Monday 19 September 2011

[Fiction] Once Upon a time...Five


Title -:- Once Upon a time...Five

Writer -:- Nalikakeaw

Rate -:- Not Sure

Pairing -:- HaruYuya


ในฟิคเรื่องนี้มีตัวละครชื่อยูยะสองคนนะคะ  ถ้าใครงง ให้ย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้านั้น เพราะว่ามันมีที่มาที่ไปค่ะ


[Fiction] Once Upon a time...Intro

[Fiction] Once Upon a time...One

[Fiction] Once Upon a time...Two

[Fiction] Once Upon a time...T้hree

[Fiction] Once Upon a time...Four








เมื่อละครเปิดกล้อง ฮารุมะก็ไม่ต้องใช้ความพยายามในการห้ามใจมากนัก เพราะตารางงานที่แทบจะถมหัวตายกันทั้งคู่ เร่งถ่ายละครหามรุ่งหามค่ำ ไหนจะงานโปรโมทละครอีก แค่นี้ก็มากพอทำให้ยูยะหลับเป็นตายเมื่อเวลาที่กลับถึงห้อง

แต่ที่จริงแล้ว....ทั้งสองคนไม่ได้กลับห้องมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว

ช่วงนี้เป็นการถ่ายทำในสตูดิโอซะส่วนใหญ่  หามรุ่งหามค่ำเรียกได้ว่าเช้าชนเช้า  เลยต้องอาศัยนอนในโรงแรมใกล้ๆที่ยาบุเป็นคนจัดการเปิดเอาไว้ให้ หนักหน่อยก็นอนในสตูดิโอเหมือนอย่างตอนนี้

"ใช้งานหนักไปมั๊ยห๊ะ!! ไอ้คุณผู้จัดการ "

"ช่วยไม่ได้นี่หว่า ไอ้เรารึอุตส่าห์ไม่พูดถึงเรื่องส่วนตัว พวกนายก็ดันไปประกาศให้โลกรู้ซะเอง กลายเป็นคู่ฮอตแล้วงานมันก็โถมเข้ามาแบบนี้แหละ"

"ไม่ใช่ความผิดของฉันโว้ย!!!"

ถ้าหากว่าไม่ได้มีบางคนที่กำลังหลับสนิทหนุนตักอยู่ ฮารุมะเป็นต้องวาดขายาวๆไปสัมผัสปากผู้จัดการคนเก่งให้เป็นข่าวอีกแน่ๆ

"ตามไปถึงไหนแล้วล่ะ"

"ก็ไม่ถึงไหน  .. แล้วก็คิดว่าจะไม่ตามต่อแล้ว"

ยาบุยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ท่าทางแบบนั้น คนที่ทำงานร่วมกันมาตลอดอย่างฮารุมะ มองปราดเดียวก็รู้ว่า มันต้องมี "อะไร" แน่ๆ

"อีกไม่นานหมอนั่นจะเข้ามาหาฉันเอง"

"ใครจะโง่ขนาดนั้น"

ยอมเดินเข้ามาหาคนที่กำลังตามตัวเองง่ายๆ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นน่ะนะ

"ไม่โง่ แต่เพื่อภาพเด็ดๆทำเงินแล้วฉันว่าหมอนั่นก็ยอมเสี่ยงละวะ"

"นี่หมอนั่นยังไม่เลิกตามฉันกับยูยะ? ทำไม?"

คำตอบมันอยู่ในสีหน้าและสายตาของยาบุอย่างชัดเจนจนไม่ต้องพูดออกมา

เพราะข่าวสินะ ... ข่าวที่บอกว่าเขากับยูยะไม่ได้รักกันจริงๆ

"นายเชื่อข่าวนั่นรึเปล่า"

ฮารุเอ่ยถามเพราะความอยากรู้  ถ้าไม่พูดถึงพี่น้องของยูยะ ยาบุก็นับได้ว่าเป็นคนใกล้ชิดพวกเขาสองคนมากที่สุด เรื่องที่ไม่รู้ก็มีแต่อดีตความเป็นมา และ...เรื่องที่ มนุษย์ธรรมดาไม่ควรจะได้รู้

"ก็บางที  เพราะฉันไม่เคยเห็นนายสองคนทำตัวเหมือนที่คนรักกันเขาทำ  แต่ว่า.. ฉันก็ไม่เคยเห็นใครหวงยูยะเป็นหมาบ้าอย่างที่นายเป็น แล้วก็ไม่เห็นว่าใครจะทนนายได้อย่างยูยะ ฉันก็เลยหาเหตุผลไม่ได้ว่าถ้าไม่รักแล้วจะหวงไปทำบ้าอะไร  และถ้าไม่รัก..จะทนทำไมให้โง่ เฮ้ย!!! ฟังอยู่รึเปล่า"

แน่นอนว่าฮารุมะไม่ได้ฟัง  เพราะสายตาของนักแสดงหนุ่มจับจ้องอยู่ที่ช่อกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาในห้อง  นี่ก็ตื๊อไม่เลิก และไม่ยอมเปิดเผยตัวสักที  ยาบุไม่อยากยุ่งนัก แต่ก็กลัวว่าความซวยจะไปตกกับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างยูยะ เพราะมือที่เคยวางเฉยๆอยู่บนต้นแขนกลับออกแรงบีบแน่นจนคนที่นอนตะแคงหลับสนิทอยู่ขยับตัวด้วยความหงุดหงิด เจ้าของมือถึงได้รู้สึกตัวคลายมือออก

นี่ก็แปลกคน   ยาบุไม่เคยเห็นยูยะหลับสนิทได้อย่างนี้ในที่ที่ไม่ใช่บ้านหรือที่ส่วนตัว จะมีก็แค่งีบหลับสักห้าหรือสิบนาที พอมีใครเดินผ่านก็จะลืมตามองบ้างแล้วก็หลับต่อเหมือนระแวงคนรอบข้าง  ยกเว้นก็แต่เวลาที่อยู่กับฮารุมะเท่านั้น

หลับสนิทราวกับ...รู้ว่าจะมีคนคอยดูแลให้ปลอดภัยอยู่เสมออย่างนั้นแหละ

พนักงานส่งดอกไม้ยกดอกไม้ช่อใหญ่ขึ้นมาบังหน้า ไม่กล้าสบสายตาที่มองมาราวกับจะฉีกให้เป็นชิ้นๆของฮารุมะ พอยาบุรับดอกไม้ไว้แล้วก็รีบถอยออกไปทันที

"ยาบุ ปกติแล้วร้านดอกไม้เปิดถึงกี่โมง?"

"สี่ทุ่มก็ปิดแล้วมั้ง แต่มันก็มีบริการส่งดอกไม้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนกันนะ จะเอาดอกไม้มาส่งตอนตีสามก็ไม่แปลกหรอก"









........................................................................







"ฮ๊าววววววว~"

ฮารุมะอ้าปากกว้างหาวอย่างไม่ปิดบังอยู่ในห้องแต่งตัวของสตูดิโออีกแห่งหนึ่ง  คิวงานของเขาวันนี้คือให้สัมภาษณ์ในรายการสดตอนเช้า  เลยต้องย้ายตัวเองจากกองถ่ายละครมาอยู่ในสตูดิโออีกแห่งหนึ่งในตึกเดียวกัน

ตอนแรกยาบุก็จะตามมาดูแลด้วย แต่ฮารุมะเห็นว่ายาบุควรจะอยู่ดูแลยูยะมากกว่า

"ฉันห่วงว่าพิธีกรจะชวนออกนอกเรื่องเหมือนคราวที่แล้วน่ะสิ"

"มันก็เป็นแบบนั้นทุกทีอยู่แล้วนี่ สัมภาษณ์ฉันแต่ถามถึงยูยะ สัมภาษณ์ยูยะแต่ถามถึงฉัน ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกน่าฉันจัดการได้"

สุดท้ายแล้วยาบุก็ไม่ได้ตามมา  ไม่ใช่เพราะเลิกห่วง แต่ฮารุมะขู่เอาไว้ว่าถ้าหากเขารู้ว่ามีใครมาเกาะแกะยูยะแม้แต่น้อย เขาจะทิ้งงานมาจัดการทันที

ผู้จัดการคนเก่งเลยถีบส่งฮารุมะออกจากสตูดิโอละครด้วยความหมั่นไส้

ตัวเขานั้นไม่มีอะไรให้ห่วง  จะมีก็แต่ยูยะ ...    ลองว่ามนุษย์หมาป่าอย่างเขายังอดนอนจนทนไม่ได้ หาวแล้วหาวอีก มนุษย์ธรรมดาอย่างยูยะจะทนได้ยังไง

"งานหนักเหรอจ๊ะช่วงนี้"

นักแสดงสาวรุ่นพี่ที่ฮารุมะเคยเจอในงานแถลงข่าวทักขึ้นมา  เขาลืมไปเลยว่าเธอเป็นหนึ่งในพิธีกรที่จะสัมภาษณ์เขาในวันนี้ด้วย

"นิดหน่อยครับ"

"แย่จังน๊า~ ไม่มีเวลาพักผ่อนแบบนี้ระวังจะป่วยนะจ๊ะ"

ฮารุมะขยับเก้าอี้ถอยหลังโดยอัตโนมัติ  เพราะใบหน้าที่โปะเครื่องสำอางหนาเตอะกำลังก้มลงมาใกล้  ขนตาปลอมที่ติดไว้ด้วยกาวแทบจะทิ่มตาเขาบอด  ยิ่งนักแสดงสาวก้มลงมาหาเขามากเท่าไหร่ ยิ่งเปิดเผยผิวกายที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อรัดรูปสีดำคอกว้างให้เห้นได้มากขึ้นเท่านั้น

แต่นั่นไม่สำคัญ...

ฮารุมะเป็นมนุษย์หมาป่า ประสาทรับกลิ่นจึงทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปแม้ในยามที่ไม่ได้แปลงร่าง โดยเฉพาะกลิ่นเครื่องสำอางหรือน้ำหอมแบบนี้ ฮารุมะได้กลิ่นแค่นิดเดียวก็แยกออกเลยว่ามีส่วนผสมของอะไรบ้าง

และยิ่งไปกว่านั้น....

"ฮัดเช้ย!!!!!"







........................................................................










วันแรกที่เขาตามสามพี่น้องออกจากป่ามาอยู่ในเมืองใหญ่  ฮารุมะก็รู้ทันทีว่าเขาไม่ชอบกลิ่นเมืองแบบนี้ เพราะมันเต็มไปด้วยกลิ่นสังเคราะห์ที่เขาไม่คุ้นเคย และก็ไม่ชินกับมันเสียที

แต่ก็ไม่นึกว่าตัวเองจะแพ้กลิ่นน้ำหอมจนจามแหลกน้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้ ออกจากห้องแต่งตัวมาถึงห้องส่งแล้วยังหยุดจามไม่ได้เลย

"ไหวมั๊ยฮารุมะคุง?"

โปรดิวเซอร์รายการเดินมาถามด้วยความเป็นห่วง ใจนึกไปถึงสีหน้าของผู้จัดการสุดเฮี๊ยบของนักแสดงหนุ่มที่อยู่ในสตูดิโออีกแห่งใกล้ๆกัน ถึงฝ่ายนั้นจะอายุน้อยกว่าเขาหลายรอบ แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเขี้ยวแบบไม่ไว้หน้าใครหน้าไหน และอีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มการถ่ายทอดสดแล้ว เลยทำให้อดกังวลไม่ได้

"ไม่เป็นไรครับ ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เป็นห่วง"

นักแสดงสาวรุ่นพี่ตัวต้นเหตุทำเสียงจึ๊กจั๊กไม่พอใจอยู่ข้างๆ  หล่อนถูกบังคับให้ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพราะโปรดิวเซอร์กลัวว่ากลิ่นน้ำหอมจะทำให้ฮารุมะเกิดจามไม่หยุดขึ้นมาระหว่างถ่ายทอดสด เสื้อตัวโปรดที่ฉีดน้ำหอมเอาไว้เต็มที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นเสื้อผ้าแบบเรียบๆที่ฝ่ายเสื้อผ้าคว้ามาได้จากแถวนั้นเพราะไปหาที่อื่นก็ไม่ทันแล้ว  หน้าตาก็เพียงทาเครื่องสำอางลงไปบางๆซึ่งไม่พอจะกลบริ้วรอยใดๆ

ฮารุมะได้แต่ยิ้มแห้งๆเป็นเชิงขอโทษ  แต่เจ้าหล่อนสะบัดหน้าเชิดใส่ซะงั้น

ก็ในป่ามันไม่มีอะไรแบบนี้นี่หว่า!!

โปรดิวเซอร์ยกมือเป็นสัญญาณให้เตรียมพร้อม ฮารุมะสูดหายใจลึกพยายามห้ามอาการจามของตัวเอง รอฟังเสียงนับถอยหลังก่อนออกอากาศ สิ้นเสียงสัญญาณพิธีกรชายก็นั่งอยู่ข้างๆฮารุมะก็กล่าวเปิดรายการ ทักทายพิธีกรสาวเล็กน้อยก่อนจะหันมาทักทายฮารุมะ

การสนทนาเป็นไปตามหัวข้อที่ทางรายการส่งมาให้เขา แต่ด้วยประสบการณ์สองปีที่ทำงานอยู่ในวงการนี้ ทำให้ฮารุมะรู้ว่าอีกเดี๋ยวหัวข้อจะต้องวกมาถามในสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ตอนนี้แน่ๆ

"เอาล่ะ คำถามต่อไปนี้ไม่มีในสคริปต์ แต่ผมอยากรู้เป็นการส่วนตัวว่า ได้ร่วมงานกับทาคาคิคุงแล้วเป็นยังไงบ้าง"

"ก็ดีครับ ทำงานด้วยกันได้อยู่ใกล้กัน มาทำงานพร้อมกัน กลับบ้านพร้อมกัน สบายใจดี"

ผู้ชมในห้องส่งหัวเราะครืน พิธีกรชายทำท่าเหมือนอยากจะเขกหัวฮารุมะให้สักทีด้วยอารมณ์ประมาณว่ากึ่งเคืองกึ่งเอ็นดูกับคำตอบแบบตรงๆซื่อๆแบบนี้

"ไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ ผมหมายถึงฝีมือในการแสดงต่างหาก"

นักแสดงหนุ่มเผยรอยยิ้มกว้างเป็นเชิงขออภัย รอยยิ้มสดใสเจิดจ้าอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของฮารุมะ ที่ทำให้ยาบุทาบทามเข้ามาเป็นนักแสดงในสังกัด บุคลิกที่ตรงข้ามกับยูยะอย่างสิ้นเชิงนั้นทำให้ทุกคนไม่ถือสา ไม่มีใครว่าอะไรซักคำเมื่อฮารุมะเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องยูยะด้วยการยิ้มให้คนดู  ถ้าหากว่าทุกคนจะคิดว่าฮารุมะเขินอายเกินกว่าที่จะพูดถึงคนรักได้เขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก

"แหมๆ ท่านผู้ชมดูสิคะ เอาแต่ยิ้มอย่างเดียวเลย  อยากรู้จริงๆนะคะว่านักแสดงหนุ่มที่เขาร่ำลือว่าแสนจะเย็นชาอย่างทาคาคิคุงเนี่ยมีอะไรดีหนักหนา ทำให้แขกรับเชิญของเราเป็นได้มากถึงขนาดนี้ หรือเป็นเพราะความสวยที่ทำให้เข้าใจผิด พอรู้ความจริงว่าเป็นผู้ชายก็ถอนตัวไม่ทันซะแล้ว ประมาณนี้รึเปล่าคะ"

พิธีกรสาวส่งเสียงหัวเราะดังลั่นห้องส่ง แต่คนอื่นที่เหลือกลับเงียบลง บรรยากาศยามเช้าสดใสเมื่อครู่กลับกลายเป็นเหมือนช่วงเวลาที่สายลมเงียบสงัด ก่อนที่พายุจะเริ่มก่อตัว

ทุกคนรู้    รู้ว่าฮารุมะหวงยูยะแค่ไหน  บางคนก็รับรู้มาจากข่าว  แต่บางคนก็เคยเห็นกับตา  ว่าฮารุมะสามารถกราดเกรี้ยวได้เพียงใดสำหรับคนที่บังอาจมาแตะต้องคนของเขา

"ผิดแล้วครับ"

ยิ่งยิ้ม .... ทุกคนในห้องก็ยิ่งกลั้นหายใจ  โปรดิวเซอร์รายการถึงกับปาดเหงื่อด้วยเกรงว่าฮารุมะอาจจะลุกขึ้นอาละวาดใส่พิธีกรกลางรายการสด  เสียงหัวเราะของพิธีกรสาวนั้นหายไปแล้วเมื่อได้สบตากับนักแสดงหนุ่ม  เพราะถึงเจ้าตัวจะยังคงยิ้ม แต่ด้วงตาของฮารุมะก้ไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย

"ยูยะน่ะ  สวยมากก็จริง แต่ไม่มีอะไรเลยที่เหมือนผู้หญิง  ผมรู้.....ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันแล้ว"

ภาพที่อยู่ในส่วนลึกที่สุด แต่กลับชัดเจนที่สุดในความทรงจำนั้น  วินาทีที่เขาได้เห็นยูยะเป็นครั้งแรก

ดวงตาที่เป็นเหมือนผลึกแก้วสีอำพัน คิ้วเรียวโค้ง จมูกโด่ง โครงหน้าเรียวและริมฝีปากอิ่ม  กลุ่มผมสีอ่อนถูกรวบเก็บเป็นมวยสูง เผยช่วงลำคอระหง  กิโมโนสีแดงเลื่อนหลุดจากเรือนกายสีน้ำผึ้งลงไปกองที่ปลายเท้า  ร่างเพรียวเปลือยเปล่าก้าวลงไปในในธารน้ำใส ค่อยๆย่อตัวลงจนน้ำเย็นท่วมถึงระดับไหล่

วินาทีนั้น...

ฮารุมะหลงลืมทุกสิ่ง  ราวกับในโลกนี้มีเพียงร่างที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเย็นฉ่ำ  และเขาผู้เฝ้ามองจากความมืดมิดใต้ร่มเงาไม้ของผืนป่า  เสียงน้ำตกที่เคยดังสนั่นหวั่นไหว เสียงสรรพสัตว์ใดๆ ก็ไม่อาจทำให้ฮารุมะหลุดออกจากภวังค์แห่งความลุ่มหลงนั้นได้เลย

และนับตั้งแต่วินาทีนั้น...

"ตั้งแต่ตอนนั้น.. ผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องการใครอีกนอกจากยูยะ"











........................................................................












ยูมะสำลักโกโก้ร้อน  คุณหมอยูยะวางถ้วยกาแฟของตัวเองลงแล้วส่งกระดาษทิชชูให้น้อง จัดการกับคราบโกโก้ที่หกรดโซฟาและเสื้อผ้าของยูมะด้วยเวทมนต์  เช้านี้สองพี่น้องทานอาหารเช้าด้วยกันอยู่ในห้อง คุยกันเรื่องสัพเพเหระที่ได้ยินจากรายการในโทรทัศน์ แต่พอหน้าของฮารุมะโผล่ออกมาบทสนทนาก็จบลงโดยไม่รู้ตัว

"น้องควรจะชื่นชมที่พี่ฮารุเล่นละครได้เก่งใช่มั๊ยเนี่ย"

ยูมะบ่นทั้งๆที่ยังไอค่อกแค่ก  ตอนแรกก็ลุ้นอยู่ว่าฮารุมะจะลุกขึ้นมาฉีกร่างพิธีกรสาวออกเป็นสองท่อนต่อหน้าคนดูทั่วประเทศหรือเปล่า  แต่กลับกลายเป็นว่าฮารุมะบอกรักพี่ชายเขาซะอย่างนั้น  แต่ไม่รู้ทำไม ยูมะถึงรู้สึกว่าคำพูดประโยคสุดท้ายที่ฮารุมะพูดนั้นมันจริงจังเสียจนเขาไม่คิดว่ามันเป็นการแสดง

"พี่ก็รู้สึกเหมือนกัน"

ช่วงเวลาที่ผ่านมา  เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่านะ  เขารังเกียจฮารุมะจนมองข้ามบางสิ่งไปใช่ไหม  บางสิ่งที่ผูกพันน้องชายเขาไว้กับปีศาจมนุษย์หมาป่าตนนั้น

บางสิ่ง..... ที่นอกเหนือจากคำสาบาน

"ยูมะ  น้องเคยสงสัยรึเปล่าว่าทำไมฮารุถึงได้ยอมสาบานว่าจะปกป้องน้อง"

คนถูกถามนั่งทำตาปริบๆ ตั้งแต่จำความได้  ยูมะก็มีฮารุมะคอยเป็นพี่เลี้ยงแล้ว พี่ชายทั้งสองไม่เคยบอกเรื่องคำสาบานที่ฮารุมะและยูยะมีต่อกันกับเขาจนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน  ก่อนที่จะย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองนี้

"ก็เพราะอยากได้พี่ยูยะ"

จะใช่อย่างนั้นจริงๆรึเปล่านะ  ยูมะเองก็ไม่แน่ใจ  เขาเจ็บปวดเมื่อได้รับรู้ความจริง แต่ความรัก ความเอาใจใส่ดูแลที่ฮารุมะมีให้เขามาตั้งแต่เล็กก็ทำให้ยูมะเกลียดฮารุมะไม่ลง

พี่ชายคนกลางพูดถูก  ฮารุมะรักยูมะเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆร่วมสายเลือด บางครั้งก็ตามใจยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆทั้งสองคน เวลาที่ถูกดุ ฮารุมะจะคอยปกป้องเขาเสมอ  จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป

"นั่นน่ะ เป็นคำสาบานที่จะผูกพันไปจนวันตายนะ พี่หมายถึงว่า ถ้ายูยะเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างมากก็อยู่ด้วยกันไปอีกสักสี่สิบห้าสิบปีเท่านั้น  แต่เราเป็นพ่อมด เวทมนต์ทำให้เราอายุยืนยาวหลายร้อยปี บางทีอาจจะอยู่ได้นานพอๆกับปีศาจด้วยนะ น้องคิดว่าหมอนั่นตั้งใจจะอยู่กับยูยะไปจนวันตายรึเปล่า?"

อยู่ด้วยกันจนกว่าจะพรากจากกันด้วยความตายงั้นเหรอ?

ความคิดถูกขัดจังหวะด้วยรสขมจัดจนยูมะสำลักอีกรอบ  แย่จัง ... ดันเผลอไปหยิบถ้วยกาแฟของพี่ชายมาซะได้

"ขม!!! พี่กินเข้าไปได้ยังไงเนี่ย แหวะ!!!"

คุณหมอจัดการใช้เวทมนต์ทำความสะอาดอีกรอบ ที่จริงเขาไม่ชอบกาแฟขมๆ แต่ก็ชอบดื่มกาแฟดำใส่น้ำตาล  เพราะความหวานจะช่วยปรับให้ลิ้นของเขาคุ้นเคยกับรสขมของกาแฟ

แล้วในความขื่นขมที่น้องชายคนกลางของเขาต้องทนรับ  มันจะมีความหวานซ่อนไว้ตรงไหนรึเปล่าหนอ...








........................................................................








เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสต๊าฟสาวๆในกองถ่ายดังขึ้นเมื่อรายการจบ แต่พวกเธอยังคงวี๊ดว๊ายอยู่เป็นครึ่งชั่วโมงด้วยความชื่นชมระคนอิจฉา

"โอยยย อิจฉาทาคาคิคุงจังเลย นอกจากจะสวยแล้วยังมีแฟนหล่อแสนดีขนาดนี้ เกิดกี่ชาติฉันถึงจะได้แบบนี้บ้างงงง"

"ฝันไปเถอะย่ะ ต่อให้หล่อนไปศัลย์ให้ออกมาเหมือนทาคาคิคุงเป๊ะๆ ฮารุมะคุงก็ไม่แลหรอก"

สาวช่างแต่งหน้าร่างอวบหันมาแขวะสาวเทียมเพื่อนร่วมอาชีพให้กรี๊ดใส่แก้วหูแทบร้าว

"หมายความว่าไงยะ พูดดีๆนะ ไม่งั้นล่ะก็-"

สาวเทียมร่างหนาหักข้อนิ้วตัวเองเป็นเชิงขู่เพื่อน  ถึงจะทีเล่นทีจริง แต่ก็น่ากลัวไม่น้อย

"ก็ฮารุมะคุงไม่ได้ชอบทาคาคิคุงที่ความสวยน่ะสิ"

เมื่อเดือนก่อน น้องสาวหล่อนพาแม่ไปตรวจสุขภาพ แล้วก็กลับมาบ้านด้วยอาการเพ้อ ถามได้ใจความแค่ว่าเกิดไปเห็นรอยยิ้มอันแสนจะหายากของนักแสดงหนุ่ม ทาคาคิ ยูยะ เข้า

"ยิ้มหวานมากกกกกก ไม่เคยเห็นใครยิ้มสวยเท่านั้มาก่อน แล้วเวลายิ้มนะ ฮารุมะคุงก็จะยิ้มแล้วมองตามจนไม่เหลียวแลนางพยาบาลสาวๆที่อ่อยเหยื่ออยู่แถวนั้นเลย"

น้องสาวของหล่อนบอกอย่างนั้น แล้วก็กลายเป็นแฟนคลับของทั้งสองคนตั้งแต่นั้นมา

"ทาคาคิคุง ปกติถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่เวลาอยู่กับพี่น้องแล้วก็เหมือนเป็นคนละคนเลย น้องสาวฉันเพ้อถึงขนาดที่จะไปสมัครงานเป็นแม่บ้านที่โรงพยาบาลแล้ว"

ทุกเสียงเงียบลงเมื่อฮารุมะก้าวเข้ามาในสตูดิโอ  ร่างสูงเพียงก้มหัวทักทายทีมงานตามมารยาท แต่แทนที่จะเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเข้าฉาก  ฮารุมะกลับมุ่งไปหาร่างเพรียวที่ยืนอยู่กับผู้จัดการส่วนตัวของเขาเอง และเมื่อถึงตัวก็คว้าร่างนั้นมากอด กดปลายจมูกโด่งลงบนกลุ่มผมสีอ่อนสูดหายใจแรงๆสองสามที เขาทำอย่างนี้ทุกครั้งเพื่อลบกลิ่นฉุนของน้ำหอมให้หมดไปจากความรู้สึก แต่ยาบุกลับเอาบทที่ยูยะถืออยู่มาฟาดใส่หัวเขาเต็มแรง

"น้อยๆหน่อยเว้ย!!! เกรงใจคนอื่นเค้าบ้าง"

"ไหนๆก็มีผู้หวังดีเปิดเผยเรื่องของฉันกับยูยะไปแล้ว  ฉันยังต้องแคร์สื่อที่ไหนอีกล่ะ  ใครอยากมองก็มองไปสิ"

ก่อนที่ยาบุจะได้ฟาดอะไรใส่หัวนักแสดงในสังกัดตัวเองอีกรอบ คนกลางก็ตัดบทบอกให้ฮารุมะรีบไปเตรียมตัวสำหรับถ่ายฉากต่อไปเสีย ทุกคนจะได้ไม่ต้องรอนาน

ฮารุมะยอมทำตามเพราะเห็นว่ายูยะเหนื่อยเต็มทน อยากถ่ายละครให้เสร็จเร็วๆจะได้กลับไปพัก แต่ทุกคนกลับคิดว่าเขารักยูยะมากเสียจนยอมให้หมดทุกอย่าง

ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจ  แต่ทำไมทุกคนถึงคิดไปอย่างนั้นได้นะ...









........................................................................










"ก็เพราะว่านายแสดงออกแบบนั้นน่ะสิเจ้าโง่"

ยาบุตะโกนด่ามาจากหลังพวงมาลัย  นอกจากจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้นักแสดงสองคนนี่แล้ว บางทีหน้าที่ยังพ่วงตำแหน่งคนขับรถมาให้ด้วย วันนี้นักแสดงทั้งคนเหนื่อยมามาก โดยเฉพาะยูยะ ตอนนี้แทบจะหลับได้ทั้งยืนแล้วและฮารุมะก็แทบจะไม่ยอมปล่อยให้ยูยะได้เดินเอง  ให้ถ้าเขาปล่อยให้กลับบ้านกันเอง พรุ่งนี้คงได้เป็นข่าวอีกแน่ๆ

"แสดงออกแบบไหน ปกติฉันก็ทำแบบนี้แหละ"

หมายถึงที่อุ้มยูยะต่อหน้าประชาชีนั่นด้วยสินะ ยาบุขี้คร้านจะเถียง เลยเงียบเสีย เขาไม่อยากให้ฮารุมะกลายเป็นหมาบ้า ถ้าได้รู้ว่าตอนที่ไปสัมภาษณ์ ยูยะเจออะไรบ้างละก็...

ยิ่งแสดงออกว่าเอาใจใส่ดูแล หรือรักมากแค่ไหน ยิ่งก่อให้เกิดความอิจฉาในกลุ่มแฟนคลับที่ไม่ชอบยูยะมากเท่านั้น

ตะปูในรองเท้า ... ใบมีดโกนที่คอปกเสื้อ  การกลั่นแกล้งแบบเด็กๆแต่ฝ่ายเสื้อผ้าของกองละครยังพลาดให้ใครก็ไม่รู้เอามาใส่ได้ ดีที่เขาเห็นเสียก่อน และสั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบไว้ ไม่อย่างนั้น ฮารุมะอาจจะโกรธถึงขั้นถอนตัวออกจากละครเรื่องนี้ได้

เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายคนโตของยูยะถึงได้เรียกฮารุมะว่าหมาบ้า  เวลาโกรธขึ้นมากัดได้ไม่เลือกจริงๆ

"ถึงแล้ว"

ฮารุมะก้าวลงจากรถก่อน แล้วช้อนอุ้มร่างที่ยังหลับไว้ในอ้อมแขน ยูยะขยับตัวเล็กน้อย

"ฮารุ...ฉันเดินเองได้"

"เงียบเถอะ"

ร่างบางจึงเงียบเสียแล้วก็หลับไปในที่สุด  ยาบุมองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ  ไอ้ตอนที่ไม่เปิดตัวก็ไม่เห็นว่าจะทำอะไรอย่างนี้เล้ย!!!

ถ้าขืนปล่อยให้กลับบ้านกันเอง ฮารุมะคงอุ้มยูยะขึ้นรถไฟฟ้ามาตลอดทางแน่ๆ










........................................................................








ฮารุมะวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงช้าๆ ยูยะหลับสนิทไปแล้ว แม้ว่าเขาจะจูบริมฝีปากอิ่มนั่นสักเท่าไหร่ก็ไม่ตอบสนอง

คราวนี้คงเหนื่อยมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่หลับไปทั้งๆที่น้ำท่ายังไม่ได้อาบ นิสัยยูยะเป็นคนรักสะอาดต่อให้ผ่านค่ำคืนที่แสนหนักหน่วงจากเขาแค่ไหน ก็ต้องอาบน้ำเสียก่อนถึงจะหลับสนิท  แต่ตอนนี้ แม้ว่าฮารุมะจะกลับออกมาจากห้องน้ำแล้วยูยะก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย

มือหนาเริ่มปลดกระดุมเสื้อของคนที่หลับอยู่ทีละเม็ด ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างนั้นอย่างแผ่วเบา จนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า ก่อนจะอุ้มยูยะเข้าไปในห้องน้ำ ก้าวขาลงไปในอ่างที่รองน้ำไว้จนเต็ม

ยูยะชอบอาบน้ำเย็นเสมอ อาจเป็นเพราะมันทำให้นึกถึงกระแสน้ำเย็นฉ่ำในสายธารที่บ้านเดิม  หรือเป็นนิสัยของยูยะก็ไม่รู้ได้ ที่เขารู้คือยูยะชอบน้ำเย็นเท่านั้น

ฮารุมะจัดร่างบางให้เอนพิงแนบอก วักน้ำรดไหล่ให้เบามือ ยูยะขยับตัวซบกับไหล่เขาทั้งที่ยังหลับ  ลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดต้นคอเขานั้นทำให้ฮารุมะใจเต้นอย่างทุกครั้ง ... และเมื่อเขาจูบ ...ริมฝีปากนั้นก็ขยับตอบรับ

"ใจคอจะไม่ปล่อยให้น้องฉันได้พักสบายๆบ้างรึไง ไอ้หมาหื่น"

ฮารุมะถอนริมฝีปาก แล้วก็ถอนใจ  ต่อให้มนุษย์หมาป่าอย่างเขามีประสาทรับรู้ดีแค่ไหน แต่ก็มีข้อยกเว้นกับร่างเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจกนี่แหละ

"หัดมีมารยาทซะหน่อยดีไหม? ไม่ใช่พอมีเวทมนต์แล้วนึกอยากจะเข้าห้องใครก็ได้ตามใจนะ"

"ฉันก็แค่มาเยี่ยมน้องหรอกน่ะ เผื่อว่านายจะเกิดบ้าอาละวาดขึ้นมาอีกจะได้ช่วยทัน น้องฉันจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว แล้วนี่อะไรพายูยะมาแช่น้ำเย็น เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"

"แป๊บเดียวหรอกน่า พอยูยะรู้สึกว่าตัวสะอาดแล้วก็จะพาไปนอน หมดธุระแล้วก็รีบกลับไปซักทีสิ"

ฮารุมะไม่ชอบให้ใครมองยูยะ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นพี่ชายแท้ๆเขาก็ยังหวงอยู่ดี

"อาทิตย์หน้าให้ยูยะไปอยู่เป็นเพื่อนน้องที่โรงพยาบาลด้วย"

"ทำไม!!!"

ฮารุมะถามเสียงห้วน สั้น  เขามียูยะอยู่ข้างกายมานานแสนนานเสียจนไม่อาจจะขาดได้

แม้สักวินาที...

"ฉันไม่แน่ใจว่ายามันจะได้ผลแค่ไหน เพราะฉะนั้นต้องป้องกันไว้ก่อน!"

วันที่พระจันทร์จะเต็มดวงใกล้เข้ามาอีกแล้วสินะ

"ก็ได้!! แต่ถ้ายาได้ผลยูยะต้องกลับมาอยู่กับฉัน"

"ไม่รับปาก เพราะถ้ายูมะบอกว่าอยากให้พี่ชายไปอยู่เป็นเพื่อน ยูยะก็ต้องตามใจน้อง"

"จะทำอะไรก็ตามใจเถอะ!!!"

ฮารุมะตอบแบบไม่สบอารมณ์  เอาน้องมาอ้างเพราะรู้อยู่ว่ายังไงเสียเขาก็ต้องตามใจยูมะ เสียงที่ค่อนข้างดังนั้นทำให้คนในอ้อมแขนสะดุ้งเหมือนจะรู้สึกตัวตื่น   ฮารุมะเลยต้องรีบไล่พี่ชายคนโตของบ้านออกไป  แต่ฝ่ายนั้นก็เหมือนยังอยากจะพูดอะไรอีก

"อะไรอีกล่ะ"

"ฉันเห็นปาปารัสซีคนหนึ่งมาป้วนเปี้ยนแถวๆนี้น่ะ หมอนั่นทำอะไรกวนใจยูยะบ้างหรือเปล่า ฉันจะได้สั่งสอน"

"ถ้าเป็นคนผมทองล่ะก็ ไม่ต้องถึงมือนายหรอก เดี๋ยวยาบุจะจัดการเอง"

"ยาบุต้องลงมือเองเชียวเหรอ แสดงว่าฝีมือพอตัวสินะ"

"ก็ไม่เชิงละมั้ง  สงสัยว่าคงจะเบื่องานผู้จัดการ เลยหาเกมจับกระต่ายมาเล่นแก้เซ็งมากกว่า"








........................................................................







เด็กหนุ่มผมทองที่ถูกพูดถึงนั้นกำลังก้าวลงจากบันไดหนีไฟของตึกข้างๆอย่างสบายอารมณ์  วันนี้ก็ไม่ได้ภาพเด็ดๆอีกแล้ว แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีอยู่ได้ เพราะตอนที่เป็นปาปารัสซีใหม่ๆเขาต้องอดทนอยู่เป็นเดือนๆกว่าจะได้ข่าวทำเงินมาซักครั้ง เพราะฉะนั้น แค่นี้สบายมาก

"ทำไมยังไม่เลิกตามสองคนนี้อีก"

ฮิคารุเกือบจะตกบันได  ตากลมๆมองไปรอบๆ  ในแสงสลัวจากไฟถนน เขาพบว่ามีร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนพิงรถยนต์คันเล็กๆที่เขาจอดหลบไว้ในมุมมืดเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น

เขาจำใบหน้านั้นได้แม้ว่าจะไม่เคยพบกันตรงๆ  แต่ในเมื่อคนคนนั้นเป็นผู้จัดการของนักแสดงชื่อดังสองคนที่เขากำลังตามอยู่ ถึงสมองจะไร้ประสิทธิภาพแค่ไหนก็จำได้อยู่ดี

"ก็ไม่ทำไม แค่อยากจะตาม"

ยาบุเพียงแต่ยิ้ม เพราะรู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้ความจริงจากปากคนๆนี้แน่ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากยุ่งกับพวกปาปารัสซีเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าเขามองเห็นอะไรบางอย่างในตัวฮิคารุ เหมือนกับที่เห็นจากฮารุมะและยูยะ

คนคนนี้มีความสามารถมากเกินกว่าจะมาเสียเวลาอยู่กับอาชีพปาปารัสซีนี้แน่ๆ

"มีธุระอะไรล่ะ"

ฮิคารุถามสบายๆ ถึงจะได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับยาบุ โคตะ คนนี้มาบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้หวาดหวั่น ตราบใดที่เขาไม่ได้ล้ำเส้นจนทำให้ใครเดือดร้อน ก็ไม่มีใครจะมาทำอะไรได้

"ก็แค่มาคุยเรื่องเดิมๆ หวังว่านายคงจะเปลี่ยนใจ"

"ฉันก็ยังยืนยันคำตอบเดิมว่า ไม่!!! ต่อให้นายถามกี่ครั้งคำตอบก็เหมือนเดิม"

ยาบุหัวเราะหึๆ เฝ้ามองเด็กหนุ่มผมทองก้าวเข้าไปในรถแล้วขับออกไปจนลับตา

ฉันก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ ยาโอโตะเมะ ฮิคารุ  ถ้าขอดีๆไม่ได้  ก็คงต้องบังคับกันล่ะ











........................................................................







เมื่อพระจันทร์ใกล้จะเต็มดวง ฮารุมะก็เก็บตัวเป็นเวลาสามวันตามปกติ ยูยะไม่รู้ว่ายาบุใช้ข้ออ้างอะไรกับทีมงาน แต่ก็รู้ว่าครั้งต่อไปทั้งผู้กำกับและทีมงานคนอื่นๆคงไม่ยอมให้ เพราะได้ยินพวกเขาเถียงกันและวันนี้ยาบุก็หัวเสียมากด้วย

ยังดีหน่อยที่ยูยะยังสามารถมาทำงานได้ จึงไม่มีใครว่าอะไรนัก

กองถ่ายเลิกดึกเหมือนเคย  และยูยะก็ต้องกลับไปที่โรงพยาบาลคนเดียวเพราะยาบุมีธุระด่วน  แต่เขาก็รู้ว่าธุระที่ว่านั่นก็คงคงเกี่ยวกับปาปารัสซี่หน้าตาดีผมทอง คนนั้นนั่นแหละ

ซึ่งก็ไม่ได้ไกลจากตัวเขาเลยซักนิด

ยูยะรู้ว่ามีคนคอยตาม ก็เลยทำให้ใช้เวทมนต์ได้ไม่สะดวกนัก จึงเลือกทางกลับแบบมนุษย์ปกติ  แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว แท็กซี่ก็หายาก เขาคงต้องเสี่ยงใช้เวทมนต์หายตัวกลับไปที่โรงพยาบาลอยู่ดี

เงาวูบวาบเบื้องหน้าทำให้ยูยะชะงักฝีเท้า  อากาศที่เย็นยะเยือกทำให้ในใจเริ่มหวาดระแวงว่าผู้ที่คอยตามหลังมานั้นอาจจะไม่ใช่มนุษย์  แต่นั่นก็สายไป...

กรงเล็บคมๆจิกเข้าที่ไหล่ ร่างบางล้มลงไปบนพื้นคอนกรีตด้วยแรงสะบัดเพียงครั้งเดียว การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วเสียจนยูยะไม่อาจตอบโต้ได้ทัน เมื่อมือเมือกๆเย็นๆน่าสะอิดสะเอียนเลื่อนเข้ามาบีบคอเขาได้ จึงได้เห็นว่ามันเป็นปีศาจชั้นต่ำที่เคยไร้รูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างของมนุษย์ที่แย่งชิงมาได้ และกินเนื้อมนุษย์สดๆเป็นอาหาร

"ร่างใกล้จะเน่าแล้วล่ะสิ ถึงได้ออกมาหาร่างใหม่น่ะ"

"ช่ายยยยยยย แล้วถ้าเป็นร่างของแกฉันคงหาเหยื่อดีๆเนื้อหวานๆได้ง่ายแน่-"

ปีศาจชั้นต่ำสำลักลมหายใจของตัวเอง มันมองยูยะด้วยความหวาดหวั่นอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ตัวสั่น จากนั้นมันก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ยูยะลุกจากพื้น  งุนงงเสียจนลืมความเจ็บปวดที่ไหล่ แล้วร่างของยูยะก็วับหายไปในราตรี











........................................................................









คุณหมอแทบบ้าทันทีที่ได้เห็นรอยแผลบนต้นแขนของน้องชาย  พอรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์หมาป่าก็ค่อยเบาใจ แต่ก็อดปากบ่นไม่ได้ว่าเกิดเป็นพ่อมดทั้งทีไม่รู้จักใช้มนต์ป้องกันตัวเสียบ้าง

"ไม่อยากให้ถูกใครจับได้ว่ามีเวทมนต์น่ะสิ"

สองพี่น้องคุยกันระหว่างที่ทำแผล พี่ชายคนโตของบ้านมีฝีมือทางด้านการรักษาเป็นพิเศษ แค่ใส่ยาและเสกคาถาอีกนิดหน่อยแผลก็หายสนิท

"ทำไมอยู่ดีๆ ปีศาจนั่นก็หนีไปล่ะ"

"ไม่รู้สิพี่ ดูเหมือนมันจะกลัวฉันด้วยนะ แปลก? ปกติแล้วปีศาจมักจะไม่กลัวพ่อมดอย่างเราไม่ใช่เหรอ"

"น้องว่าไม่แปลกหรอก"

ยูมะตอบมาจากห้องที่สร้างด้วยเวทมนต์ในกำแพง ทำให้พี่ชายสองคนมองหน้ากันด้วยความฉงน

"มันไม่ได้กลัวพี่ยูยะ แต่กลัวพี่ฮารุต่างหาก"

"ฮารุไม่ได้อยู่แถวนั้นนะ"

"ไม่อยู่ก็เหมือนอยู่นั่นแหละ  เจ้านั่นคงได้กลิ่นพี่ฮารุจากตัวพี่ ถึงได้กลัวจนหนีไปไงล่ะ"

ยูยะคนพี่ทำสีหน้าเข้าใจในทันที แต่อีกคนนั้นยังคงสงสัยจนต้องถามต่อ

"พี่ฮารุเคยสอนน้อง ว่าปีศาจนอกจะมีกลิ่นอายเฉพาะตัวให้รู้ว่าเป็นปีศาจแบบไหนแล้ว ยังทำให้รู้ว่าปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหนด้วย ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งกลบเกลื่อนร่องรอยพวกนี้ได้เก่งมากขึ้นจนเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดา ขนาดที่ว่าเดินผ่านปีศาจด้วยกันเองก็จะไม่รู้ ตอนที่เราจะย้ายเข้ามาในเมืองน่ะพี่ฮารุก็บอกว่าดี เพราะเมืองนี้มีพวกปีศาจชั้นต่ำอยู่เยอะ และพวกมันก็กลบร่องรอยของตัวเองไม่ค่อยได้ กลิ่นปีศาจก็เลยเต็มไปหมด ถ้าซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ก็คงไม่มีใครตามเจอได้ง่ายๆ"

"แต่ฮารุไม่ใช่พวกปีศาจชั้นต่ำนี่ อยู่มาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้วทำไมยังมีร่องรอยพวกนี้อยู่ล่ะ"

"ก็วันนี้พระจันทร์เต็มดวงนี่นา พลังอำนาจของมนุษย์หมาป่าก็ต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งนะ เมื่อเช้าก่อนไปทำงานพี่แวะไปหาพี่ฮารุใช่มั๊ยล่ะ กลิ่นมันก็ติดตัวมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ"

ยูยะหัวเราะเก้อๆที่น้องรู้ทัน หลบสายตาพี่ชายที่จ้องมาอย่างจับผิด เสมองออกไปนอกหน้าต่าง  ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงบางคนที่กำลังกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่างในค่ำคืนนี้

ต้องให้นายช่วยอยู่เสมอเลยนะ  .... ฮารุ















........................................................................








To be con.....

No comments:

Post a Comment