอณูของอากาศ

ยิ่งยูมะเดินเข้าไปใกล้ กลุ่มหมอกเหล่านั้นยิ่งสีอ่อนและมีขนาดเล็กลงทุกที มันล่าถอยจากร่างเด็กน้อยบนเตียง  สั่นระริกเหมือนจะร้องไห้  หากว่ามันไม่คิดจะแย่งชิวิตและร่างกายของจิโนะไป ยูมะก็คงจะนึกสงสารมันอยู่เหมือนกัน

"ไปซะ!! ถ้าฉันยังเห็นแกมาอยู่ใกล้ๆเด็กคนนี้อีก คงรู้นะกว่าฉันจะทำอะไรแกได้บ้าง"

มันค่อยๆล่าถอยออกไปทางหน้าต่าง ละลายหายไปกับความมืดยามราตรี

ยูมะยืนหอบหายใจเหนื่อยหนัก เม็ดเหงื่อผุดซึมไปทั้งร่าง เด็กหนุ่มพยุงร่างตัวเองด้วยการเกาะกับเตียงผู้ป่วยเอาไว้

....แค่ใช้พลังเล็กน้อย ร่างกายยังปั่นป่วนถึงเพียงนี้ ช่างเป็นพลังที่ไร้ประโยชน์เสียจริง...

"พี่ยูมะ"

จิโนะลืมตาตื่นด้วยใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเปียกชุ่มไปตามไรผมไม่ต่างจากยูมะ ดูอ่อนเพลียแต่นอกนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

"ผมฝันร้าย มันมืดแล้วก็น่ากลัวไปหมดเลย นึกว่าจะตายซะแล้ว"

"แค่ฝันน่ะ อย่าคิดมากเลย นอนต่อเถอะ"

จิโนะหลับตาลงและผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว พอๆกับที่ร่างของยูมะล้มลงไปบนพื้น ... และแน่นิ่ง ...





............................................



........................




...............



...



"ไม่บอกซะอาทิตย์หน้าเลยล่ะ?"

ฮารุมะโวยวายอยู่ข้างเตียงของยูมะ ก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลก็โวยยาบุไปแล้วครั้งหนึ่งแล้วที่รู้แล้วไม่ยอมบอกเขา

"น้องไม่สบายตั้งแต่เมื่อคืน ทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้"

คุณหมอยูยะนั่งทำหน้าเมื่อย ชักสับสนว่ายูมะเป็นน้องเขา หรือเป็นน้องไอ้หมาบ้าตัวนี้กันแน่ ตั้งแต่มาถึง..มันยังไม่ยอมหยุดเห่าเลยให้ตายเถอะ

"บอกแกแล้วช่วยอะไรได้ นอกจากจะมายืนเห่าให้ฉันหนวกหูเนี่ย"

"ว่าไงนะ!!!"

"เงียบซะทีได้ไหม ทั้งสองคน"

ยูยะอีกคนเอ่ยปรามเรียบๆ จ้องมองคู่วิวาทวาทะด้วยสายตาตำหนิ คุณหมอยักไหล่ไม่สน แต่ฮารุมะปิดปากเงียบทันที ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ตรงมุมห้องหัวเราะก๊ากขึ้นมาอย่างสุดกลั้น

"หัวเราะอะไรวะ"

"โทษทีๆ พอดีนึกถึงข่าวที่อ่านเมื่อเช้าแล้วมันอดไม่ได้ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ"

คนที่เหลือในห้องขมวดคิ้วยุ่ง ทุกวันนี้ทั้งยูยะและฮารุมะมีข่าวออกมาแทบจะทุกชั่วโมงเลยก็ว่าได้ มันมากเกินกว่าจะจดจำไหว ทั้งสองคนเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ยาบุที่จะต้องรับรู้ข่าวพวกนั้นแทน ส่วนคุณหมอยูยะนั้นไม่ได้ใส่ใจข่าวพวกนี้มาตั้งแต่ต้น ถึงจะแวบผ่านตาไปบ้างแต่ก็ไม่สนใจจะจำ

"ก็ข่าวที่บอกว่านายสองคนเป็นคู่รักลวงโลกไงล่ะ อยากให้คนเขียนข่าวนั่นมาเห็นบรรยากาศครอบครัวแบบนี้จริงๆ แต่ว่า..ถ้ามาเห็น เจ้านั่นคงได้ข่าวใหม่ไปเขียนแทนแน่ๆ"

"ข่าวอะไร?"

"ก็ข่าวว่าฮารุมันกลัวเมียน่ะสิ"

ผู้จัดการคนเก่งหัวเราะลั่น และก่อนที่ฮารุมะจะคว้าตัวยาบุมาหักคอได้ทัน เขาก็คว้ากระเป๋าคู่กายแล้วก็ออกจากห้องไปพร้อมเสียงหัวเราะบันเทิงใจแบบสุดๆ

และเมื่อยาบุจากไปแล้ว ทั้งห้องก็เงียบสนิท ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเองโดยไม่มองหน้ากัน

"พี่ฮารุกลัวพี่ยูยะจริงเหรอ?"

"เฮ้ย!!! ตื่นแล้วเหรอ?"

"พวกพี่เสียงดังกันขนาดนี้ไม่ตื่นได้ไง อย่ามาเฉไฉ ตอบน้องมาซะดีๆน่ะ"

ดวงตาใสๆฉายแววล้อเลียน ฮารุมะเลยผลักหัวน้องเบาๆด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ถูกยูยะจ้องและปรามด้วยน้ำเสียงเรียบๆเหมือนเคย

"น้องไม่สบายอยู่นะ"

ฮารุมะย่นจมูกใส่ยูมะที่ยิ้มมุมปากอย่างมีชัย แล้วก็โผเข้าหาพี่ชายคนกลางหลบกำปั้นที่กำลังจะทุบลงบนหัวพลางหัวเราะร่า

คุณหมอยูยะมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสน เดิมทีแล้วเขาเกลียดฮารุมะ เพราะเขายอมรับไม่ได้กับวิธีการที่หมอนี่ได้ตัวน้องชายคนกลางของเขาไป และความรู้สึกเกลียดนั้นก้ไม่ได้ลดน้อยถอยลงตั้งแต่เมื่อวันที่พบกันครั้งแรก

ถึงจะเกลียด..แต่ในใจเขาก็ต้องยอมรับว่า ฮารุมะรักยูมะเหมือนเป็นน้องแท้ๆ พอๆกับที่ยูยะทั้งสองคนรัก ถ้าเป็นเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับยูมะต่อให้เสี่ยงแค่ไหนหมอนั่นก็ไม่ปริปากบ่น  นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้คุณหมอยูยะยอมรับฮารุมะได้

แต่ถ้า....ฮารุมะกับยูยะ จะสามารถผูกพันกันด้วยความรักที่แท้จริงได้  มันจะดีซักแค่ไหนกันนะ...







............................................



........................




...............



...


"ยูมะหลับแล้วเหรอ?"

ฮารุมะเอ่ยถามทั้งที่ยังหันหลัง ตอนนี้เขายืนอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล สำรวจบริเวณรอบๆด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมด ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวในความมืดมิด  กลิ่นที่อยู่ในสายลม  คลื่นเสียงที่อยู่ในอากาศ และความสั่นสะเทือนจากพื้น

แค่เสียงฝีเท้า น้ำหนักที่กดลงบนพื้น และจังหวะย่างก้าว ก็ทำให้เขารู้แล้วว่าเป็นใคร

"ฉันจะอยู่ดูแลน้องที่นี่ พี่จะได้พักบ้าง"

ฮารุมะหันกลับดึงเจ้าของประโยคเมื่อครู่นี้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนได้อย่างรวดเร็ว  ยูยะไม่ได้ประหลาดใจ และไม่ได้ขัดขืนกับสัมผัสร้อนๆที่ริมฝีปาก ฮารุมะร้อนแรงอยู่เสมอ และยูยะ..ก็มีหน้าที่ตอบสนองจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ

"ฉันจะอยู่ด้วย"

"ที่จริง..นายกลับไปก็ได้"

"แล้วก็ปล่อยให้เจ้าของกุหลาบแดงนั่นมาแย่งนายไปงั้นเหรอ ไม่ล่ะ"

แค่กลิ่นเพียงนิดเดียว เขาก็รู้ว่ากุหลาบสีแดงนั่นถูกส่งมาให้ยูยะอีกแล้ว  มันน่าหงุดหงิดนัก เมื่อไหร่ที่รู้ว่ามันเป็นใครละก็...

"นายจะทำอะไรกับเขา"

"ห่วงมันหรือไง"

"คนที่ส่งดอกไม้มาจะเป็นใคร หรืออะไรไม่เกี่ยวกับฉัน ถามเพราะอยากรู้เท่านั้น"

คำตอบเย็นชา  แต่น่าพอใจจนฮารุมะต้องประกบริมฝีปากร้อนๆลงไปที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง ยูยะเผยอริมฝีปากตอบรับสัมผัสรุ่มร้อนอึดอัดนั้นอย่างรู้งาน เพียงครู่เดียวสัมผัสนั้นก็ผละจาก ทิ้งไว้เพียงริมฝีปากเจ่อช้ำดูเย้ายวนยิ่งกว่าเดิม

"พอเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน ไว้ค่อยต่อกันวันหลัง นายลงไปอยู่กับน้องก่อนเถอะ"

"แล้วนาย?"

"ฉันจะอยู่ดูอะไรแถวนี้ซักพักแล้วจะตามไป.. ไม่ต้องห่วงหรอก แถวนี้ไม่มีอะไรนอกจากพวกสอดรู้"

ฮารุมะเสริมเมื่อเห็นแววสงสัยในดวงตาสีอำพัน หลังจากยูยะกลับไปที่ห้องแล้ว เขาจึงมองสำรวจไปรอบๆเพื่อความแน่ใจ

เขาต้องแน่ใจ...ว่าทุกอย่างเป็นปกติ หากว่ามีอะไรแปลกปลอมย่างกรายเข้ามาแม้แต่น้อยนิด เขาจะกำจัดมันซะ  เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะปกป้องคุ้มครองพี่น้องทั้งสามคนนี้ให้ปลอดภัยอยู่เสมอ

หน้าที่...ที่ได้รับค่าตอบแทนอันเหมาะสม  สิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดไม่เคยเปลี่ยน ...

ร่างกายที่งดงามของยูยะ...และความสุขสมที่ได้ครอบครอง


............................................



........................




...............



...


ไกลออกไปจากโรงพยาบาล ... ในห้องพัดสุดหรูของโรงแรมหลายดาว  ใครบางคนกำลังมองฉากพลอดรักของคู่นักแสดงสุดฮอตในเวลานี้ที่ดาดฟ้าของโรงพยาบาลด้วยความสนใจ

ข้างๆตัวมีนิตยสารหลายฉบับวางจากหลายสำนักพิมพ์อยู่บนโต๊ะเล็กๆ  หน้าปกล้วนเป็นภาพเดียวกัน  ภาพของยูยะในชุดกิโมโนแดงในอ้อมแขนของฮารุมะ

"ฉันคิดว่านายเลิกสนใจคู่นี้แล้วซะอีก ปกติพอได้ข่าวเด็ดๆทำเงินดีแล้วนายก็จะไปหาเป้าหมายใหม่ไม่ใช่หรือไง"

หนุ่มผมทองลดกล้องส่องทางไกลลง หันมายิ้มให้กับผู้ที่ถามคำถามมาจากในเงามืด

แน่ล่ะ!! ถ้าเป็นดาราคนอื่น เขาคงจะเบื่อตามข่าวแล้วไปหาใครคนอื่นที่น่าขุดคุ้ยมากกว่า ดาราที่เป็นข่าวแล้วก็จะมีพวกปาปารัสซี่รุมทึ้งจนไม่เหลืออะไรแล้วน่ะสิ แล้วเขาจะเอาเศษซากตรงไหนมาเป็นรายได้ล่ะ

"สองคนนี้มีอะไรน่าสนใจอยู่นะ  บางทีเราอาจจะได้ข่าวที่ทำเงินได้มากกว่าคราวที่แล้ว"

"หมายถึงข่าวที่บอกว่าเป็นคู่รักจอมปลอมน่ะเหรอ นายเชื่อเข้าไปได้ยังไง? ก็รู้อยู่ว่าไอ้คนเขียนมันนั่งเทียนเพราะแค้นที่ถูกยูยะทำให้ขายหน้าในงานแถลงข่าว"

"มันก็ไม่แน่หรอกน่าลูกพี่"

"เสียเวลาเปล่า"

"ลองเสี่ยงดูก็ไม่เสียหายนี่  ถ้าขุดคุ้ยอะไรไม่ได้จริงๆค่อยไปหาเป้าหมายใหม่ แต่ถ้าเรื่องนั้นจริงเราคงฟันกำไรคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม"

เสียงถอนหายใจหนักๆดังมาจากความมืดอีกครั้ง

"เอาเถอะ ตามใจนาย แต่ขอเตือนไว้อย่างหนึ่งก็แล้วกัน ถ้านายจะยุ่งกับสองคนนั่น ก็ระวังคนๆนั้นไว้ให้ดี"

เด็กหนุ่มผมทองขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม

"ยาบุ โคตะ ผู้จัดการของนักแสดงสองคนนั่น  ได้ข่าวว่ากำลังตามตัวนายอยู่"

"รู้เร็วกว่าที่คิดแฮะ"

"ประมาทไปเถอะ หมอนั่นเคยกำจัดนักข่าวที่ให้ร้ายนักแสดงในสังกัดตัวเองมานักต่อนัก ไม่ได้ฆ่าหรอกแต่ก็ทำให้ต้องเปลี่ยนอาชีพทำมาหากินหรือไม่ก็หลบลี้หนีหน้าจากสังคมไปเลย แต่ดูเหมือนระยะหลังๆนี่จะเล่นแรงมากขึ้นเรื่อยๆซะด้วย"

"ลูกพี่กำลังจะพูดถึงข่าวลือเรื่องอาถรรพ์นั่นใช่ไหม  ที่ว่าใครไปยุ่งกับฮารุมะและยูยะต้องมีอันเป็นไป  อย่าบอกนะว่ากลัว นี่มันไร้สาระกว่าเรื่องที่ผมจะทำซะอีก"

"แล้วนายจะรู้เอง...ฮิคารุ"



............................................



........................




...............



...



To be con......

Saturday 20 August 2011

[ Fiction ] ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ บทนำ ]

ชื่อเรื่อง -:- ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ บทนำ ]

ผู้แต่ง -:- นาฬิกาแก้ว [ Nalikakeaw ]

คำนำเรื่อง -:- ฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแนวแฟนตาซีหลายๆเรื่อง เพราะงั้นถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าเจออะไรคุ้นๆล่ะก็ อย่าแปลกใจค่ะ เพราอย่างน้อยเรือไข่มุกดำแห่งท้องทะเลย่อมจะมาจากหนังเรื่องที่มีป๋าเด็ปป์เป็นโจรสลัดสุดฮาแน่นอน
ส่วนชื่อเรื่อง ขอบอกว่าได้มาจากบทเพลงของพี่แหม่ม พัชริดา จำได้ว่าเป็นเพลงประกอบละครเมื่อนานมาแล้ว โดยส่วนตัวชอบเสียงพี่แหม่มมาก และเนื้อเพลงก็เข้ากับพล็อตพอดี ก็เลยเอามาเป็นชื่อเรื่องมันซะดื้อๆนี่แหละ
ใครอยากฟังไปเสิร์ชหากันเอาเองคะ








ค่ำคืนอันมืดมิดเดียวดาย  ในสายลมและท้องทะเลอันเงียบสงัด เรือเล็กลำหนึ่งวิ่งตัดเกลียวคลื่นมุ่งหน้ากลับเข้าสู่ฝั่ง ผู้โดยสารบนเรือนั้นเป็นชายหนุ่มผู้มาจากตระกูลอันมั่งคั่ง มีเวลาว่างมากมายที่จะหาความสำราญ วันนี้ทั้งสามคนเลือกมาล่องเรือกลางทะเล ออกเรือจากเกาะส่วนตัวในยามสาย ขนอุปกรณ์ตกปลามามากมายแต่ไม่ได้อะไรติดมือกลับบ้าน นอกจากเรื่องราวน่าตื่นเต้นที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพื่อว่าจะเอาไปเล่าให้สาวคนไหนซักคนที่จะได้เจอในงานเลี้ยงครั้งหน้า  สนุกสนานเสียจนลืมเวลา  เมื่อรู้สึกตัวว่าควรจะหันหัวเรือเข้าหาฝั่ง ดวงตะวันก็ลับหายไปจากเส้นขอบฟ้าเสียแล้ว

"ไม่เป็นไรหรอกน่า ทะเลแถวนี้ไม่มีอะไรอันตรายหรอก"

ชายหนุ่มผู้รับหน้าที่เป็นคนขับเรือบอกให้เพื่อนสบายใจ แม้ว่าในใจจะเริ่มหวั่นกับแผ่นฟ้าและผืนน้ำสีดำสนิทที่ล้อมรอบตัว

"มืดเป็นบ้า แน่ใจนะว่ากลับถูกน่ะ"

"แน่สิ"

อีกสองคนมองฝ่าความมืดไป หวังในใจว่าจะได้เห็นแสงสว่างจากฝั่งหรือเกาะไหนสักแห่งใกล้ๆให้ใจชื้น แต่แล้วอากาศรอบตัวกลับเย็นลงกะทันหัน

"บ้าชะมัด ดันมีหมอกซะอีก เวรเอ๊ย!!!"

บ่นออกมาอย่างหัวเสีย ขณะที่เรือแล่นเข้าไปในหมอก พยายามบังคับเรือให้แล่นไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง จากจุดนี้หากไปตามทิศตะวันออกเรื่อยๆก็จะเจอฝั่ง  หากแต่เมื่อลดสายตาจากเบื้องหน้าลงดูเข็มทิศ กลับพบว่ามันใช้ไม่ได้ ปลายเข็มชี้ไปทิศใต้แทนที่จะเป็นทิศเหนือกระตุกสั่นแต่ไม่ยอมขยับ ราวกับว่าแม้แต่ตัวมันเองก็สับสนและอับจนหนทางเช่นกัน

"เฮ้!! มีเกาะอยู่ข้างหน้าน่ะ ไปแวะที่นั่นกันก่อนไหม"

"ก็ดีเหมือนกัน"

แต่ก่อนที่คนขับจะได้หันหัวเรือเข้าฝั่ง ชายหนุ่มคนที่สามก็ร้องห้าม

"ไม่ได้!! พวกนายเข้าไปไม่ได้!! นั่นมันเกาะต้องสาป"

"ห๊ะ!! สมัยนี้ยังมีเกาะแบบนั้นอยู่อีกเหรอ ฉันนึกว่าพวกมหาเศรษฐีหรือบริษัทค้าที่ดินมากว้านซื้อเกาะแถวนี้ไปแล้วซะอีก"

อีกสองคนหัวเราะออกมา สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อถือซักนิดเดียว

"มีซิ เกาะนั้นน่ะ ว่ากันว่าเป็นมรดกของตระกูลมหาเศรษฐีที่มีข่าวว่าแย่งมรดกยิงกันตายเมื่อสิบปีก่อนไงล่ะ"

"อ๋อ ฉันจำได้ เจ้าพวกที่รวยเสียเปล่า แต่หยิ่ง ไร้สมอง  วันๆไม่ทำอะไรนอกจากผลาญสมบัติเก่ามาใช้ พอมันเริ่มร่อยหรอก็เลยฆ่ากันเองเพื่อลดจำนวนคนหารใช่มั๊ย ก็สมควรแล้วนี่ แต่ที่จริงสมควรเรียกว่าตระกูลต้องสาปมากกว่านะ ฮ่าๆๆๆ"

"นั่นแหละ แล้วก็ยังเป็นพวกสารเลวใช้อำนาจเงินรังแกคนไม่มีทางสู้ด้วย ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะละแวกนี้น่ะเกลียดพวกคนตระกูลนี้เข้าไส้ เห็นว่าฆ่ากันตายชิงสมบัติกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด แต่น่าแปลกที่อยู่ดีๆที่คนพวกนั้นก็ร่ำรวยขึ้นมา เสวยสุขกันอยู่ช่วงหนึ่งก็ฆ่ากันตายจนหมดตระกูล ชาวบ้านร่ำลือกันว่าทั้งหมดเป็นเพราะคำสาป"

"แล้วใครสาป ปีศาจงั้นเหรอ งี่เง่าน่า นายจะให้พวกเราลอยอยู่ในหมอกกลางทะเลอย่างนี้ทั้งคืนหรือไง"

ว่าพลางหันหัวเรือเข้าหาฝั่ง แต่ไปได้ไม่เท่าไหร่ท้องเรือก็ครูดกับหินที่อยู่ใต้น้ำ ทั้งคนขับเรือและผู้โดยสารร้องกันเสียงหลง

"หินบ้ามาอยู่อะไรตรงนี้ แล้วแบบนี้จะเข้าฝั่งกันได้ยังไง"

"ไม่ได้หรอก นายเชื่อฉันดีกว่า เกาะนี้ไม่เหมือนเกาะอื่นๆที่เราเคยไปมาหรอกนะ รอบๆเกาะมีแต่หินโสโครกเต็มไปหมด ถ้าไม่รู้จักทางจริงๆจะชนกับหินเอาง่ายๆ บนหาดไม่มีทราย มีแต่หินกรวดสีดำที่คมเหมือนใบมีด บนเกาะก็แล้งแทบหาน้ำไม่ได้ และถึงจะไปถึงฝั่งได้ก็ไม่มีประโยชน์"

"ทำไม?"

"เพราะเจ้าของเกาะคนล่าสุดเพิ่งฆ่าตัวตาย หรืออาจถูกฆ่าตายไปเมื่อสามวันก่อนน่ะสิ เกาะนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว"

ทั้งสามคนเงียบไป และหลังจากจากนั้นคนขับก็หันหัวเรือเพื่อมุ่งสู่ทะเลอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย





+++++++++++++++++++++++++++++++++







อย่าไป..

อย่าเพิ่งไปนะ...

ผมอยู่ที่นี่...

ช่วยผมด้วย...



เสียงเล็กๆนั้นไม่อาจไปถึงคนบนเรือที่กำลังไกลออกไป...

ขาคู่เล็กๆไม่อาจพาตัวเองไปให้ถึงเรือลำนั้นได้ ฝาเท้าเปล่าเปลือยเต็มไปด้วยรอยแผลมากมาย

ร่างน้อยๆล้มลงบนพื้น กรวดสีดำบาดลึกสร้างรอยแผล หยดเลือดไหลรินลงบนหาด ความเจ็บปวดที่เกิดกับร่างกายไม่เทียมเท่ากับความจริงที่ได้รับรู้ว่า "ความเดียวดาย" เป็นเช่นไร

ไปกันหมดแล้ว...

เขาไม่เหลือใครแล้ว...

เสียงสะอื้นดังก้องไปในทะเลเบื้องหน้า  น้ำตาร่วงลงบนแขน เด็กน้อยกอดเข่าซบหน้าร้องไห้  สะอึกสะอื้นแทบขาดใจ

คุณพ่อ...คุณแม่.. มาพาผมไปอยู่ด้วย..



เสียงฝีเท้าย่ำบนกรวดดังใกล้เข้ามา มืออุ่นแตะลงบนต้นแขนเล็กๆ เด็กน้อยถูกเชยคางให้เงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ที่แม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้ว่าเคยรู้จัก

"เด็กน้อย เจ้าร้องไห้ทำไม?"

น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นเด็กน้อยคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยิน แต่ก็ไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ซ่อนอยู่ตรงไหนในความทรงจำ

ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสีดำ ก้มลงช้อนร่างเล็กไว้ในอ้อมแขน ปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ

"ไปทำแผลกัน"

เด็กน้อยส่ายหน้า

"ที่บ้านไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนขนของออกไปหมดเลย"

เมื่อสิ้นเจ้าของเกาะ บรรดาญาติพี่น้องทั้งที่ร่วมสายเลือดและไม่ใช่ รวมทั้งคนที่อาศัยบนเกาะนี้ก็ย้ายออกไปจนหมด ทรัพย์สมบัติ ของมีค่าใดที่พอจะเอาออกไปได้ก็ขนใส่เรือ ทิ้งเด็กน้อยผู้เป็นทายาทที่แท้จริงไว้อย่างใจจืดใจดำ

ชายหนุ่มจูบแก้มเด็กน้อยเบาๆ ปลอบโยนซับน้ำตาให้แห้งหาย ยิ้มให้ร่างน้อยในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน

"ไม่ใช่บ้านเจ้า แต่เป็นเรือ...ของข้า"

ในทันใดนั้น ม่านหมอกขาวเลือนหาย เรือสีดำแล่นเข้ามาเทียบท่าจนถึงหาดที่ทั้งสองอยู่โดยไม่ชนกับอะไรเลยสักนิดเดียว เด็กน้อยลืมความเสียใจไปชั่วขณะ ทำตาโตมองลำเรือที่ยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งเห็นว่ามันใหญ่แค่ไหน เรือทั้งลำเป็นสีดำสนิทราวกับถูกทาด้วยสีแห่งความมืดมิดของราตรี

"คุณมาถ่ายหนังแถวนี้เหรอฮะ"

เพราะเคยเห็นเรือแบบนี้จากในภาพยนต์หรือสารคดี เรือที่กางใบแล่นด้วยแรงลมแทนที่จะเป็นเครื่องยนต์  มันจอดนิ่งสงบอยู่ตรงชายหาด  กลืนไปกับความมืดของท้องทะเลเบื้องหลัง สูงสง่าจนต้องแหงนคอขึ้นมอง

"สูงจัง คุณจะขึ้นไปยังไงฮะ"

ชายหนุ่มยิ้มให้กับความช่างถาม แต่ไม่ได้เอ่ยตอบ และเมื่อเด็กน้อยเพียงกระพริบตาทั้งสองคนก็ขึ้นมาอยู่บนเรือเรียบร้อยแล้ว







+++++++++++++++++++++++++++++++++




เด็กน้อยถูกจับอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ถึงแม้ว่าตอนที่อาบจะต้องเสียน้ำตาเพราะแสบแผล แต่อ้อมแขนอุ่นที่โอบร่างน้อยไว้ก็ทำให้ความเจ็บปวดค่อยคลาย ดวงตาใสๆจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลา คนแปลกหน้า..ที่ไม่น่ากลัวซักนิด  ผิดกับผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ร่วมชายคา สายตาที่มองมาเป็นดั่งสายตาของนักล่า ทำให้เด็กน้อยอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกคืน รอยยิ้ม คำพูดเอาอกเอาใจ กลับทำให้กลัวจนไม่อยากเข้าใกล้

แต่คนๆนี้..

"คุณเป็นใครฮะ"

"เจ้ากลัวข้าหรือ?"

เด็กน้อยส่ายหน้าหวือแทนคำตอบ เอียงหัวจ้องมองคนตรงหน้าด้วยดวงตาใสไร้เดียงสาเหมือนนกน้อยๆขี้สงสัย แต่แล้วท้องเจ้ากรรมก็ส่งเสียงโครกครากขึ้นมาแบบไม่ไว้หน้าเจ้าของ ชายหนุ่มในชุดดำแย้มริมฝีปากหัวเราะน้อยๆ และเพียงดีดนิ้วครั้งเดียวโต๊ะไม้กลมสีน้ำตาลก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า บนโต๊ะเต็มไปดวยอาหารนานาชนิด และเมื่อได้รับอนุญาตเด็กน้อยก็ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลคว้าถ้วยข้าวมาเป็นอย่างแรก แต่ก่อนที่จะคีบข้าวเข้าปากก็ยังหันมาชวนร่างสูงที่ยังนั่งเหยียดขาอยู่บนเก้าอี้ยาวตรงมุมห้อง

"ข้าไม่หิว เจ้ากินเถอะ"

เด็กก็คือเด็ก เมื่อท้องอิ่ม อุ่นสบาย ก็กลับมาสดใสร่าเริงอีกครั้ง ยิ่งบนเรือนี้มีอะไรแปลกๆมากมายยิ่งทำเด็กน้อยถามไม่หยุด ลืมความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัวไปได้ชั่วขณะ

ชายหนุ่มในชุดดำจ้องมองทุกอิริยาบทของเด็กน้อยบนตัก เมื่อเด็กน้อยถามอะไรมาก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง จนกระทั่งไม่มีคำถามอีกต่อไป

"ถึงเวลานอนแล้ว"

เด็กน้อยซบหน้าลงกับแผงอกชายหนุ่มอย่างว่าง่าย ไม่ได้เอะใจว่าทำไมพอถูกบอกให้ไปนอน ตามันก็จะปิดขึ้นมาซะเฉยๆ รับรู้แต่เพียงว่าอ้อมแขนที่โอบรอบตัวนี้ ช่างอบอุ่น ปลอดภัยเหลือเกิน

"หลับเถิด แล้วพรุ่งนี้..จะมีคนมารับเจ้า"

เปลือกตาที่กำลังจะปิด กระพริบเปิดขึ้นมาทันที หยาดน้ำใสคลอขึ้นมา เงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างผิดหวัง หัวใจบีบรัดขึ้นด้วยสาเหตุที่เด็กน้อยไม่อาจเข้าใจ

ถูกทิ้งอีกแล้ว...

"ผมอยู่กับคุณไม่ได้เหรอฮะ"

ถามปนเสียงสะอื้นแสนน่าสงสาร เขาไม่อยากไป .. ไม่อยากจากอ้อมแขนนี้  คนคนนี้... คนที่เด็กน้อยเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงวัน  แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าผูกพันกันมานานแสนนาน...

"ยังไม่ถึงเวลา"

"แล้วเมื่อไหร่"

เด็กน้อยเริ่มงอแงร้องไห้ ยึดแขนแกร่งที่โอบกายไว้แน่น ดื้อรั้นไม่ยอมนอนจนกว่าจะได้คำตอบ

"อยากอยู่กับข้าหรือ"

พยักหน้าแรงๆหลายทีจนหยดน้ำตาหล่นลงเหมือนเม็ดฝน จ้องมองเข้าไปในดวงดาสีน้ำผึ้งอย่างแน่วแน่

"ถ้าเช่นนั้น..เจ้าจงอธิษฐานต่อดวงดาวเพื่อให้ได้พบกับข้าอีกครั้ง หากว่าเจ้าตั้งใจอย่างแน่วแน่ เมื่อถึงเวลา ข้า..จะกลับมารับเจ้า"

"จริงๆนะ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ"

นิ้วก้อยเล็กๆยกขึ้นเกี่ยวนิ้วก้อยของอีกฝ่ายไว้เป็นสัญญา  ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งเด็กน้อยทนความง่วงไม่ไหวหลับไป  นิ้วก้อยก็ยังเกี่ยวเอาไว้แน่น  ชายหนุ่มยกมือข้างนั้นขึ้นจูบเบาๆกระชับอ้อมกอดมอบความอบอุ่นก่อนลาจากกันในคืนนี้

...จนกว่าจะถึงเวลานั้น  จงเข้มแข็งและรอคอยข้า  ดังเช่นที่ข้ารอเจ้ามาจนถึงวันนี้..






+++++++++++++++++++++++++++++++++