Wednesday 25 September 2013

[Fiction] Once Upon a time...Nine


Title       -:-          Once Upon a time…  Nine

Writer   -:-           Nalikakeaw

Pairing  -:-           HaruYuya,Yabuhika





















                เสียงโห่เฮ้วที่ดังขึ้นรอบตัวดึงสมาธิของยูยะให้กลับมาจดจ่ออยู่กับฉากที่กำลังแสดงตรงหน้า เพื่อนนักแสดงที่รับบทเป็นเพื่อนร่วมชั้นกรูไปหาโชเฮที่ยืนอยู่หน้าห้องตามบท  ยูยะเดินรั้งท้าย อดนึกในใจไม่ได้ว่า  ทุกคนช่างแสดงได้สมบทบาทดีเหลือเกิน โดยเฉพาะฉากที่พูดถึงเรื่องสาวๆ


                สมจริงซะจนยูยะนึกอยากจะตีหัวหมาขึ้นมาซะอย่างนั้น


                “เฮ้!!! ยามาโตะ  นายเลือกสาวๆกลุ่มไหน?”


                ในที่สุดฮิเดโอะก็ส่งบทมาให้เสียที  ยูยะถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะเดินไปนั่งบนโต๊ะเรียนหันหลังให้เพื่อนๆ


                “ฉันขอผ่าน”


                ตามที่ได้ซักซ้อมกันไว้  ฮารุมะจะต้องกระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะตรงกันข้ามและพูดท้าทายยูยะ  แต่เทคแรก  ฮารุมะกลับทำโต๊ะทั้งตัวหักตอนที่กระโดดขึ้นนั่ง..


                ส่วนเทคที่สอง..


                “อะฮ้า!! นายกลัวจะต้องอายเพราะป๊อบปูลาร์น้อยกว่าฉันล่ะสิ”


                ทันทีที่ปลายนิ้วของมนุษย์หมาป่าแตะเส้นผม ยูยะรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟวิ่งปราดไปทั่วร่าง จากนั้นความเคลื่อนไหวรอบกายเชื่องช้าลง  โดยเฉพาะใบหน้าของฮารุมะที่เช้ามาใกล้ ...ทุกที..ทุกที..


                โครม!!!!!!!!


                “เทคคคคคคคค!!!!!


                ยูยะกระพริบตาปริบๆ  เมื่อรับรู้ว่าใบหน้าที่กำลังเข้ามาใกล้กลับหายวับไป  เสียงหัวเราะดังลั่นของนักแสดงร่วม และทีมงาน ทำให้ยูยะรู้สึกตัวก้มลงมองคนที่อยู่ๆก็ลงไปนั่งอยู่กับพื้นด้วยความงุนงงพอๆกัน


                เพราะยื่นหน้าเข้าไปหายูยะในระยะใกล้เกินไป  เลยเสียสมดุลย์ไถลตกโต๊ะ


                ฉากพูดคุยของหนุ่มๆในชั้นเรียนที่ดูเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่าย  ความผิดพลาดส่วนใหญ่ที่ทำให้เทคอยู่บ่อยครั้งมาจากฮารุหรือไม่ก็ยูยะที่ไม่ค่อยจะมีสมาธิในการทำงานทั้งคู่  แต่การถ่ายทำก็ต้องเร่งเนื่องเพราะนักแสดงคนอื่นๆก็มีคิวงานรออยู่เต็มเอี๊ยด


                กว่าจะถ่ายทำได้ครบทุกฉาก ก็เกือบเช้าของอีกวัน  นักแสดงและทีมงานเอ่ยลากันในสภาพไม่ต่างจากซอมบี้  ฮารุมะกับยูยะเองก็เหนื่อย แต่ยาบุสังเกตเห็นว่าถึงยูยะจะง่วงแค่ไหนก็ฝืนไม่ยอมนอน ส่วนฮารุมะเองก็ไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการลากอีกฝ่ายมานอนหนุนตักอย่างเคย


                “พวกนายเป็นอะไร??วันนี้ไม่ค่อยมีสมาธิเลย”


                “เปล่า”


                สองเสียงประสานคำตอบ แต่ต่างคนต่างไม่มองหน้ากัน  ตอนที่ยาบุขับรถไปส่ง  ฮารุมะนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ  ยูยะนั่งเบาะหลัง  ต่างคนต่างอยู่เงียบๆจนถึงโรงพยาบาล  “พวกนายทะเลาะกันเหรอ?”


                ยาบุถามโดยไม่เกรงใจเจ้าของห้องพักผู้ป่วยอย่างยูมะ เพราะน้องเล็กยังตื่นอยู่ตอนที่พวกเขาเข้าไปในห้อง แล้วก็ทำตาโตเมื่อได้ยินคำถามของยาบุ


                “พี่ฮารุรังแกพี่ยูยะเหรอ??”


                ยาบุยักไหล่ไม่แยแสกับสายตาจะกินเลือดเนื้อของฮารุมะ  เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่ามันจะไม่มีอะไรอย่างที่ทั้งสองคนบอก  ขนาดตอนนี้ยูยะยังแยกตัวไปหาพี่ชาย  แทนที่จะเดินมาหาน้องด้วยกันอย่างทุกครั้ง  ในเมื่อไม่มีใครพูดความจริง  ยาบุก็เลยต้องโยนหน้าที่เค้นคำตอบให้ยูมะไป


                ฮารุมะมองนัยน์ตาคาดคั้นของน้องแล้วจะไม่ตอบก็ไม่ได้  เดี๋ยวยูมะเข้าใจผิดโมโหขึ้นมาจะเป็นเรื่องอีก


                “ก็ไม่มีอะไร”  อยู่ดีๆก็รู้สึกว่ามือไม้มันเกะกะไม่รู้จะวางตรงไหนเลยยกขึ้นเกาหู  “พี่แค่ลองทำตามอย่างที่พี่ของน้องบอก “  ยูมะเอียงหัว  นึกไม่ออกว่าพี่ชายคนโตของบ้านสั่งสอนอะไรพี่เลี้ยงไปบ้าง  ระหว่างนั้นมือของฮารุที่เกาหูก็เลื่อนไปเกาหัว  “ที่บอกให้ อ่อนโยน กับยูยะไง? แต่สงสัยยูยะคงไม่ชินมั้ง  ก็เลย..ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้พี่เท่าไหร่”


                ในห้องเงียบกริบไปนาน..ฮารุมะตกเป็นเป้าสายตาของคนที่เหลือ จนกระทั่งยาบุทำเสียงขลุกขลักในลำคอเหมือนจะสำลัก แต่ก็ปิดบังไม่ได้ว่าเจ้าตัวกำลังหัวเราะ   ยูมะได้แต่มองพี่เลี้ยงตาค้าง  ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

                ในที่สุดฮารุมะก็ทนกับสายตาของยาบุและยูมะไม่ได้ ต้องเผ่นออกจากห้อง อ้างว่าจะไปตามยูยะ    ยาบุหัวเราะก๊าก  ไถลตัวลงไปนอนกุมท้องอยู่กับพื้นอยู่เป็นนาน  ยูมะไม่รู้ว่าจะหัวเราะดีหรือเปล่า  ขำก็ขำ  แต่ตอนที่เห็นมนุษย์หมาป่าทำหน้าแดงหูแดงยูมะก็หัวเราะไม่ออก 


                “ให้ตาย! นี่พี่ตาไม่ฝาดใช่มั๊ย เมื่อกี๊ พี่เห็นฮารุมะมันเขิน ฮ่าๆๆๆ”


                ผู้จัดการคนเก่งยังคงตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะต่อไปแบบไม่หายใจหายคอ 


                “ไม่หรอก  เพราะน้องก็เห็นเหมือนกัน”


                “ฮ่าๆๆๆ ขำว่ะ  โอ๊ยยยยยยยย  มันน่าถ่ายคลิบประจานจริงจริ๊งงงงงงง”


                ยูมะหัวเราะหึๆ  เพราะตอนนี้ คนที่น่าถูกถ่ายคลิบลงเน็ต  น่าจะเป็นคนที่นอนหัวเราะเป็นคนบ้ากลิ้งไปมาอยู่บนพื้นตรงหน้านี่ต่างหาก






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





                ฝั่งคุณหมอยูยะ  เมื่อฟังน้องชายเล่าถึงความกังวลใจที่เกิดขึ้น  คุณหมอก็เกิดอาการวิตกจริต  คิดว่าน้องป่วยไข้  ถึงกับจะจับน้องไปตรวจร่างกาย


                “ฉันไม่ได้ป่วยนะพี่”


                ยูยะพูดเบาๆ แต่ก็เรียกความสนใจจากคนเป็นพี่ให้เงยหน้าจากกองเอกสารที่ใช้สำหรับส่งตัวผู้ป่วยไปยังห้องตรวจต่างๆ   คุณหมอเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของน้องแล้วก็คิดในใจว่า  มันจะไม่ป่วยได้ยังไง  พอรู้ว่ามนุษย์หมาป่าพยายามจะเลิกใช้ความรุนแรง  แทนที่จะดีใจกลับมานั่งเครียด


                หรือว่า...


                “หรือว่านายเป็น.. มาโซคิสม์”


                คนเป็นพี่นั้นตกใจจริงๆ  เลยทำตาโตเท่าไข่ห่าน แต่คนน้องเห็นแล้วกลับคิดว่าพี่ล้อเล่นไม่จริงจัง จึงเริ่มหงุดหงิด


                “ไม่ตลกนะพี่”


                “พี่ก็ไม่ได้คิดว่ามันตลก”  คุณหมอยูยะจ้องหน้าน้องชาย  “ไหนบอกมาซิ  ถ้านายไม่ได้เป็นพวกที่ชอบความรุนแรง  ทำไมถึงต้องกังวลเรื่องที่หมาบ้ามันจะทำตัวเป็นหมาบ้านด้วย”


                คุณหมอมองหน้าน้องชายคนรอง  รอคอยคำตอบ  คนอย่างยูยะ  ถ้าไม่อยากพูดอะไร คาดคั้นไปก็ไร้ประโยชน์  เมื่อไรที่รู้สึกกดดันจนทนไม่ไหว  สุดท้ายก็จะยอมเอ่ยปากออกมาเอง


                “ฉันกลัว”  ตอบเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน  แต่คนเป็นพี่ยังสามารถจับความรู้สึกที่อยู่ในเสียงนั้นได้  หลังจากนั้นยูยะก็มีท่าทีอ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก  แต่แล้วก็ไม่ยอมพูด  “ช่างเถอะ  พี่ไม่เข้าใจหรอก”



                คุณหมอเดินไปนั่งข้างๆน้องชาย  โอบกอดดึงน้องให้ซบลงกับไหล่  ลูบหลังปลอบใจอย่างที่เคยทำเสมอมา  เขายอมรับว่าไม่เข้าใจว่าน้องกำลังคิดอะไร  แต่สิ่งที่เขาเห็นจากสายตาของยูยะ  มันไม่ใช่ความกลัว


                แต่เป็นความหวั่นไหว..


                “พี่ไม่น่ากับพูดกับฮารุแบบนั้น”


                ฟังน้องว่าแล้วคุณหมอก็หัวเราะเบาๆ   ยิ่งอยู่กับมนุษย์หมาป่านาน  ยูยะยิ่งกลายเป็นคนเป็นคนเก็บอารมณ์ที่ใครๆก็เข้าใจยาก  แม้แต่คนเป็นพี่อย่างเขา  บางครั้งก็ไม่เข้าใจความคิดของน้องชายเอาเสียเลย


                “ยูยะ  นายก็รู้  ว่าพี่ไม่เคยยินดีกับคำสาบานระหว่างนายกับฮารุเลย  ถ้าเป็นไปได้  พี่ก็อยากใช้ชีวิตของตัวเองทำลายคำสาบานนั่น  แต่มันเป็นไปไม่ได้  แล้วไอ้หมาบ้า  มันก็บอกว่าจะไม่มีวันปล่อยนายไป   เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่จะทำให้นายมีความสุข  ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนพี่ก็จะทำ  ยูมะเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน  ถ้ามันจะชดเชยให้นายได้”


                “ไม่ใช่ความผิดของพี่กับยูมะสักหน่อย”  ยูยะไถลตัวลงไปหนุนตักพี่ชาย  เจ้าของตักก็ไม่ว่าอะไรเพราะนานๆทีน้องชายจะอ้อน “เรื่องคำสาบานนั่น  มันเป็นความผิดของฉัน  ผิดที่ไม่เชื่อฟังพี่  ก็เลยต้องชดใช้ความผิดของตัวเองก็เท่านั้น”


                หลังจากทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรอีก  คุณหมอปล่อยให้ยูยะนอนคิดอะไรเงียบๆ จนกระทั่งผล็อยหลับไป คุณหมอจึงเสกโซฟาให้กลายเป็นเตียง  จัดท่าให้น้องนอนสบายขึ้น  เพราะได้เวลาที่เขาจะต้องไปตรวจคนไข้  แต่ตอนที่เปิดประตูห้องออกไป  ฮารุมะก็เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูพอดี


                “ยูยะล่ะ?”


                “หลับ! ห้ามกวน!


                มนุษย์หมาป่ามีหรือจะฟัง  คำสั่งของคุณหมอไม่เคยได้ผลหรอกถ้า คุณหมอไม่ยกนิ้วชี้ขวาขึ้นขู่  เพราะฮารุมะรู้ว่าเจ้าตัวคงจะเลือกร่ายคาถาที่รุนแรงน่ากลัวอย่างที่เขาไม่กล้าเสี่ยง


                “ไม่กวนน้องฉันสักวันจะได้มั๊ย  ถ้าหื่นนักก็ไปหาลงกับคนอื่นบ้างก็ได้  มีคนรอถวายตัวให้แกอีกเยอะแยะ”


                “ถ้าไม่ใช่ยูยะ ฉันไม่มีอารมณ์ด้วยหรอก” มนุษย์หมาป่าตอบชัดถ้อยชัดคำ  “แล้วฉันก็แค่จะมาดูว่ายูยะไม่เป็นอะไรเท่านั้นแหละ”


                ในที่สุดมนุษย์หมาป่าก็เบียดเจ้าของห้องให้พ้นทางได้สำเร็จ  แต่ไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปในห้อง ก็ถูกเรียกเอาไว้ก่อน


                “ฮารุ! เดี๋ยวก่อน!!!


                ทันทีที่หันกลับไป ฮารุมะก็รู้สึกว่าทั้งร่างถูกสาปให้เป็นหิน  เมื่อคุณหมอคนสวยโผเข้าหา โอบแขนรอบคอมนุษย์หมาป่า  ประกบริมฝีปากบดเบียดแช่มช้า  ฮารุมะยืนนิ่งไม่ตอบรับรสจูบที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายจูบเก่งแค่ไหน  ในใจคิดเพียงแต่ว่าคนที่ควรจะจูบกับเขาอยู่ตอนนี้  น่าจะเป็นคนที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในห้องมากกว่า


                คุณหมอถอนริมฝีปาก  จ้องมนุษย์หมาป่าที่เขาประณามว่า”หื่น”  ตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยความแปลกใจเล็กๆ 


                “ไม่รู้สึกอะไรจริงๆด้วย”


                  จากนั้นคุณหมอก็เดินลั้นลาอารมณ์ดีจากไป  ทิ้งมนุษย์หมาป่าให้ยืนงง ขนหัวลุกด้วยความสยองไว้ตรงนั้นเอง

  





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







                สถานที่ถ่ายทำในครั้งต่อไปคือย่านศูนย์การค้าที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล   ยูยะและฮารุมะจึงเลือกที่จะเดินไปยังกองถ่าย  ยูยะก้าวเร็วๆเพื่อจะไปให้ทันเวลานัด  ใบหน้าเรียบเฉยดูสดชื่นกว่าทุกครั้ง จากการที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่   เวลาที่ยูยะไปนอนในห้องพักแพทย์ของพี่ชาย  ฮารุมะจะเกรงใจเจ้าของห้องจนไม่กล้ากวนใจยูยะ  หรือที่จริงอาจจะกลัวคำสาปที่พี่ชายเสกไว้ในห้อง  จึงทำได้เพียงนอนกอดเฉยๆ


                “นายหนีไปไม่ได้ตลอดหรอก”


                ฮารุมะที่เดินเคียงข้างกันมาเข่นเขี้ยว  ยูยะรู้ว่ามนุษย์หมาป่าอารมณ์เสียที่เมื่อคืนทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ากอดและจูบ สีหน้าขุ่นเคืองของอีกฝ่ายทำให้ยูยะอารมณ์ดีขึ้นมาอีกนิดหน่อยจนเผลอยกมุมปากเป็นรอยยิ้มน้อยนิด  ที่ทำให้ใบหน้างามชวนมองจนหยุดสายตาของผู้คนที่เดินสวนไปมาเอาไว้  แต่พอเจอสายตาหมาหวงก้างของฮารุมะ ทุกคนก็หลบตาวูบรีบเดินหนีไป


                ทั้งคู่เดินมาจนถึงบริเวณกองถ่าย  คนเยอะกว่าปกติ  เพราะนอกจากทีมงานแล้วยังมีแฟนคลับมาคอยให้กำลังใจนักแสดงวัยรุ่นอีกหลายคนที่มาเข้าฉากด้วย  ฮารุมะโอบยูยะเข้ามาเดินใกล้ๆ  เพราะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ   ไม่ใช่สายตามุ่งร้ายชิงชังจากกลุ่มแฟนคลับของฮารุมะแต่เกลียดยูยะ  คนกลุ่มนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของฮารุมะนับตั้งแต่วันที่พวกหล่อนประกาศตัวว่าเกลียดยูยะอย่างออกนอกหน้า  แต่ความผิดปกติที่ว่า  คือเสียงนกกระจอกแตกรังจากกลุ่มแฟนคลับและทีมงานที่ฮารุมะได้ยินมาแต่ไกล  เงียบลงทันทีเมื่อทั้งคู่มาถึง  ราวกับมีใครสักคนกดปุ่มปิดสวิชต์


                แม้แต่คนที่ไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างยูยะยังรู้สึกได้  ถึงสายตาแปลกๆที่จ้องมองทั้งคู่   จากนั้นฮารุมะก็สังเกตเห็นกลุ่มนักข่าวที่หันกล้องมาทางทั้งสองคนราวกับจะรอเก็บภาพเด็ด  แล้วยังมีสีหน้าเป็นกังวลของยาบุที่กำลังจะเดินมาหา


                แล้วใครบางคนในกลุ่มแฟนคลับที่เกลียดยูยะก็ช่วยตอบข้อสงสัยทั้งหมดให้ ด้วยการขว้างหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาตกลงตรงเท้าของทั้งคู่  เปิดหน้าที่เป็นข่าวใหญ่สดๆร้อนๆของวันให้ทั้งคู่ได้เห็นพอดี


                “ใครขว้างเข้ามา!!!!!!!


                ยาบุตะโกนด้วยความโกรธ  พลางเอื้อมมือคว้าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น  แต่ยังช้ากว่ายูยะ


                ภาพคุณหมอยูยะและฮารุมะครองพื้นที่หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเต็มหน้า  ภาพสี่สีคมชัดพาดหัวด้วยอักษรตัวใหญ่ที่ยูยะไม่สนใจจะอ่าน  เพราะเลือดขึ้นสมองไปตั้งแต่เห็นว่าสองคนในภาพ..


                กำลังจูบกัน...


                เสียงกระดาษขาดดังก้องดังก้องท่ามกลางผู้คนที่เงียบงัน  หนังสือพิมพ์ถูกฉีกเป็นสองส่วน   แยกสองคนในภาพที่กำลังประกบริมฝีปากออกจากกัน  ยูยะถือส่วนที่เป็นภาพของพี่ชายไว้ในมือซ้าย  นิ้วชี้ขวายกขึ้นชี้หน้าฮารุมะ  โกรธจนตัวสั่น   แต่พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องกลั้นหายใจ  แม้แต่นักข่าวแนะปาปารัสซียังลืมกดชัตเตอร์


                “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหม?  นายจะไปยุ่งกับใครคนไหนก็ได้  ฉันไม่สน  แต่ต้องไม่ใช่พี่ชายฉัน!!!!


                ฮารุมะกลืนน้ำลาย  มองหนังสือพิมพ์อีกส่วนที่หล่นอยู่บนพื้น  แต่อยู่ใต้เท้าของยูยะ สลับกับมองปลายนิ้วเรียวที่ชี้ตรงมายังเขา


                “เดี๋ยว!! เรื่องนี้ฉันอธิบายได้”


                ฮารุมะลากผู้จัดการคนเก่งเข้ามาบัง   ในสายตามนุษย์ธรรมดาย่อมไม่รู้ว่ายูยะกำลังจะร่ายคำสาป  ถึงยูยะจะพูดบ่อยๆว่าไม่เก่งเท่าพี่ชาย  แต่สำหรับมนุษย์หมาป่าที่อยู่กับยูยะมานาน  รู้ดีว่ายูยะทั้งสองคนต่างเป็นพ่อมดที่เก่งกาจและทรงอำนาจพอๆกัน  เพียงแต่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่แตกต่าง  แต่หากจะต้องร่ายคำสาปใส่ใครสักคน  ยูยะทั้งสองทำได้ดีไม่แพ้กันเลย


                “ฉันไม่ฟัง ! ยาบุถอยไป!  ใครเข้ามาขวางอย่าหาว่าไม่เตือน”


                มิอุระ  โชเฮ  ที่กำลังจะแอบร่ายคาถาป้องกันให้ฮารุมะ  ชะงักไปทันที  ฮิเดโอะก็อยากจะเข้าไปขวางระหว่างทั้งสองคน แต่เจอคำขู่เข้าก็ไม่กล้าขยับ  ทั้งคู่หันไปยิ้มแหยๆให้มนุษย์หมาป่าเป็นเชิงบอกว่าให้ช่วยเหลือตัวเองไปก็แล้วกัน 
               

                ในช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตายก่อนที่คำสาปร้ายแรงถึงตายจะมา  เสียงสวรรค์จากคนสองคนก็เข้ามาช่วยฮารุมะได้ทันเวลาพอดี




 





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++








                “ยูยะ!!!!/พี่ยูยะอย่านะ!!!!!


                คุณหมอและยูมะตรงเข้ายึดแขนยูยะเอาไว้คนละข้าง  รั้งไว้ไม่ให้ร่ายคำสาปและไม่ให้เข้าถึงตัวฮารุมะได้  ยูยะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุดยิ่งทำให้โกรธมากขึ้นอีก  พี่ชายคนโตจึงรีบกระซิบย้ำเตือนเรื่องคำสาบานและคำสาปตีกลับเพื่อให้ยูยะได้สติ  แต่คราวนี้ยูยะเลือกที่จะยอมตายมากกว่า  คุณหมอจึงไม่มีทางเลือก..นอกจากบอกความจริง


                “พี่เป็นฝ่ายจูบฮารุก่อนเอง!!!!


                ทุกการเคลื่อนไหวหยุดชะงัก  แม้แต่ยูมะยังตกใจจนเผลอปล่อยแขนยูยะ


                “พี่ยูยะจูบพี่ฮารุก่อนเหรอ???”


                คุณหมอพยักหน้ารับกับน้องชายคนเล็กซื่อๆ  เหมือนจะบอกว่าก็แค่จูบ  จะอะไรหนักหนา  หันไปมองพี่เลี้ยงมนุษย์หมาป่า เจ้าตัวก็พยักหน้าหงึกๆเป็นการยืนยัน   ยูยะคนน้องที่พอจะระงับความโกรธได้แล้ว ถามพี่ชายแบบหัวเสียสุดๆ


                “แล้วพี่ไปจูบฮารุทำไม?”


                “แหะๆ ก็อยากจะพิสูจน์อะไรนิดหน่อยเอง”  น้องชายสองคนยังงุนงงสงสัย  คุณหมอจึงต้องขยายความให้ชัดเจน   “ก็ไอ้หมาบ้า เอ๊ย!! ฮารุ บอกพี่ว่า  ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นาย”  พูดไปก็เอานิ้วจิ้มๆอกน้องชายที่ตัวสูงกว่าไปด้วย “ฮารุมันไม่มีอารมณ์จะทำอย่างว่าด้วย พี่ก็เลยอยากรู้ว่ามันพูดจริงไหม?”


                หลายคนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ  ยูยะเองถ้าไม่รู้จักคนตรงหน้าดีก็จะไม่เชื่อเหมือนกัน   พี่ชายเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์โดยสายเลือด  อยากรู้อะไรก็จะต้องรู้ให้ได้  อยากพิสูจน์อะไรก็จะทำต่อให้เป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายแค่ไหน  ที่จูบกับฮารุมะ  เจ้าตัวก็คงไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าความอยากรู้


                “ก็ไม่นึกว่าจะมีปาปารัสซีอยู่แถวนั้นนี่” คุณหมอขมวดคิ้วสีหน้าจริงจัง  “ก็ไหนว่ายาบุจัดการไปหมดแล้ว”


                ยาบุแทบจะแยกเขี้ยวตอบกลับมาว่าปาปารัสซี่ในวงการนี้ไม่ได้มีแค่คนเดียว  แต่คุณหมอไม่สนใจจะฟัง  หันกลับไปง้องแง้ง ง้องอนน้องชายตัวสูงที่ยังอารมณ์เสียไม่เลิก  ภาพของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายคนโต แต่กำลังทำตัวเหมือนน้องเล็กของบ้านนั้นทำให้หลายคนอดยิ้มไม่ได้   แต่ก็ยังมีบางคนที่เห็นแล้วหมั่นไส้จนแสดงออกมาอย่างชัดเจน


                “ปัญญาอ่อน!!!


                ยูยะที่กำลังจะยิ้มหุบยิ้มทันที  ยูมะกับฮารุมะหันไปทางต้นเสียงพร้อมๆกัน  ทั้งคู่มีความสามารถในการรับฟังและแยกแยะเสียงดีกว่ามนุษย์  จึงรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนพูด  และคนพูดเองก็ไม่ได้คิดจะปกปิด เพราะเจ้าหล่อนจ้องกลับมาอย่างท้าทาย  ไม่หลบตาเหมือนแฟนคลับคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้วยกัน


                “นั่นใครน่ะ?”


                คุณหมอกระซิบถามน้องชาย  ได้คำตอบกลับมาว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นหัวหน้ากลุ่มของแฟนคลับของฮารุมะที่เกลียดยูยะ  คอยตามฮารุมะไปทุกที่ และยังเป็นลูกสาวของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ที่ละครกำลังฉายด้วย  จึงไม่กลัวเกรงใครอย่างที่เห็น


                มีคนรักย่อมมีคนชัง  ยูยะเข้าใจเรื่องนี้ดี  แต่ไม่คิดว่าความเกลียดของแฟนคลับเหล่านั้นจะเผื่อแผ่มาถึงพี่ชายน้องชายของเขาด้วย


                “นี่ยูยะ~ นายต้องขอบใจพี่สิ พี่อุตส่าห์ลดตัวลงไปจูบกับหมาเพื่อนายเลยนะ”


                อยู่ดีๆคุณหมอก็กลับไปเกาะแขนง้อน้องชาย  ทำเหมือนก่อนหน้านั้นไม่ได้มีอะไรมาขัดจังหวะ  น้องชายทั้งสองผู้ซึ่งไม่เคยตามความคิดพี่ชายคนโตทันถึงกับต้องมองหน้ากันทำตาปริบๆ  แม้แต่คนที่ถูกพาดพิงว่าเป็นหมายังลืมโกรธ


                “ยังไง?”


                “ก็แก เอ๊ย! นายมันหื่น  ฉันก็กลัวว่านายจะหน้ามืดคลำดูรู้ว่าไม่มีหางแล้วจะเอาหมด  แต่ตอนนี้ก็รู้แล้ว”  คุณหมอปรายตาไปทางกลุ่มแฟนคลับเจ้าปัญหา  “ว่าต่อให้มียายคุณหนูหน้าด้านที่ไหนมาแก้ผ้ายั่วต่อหน้า ฮารุก็ไม่สนใจหรอก”


                วาจาผิดกับหน้าตาใสซื่อ และรอยยิ้มหวานเยือกเย็นชวนให้คนรอบข้างขนหัวลุก  ฮิเดโอะถึงกับต้องถอนคำพูดที่พูดไว้ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาทีว่าอยากจีบคุณหมอ  ส่วนฮารุมะ ถึงจะเพิ่งรู้ตัวว่าโดนด่าไปหลายและอยากจะบีบคอคุณหมอแค่ไหนก็ทำไม่ได้  เพราะถูกยูยะคนน้องทำตาขวางใส่  เลยทำได้แค่แง่งๆโต้ตอบเหมือนเคย


                “ขอบใจ!!! แต่วันหลังไม่ต้อง!!! เพราะสำหรับฉัน  ใครหน้าไหนก็มาแทนยูยะไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”


                คำพูดโพล่งไม่ทันคิดทำให้แฟนๆที่สนับสนุนฮารุมะและยูยะร้องกรี๊ด   และทำให้เหล่าแอนตี้ขี้อิจฉาเต้นเร่าๆเหมือนมีใครจุดไฟใส่  คุณหมอเลยสงเคราะห์ให้ด้วยน้ำถังใหญ่ๆที่แอบเสกขึ้นมา  แต่ไม่ได้มีแค่นั้น  เพราะน้องชายทั้งสองคนก็ทำอย่างเดียวกันแบบไม่ได้นัดหมาย  ตัวป่วนทั้งหลายเลยโดนสาดน้ำแบบคูณสามเปียกเป็นลูกหมากลับบ้านไป

 





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







                หลังจากถ่ายละคร  ยูยะกลับมาพักที่แมนชั่น  ทั้งๆที่ใจจริงไม่อยากอยู่ตามลำพังกับฮารุมะเลย  แต่ถ้าไปนอนค้างที่โรงพยาบาล  พี่ก็จะรู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ 


                ตั้งแต่เกิดเหตุตอนเช้า  ยูยะก็รู้สึกว่าอารมณ์ไม่มั่นคงนัก  แม้จะรักษากิริยาให้นิ่งเงียบได้เหมือนเคย  แต่กลับรู้สึกสั่นไหวในอก  เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่ฮารุมะพูดว่า  ไม่มีใครมาแทนที่ยูยะได้


                นายพูดแบบเพราะอะไร...ฮารุ?


                ฝ่ายฮารุมะกลับตรงกันข้าม  ดูเหมือนว่าอารมณ์ของมนุษย์หมาป่าจะมั่นคงขึ้น  ใจเย็นมากขึ้น   ตอนที่มีบุคคลปริศนาส่งกุหลาบแดงมาให้ยูยะที่กองถ่าย  ฮารุมะก็รับช่อดอกไม้มาโดยที่ไม่มีท่าทางว่าโกรธสักนิด  เป็นยูยะเสียอีกรู้สึกว้าวุ่นใจจนไม่มีสมาธิจะทำงาน


                “ที่จริงฉันโกรธ”  ฮารุมะบอกไปตามตรง  “แต่นายเคยพูดไม่ใช่เหรอยูยะ ?  ว่าดอกไม้ไม่มีความผิด  รู้ตัวไอ้คนส่งเมื่อไหร่  ค่อยไปเล่นงานทีเดียวก็แล้วกัน”


                ยูยะไม่เข้าใจอารมณ์มนุษย์หมาป่าเลยแม้แต่นิดเดียว  แต่ฮารุมะก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มจนกระทั่งทั้งคู่มาถึงที่พัก  ยูยะใช้น้ำเย็นไล่ความคิดว้าวุ่นออกจากสมอง  แช่อยู่ในห้องอาบน้ำเป็นนาน  แต่ฮารุมะก็ไม่ได้มาเรียก หรือเข้ามากวนใจอย่างทุกครั้งทำให้ยูยะมั่นใจว่ามนุษย์หมาป่าต้องมีอะไรสักอย่างผิดปกติไปแน่ๆ


                “ฮารุ?”


                ยูยะชะงักอยู่ตรงประตูห้องนอน   ฮารุมะไม่มีทีท่าว่าจะสนใจหรือได้ยินที่เขาเรียก  มนุษย์หมาป่า นั่งอยู่บนเตียงฝั่งหนึ่ง ในเงาสลัวของแสงไฟ  เอาแต่จ้องมองดอกกุหลาบที่ดึงอออกมาจากช่อ ไล้นิ้วไปตามกลีบดอกอย่างทะนุถนอม   แต่แล้วก็รวบกำปลิดกระชากดอกไม้ทั้งดอกอย่างไร้ความปราณี   ปล่อยกลีบดอกไม้ชอกช้ำร่วงลงบนเตียง


                “ฮารุ...  นายเป็นอะไรหรือเปล่า”


                ฝืนถามออกไปทั้งที่ในใจนั้นหวาดกลัวเหลือเกิน  แม้ว่าจะชินชากับความป่าเถื่อนของอีกฝ่าย  แต่อารมณ์ที่เดาไม่ได้ของฮารุมะนั้นน่ากลัวมากกว่า


                “เปล่า”  พอดอกกุหลาบหมดช่อ  ฮารุมะถึงได้รู้สึกตัวว่ามีกลีบกุหลาบแดงโปรยเกลื่อนอยู่บนเตียงและพื้น “ฉันแค่นึกถึงเรื่องที่เคยคุยกับยูมะ”  ยูยะยืนนิ่งคอยฟัง  กระทั่งอีกฝ่ายก้าวเข้ามาหา “ยูมะบอกฉันว่า  ถ้าดอกไม้ถูกตัดออกจากต้น  มันจะตาย  แต่ถ้าดูแลอย่างดี  ดอกไม้จะอยู่กับเราได้นานขึ้น”


                ยูยะไม่ได้ขัดขืนเมื่อถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง  เขารู้ดีว่าตอนนี้มนุษย์หมาป่าต้องการสิ่งใด  ..


                 กลิ่นกุหลาบโชยเมื่อมนุษย์หมาป่าไล้นิ้วไปตามโครงหน้า ไล้เรื่อยลงมาตามลำคอ  ยูยะหลับตาลงเมื่อปลายจมูกโด่งจรดลงบนแก้ม  ลากไล้วนเวียนไปทั่วใบหน้า  ริมฝีปากอุ่นแนบประกบบดเบียดแช่มช้า  ฝ่ามือร้อนข้างหนึ่งลูบผ่านเสื้อคลุมอาบน้ำเนื้อหนาลงไปสัมผัสผิวกายเย็นฉ่ำ  ปลดดึงอาภรณ์เพียงชิ้นเดียวหลุดร่วงลงไปกองตรงปลายเท้า


                กลีบกุหลาบกระจายเมื่อสองร่างล้มลงบนเตียงกว้าง  ยูยะนอนนิ่งไม่ยินดียินร้ายเมื่อร่างกายเริ่มตอบสนองการรุกรานของอีกฝ่าย  มันเป็นเพียงสัญชาตญาณของร่างกาย...เหมือนทุกครั้ง


                หากแต่ครั้งนี้กลับต่างไป..


                เพียงอยู่ในอ้อมแขนนี้ไม่นาน...ยูยะกลับรู้สึกถึงอามรมณ์ที่เปลี่ยนไปของมนุษย์หมาป่า ที่ไม่ได้มีเพียงความปรารถนาเหมือนเคย  ทุกสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ช่างอ่อนหวาน นุ่มนวล  ราวกับจะหลอกล่อให้ยูยะลุ่มหลง  กลายเป็นฝ่ายเรียกร้องต้องการเสียเอง


                ยูยะกัดริมฝีปากกลั้นเสียงคราง  เมื่อริมฝีปากร้อนรุ่มพรมจูบบนหน้าอก สัมผัสร้อนวูบวาบที่เลื่อนลงมาถึงหน้าท้องทำให้สะดุ้งพลิกกายหนี  แต่อีกฝ่ายก็เพียรจูบย้ำพรมไล่ตั้งแต่บั้นเอว ขึ้นไปจนถึงแผ่นหลัง มือแกร่งลูบคลึงต้นขา  สอดไปใต้ร่างสัมผัสหน้าท้องปลุกเร้าอารมณ์


                ลมหายใจเร่าร้อนรินรดอยู่ที่ใบหู  แรงขบเบาๆที่ต้นคอ  ไอร้อนจากร่างหนาที่ทาบทับบนแผ่นหลัง  ผิวกายที่เสียดสี กลิ่นเหงื่อเจือกลิ่นกุหลาบ ทำให้ยูยะไม่อาจข่มใจสะกดกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อไป


                เสียงครางจากแผ่วช้าเร่งจังหวะเป็นเร่าร้อนตามแรงก่ายกอดของสองคนที่เรียกร้องและตอบสนองกันและกัน  สอดประสานกันเป็นร่างเดียวอยู่ในค่ำคืนยาวนานไร้ที่สิ้นสุด..

 





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







                แรงขยับเบาๆของคนในอ้อมแขนทำให้ฮารุมะลืมตาตื่น  ท้องฟ้าด้านนอกยังมืด  แต่เริ่มมีสีส้มอ่อนจับขอบฟ้า  มนุษย์หมาป่ากระชับวงแขนกอดคนที่ยังหลับด้วยความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยมาก่อน 


                ฮารุมะเพิ่งได้เรียนรู้เมื่อคืนนี้เองว่า  ความสัมพันธ์ทางกายเพียงอย่างเดียวนั้นไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาของตนได้ ที่ผ่านมาเขาเฝ้าหวงแหนครอบครองตัวยูยะเอาไว้  และตักตวงความสุขสมจากร่างนี้   แต่กลับรู้สึกว่าสิ่งที่ได้มาเป็นความว่างเปล่า  ไร้ตัวตน..แม้ว่ายูยะจะยังคงอยู่กับเขาก็ตาม


                แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นฝ่ายเรียกร้องต้องการเขา  แม้จะด้วยแรงอารมณ์ ที่ฮารุมะเป็นฝ่ายชักพา  แต่เมื่อยูยะกอดเขา ครวญครางเรียกชื่อเขา  หัวใจก็อิ่มเอมเป็นสุข  อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


                มนุษย์หมาป่ารู้ว่าตนเองมีความปรารถนาในตัวยูยะไม่จบสิ้น  แต่ความสุขที่ได้รับนั้นทำให้เขาอดทนรอได้  อย่างน้อยก็สักยี่สิบสี่ชั่วโมงละมั้ง..


                ฮารุมะหลุดขำกับความคิดของตัวเอง  แน่นอนว่าเขายังหวงแหนยูยะอยู่เช่นเดิมหรืออาจจะมากกว่า  แต่ก็รู้สึกสงบและมั่นคงเมื่อรู้ว่า   ไม่ว่าเมื่อไหร่..ยูยะจะเป็นของเขา


                ของเขาเพียงผู้เดียว..



 





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++