Monday 26 March 2012

[ Fiction ] ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ ห้วงฝันยามนิทรา ]


ชื่อเรื่อง   -:-            ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ ห้วงฝันยามนิทรา ]


ผู้แต่ง      -:-            นาฬิกาแก้ว [ Nalikakeaw ]


คำนำเรื่อง              -:-            ฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแนวแฟนตาซีหลายๆเรื่อง เพราะงั้นถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าเจออะไรคุ้นๆล่ะก็ อย่าแปลกใจค่ะ เพราอย่างน้อยเรือไข่มุกดำแห่งท้องทะเลย่อมจะมาจากหนังเรื่องที่มีป๋าเด็ปป์เป็นโจรสลัดสุดฮาแน่นอน


                                ส่วนชื่อเรื่อง ขอบอกว่าได้มาจากบทเพลงของพี่แหม่ม พัชริดา จำได้ว่าเป็นเพลงประกอบละครเมื่อนานมาแล้ว โดยส่วนตัวชอบเสียงพี่แหม่มมาก และเนื้อเพลงก็เข้ากับพล็อตพอดี ก็เลยเอามาเป็นชื่อเรื่องมันซะดื้อๆนี่แหละ
                               

                                ใครอยากฟังไปเสิร์ชหากันเอาเองคะ








เสียงเคาะรัวสนั่นดังกลางดึก ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา แม้ที่จริงแล้วเจ้าตัวยังไม่ได้เข้านอน เพียงแต่นั่งทอดอารมณ์และความคิดไปกับสายลมและเสียงคลื่น ข้างหน้าต่างทรงโค้งบานใหญ่ ตั้งแต่เมื่อหัวค่ำจนเผลอหลับไป



เสียงเคาะรัวๆจากด้านหลังประตูไม้บานหนา สลักลายเถาวัลย์งามวิจิตร จากพื้นพันเลื้อยไปตามกรอบโค้งของประตูจรดพื้นอีกข้าง เสียงเคาะประดูยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ภายใน ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ออกไปสู่ราตรีที่มืดมิดไร้จันทร์ ไร้ดาว 



ราวกับว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังประตูนั้นมีเรื่องร้อนใจยิ่ง..



ทันทีที่ประตูเปิดผาง หญิงสาวคนหนึ่งก็โผเข้ามาหาจนเกือบจะล้มไปด้วยกัน เสียงสะอื้นของนาง ทั้งน้ำตาที่ร่วงพรูสู่อ้อมแขนนั้น  ทำให้เด็กหนุ่มตกใจยิ่งนัก



"อะไรกัน? นี่พี่ร้องไห้ด้วยเหตุใด"



เด็กหนุ่มดันร่างหญิงสาวออกห่างเพื่อสำรวจหาเหตุของน้ำตามากมาย  นางยังอยู่ในชุดเสื้อรัดรูปกระโปรงสีขาวครีมเรียบๆ ชายกระโปรงยาวกรอมข้อเท้า แสดงว่านางเพิ่งลุกออกจากเตียง และรีบร้อนมาหาเขาจนลืมสวมเสื้อคลุมทับ



"พี่! บอกข้าเถอะ ใครรังแกพี่?"



เด็กหนุ่มถาม น้ำเสียงร้อนรนเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก หญิงสาวที่เอาแต่ร้องไห้นั้นก็ไม่ยอมปริปากพูดคำใด นอกเสียจากร้องขอให้ช่วย แต่ในเมื่อไม่รู้ว่านางเป็นทุกข์เรื่องใด  เด็กหนุ่มก็จนปัญญา ปล่อยให้นางร้องไห้จนพอใจแล้วจึงสอบถามเรื่องราว



"คืนเดือนมืดครั้งหน้า ข้าจะถูกส่งตัวไปเป็นเจ้าสาวของปีศาจ"



คำนั้นทำให้เด็กหนุ่มถึงกับตกใจจนตัวชา เจ้าสาวของปีศาจงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้!! เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้!!! ไม่มีใครบนโลกนี้ไม่รู้ว่าผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวของปีศาจร้ายจะมีชะตากรรมโหดร้ายอย่างไร และท้ายที่สุด  ชีวิตจะลงเอยเช่นไร



"พี่อย่าล้อเล่นกับข้าเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้"



"เจ้าคิดว่าพี่เอาความตายของตัวเองมาหลอกให้เจ้าตกใจรึไม่เลย!! เจ้าฟังพี่ คืนนี้พวกชาวบ้านมาหาท่านพ่อกลางดึก พวกเขาทุกข์ร้อนเรื่องที่เรือวาณิชย์ถูกปล้นสะดม เรือประมงหายสาบสูญ ทุกคนเชื่อว่าเป็นเพราะปีศาจ เจ้าไม่รู้หรือ? คำร่ำลือเกี่ยวกับเรือปีศาจลำนั้น"



ตำนาน คำร่ำลือที่สืบทอดกันมายาวนานหลายชั่วอายุคน



เรือปีศาจ  เรือสีดำแห่งท้องทะเล มันมักปรากฏในคืนที่ไร้แสงจันทร์ ท้องฟ้ามืดมิด  ซ่อนตัวในสายหมอกที่ก่อตัวอย่างเงียบเชียบ  เล่ากันว่าหากผู้ใดแล่นเรือ จะถูกกลืนหายเข้าไปในสายหมอก เหลือเพียงชิ้นส่วนซากเรือไม่กี่ชิ้นมอดไหม้หลังหมอกสลาย



"ท่านพ่อไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก"



ถ้อยคำหมายจะปลอบให้คลายทุกข์ กลับกลายเป็นเชื้อไฟให้หัวใจที่มีแต่ความเจ็บแค้นพลุ่งพล่านโหมไหม้แรงกว่าเดิม ดวงตาที่งามดุจดวงดาวเต็มไปด้วยโทสะ น้ำเสียงที่เอ่ยคำนั้นก็เกรี้ยวกราดแต่กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกร้าวรานในหัวใจ



"จนป่านนี้ เจ้ายังจะคิดว่าคนผู้นั้นรักเรารึ? ลืมแล้วหรือไร ว่าท่านแม่ต้องตายด้วยเหตุใด ถ้าไม่ใช่เพราะเขา!!"



"ถึงอย่างไรท่านพ่อก็ไม่เคยทอดทิ้งเรา"



ริมฝีปากบางแค่นยิ้มเยาะ



"เพราะว่าเจ้ากับพี่ยังมีประโยชน์ต่อเขาอย่างไรเล่า ใครคนไหนจะไม่เห็นใจท่านเจ้าเมืองผู้สูญเสียภรรยารองอันเป็นที่รัก เหลือไว้เพียงลูกหญิงชายไว้ให้ดูต่างหน้า แม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะยังคงมีภรรยาอีกคนกับลูกชายที่แสนดี เก่งกาจ เป็นที่รักของชาวเมืองอยู่ก็ตาม"



เด็กหนุ่มมองหน้าพี่สาว ใบหน้าของทั้งคู่เหมือนกันราวกับเป็นพิมพ์เดียว สายตาของทั้งคู่สะท้อนความขมขื่นเจ็บร้าวในใจของกันและกัน



ทั้งสองคนต่างเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนรอง มารดาของทั้งคู่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกประหารโดยเผาทั้งเป็น



"เขาเลี้ยงดูเรา แต่ก็ไม่เคยให้อิสระ สิบห้าปีที่ผ่านมาเจ้าเคยได้ก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์นี้หรือไม่ เจ้าได้เรียนหนังสือ เรียนดาบ แต่สิ่งเหล่านั้นมีประโยชน์อันใดในเมื่อเจ้าไม่มีโอกาสออกไปสู่โลกภายนอกเพื่อใช้มัน เขาเพียงแต่เก็บเราไว้เพื่อรอเวลาเท่านั้น นี่อย่างไรเล่าโอกาส ยอมเสียสละลูกสาวให้ปีศาจ เพื่อความสงบสุขของชาวเมือง ผู้คนคงจะเทิดทูนเขาอีกมากโข แล้วก็จะได้กำจัดลูกสาวที่ไร้ประโยชน์คนนี้ไปได้ในคราวเดียว"

















"เจ้าต้องเข้าใจพ่อ"



ท่านเจ้าเมืองกล่าวกับลูกชายอย่างเหนื่อยล้า  เขาเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกร้านแดดอย่างชาวทะเลทั่วไป อายุเกือบหกสิบปีแล้วแต่ยังแข็งแรง มีดวงตาสีน้ำตาลเข้มแข็งและทรงอำนาจอย่างผู้นำ แม้ว่าในยามนี้จะดูเหนื่อยล้าไปบ้างก็ตาม



"การเป็นผู้นำคนใช่เพียงแต่จะปกครอง แต่ยังต้องปกป้องดูแลทุกข์สุขของพวกเขาด้วย"



"ความสุขที่ต้องแลกมาด้วยความทุกข์ของน้องสาวข้า!!!"



โคตะ บุตรชายคนโตของท่านเจ้าเมืองร้องตะโกนต่อหน้าบิดา เหตุใดเทพแห่งโชคชะตาจึงโหดร้ายต่อน้องสาวน้องชายของเขานัก ทั้งคู่เคยทำบาปอันใด จึงต้องเกิดมาพบแต่ความสูญเสียเช่นนี้



เขายังจำได้ดีถึงใบหน้าอันงดงามและแสนใจดีของสตรีที่เขาเรียกว่าท่านน้า ภรรยาคนรองของบิดา ซึ่งน้องสาวน้องชายของเขาถอดรูปความงามเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน



ความงามเช่นนั้นเองที่ทำให้เกิดความริษยา หญิงนางอื่นชิงชังในตัวภรรยารองเสียยิ่งกว่าภรรยาหลวงผู้เป็นมารดาของโคตะ  และเมื่อนางคลอดบุตรเป็นฝาแฝดหญิงชาย ก็มีเสียงร่ำลือว่านางเป็นปีศาจร้าย เพียงเพราะการมีลูกฝาแฝดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่นางหาได้สนใจในคำกล่าวหานั้นไม่  ยังคงทำตัวเป็นภรรยาและแม่ที่ดี จนกระทั่ง..



เมื่อน้องสาวและน้องชายของโคตะอายุได้ห้าขวบ สาวใช้พบตำราที่เขียนด้วยอักขระแปลกประหลาดในห้องของนาง เพียงเท่านั้นก็ทำให้ชาวเมืองยิ่งปักใจว่าภรรยาคนรองของท่านเจ้าเมืองเป็นนางแม่มดร้าย แม้ท่านเจ้าเมืองจะทำนิ่งเฉยกับคำกล่าวหานี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คำร่ำลือนั้นจบสิ้น เหตุการณ์กลับยิ่งเลวร้ายเมื่อชาวบ้านฉวยโอกาสที่เจ้าเมืองออกเดินทางรวมตัวกันบุกเข้ามาในคฤหาสน์ พรากเด็กน้อยสองคนออกจากอกแม่



และสิ่งสุดท้ายที่เจ้าเมืองได้กลับมาเห็น มีเพียงเปลวไฟที่ไหม้มอดและเถ้าถ่าน



"ทำเช่นนี้โหดร้ายเกินไปแล้ว เหตุใดพวกเราจึงต้องเสียสละมากถึงเพียงนี้ด้วย?"



"มันเป็นทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ชาวบ้านทุกคนต้องการเช่นนั้น"



"ขลาดเขลา! คิดหรือว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลตลอดไป"



"เรื่องนั้นพ่อรู้ดี หากว่าวันใดเรือปีศาจนั่นต้องการหญิงสาวอีก มันก็จะใช้วิธีนี้บีบเราเพื่อให้ส่งคนไป  แต่พ่อต้องการเวลาเพื่อที่จะหาหนทางแก้ไขปัญหานี้ให้เด็ดขาด ชาวบ้านจะได้มีชีวิตที่สงบสุขอย่างถาวร"



"แล้วท่านเจ้าเมืองพอจะบอกได้หรือไม่ว่าต้องการเวลาสักเท่าใดจึงจะแก้ปัญหานี้ได้"



เด็กหนุ่มอีกคนก้าวเข้ามาในห้อง โดยไม่เคาะประตูดังเช่นที่เคยทำ ใบหน้าเรียบเฉยและสายตาไร้ความรู้สึกนั้นทำให้อีกสองคนที่อยู่ในห้องไม่อาจบอกได้ว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไรในเวลานี้



"แคลเป็นอย่างไรบ้าง"



"นางสบายดี กำลังตื่นเต้นเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวให้ทันคืนเดือนมืดครั้งหน้า"



โคตะนิ่งเงียบ เพราะน้อยครั้งนักที่ถูกน้องชายพูดจาประชดประชันเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่าเป็นเพราะเหตุใด   เพราะแม้แต่ตัวของเขาก็ไม่เคยพอใจกับคำสั่งของบิดาที่ห้ามไม่ให้น้องสาวน้องชายออกจากบ้าน ด้วยเกรงว่าจะถูกชาวบ้านที่ยังฝังใจเรื่องที่แม่ของทั้งสองเป็นแม่มดทำร้าย



แม้จะเห็นใจบิดา  แต่โคตะก็ยังสงสารน้องมากกว่า



"เจ้าโกรธพ่อ"



"โกรธ? ด้วยเหตุใดเล่าข้าควรจะดีใจไม่ใช่หรือที่พี่สาวข้าจะได้ออกไปท่องเที่ยวทะเลบนเรือปีศาจ แทนที่จะถูกคุมขังอยู่ใจคฤหาสน์หลังนี้ไปชั่วชีวิต"



โคตะกลั้นหายใจ  เคย์ไม่เคยกล่าววาจาเช่นนี้ น้อยชายของเขามักจะเป็นเด็กดี อดทนเก็บความรู้สึกอยู่เสมอ แม้ว่าบางครั้งจะถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ตนไม่ต้องการก็ตาม ผิดกับแฝดหญิงคนพี่ ยิ่งนานวันนางยิ่งแสดงออกต่อทุกคนอย่างดื้อรั้นและก้าวร้าว



การตัดสินใจเช่นนี้ของบิดาอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เคย์ไม่อาจอดทนต่อทุกสิ่งได้อีกต่อไป



"พูดเช่นนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าพ่อเองก็เสียใจ"



"ท่านควรจะดีใจต่างหาก เรื่องนี้ท่านเป็นผู้เสนอกับชาวบ้านเองไม่ใช่หรือ"



"จริงหรือท่านพ่อ?"



โคตะหันกลับไปมองบิดาด้วยความตกใจและผิดหวัง สายตานั้นทำให้ผู้เป็นพ่อเจ็บเสียยิ่งกว่าถูกกรีดหัวใจ  ซ้ำร้ายวาจาของบุตรชายคนเล็กก็ยิ่งตอกย้ำให้ได้รู้ว่าตนเป็นพ่อที่เลวเพียงใด



"ข้าไม่ได้มาเพื่อขัดขวางแต่ประการใด และพี่สาวของข้าก็หาได้กลัวความตายดังที่ท่านห่วงไม่ นางเพียงแต่เสียใจที่การจากไปของนางกลับกลายเป็นเครื่องมือช่วยให้ฐานะเจ้าเมืองของท่านสูงส่งขึ้น"




















 "เคย์ รอเดี๋ยวก่อน!"



โคตะวิ่งออกจากห้องทำงานของบิดาพลางร้องเรียกน้องชาย ร่างบางที่เดินห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชา



"จะตามมาตำหนิข้าเรื่องเมื่อครู่หรือ?"



"เจ้าอยากให้พี่ทำเช่นนั้นรึ?"



"ถ้าพี่เห็นว่าสมควร ก็จงทำ"



ผู้เป็นน้องหันหลังเดินออกไป โคตะเดินตามไประหว่างนั้นก็ใช้ความคิดไปอย่างเงียบๆ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก อะไรบางอย่างในสายตาและวาจาของน้องชายทำให้เกิดสังหรณ์ใจว่า เมื่อถึงคืนเดือนมืดครั้งหน้าเขาอาจต้องสูญเสีย...มากกว่าที่คิด



"ข้ารู้ว่าไม่ควรพูดอย่างนั้น"



เคย์เอ่ยขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินมาหยุดยืนหลังประตูบานหนึ่ง ประตูไม้สีขาวนวลสลักรูปนางฟ้าตัวน้อยๆสององค์ช่วยกันโปรยดอกไม้ลงสู่พื้น ภาพเด็กหญิงตัวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจตรงหน้าประตูบานเดิมนี้หวนกลับเข้ามาในห้วงคำนึง



แต่บัดนี้...เบื้องหลังประตูบานนี้กลับมีเพียงความทุกข์ตรมหม่นเศร้า



โคตะปวดร้าวในอกเมื่อเห็นร่างของน้องสาวนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ณ เวลานี้ นางยังมีชีวิต แต่เมื่อคิดไปถึงวันที่เขาจะไม่ได้เห็นหน้าน้องอีกแล้ว...



"พี่จะพาพวกเจ้าหนีไปจากที่นี่!!"



ฝาแฝดทั้งสองสบตากันด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันไปมองหน้าพี่ชายด้วยสายตาแบบเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน สายตามุ่งมั่นและจริงจังของพี่ชายทำให้แคลและเคย์คลายทุกข์ลงถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ



"หัวเราะอะไรกัน เจ้าคิดว่าพี่ทำไม่ได้หรือไม่กล้าทำถึงได้หัวเราะ"



เเคลส่ายหน้า รอยยิ้มเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เดินไปเกาะแขนพี่ชายเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก



"ข้ารู้ว่าพี่รักข้า เป็นห่วงข้า แต่ข้าจะไม่ยอมให้พี่ต้องเสี่ยงเพื่อข้าหรอก ข้าตัดสินใจแล้ว"



"ตัดสินใจ?"



"ข้า..จะไป"



เสียงใสเอ่ยแผ่วพร่า บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวพยายามข่มความหวาดกลัวเอาไว้ ภายใต้ท่าทางทรนงนั้น



โคตะแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน  คำพูดที่เคย์กล่าวต่อหน้าบิดาที่เขาคิดเอาเองว่าเป็นเพียงการประชดประชันนั้นเป็นความจริงรึนี่เหตุใดน้องทั้งสองจึงยอมจำนนง่ายดายถึงเพียงนี้



"หากไม่ยอมจำนนแล้วจะทำอย่างไรได้ พี่ไม่สังเกตหรือ ว่าวันนี้เรามีคนรับใช้คอยติดตามมากกว่าปกติ"



เมื่อมองตามสายตาของน้องชาย ก็ทันได้เห็นเงาของใครบางคนเพิ่งหลบวูบไป ราวกับว่าไม่อยากถูกพบ แต่เพียงเท่านั้นโคตะก็รู้แล้ว ตั้งแต่จำความได้ พวกเขาพี่น้องไม่เคยมีคนรับใช้คอยติดตามเวลาที่อยู่บ้าน...ไม่เคยเลย..



บิดาทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ? สั่งให้คนคอยติดตาม ไม่สิ! คอยเฝ้าราวกับเป็นนักโทษต่างหาก



เคย์และแคลถอนหายใจพร้อมกัน..



"คำพูดของพี่เมื่อครู่ คงไปถึงหูท่านพ่อในไม่ช้า"

















"พี่จะไปพูดกับท่านพ่ออีกครั้ง เรื่องแคล"



โคตะเอ่ยกับเคย์เมื่อทั้งสองกลับออกมาจากห้องของแคล แต่ดูเหมือนเคย์จะไม่มีหวังกับการที่จะทำให้บิดาเปลี่ยนใจอีกต่อไปแล้ว



"ไม่ว่าพี่จะพูดอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งของท่านพ่อได้หรอก อีกอย่างแคลก็บอกพี่แล้ว ว่านางจะไป"



"หากว่านางไปอย่างเต็มใจ พี่จะไม่ขัดขวาง แต่นี่!"



ถ้อยคำที่เหลือ ถูกแทนด้วยสายตาเจ็บปวดเกินจะเอ่ยออกมาได้ น้องสาวของเขา น้องสาวเพียงคนเดียว แค่จะปกป้องไว้ยังทำไม่ได้



"พี่ยอมไม่ได้ หากว่าท่านพ่อยังยืนยันที่จะส่งแคลไป เมื่อถึงคืนเดือนมืดครั้งหน้า ท่านพ่อจะไม่ได้เห็นหน้าพี่อีกต่อไป!"



"พี่จะทำอะไร?"



เคย์ตกใจนัก ด้วยรู้ว่าพี่ชาย หากพูดคำไหนแล้วย่อมต้องเป็นไปดังนั้น หากต้องสูญเสียมากไปกว่านี้ เขาก็ไม่อาจทนได้



"พี่จะไปจากที่นี่!!"



คำตอบของพี่ชายไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงดังที่คิด จึงทำให้คลายกังวลไปได้บ้าง แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น



"โคตะ ท่านพ่อไม่มีทางยอมให้พี่ไป พี่ก็รู้"



"หากท่านพ่อยอมส่งลูกสาวให้ปีศาจได้ ก็น่ายอมปล่อยให้พี่ไปจากเกาะนี้ได้ไม่ใช่หรือ เพราะอันตรายใดๆในท้องทะเลนั่น ก็มิอาจเทียบเท่ากับการมอบชีวิตให้ปีศาจ"



"ลืมแล้วหรือว่าต่อไป พี่ต้องรับตำแหน่งต่อจากท่านพ่อ ปกครองผู้คนบนเกาะนี้"



โคตะส่ายหน้า



"หากเป็นเจ้าเมืองแล้วต้องเสียสละมากมายถึงเพียงนี้ บอกตามตรงว่าพี่ทำไม่ได้  พี่ยอมตายเสียดีกว่าจะต้องทนเห็นคนที่พี่รักต้องทรมาน"



เคย์มองจ้องเข้าไปในดวงตาของพี่ชาย ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งเช่นนี้คือคุณสมบัติของผู้ที่เกิดมาเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ที่บิดาภูมิใจหนักหนา หวังให้สืบทอดตำแหน่งต่อไป



"เคย์ เจ้าจะไปกับพี่ใช่ไหม?"



"หากไม่มีพี่และแคลแล้ว ที่นี่ก็ไร้ความหมายสำหรับข้า ถึงพี่ไม่ถามข้าก็จะติดตามพี่ไปอยู่ดี"



สองพี่น้องยิ้มให้กัน ก่อนผู้เป็นน้องจะละสายตาจากใบหน้าของพี่ชาย มองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอกบานหน้าต่างโค้ง ด้วยสายตามุ่งมั่นอย่างเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน

















แสงสว่างจ้าทำให้ร่างบางต้องกระพริบตาถี่ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จึงนึกได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน



ฝันอีกแล้วหรือนี่?..



ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะลุกจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวดังเช่นทุกเช้า  หลังจากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะไม้กลมตัวเล็กตรงมุมห้องก็ดังขึ้น



"ทำไมนายไม่รับโทรศัพท์!!!"



ฮิคารุตะเบ็งเสียงผ่านโทรศัพท์มาทันทีที่รับสาย ทำเอาคนรับอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ถามกลับไป



"มีอะไรเหรอ?"



"ยังจะมาถาม! ฉันโทรฯหานายตั้งแต่เมื่อคืนเป็นร้อยรอบ นายไม่รับสาย รู้มั๊ยว่าฉันเป็นห่วงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!!!"



"หืมม์ ฉันไม่ได้ปิดเสียงนี่นา"



"โอ๊ย!! ช่างเถอะ!! นายรีบมาบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ-"



ประโยคต่อมาของฮิคารุทำให้เคย์อุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะวางสายแต่งตัวคว้าประเป๋าออกจากห้องไปอย่างเร่งด่วน แต่ก็ยังอดไม่ได้ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ



แน่นอนว่าโทรศัพท์ของเขาไม่ได้อยู่ในโหมดไร้เสียง  แต่หน้าจอนั้นกลับปรากฎข้อความแจ้งเตือนว่า



112 Miss call [ Hikaru ]













 



"โคตะ เป็นยังไงบ้าง?"



"ยังเจ็บอยู่ แต่ก็ดีขึ้นแล้ว"



คนเจ็บเพิ่งลุกขึ้นจากเตียงพลางสะบัดศรีษะไล่ความมึนงง แต่ความเจ็บแปลบที่ต้นคอก็บอกให้รู้ว่าควรจะอยู่นิ่งๆจะดีที่สุด



"เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไปนอนอยู่ข้างถนนได้ล่ะ"



"ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน"



"อ้าว!!"



ทั้งเคย์และฮิคารุร้องออกมาเป็นเสียงเดียว โคตะขมวดคิ้วยุ่ง



"ฉันจำอะไรไม่ได้เลย รู้แต่ว่ามีอะไรหนักๆมาโดนแถวๆตรงนี้" มือหนาแตะลงตรงต้นคอค่อนไปทางด้านหลัง ความรู้สึกจากปลายนิ้วบอกให้รู้ว่าผิวเนื้อตรงนั้นบวมเป่ง และเมื่อกดนิ้วลงไปความเจ็บก็เล่นจี๊ดจนต้องนิ่วหน้า



"ไหนดูซิ"



ฮิคารุขยับเข้าไปที่เดียง ก้มลงดูตรงรอยช้ำ เมื่อคืนตอนที่เขาแบกร่างสูงเข้ามาในบ้านก็สงสัยอยู่ว่าหมอนี่ถูกใครทำร้ายมาหรือเปล่า แต่พอโทรฯหาเพื่อนซี้แล้วเคย์ไม่รับโทรศัพท์ ก็ทำให้ลืมความคิดที่ว่าไปเลย



"โหย!! ปูดเป็นลูกมะนาว แบบนี้ต้องโดนใครตีมาแหงๆ"



ทั้งสามคนเงียบไปทันที โคตะไม่เคยมีศัตรูที่ไหนมาก่อน แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเขา..



"มองฉันแบบนั้นหมายความว่าไง? คิดว่าฉันทำเหรอ?"



แน่นอนว่าความจริงคือ ฮิคารุไม่ได้ทำ เขาแค่บังเอิญออกไปเดินเล่นยามค่ำคืน แล้วก็ไปเจอโคตะนอนไม่ได้สติ ถึงได้ทุลักทุเลแบกกลับมา



แต่สายตาของสองพี่น้องนี่มันทำให้เขาเกิดความระแวงร้อนตัวขึ้นมาซะอย่างนั้น



"หรือไม่จริงล่ะ"



โคตะจับแขนฮิคารุไว้แน่น จ้องตาราวกับจะค้นหาความจริง แต่ฮิคารุเงื้อมือข้างที่ยังว่าง ตั้งท่าจะฟาดซ้ำลงตรงแผลเก่า โคตะเลยต้องปล่อยมือแล้วมากุมหัวตัวเองแทน



"ล้อเล่นหน่อยเดียว กะจะตีให้ตายเลยเรอะ"



"มันใช่เรื่องน่าเอามาล้อเล่นมั๊ย! เดี๋ยวยันให้ตกเตียงเดี้ยงอีกรอบ คราวนี้ได้นอนโรงพยาบาลแน่"



เคย์หัวเราะเบาๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนโวยวายไปอย่างนั้นเอง หากว่าเจ้าตัวใจดำอย่างปากว่า ก็คงปล่อยให้โคตะนอนหนาวอยู่ข้างนอกแทนที่จะพากลับมาบ้านให้ลำบาก ไหนจะคอยเป็นกังวลเป็นห่วงที่เขาไม่รับโทรศัพท์อีก



"ขอบใจมากเลยนะฮิคารุ โคตะฉันว่าเราควรจะกลับได้แล้วล่ะ"



"อย่าเพิ่งไป! เอ่อ คือฉันคิดว่าพี่นายน่าจะพักอีกหน่อยแล้วค่อยไปก็ได้ ไม่ต้องมามองฉันอย่างนั้น! ฉันไม่ได้พิศวาสนายหรอก แค่ห่วงว่าเกิดนายวูบระหว่างทางเคย์ต้องลำบากแบกนายไปอีก ตัวเบาซะเมื่อไหร่ล่ะ"



"งั้นเหรออออ คงไม่ใช่เพราะอยากถ่วงเวลาไว้รอใครมาหรอกนะ"



แทนคำตอบของคำถามนั้น ประตูห้องก็เปิดออก ตามด้วยใบหน้าคุ้นตาของอาซากะ โคได ลูกพี่ลูกน้องของฮิคารุ  ยาบุเหล่มองฝ่ายนั้นนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าหาคำตอบจากฮิคารุ



และแน่นอนว่าคนอย่างฮิคารุย่อมไม่กลัวสายตาขู่เข็ญของคนตรงหน้า แต่เขาเกรงสายตานิ่งๆของเคย์มากกว่า สายตาแบบนี้แหละที่พอสบตาปุ๊บ เจ้าตัวก็เหมือนจะเดาเหตุการณ์ได้เป็นฉากๆ



"นายมีธุระอะไรเหรอ?อาซากะ"



"เอ๊ะ? อ้อ!! ใช่แล้ว คือฉันพาคนรู้จักมาน่ะ เห็นว่ามีอะไรอยากให้คุณลุงดูหน่อย คุณลุงล่ะ?"



ฮิคารุบอกว่าไม่อยู่ ออกไปหาซื้อของมาขายเพิ่มหรืออะไรทำนองนั้น หลบสายตาจ้องจับผิดของโคตะถามหาแขกคนที่ว่า ก็พอดีใครคนนั้นก้าวออกมาพ้นประตู



ผู้มาเยือน เป็นเด็กหนุ่มร่างสูง อายุราวๆสิบเจ็ดหรือสิบแปด มีใบหน้าเรียวรูปไข่ จมูกโด่งเป็นสันจนคนมองนึกว่ามีสายเลือดของชนผิวขาวอยู่บ้าง แต่กลับมีคิ้วคมและผมสีดำสนิท กับดวงตาแฝงแววขี้เล่น สนุกสนานดูซุกซนอยู่เป็นนิจ  ดูยังไงก็เป็นชาวเอเชียล้วนๆ



แต่สิ่งทำให้เคย์จ้องมองร่างนั้นไม่วางตาจนเจ้าตัวรู้สึกได้ ไม่ใช่เพราะความหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์นั่น เพียงแค่วูบหนึ่งที่ได้เห็นหน้า เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด



"เรา.. เคยเจอกันที่ไหนรึเปล่า?"



เด็กหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนเผยยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวซี่เล็กๆ นัยน์ตาสีดำสนิทฉายแววล้อเลียนจนเคย์สงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า



"ไม่ไหวๆ มุกจีบหนุ่มแบบนี้เชยไปแล้วน๊า~"



โคตะหลุดหัวเราะก๊าก พอๆกับที่ฮิคารุหัวเราะลั่นห้อง เคย์นั่งทำตาปริบๆอยู่นานกว่าจะนึกออกว่าที่เด็กหนุ่มพูดนั้นหมายถึงอะไร พอนึกออกก็เลยพลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย
 


"ล้อเล่นน่ะครับ ผมนากาจิมา ยูโตะ สงสัยว่าเราจะเคยเจอกันเมื่อนานแสนนานมาแล้วคุณก็เลยจำคนหล่ออย่างผมไม่ได้ ถ้าได้เจอกันอีกคราวหน้า กรุณาเรียกผมว่ายูโตะนะครับ"



เคย์ยิ้มน้อยๆตอบรับการแนะนำตัวนั้น อาซากะที่ยืนเป็นตอไม้อยู่นานแล้วจึงเอ่ยปากถามเรื่องธุระของยูโตะเพื่อเป็นการขัดจังหวะ



"อ๋อ! พี่ชายผม เขาฝากนี่มาให้ครับ ของเก่าทีเดียวแหละ อยากให้ช่วยทำความสะอาดแล้วก็ตามหาเจ้าของตัวจริงของสิ่งนี้ให้หน่อย"



"พูดง่ายๆว่าจะให้ช่วยขายให้สินะ"



"โนๆๆๆ ตามหาเจ้าของที่แท้จริง กับคำว่าขาย ความหมายมันต่างกันนะครับ โปรดเข้าใจให้ถูกต้อง"



ยูโตะอธิบายอย่างอารมณ์ดี ไม่สนใจคำพูดแฝงสำเนียงประชดประชันของอาซากะ ก่อนจะผายมือไปยังกล่องเล็กแต่ค่อนข้างยาวคลุมด้วยผ้าสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกกลางห้อง เมื่อดึงผ้าออก ทุกคนก็ได้เห็นกล่องไม้สลักลายเก่าคร่ำคร่า จนแทบแยกไม่ออกว่ารอยไหนเป็นรอยสลัก รอยไหนเป็นร่องรอยสึกหรอที่เกิดขึ้นตามระยะเวลายาวนานของมัน



ในกล่องนั้น.. คือมีดสั้นแบบโบราณ เก่า แต่ยังสมบูรณ์มาก ใบมีดน่าจะทำจากเงินบริสุทธิ์ซึ่งหาได้ยากยิ่ง ตัวด้ามทำจากทองเหลืองซึ่งหมองและมีคราบจับ แต่ก็น่าจะทำความสะอาดได้ไม่ยาก ตรงกลางด้ามฝังอัญมณีสีน้ำเงินเข้มเม็ดโต  ฮิคารุคุ้นเคยกับของเก่าจำพวกนี้ดี และรู้ว่ามันจะสามารถแปรค่าเป็นเงินมหาศาลขนาดไหน



"คุณบอกว่าไม่ขาย แต่จะให้ตามหาเจ้าของอย่างงั้นเหรอ?"



ของมีค่าขนาดนี้ ใครก็อยากเป็นเจ้าของทั้งนั้นแหละ ฮิคารุเริ่มมึนกับคำตอบของเด็กหนุ่ม  ของเก่าขนาดจะให้ไปหาเจ้าของ นี่เขามิต้องไปขุดสุสานทั้งประเทศหรือยังไง ที่น่าปวดหัวกว่าคือจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นเจ้าของ



"คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ผมคิดว่าถ้าได้เจอเจ้าของที่แท้จริง เราก็จะรู้เอง แต่ว่าตอนนี้คุณควรจะกังวลกับคนเจ็บมากกว่านะ"



ฮิคารุหันขวับไปหาร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามือข้างหนึ่งของโคตะจับไหล่เขาเอาไว้แน่น มืออีกข้างกุมศรีษะตัวเอง เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มหน้า และเริ่มจะยืนไม่ไหวแล้ว



"เคย์!! มาช่วยกันหน่อย!!"



ฮิคารุตะโกนเรียกเพื่อนที่ยืนห่างกันไม่กี่ก้าว แต่เจ้าตัวเหมือนอยู่ในภวังค์จนลืมสนใจรอบข้าง



"โคตะเป็นอะไรไป"



เคย์ถามด้วยความตกใจ ช่วยฮิคารุประคองพี่ชายเอาไว้ ยูโตะเสนอว่าควรจะพาไปหาหมอและตนเองจะอาสาขับรถให้ จากนั้นทุกคนก็ยกขบวนออกไป เหลือเพียงอาซากะที่ขบเขี้ยบเคี้ยวฟันอยู่ด้วยความเจ็บใจ



โธ่เว้ย!!! ให้มันได้อย่างงี้!!!



จ้างไอ้พวกขี้ยาไปตีหัวไอ้โคตะ ตีได้ทีเดียวฮิคารุก็ดันโผล่มาให้เสียแผน วันนี้ก็อุตส่าห์อาสาพาลูกค้ามาส่งแทนพ่อจะได้มีข้ออ้างมาเจอเคย์ ทั้งๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะสนใจเรื่องงาน เคย์กลับไปสนใจไอ้เด็กเวรนั่นมากกว่าเขา



ฝากไว้ก่อนเถอะ!!!


















"ถ้าไม่เห็นว่าเจ็บหนักล่ะก็ ฉันไม่ยอมหรอกนะ แบบนี้"



ฮิคารุบ่นเบาๆใส่ร่างสูงที่นอนหนุนตักอยู่ เกลียดขี้หน้ามันก็เรื่องหนึ่ง แต่พอเห็นโคตะเจ็บหนักขนาดนี้ก็อดสงสารไม่ได้  ค่อยซับเหงื่อที่แข่งกันผุดออกมาให้อย่างเบามือที่สุด คอยแกะมือหนาที่กำแน่นจะแทบจนมือแทบจะทะลุทุกห้านาที มองหน้าที่เต็มไปด้วยความทรมานพลางครุ่นคิด



ใครจะอยากทำร้ายหมอนี่กัน สมัยที่เรียนไฮสคูลด้วยกัน หมอนี่ดีเด่นไปเสียทุกอย่าง เป็นนักเรียน นักกิจกรรม นักกีฬาดีเด่น เป็นประธานนักเรียนที่แสนจะเพอร์เฟคท์ แม้กระทั่งพวกหัวทองที่ชอบเหยียดผิวยังแอบปลื้ม ส่งข้าวของมากำนัลอยู่ทุกเทศกาล กรรมจะตกอยู่ที่ใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เขา เพื่อนซี้ของเคย์ที่ต้องช่วยกันแบบขนมนมเนยพวกนั้นกลับบ้าน



"นี่เราจะไปไหนกันเหรอ?"



เคย์ที่นั่งอยู่ข้างคนขับเอ่ยถาม เมื่อยูโตะเลี้ยวรถเข้าไปในตรอกเล็กๆไร้ผู้คน ถนนกว้างพอจะให้รถวิ่งได้แค่คันเดียวเท่านั้น บ้านที่เรียงรายอยู่สองข้างดูเก่า ทึบ ปูนกะเทาะออกมาบางส่วนจนเห็นอิฐสีแดงช้ำที่ก่อไว้ภายใน 



ในมหานครใหญ่ ที่มีแต่แสงสีไม่เคยหลับไหล มีที่แบบนี้ได้อย่างไรกัน?



"มีคนรู้จักที่เป็นหมออยู่แถวนี้น่ะ น่าจะเร็วกว่าฝ่ารถติดไปโรงพยาบาล"



เด็กหนุ่มเหยียบเบรกอย่างแรง ฮิคารุต้องกอดโคตะไว้ไม่ให้หน้าคว่ำตกจากเบาะ ก่อนที่ร่างของโคตะจะถูกยูโตะแบกออกจากรถ แล้วพาเข้าไปในบ้าน...ที่ดูคล้ายๆจะเป็นบ้านผีสิงอย่างรวดเร็ว




















เสียงโวยวายของใครสักคนดังแว่วมา บางครั้งก็ชัด บางครั้งแผ่ว เหมือนคลื่นวิทยุขาดๆหายๆ  แสงสีเงินวูบวาบอยู่ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท



นี่เขาหลับหรือตื่นอยู่กันแน่?



ร่างกายรับรู้ว่าตัวเองถูกวางบนฟูกหรืออะไรสักอย่าง  แต่หูกลับแว่วได้ยินเสียงใครบางคน ...  เคย์เหรอ? หรือว่าฮิคารุกันแน่?



โคตะ หากน้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้า เจ้าจะใช้มันอย่างไร?



ข้าจะใช้มันเพื่อปกป้องคนที่ข้ารัก ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านน้า น้องสองคนของข้า และชาวเมืองบนเกาะนี้



ถ้าเช่นนั้นน้าให้เจ้า จงรักษาไว้ให้ดี สิ่งที่เจ้าพูดไว้ในวันนี้ น้าจะถือว่าเป็นสัญญา จงอย่าทำให้น้าผิดหวัง



นี่เสียงของใครกัน ? แม้ไม่เห็นหน้า แต่เขาก็รับรู้ความเมตตาปราณีจากน้ำเสียงนั้น แล้วอีกคนเล่า เสียงของเขาเองใช่ไหมทำไมเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดมากมายอย่างนี้ เจ็บ..ที่ไม่ใช่ร่างกาย



แต่เป็นความเจ็บปวดที่กัดกร่อนอยู่ในหัวใจนี่



ท่านน้า... ข้าขอโทษ  ข้าไม่อาจทำได้ดังที่ให้สัญญาไว้กับท่าน..



อภัยให้ข้าด้วย...



















ท้องฟ้าและห้วงทะเลเป็นสีดำ  มืดมิดราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ค่ำคืนนี้ไร้แสงจันทร์ หรือแม้แต่แสงดาวสักดวง ร่างสูงยืนอยู่บนหาดทรายมองเข้าไปในความมืดดำที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ 



เงียบสงัด  และอันตราย



"ท่านน้า หากดวงวิญญาณของท่านรับรู้ได้  ขอได้โปรดจงคุ้มครองให้แคลปลอดภัยด้วยเถิด"



แม้รู้ว่าไร้ความหวัง แต่เขาก็ยังขอให้สายลมและเกลียวคลื่นช่วยพัดพาคำอธิษฐานนี้ไปให้ถึงใครบางคน ...  คนที่จะช่วยน้องสาวของเขาได้



"คนตายไม่อาจช่วยเจ้าได้"



"แต่คนตายก็ไม่อาจทำให้ข้าทุกข์ทรมานได้ถึงเพียงนี้"



โคตะตอบโดยไม่มองหน้าบิดา  ด้วยรู้ว่าบิดาจะพูดเรื่องใด แต่เขาจะไม่ยอมใจอ่อน ความทุกข์ทรมานที่น้องสาวจะได้รับนับแต่คืนนี้ไป ไม่อาจทำให้เขายอมรับเหตุผลใดๆของบิดาได้อีกแล้ว



หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ความพยายามที่จะพาน้องหลบหนีสูญเปล่า บิดาจัดคนเฝ้าคอยติดตามเขาและน้องแม้กระทั่งเวลาที่อยู่ในคฤหาสน์ จัดเวรยามราวกับพวกเขาเป็นนักโทษ ไม่ยอมให้โคตะได้ติดต่อกับผู้ใด หรือน้องชายจะส่งจดหมายไปยังเพื่อนรักที่อยู่อีกฝั่งทะเลนั้น  ก็ยังทำไม่ได้



"เจ้าไม่ควรให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่อาจปกครองใครได้"



"ข้าไม่คิดจะปกครองผู้ใด"



โคตะเมินเฉยต่อเสียงทอดถอนใจของบิดา คืนนี้ หลังจากที่ได้ส่งเจ้าสาวขึ้นเรือไปแล้ว เขาและเคย์จะเดินทางออกจากที่นี่ ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ มุ่งหน้าไปยังเกาะอีกแห่งหนึ่งที่ซึ่งเป็นที่พำนักของยาโอโตะเมะ ฮิคารุ  เพื่อนรักเพียงคนเดียวของเคย์



แม้จะต้องเสียลูกๆทั้งสามคน แต่เจ้าเมืองหาได้ยอมเปลี่ยนใจไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้โคตะยินดีถูกชาวบ้านประณามว่าอกตัญญูเสียดีกว่า



"เคย์ไปอยู่เสียที่ใดเล่า"



"เขารออยู่ที่เรือแล้ว คงทนเห็นพี่สาวจากไปเช่นนี้ไม่ได้กระมังจึงไม่มาส่ง"



น้องชายขึ้นเรือที่เทียบท่าตรงท่าเรือด้านหน้าของเกาะ พร้อมกับข้าวของส่วนตัวหนึ่งหีบใหญ่ ขังตัวอยู่ในห้องบนเรือนั้นไม่ยอมออกมา แต่สำหรับเขา อย่างน้อย..ก็ขอให้ได้เห็นหน้าน้องสาวเป็นครั้งสุดท้ายเถิด



















ท่าเรือหลังเกาะ เป็นท่าเรือเล็กๆที่มีเพียงสะพานไม้ใกล้ผุพังเชื่อมระหว่างหาดกับเรือเท่านั้น เดิมทีโคตะและชาวเมืองไม่ใคร่เอาใจใส่ต่อท่าเรือนี้เท่าใดนัก เพราะเป็นท่าเรือเก่า



แต่คืนนี้กลับมีผู้คนมากมายมาชุมนุมกัน ทั้งหมดพร้อมใจกันเปิดทางเมื่อเห็นท่านเจ้าเมืองและบุตรชาย  โคตะก้าวผ่านคนเหล่านั้นไปด้วยความรู้สึกชิงชังเจ็บแค้น แม้คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด แต่เขาก็ยังมองเห็นแววตาของคนเหล่านั้นได้ชัดเจน  หาได้มีใครสักคนโศกเศร้าหรือสำนึกต่อน้องสาวของเขาไม่ มีแต่ความโล่งใจ ยินดี ที่ตนจะได้พ้นจากอำนาจของปีศาจเสียที



สะพานไม้เล็กๆทอดยาวจากชายหาดลงไปในทะเล คบไฟที่ติดอยู่กับเสาเตี้ยๆทั้งสองข้างทางให้แสงสว่างวอบแวบราวกับคนใกล้สิ้นใจ  สะพานส่งเสียงออดแอดเพราะแรงคลื่นซัด  และ.. ที่สุดทางเดินนั้น  หญิงสาวผู้หนึ่ง สวมชุดสีขาวสะอาดบริสุทธิ์  ตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้อย่างประณีต ชายกระโปรงยาวคลุมปลายเท้า  ใบหน้างดงามแต่โคตะรู้ว่าเศร้าหมองนั้นปิดคลุมด้วยลูกไม้ผืนบางๆ ในคืนนี้น้องสาวของเขางดงามเท่าไร ยิ่งสะท้อนใจในความไม่เอาไหนของตัวเองมากเท่านั้น



วูบหนึ่งที่สายลมพัดแรง แสงจากตะเกียงส่องสว่าง โคตะชะงักฝีเท้า  กระพริบตากับสิ่งที่เห็น.. กระตุกทันทีเมื่อได้เห็นหน้าน้องชัดเจน โคตะหายใจไม่ออกเพราะภาพที่เห็นนั้นช่างบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน



ใครกันนะ? ใครสักคนเคยพูดไว้  ว่าน้องชายน้องสาวของเขาเหมือนกันราวกับเป็นพิมพ์เดียว เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ยามที่แคลอยากออกไปเที่ยวเล่นนอกคฤหาสน์ เคย์มักจะเป็นฝ่ายยอมถูกจับแต่ตัวเป็นเด็กหญิง นั่งนิ่งๆเป็นตุ๊กตาอยู่ในบ้านแทนพี่สาว หลายครั้งหลายครา ความลับนี้มีเพียงสามคนพี่น้องที่รู้  ไม่เคยมีใครแยกแยะฝาแฝดคู่นี้ได้นอกจากเขาเท่านั้น



และในค่ำคืนนี้ แม้มีสายตานับร้อยจับจ้อง ก็ยังไม่มีผู้ใดผิดสังเกต



"ข้าอยากบอกลาน้องตามลำพัง"



ไม่มีผู้ใดขวาง  แม้แต่บิดายังยอมถอยห่าง อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วกระมัง



"เจ้า! ทำไม-"



ใบหน้างดงามใต้ผ้าคลุมส่ายน้อยๆเป็นเชิงห้าม ทั้งๆที่โคตะมีคำถามมากมายเหลือเกินแต่ก็รู้ดีว่าน้องจะไม่เอ่ยปากพูดแม้สักน้อย เพราะ"เสียงพูด"คือสิ่งสำคัญประการเดียวที่จะทำให้เรื่องนี่ยังคงเป็นความลับต่อไป



โคตะได้แต่กอดน้องให้แน่นที่สุด ปรารถนาอยากพาน้องหนีไปให้พ้น  แต่หากทำเช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดหนีไปได้เลย



"ได้เวลาต้องจากกันแล้ว"



โคตะปวดร้าวนักเมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียบเฉยของบิดา ราวกับว่าชีวิตของน้องไร้ความหมาย แต่ก็สาแก่ใจนักเมื่อร่างบางถอยหนีจากอ้อมแขนของบิดา และสุดท้ายสิ่งที่เขาจะทำให้ผู้เป็นบิดารับรู้ถึงความทุกข์ของการสูญเสียทุกสิ่ง



"พี่ให้เจ้า"



มีดสั้นขนาดพอดีมือ ปลอกมีดและด้ามจับทำจากทองเหลืองสลักลาย ประดับด้วยมณีสีน้ำเงินล้ำค่าถูกนำไปวางไว้ในมือเรียวของเจ้าสาว  น้องย่อมรู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นของสำคัญเพียงใด  มีดสั้นประจำกาย  มรดกตกทอดจากมารดาของเคย์และแคลที่เจ้าตัวได้มอบให้กับโคตะ  เขาพกมันติดตัวตลอดเวลาแม้ยามนอน แม้แต่บิดาก็ไม่ยอมให้แตะต้อง  บิดาของเขาไม่คู่ควรกับของสิ่งนี้



"พี่ปกป้องเจ้าดังคำสัญญาที่ให้ไว้กับท่านน้าไม่ได้  จึงไม่คู่ควรที่จะใช้มัน  พี่ขอคืนให้เจ้า"



โคตะรับรู้ได้ถึงหยดน้ำอุ่นๆที่หยดร่วงลงบนมือตน แต่เวลาเหลือน้อยลงแล้ว จำต้องข่มความปวดร้าวที่แทบจะทำให้หัวใจแตกสลาย บีบมือน้องเบาๆเพื่อบอกลา



"ลาก่อนน้องข้า  พี่ขอให้เจ้าโชคดี"















"โคตะ โคตะ ตื่นซิ ตื่นเดี๋ยวนี้"



เสียงเรียกและแรงเขย่าจากที่ไหนสักแห่งทำให้โคตะต้องฝืนลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้  พอมองเห็นชัดๆว่าใครเรียกก็ออกอาการบ่นอุบ



"นายปลุกฉันทำไม กำลังหลับสบาย"

 

"แน่ใจเหรอว่าหลับสบาย ฝันร้ายอยู่ใช่รึเปล่า"



โคตะทำตาปรือมองน้องอย่างแปลกใจ ฝันร้ายเหรอฝันเมื่อไหร่กัน



สายตาพร่ามัวทำให้เจ้าตัวยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างคนเพิ่งตื่นนอนทั่วไป แต่สัมผัสเย็นชื้นที่ดวงตาและแก้มนั้นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจกว่าคำถามเมื่อครู่ของเคย์เสียอีก  นี่เขาร้องไห้?



"ก็ร้องไห้น่ะสิ บอกมาซิว่าร้องไห้ทำไม"



"จำไม่ได้"



ฮิคารุทำสีหน้าผิดหวังสุดขีด เพราะตัวเองอยากรู้มากกว่าเคย์เสียอีก เผื่อจะเอาไว้ใช้กีดกันให้ออกห่างจากเคย์เสียบ้าง



โคตะพบว่าตัวเองนอนอยู่ในสถานที่ที่ไม่เคยรู้จัก ทั้งสีของผนัง ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับตกแต่ง ทำให้เขารู้สึกเหมือนหลงเข้ามาอยู่ในยุคโบราณที่ไหนสักแห่ง



"ที่นี่มันที่ไหน?"



"บ้านของผมเอง"



เจ้าของคำตอบนั้นยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่มีอุปกรณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นชุดปฐมพยาบาลวางอยู่ เป็นชายหนุ่มร่างเล็ก อายุน่าจะพอๆกันกับเคย์ กำลังมองมาที่โคตะอย่างพินิจพิจารณา



"ยังปวดหัวอยู่ไหม?"



คำถามนั้นทำให้โคตะยกมือขึ้นแตะตรงท้ายทอยอย่างลืมตัว และพบว่าตรงนั้นยังบวมอยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่เจ็บมากเท่าไหร่แล้ว



"ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ แต่ถ้ายังกังวลอยู่จะไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกทีก็ได้ เพื่อความแน่ใจ"



"ไม่ต้องหรอกน่า หัวโนแค่นี้ไปหาหมอทำไม ไดจังเก่งจะตายรักษาแป๊บเดียวก็หายแล้ว"



ยูโตะส่งเสียงมาก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มร่างสูงยื่นชาร้อนให้เขาถ้วยหนึ่ง บอกว่าเป็นยา แต่หลังจากจิบไปได้นิดหน่อยโคตะก็รู้สึกง่วงจนไม่รับรู้แล้วว่าใครคุยอะไรกันอีกบ้าง



เคย์เห็นท่าทางสะลึมสะลือของพี่ชายจึงขอตัวกลับ และไม่ปฏิเสธที่ยูโตะจะอาสาไปส่ง จากนั้นทั้งหมดก็บอกลากัน



"ไดกิซัง เป็นหมอเหรอ?"



เคย์ถามยูโตะเมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ไดกิดูอาการให้โคตะ  ร่างบางรู้สึกได้ถึงความเชี่ยวชาญคล่องแคล่ว เพียงไม่ถึงห้านาทีโคตะก็หายจากอาการทรมานโดยที่ไม่ต้องฉีดยาหรือกินยาเลยแม้แต่น้อย ความเชี่ยวชาญนั้นช่างขัดกับใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กประถมเหลือเกิน



"ก็ใช่นะ"



เคย์ไม่ทันได้ฟังคำตอบจากยูโตะ  เพราะอยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีใครสักคนมองอยู่  เหมือนกับตอนที่เข้าไปในบ้านของไดกิ  ไม่สิ! ก่อนหน้านั้นด้วย ที่บางครั้งเขารู้สึกว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา...



ร่างบางมองไปยังบ้านของไดกิอีกครั้ง ก็พบแต่รอยยิ้มของไดกิที่มายืนส่งที่ประตูเท่านั้น



บางที..เขาอาจจะคิดไปเอง















.....เจ้าไม่ได้คิดไปเองหรอก   เป็นข้าอย่างไรเล่า ที่คอยมองเจ้าอยู่ตลอดเวลา..........



"คิดถึงเขามากถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่ลงไปพบ"



ไดกิตั้งคำถามกับอีกคน.. คนที่อยู่ในบ้าน แต่ไม่ได้ขยับตัวไปไหน  เฝ้าแต่มองร่างบางคนนั้นผ่านกระจกหน้าต่างจนรถของยูโตะแล่นออกไปไกล



"หากข้าพบเขาตอนนี้ ข้าอาจทำให้เขากลัว"



ร่างสูงสง่ายังทอดสายตาออกไปไกล  ไดกิขี้คร้านจะเสวนากับคนที่เอาแต่ยืนหันหลังให้ จึงออกจากห้องนั้นไปเสีย ทิ้งให้อีกคนจมอยู่ในห้วงความคิดเพียงลำพัง



....เคย์  ข้าคิดถึงเจ้า อยากมีเจ้าอยู่ในอ้อมแขนข้าดังเช่นในกาลก่อน แต่หากข้าออกไปพบเจ้าตอนนี้ข้าอาจแสดงความรู้สึกที่มีทั้งหมดจนทำให้เจ้าเตลิดหนีไปจากข้า....



..... ข้าจะรอ   รอวันที่เจ้าจะจำได้ว่าเจ้ารักข้า   และเมื่อถึงวันนั้น  เราจะไม่พรากจากกันจนชั่วชีวิต...