Friday 3 June 2011

[Fiction] Once Upon a time...Two

Title : Once Upon a time...Two

Writer : Nalikakeaw

Rate : Not Sure

Pairing : .........





"ผมเลือกยูยะ"


ไม่น่าเชื่อ..แค่คำพูดธรรมดาๆเพียงประโยคเดียวกลับทำให้กล้องทุกตัว ทั้งกล้องโทรทัศน์ กล้องถ่ายภาพ ต่างหันมาเก็บภาพของเด็กหนุ่มที่เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ แต่ในแววตานั้นฉายชัดถึงความมั่นใจ ราวกับว่าคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในใจเสมอมา เสียงนักข่าวสายบันเทิงฮือฮาเหมือนผึ้งแตกรังยามที่ร่างสูงกำลังจะก้าวออกจากที่ตรงนั้น คำถามมากมายรัวใส่จากรอบข้างเหมือนปืนกล แต่ทั้งหมดก็เงียบเสียงลงเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นหันกลับมาอีกครั้ง


"ผมคงไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เพราะที่พูดไปวันนี้มันชัดเจนมากที่สุดแล้ว ถึงผมไม่เคยคิดจะปิดบังเรื่องของเรา แต่ก็ไม่ได้อยากทำให้เป็นจุดสนใจมากมายขนาดนี้ เราชอบอยู่กันเงียบๆมากกว่า"


จากนั้นนักข่าวทั้งหลายก็บันทึกได้เพียงภาพแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆห่างออกไป....


ภาพในจอโทรทัศน์ดับพรึ่บ!  ฮารุมะโยนรีโมททิ้งไว้ที่โซฟาแล้วเดินกลับเข้ามาในห้องนอน บนเตียงกว้างมีร่างผอมบางที่ยังหลับสนิท นอนคว่ำซบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ เผยแผ่นหลังเปลือยเปล่า ฮารุมะไล่สายตาไปตามแนวโค้งลาดไหล่เรื่อยลงไปจนถึงสะโพกที่มีเพียงผ้าห่มผืนบางปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ ประทับกดริมฝีปากร้อนหนักๆ ย้ำลงตรงต้นคอ พอให้คนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต้องขยับกายหนีอย่างหงุดหงิด


"จะไม่ตื่นขึ้นมาชื่นชมความสำเร็จของฉันหน่อยหรือไง"


ตอนที่ยาบุบอกว่าทั้งสองคนจะต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างหมดเปลือกนั้น ฮารุมะไม่เข้าใจว่ายาบุต้องการอะไร เพราะดูแล้วมันไม่น่าจะช่วยทำอะไรให้ดีขึ้น มีแต่จะถูกวิจารณ์ในทางลบมากกว่าเดิมเท่านั้น


"ตอนแรกฉันก็อยากจะให้นายสองคนออกไปแก้ข่าวว่าเป็นแค่เพื่อนกัน แต่หลักฐานมันชัดขนาดนี้แล้วจะแถไปทางไหนก็ถูกด่าอยู่ดี สู้เปิดเผยให้โลกรู้ไปเลยดีกว่า"


"แล้วมันจะช่วยอะไรได้ล่ะ? ฉันไม่คิดว่าแฟนๆจะยอมรับได้หรอกนะ"


"นายไม่รู้อะไร ยูยะ ความรักในโลกสมัยนี้น่ะ มันไม่ได้มีข้อกับหนดไว้ว่าต้องเป็นคู่หญิงชายเท่านั้นหรอกนะ  แฟนคลับที่อยากเห็นภาพนายสองคนเป็นคู่รักหวานแหววไม่แคร์สื่อมีอยู่ตั้งเท่าไหร่  ไม่เคยรู้ล่ะสิ  หัดเข้าเว็บเช็คข่าวซะบ้าง ไม่ใช่เอาเวลาไปอยู่บนเตียงซะหมด"


"แต่คนที่รับไม่ได้ก็มีไม่น้อยนะ"


"มันก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย วัดกันระหว่างคนแก่หัวเก่ากับคนรุ่นใหม่ที่ไร้สิ่งปิดกั้นความคิด ว่าไงฮารุ อยากจะลองดูหน่อยไหม"


แค่มองตาฮารุมะก็ดูออกว่ายาบุอยากให้เขาทำ และความเชื่อมั่นในดวงตาคู่นั้นบ่งบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าคู่แข่งจะใช้เล่ห์กลมากมายเพียงใดมาโจมตี เขาก็จะไม่มีวันแพ้


"แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะ"


สิ่งที่ทั้งสองคนต้องทำก็คือการให้สัมภาษณ์สื่อ ตอบคำถามที่ทุกคนอยากรู้ และทำตัวเป็นคู่รักที่คบกันอย่างเรียบง่ายไม่โดดเด่นแต่เปิดเผยจริงใจ เพราะยาบุบอกว่ามันดูน่าเชื่อถือมากกว่าการแกล้งเอาอกเอาใจกันจนหวานเลี่ยน แต่ยูยะกลับปฏิเสธให้ฮารุมะเป็นคนรับหน้าที่นี้แต่เพียงผู้เดียว


"ฮารุแสดงละครเก่งกว่าฉัน เพราะงั้นเรื่องโกหกต่อหน้าคนเยอะๆก็น่าจะทำได้ดีกว่า"


ยาบุทำสีหน้าไม่ถูก แปลไม่ออกว่าประโยคที่พูดนั้นยูยะชื่นชมหรือแอบด่า เพราะสีหน้าคนพูดนั้นเรียบเฉย และคนที่ถูกพาดพิงอย่างเขาก็ไม่ได้มีสีหน้าขุ่นเคือง แต่กลับหัวเราะโอบเอวคนข้างๆเข้ามาจูบหนักๆให้สมกับความปากดีของเจ้าตัว


รสจูบร้อนรุ่มหอมหวาน ลิ้มลองมาเนิ่นนานหากมิรู้เบื่อ  นับวันกลับยิ่งลุ่มหลง หวงแหน ราวสมบัติล้ำค่า ไม่อยากให้ใครมอง ไม่อยากให้หน้าไหนมาแตะต้อง เขาจึงเกลียดอาชีพนี้  แต่เขาไม่อาจห้ามยูยะไม่ให้ทำงานในวงการนี้ได้ เพราะสิ่งที่เขาได้ครอบครองมีเพียงร่างกายของยูยะ ไม่ใช่หัวใจหรือชีวิต


จ้องมองร่างที่ยังหลับพลางยิ้มน้อยๆ ช่างน่าขำที่สิ่งที่ทุกคนคิด กับความเป็นจริงนั้นช่างห่างไกลกันยิ่งนัก ระหว่างเขากับยูยะ ผูกพันกันด้วยร่างกาย คำสาบานและสิ่งตอบแทน ไม่ใช่ความรักอย่างที่ใครๆเข้าใจ

มนุษย์นั้นโง่เขลานัก......


เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะความคิด ฮารุมะรีบคว้าจากโต๊ะหัวเตียงมากดรับก่อนที่มันจะทำให้ยูยะตื่น ปลายสายกรอกเสียงบอกข่าวดีที่เขาคาดเอาไว้ไม่ผิด


"ทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา นายสองคนได้เล่นละครแน่ๆ ดูเหมือนพวกสปอนเซอร์ทั้งหลายจะกดดันไปทางสถานีกับทีมงานว่าถ้าถอดชื่อนายสองคนออก ก็จะถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนเหมือนกัน แล้วตอนนี้ทั้งโฆษณา ถ่ายแบบ เดินแบบ ก็เข้ามาอีกเพียบ"


"อาศัยข่าวสร้างกระแส ยิ่งเกาะกระแสสินค้าก็ยิ่งดัง ที่สุดแล้วบริษัทฯ ก็รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ ฉันชักสงสัยซะแล้วว่าไอ้ข่าวทั้งหมดที่ออกมานี่มันเป็นฝีมือนาย"


"ถ้าเป็นฝีมือฉัน ฉันจะเอากล้องไปติดไว้ในห้องนอนพวกนาย คงจะได้ภาพดีๆคลิบเด็ดๆ ทำเงินได้ดีกว่านี้เยอะว่ะ ว่าแต่ยูยะอยู่ไหน?"


"หลับอยู่"


ยาบุถอนหายใจก่อนจะเตือนผ่านโทรศัพท์มา


"เพลาๆลงหน่อยเถอะวะ เดี๋ยวละครเปิดกล้องก็ต้องเร่งถ่ายทำให้ทันวันออกอากาศที่เลื่อนเร็วขึ้น หามรุ่งหามค่ำกันบ่อยๆยูยะมันจะไม่สบายเอา"


"เข้าใจแล้ว"


เรื่องนั้นน่ะ รู้ดีอยู่แล้ว ต่อให้เขาต้องการมากแค่ไหน ยูยะก็ไม่อาจตอบสนองเขาได้อยู่ตลอดเวลา ความปรารถนาของเขาที่มีต่อยูยะนั้นไม่มีวันหมด


แต่ร่างกายของมนุษย์  ก็ยังมีขีดจำกัดสินะ....






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



"เหนื่อย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"


คนหนึ่งนอนแผ่บนเตียงคนไข้  คนหนึ่งทิ้งตัวลงบนโซฟาตรงข้ามกัน สองพี่น้องพร้อมใจประสานเสียงหลังจากหลบหนีกองทัพนักข่าวมาได้เป็นรอบที่สามสิบของวัน ตั้งแต่มีข่าวของฮารุและยูยะออกมาชีวิตก็ไม่ได้อยู่อย่างสุขสงบอีกเลย


คุณหมอยูยะแทบไม่เป็นอันทำงาน ถูกนักข่าวติดตามรุมล้อมแม้กระทั่งเวลาที่ตรวจหรือไปเยี่ยมคนไข้ หนักเข้าถึงขั้นปลอมตัวเป็นคนไข้เสียเอง คุณหมอแสนดีเลยดีแตก สงเคราะห์นักข่าวทั้งหลายด้วยเข็มฉีดยาอันเบ้อเร่อ เล่นเอาบรรดาคนไข้จอมปลอมวิ่งออกจากห้องตรวจแทบไม่ทัน


ส่วนยูมะก็ถูกกองทัพนักข่าวตามติดเฝ้าอยู่หน้าห้องพักคนไข้ โผล่หน้าออกจากห้องทีไรเป็นต้องเจอไมค์โครโฟนและนักข่าวจากทุกสำนักที่ยื่นหน้ากันเข้ามาถามว่าเขาคิดยังไงกับพี่เขยอย่างฮารุ  พยาบาลต้องตะโกนให้ลั่นว่าอย่ารบกวนคนไข้ พวกนักข่าวถึงได้ยอมถอย แต่ก็ยังคงตามยูมะไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่ายูมะจะไปห้องตรวจตามปกติหรือไปเยี่ยมเพื่อนคนไข้อื่นๆที่ห้องพัก


"ไม่น่าตามใจให้ไปเป็นนักแสดงแลยจริงๆ มีข่าวทีไรเดือดร้อนทุกที ดูสิ! นักข่าวเต็มโรงพยาบาลไปหมด รบกวนทั้งหมอทั้งคนไข้จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วยังหน้าทนไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปอีก"


ยูมะทำหูทวนลมกับเสียงบ่นของพี่ชาย ครั้งก่อน ครั้งก่อนหน้า ครั้งนี้ หรือครั้งไหนๆก็บ่นแบบเดียวกันเป๊ะ แต่พี่ก็ไม่เห็นจะทำอะไรอีกนอกจากบ่น  พอยูยะโทรมาถามคุรหมอก็จะบอกว่า ไม่เป็นไรสบายดี ไม่มีบ่นซักแอะ


ส่วนยูมะ ที่จริงแล้วก็ไม่ได้หัวเสียกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่  อย่างน้อยมันก็ทำให้ชีวิตในโรงพยาบาลที่แสนจะน่าเบื่อนี่มีสีสันขึ้นมาบ้าง จะเหนื่อยก้ตอนที่ต้องใช้สมองสู้รบกับเล่ห์กลของนักข่าวหัวเห็ดทั้งหลายนี่แหละ นอกจากจะเสียแรงไปไม่น้อยแล้วยังทำให้ยูมะเสียเวลาไปเยี่ยมเพื่อนคนป่วยคนอื่นๆอีกต่างหาก


วันนี้ยังไม่ได้ไปหาคุณตาที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย  ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคุณป้าที่ประสบอุบัติเหตุขาหัก  ไม่ได้ไปหาน้องชายที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ แล้วก็ยังไม่ได้เล่านิทานให้เด็กน้อยที่เป็นโรคหอบฟังเลยน๊า~


ร่างเล็กสมส่วนในชุดสีขาวผลักประตูเข้ามาในห้อง และทันทีที่เห็นหน้าคุณหมอ เธอก็รีบรายงานอย่างร้อนรน


"คุณหมอ คุณตาฮายาเสะอาการไม่ค่อยดีค่ะ"


คุณหมอยูยะสาวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ด้วยหน้าที่หมอแม้รู้ว่าคนไข้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็
ต้องยื้อไว้จนสุดความสามารถ ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงหรือความชื่นชมที่ตนจะได้รับ  แต่เพื่อหยุดยั้งทุกหยาดหยดน้ำตาแห่งความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่างหาก


ยูมะเองก็ตกใจไม่น้อย คุณตาฮายาเสะนั้นป่วยเป็นมะเร็งที่ตับระยะสุดท้าย นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเกือบครึ่งปี แต่ถึงแม้จะป่วยด้วยโรคร้ายแต่ก็ยังมีกำลังใจจากลูกๆและภรรยาที่ทำให้อดทนต่อการรักษามาจนถึงทุกวันนี้  ยูมะได้พบคุณตาตอนที่ลูกสาวคนโตพาคุณตาไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังโรงพยาบาล ยูมะชอบที่นั่นมาก พอๆกับที่ชอบคุยกับคุณตา แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นเพื่อนคุยกันมาตลอด ต่อให้ยูมะหายป่วยออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ก็ยังแวะมาหาคุณตาหลังเลิกเรียนอยู่ดี ครอบครัวของคุณตาก็ต้อนรับยูมะ เพราะทำให้คุณตาไม่เหงา


แต่จากวันนี้ไป ...ยูมะคงจะต้องเป็นฝ่ายรู้สึกเหงาแล้วสินะ....





...................................................................




....................................




...............






...



เวลาล่วงผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน  ยูมะถูกเรียกให้ไปที่ห้องผู้ป่วยของคุณตา  โดยที่คุณพยาบาลบอกเหตุผลสั้นๆว่า


"ถึงเวลาที่ต้องบอกลาแล้วจ๊ะ"


บางครั้งยูมะก็สงสัย ว่าคนที่ทำอาชีพหมอและพยาบาลจะยิ้มแย้มใจดีเมื่อพูดถึงความตายของคนอื่นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า  แต่ยูมะก็เห็นว่าดวงตาคู่นั้นคลอด้วยหยาดน้ำ ถึงแม้ว่าจะจะต้องคอยดูแลคนไข้ตามหน้าที่ แต่ที่จริงแล้วก้คงผูกพันสินะ...  และรอยยิ้มนั่นคงมีไว้เพื่อปกปิดความเศร้า...


ในห้องผู้ป่วย ....  สว่างจ้าด้วยแสงไฟ  วันนี้มีคนมาเยี่ยมคุณตาเยอะกว่าเคย  บางคนยูมะไม่เคยเห็นหน้า แต่ยูมะก็สนิทสนมกับภรรยาและลูกๆของคุณตาพอสมควร


ลูกสาวของคุณตาเดินมาจับมือยูมะเอาไว้ เธอเป็นหญิงสาวอายุประมาณสามสิบต้นๆ รูปร่างเล็ก มีโครงหน้าเรียว ผิวขาว คล้ายกับคุณตา แต่งงานและมีลูกแล้ว เป็นพนักงานบริษัทเอกชน


"คุณตาอยากเจอยูมะคุงจ๊ะ"


เธอบอกและจูงมือเด็กหนุ่มไปที่เตียง  ยูมะมองไปรอบห้อง ทุกคนในที่นั้นมีแต่รอยยิ้มมอบให้เขา แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงความหมองเศร้าเสียจนทำให้คนมองปวดหัวใจ


ร่างของคุณตาฮายะเสะตอนนี้ ไม่มีสายระโยงระยางตามตัวเหมือนเมื่อสองวันก่อนที่ยูมะมาเยี่ยม มีเพียงหน้ากากอ็อกซิเจนที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องช่วยหายใจ ยูมะรู้..  ว่าเมื่อไหร่ที่ถอดมันออก คุณตาจะจากไป... โดยที่ไม่มีวันกลับมา


"คุณตาจะไปแล้วเหรอครับ"


ร่างบนเตียงพยักหน้ารับช้าๆด้วยรอยยิ้ม  ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งที่จะได้พบในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า คุณตาเคยบอกเอาไว้ว่าความตายก็เป็นเพียงการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต ที่จะต้องเดินทางด้วยหัวใจ ไม่ใช่ร่างกาย ยูมะไม่เคยเข้าใจความหมายนั้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ดีว่ากำลังจะได้เดินทางไปยังที่ใด


"ถ้าเราได้เจอกันอีกคุณตาจะเล่าเรื่องการเดินทางของคุณตาให้ผมฟังอีกจะได้มั๊ยครับ"


คนป่วยตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง แว่วเสียงสะอื้นดังขึ้นจากกลุ่มคนที่อยู่รอบเตียง แต่ไม่มีใครกล้าร้องไห้ออกมาดังๆ คุณตาบอกเอาไว้นานแล้วว่าอย่าร้องไห้เมื่อเวลามาถึง เพราะมันจะทำให้คุณตาเดินทางไปอย่างไม่สงบ ต้องคอยหันกลับมามองข้างหลังอยู่ตลอดเวลา  แต่มันช่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เพราะแม้แต่ยูมะเอง ก็ต้องกลั้นน้ำตายามที่ต้องบอกลา


"ถ้างั้น ขอให้โชคดีนะครับคุณตา"


เด็กหนุ่มก้าวถอยหลัง เปิดโอกาสให้คนอื่นๆได้บอกลากับชายชราเป็นครั้งสุดท้าย  แล้วพี่ชายเขาก็ถอดหน้ากากอ็อกซิเจนของคุณตาออก  ช่วงเวลาไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้นเสียงสัญญาณชีพจรก็ค่อยๆดังช้าลง ...ช้าลง ในที่สุดก็เงียบหาย


ทดแทนด้วยเสียงร่ำไห้ที่ดังขึ้น...ดังขึ้น


คุณตาฮายาเสะหมดลมหายใจท่ามกลางบุคคลที่คุณตารัก และรักคุณตา  คนที่กุมมือคุณตาไว้ในวินาทีสุดท้าย คือภรรยาคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาเกือบหกสิบปี


คุณตามีความสุขแล้วสินะครับ....




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ยูมะเดินออกจากห้องมาด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าหมดแรง  นี่ไม่ใช่ความตายของคนคุ้นเคยที่ยูมะได้เห็นครั้งแรก ตลอดเวลาที่รับการรักษา ยูมะได้รู้จักผู้ป่วยคนอื่นๆอีกมากมาย  บางคนหายป่วยเป็นปกติแล้วก็กลับบ้าน แต่บางคน.... ก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย


แต่คุณหมอยูยะกลับได้พบเจอความเจ็บปวดมากมายยิ่งกว่า ญาติของผู้ป่วยบางคนไม่อาจทนรับกับความสูญเสียได้ พวกเขาต่างโทษว่าเป็นความผิดของคุณหมอที่ไร้ความสามารถ แม้ว่ายูยะจะกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่ครอบครัวของคุณตาไม่เป็นอย่างนั้น ทุกคนไม่มีใครกล่าวโทษมีแต่จะขอบคุณที่คุณหมอยูยะทำให้พวกเขาได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น


แล้วอยู่ๆ ทั้งกล้องทั้งไมค์โครโฟนก็มาอยู่ตรงหน้าราวกับว่าใครใช้มนต์เสก


"รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับที่ครั้งนี้คุณหมอรักษาชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้"


ยูมะตวัดสายตาจ้องหน้าคนถามทันที  คนพวกนี้ ..ขอให้ได้ข่าวไปเขียน ก็จะไม่สนใจเลยใช่ไหมว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร  ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตัวเองนี่นะ แล้วอีกอย่าง ถามแบบนี้เหมือนจะกล่าวโทษพี่ชายเขาชัดๆ


ขนาดถูกจ้องด้วยสายตาเอาเรื่องนักข่าวคนนี้ยังไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ทำหน้าเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรผิด หน้าที่ของฉันคือหาข่าว ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ข่าวมา ไม่สนทั้งนั้นว่าจะถูกใครมองยังไง  ไม่สนด้วยว่าจะต้องทำให้ใครเจ็บบ้าง  ยูมะเกลียดนักล่ะคนประเภทนี้..


เกลียด....


แว่วเสียงกระจกแตกดังเปรี๊ยะ   ทั้งนักข่าวและตากล้องหันไปมองรอบตัวหาที่มาของเสียง เด็กหนุ่มจึงใช้โอกาสนั้นเดินเลี่ยงออกมา แต่นักข่าวคนเดิมยังตามมาเซ้าซี้ขอคำตอบไม่เลิก


จนกระทั่ง..


"เฮ้ย!!! เลนส์กล้องแตกได้ไงวะเนี่ย"


เสียงโวยวายดังมาจากช่างภาพคู่หูที่เพิ่งเห็นว่าเลนส์ด้านหน้ากล้องแตกร้าวเป็นทางยาว จนไม่อาจจะถ่ายภาพใดๆได้  กล้องตัวนี้ราคาแพงเแสนแพงนัก ยูมะได้ยินนักข่าวคนนั้นกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตากล้อง จากนั้นทั้งสองคนก็เกี่ยงกันว่าใครจะต้องเป็นคนชดใช้  ไม่นานก็ทะเลาะกันเสียงดังลั่นจนพยาบาลต้องเชิญทั้งคู่ให้ออกไปอยู่นอกพื้นที่โรงพยาบาล


สมน้ำหน้า.....



...................................................................



....................................


...............




...




"โกรธมากๆไม่ดีนะยูมะ เดี๋ยวก็ไม่หายป่วยหรอก"


คุณหมอยูยะเอ่ยเตือนน้องชายในเช้าวันต่อมา แต่ยูมะยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดูโทรทัศน์ จนต้องเดือนรอบสอง


"พี่รู้นะ ว่าที่เลนส์กล้องแตกน่ะ ฝีมือเรา ทำแบบนี้บ่อยๆเดี๋ยวน้องนั่นแหละจะไม่สบาย"


"ก็มันโกรธนี่ นักข่าวงี่เง่านั่น !!!!"


พูดถึงทีไรก็โกรธขึ้นมาทุกที ป่านนี้คงหาเงินมาชดใช้ค่ากล้องจนหัวบานไปแล้ว  สมน้ำหน้า หากินบนความทุกข์ของคนอื่นดีนัก


"อย่ามาว่ากันนะ ! ทีพี่ยังไปเล่นงานคนที่เขียนข่าวใส่ร้ายพี่ยูยะเลย"


"ไม่ใช่พี่ซักหน่อย อุบัติเหตุนั่นฝีมือฮารุต่างหาก"


"ก็เหมือนกันแหละน่า!"


น้องน้อยเถียงอย่างดื้อดึง  คุณหมอเลยส่ายหน้าแบบเอือมๆ จะว่าน้องก็ไม่ได้หรอก อันที่จริง เขาก็แอบสมน้ำหน้าคู่หูนักข่าวตากล้องนั่นอยู่เหมือนกัน


"เอาเป็นว่าอย่าทำบ่อยๆก็แล้วกัน ก็รู้อยู่ว่าเราน่ะถ้าทำแบบนี้บ่อยๆแล้วจะป่วย อีกอย่างตอนนี้มีแต่คนคอยตามเราอยู่นะ ถ้าเกิดพวกนักข่าวรู้ขึ้นมามันจะยุ่ง พี่ไม่อยากย้ายบ้านบ่อยๆ"


ยูมะยิ้มกว้างเอาใจพี่ชาย สัญญาว่าจะพยายามไม่ทำอีก แต่ดูคุณหมอจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น


นิสัยมนุษย์ย่อมอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นเป็นธรรมดา เรื่องนี้เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจน  แต่เรื่องบางเรื่อง มนุษย์ก็ไม่สมควรรู้ เพราะมันจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายตามมา


เหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว....


"ข่าวของพี่ยูยะล่ะ"


คุณหมอยูยะหันไปมองโทรทัศน์ทันที ภาพที่เห็นมีเพียงฮารุมะที่กำลังให้สัมภาษณ์แบบสั้นๆแล้วหันหลังเดินจากไป ถึงแม้จะไม่ชอบขี้หน้า  แต่ถ้าจะให้พูดอย่างยุติธรรมแล้วต้องบอกว่าฮารุมะเหมาะกับการอยู่หน้ากล้องพอๆกับยูยะ ทั้งท่าทาง ทั้งรอยยิ้ม ทำให้สาวๆไม่ว่าคนไหนที่ได้เห็นหลงรักได้ง่ายๆ


แต่เขาไม่ชอบขี้หน้าอยู่ดี...


"วันนี้นักข่าวจะมาอีกมั๊ยน๊า~"


ยูมะถามลอยๆขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อวานเล่นงานไปสอง วันนี้จะแกล้งยังไงอีกดีนะ


"เพิ่งสัญญาไปเมื่อกี๊ไงยูมะ"


"ก็สัญญาว่าจะไม่ใช้วิธีแบบเมื่อวานไง  แต่จะใช้นี่"


ยูมะใช้นิ้วเคาะที่หัวตัวเองเบาๆพลางยิ้มเจ้าเล่ห์  คุณหมอยูยะได้แต่ส่ายหน้า นึกสงสารนักข่าวที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของยูมะจับใจ  ไม่ว่าจะใช้ปัญญา หรือเวทย์มนต์ น้องชายเขาก็แกล้งคนได้อย่างเจ็บแสบทั้งนั้นแหละ





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



งานแถลงข่าวเปิดกล้องละครถูกเลื่อนให้เร็วขึ้นสามสัปดาห์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันใจผู้ชมที่เฝ้ารออยากเห็นฮารุมะและยูยะแสดงละครร่วมกันอย่างใจจดใจจ่อ  ยิ่งไปกว่านั้น ภาพเบื้องหลังการถ่ายทำเป็นสิ่งที่คนดูกระหายอยากจะดูมากที่สุด เพราะทุกคนอยากจะเห็นภาพคู่รัก  ที่ตอนนี้กลายเป็นคู่รักแห่งปีไปแล้ว


นิตยสารทุกฉบับที่มีรูปคู่ของทั้งสองคนขายดีเป็นอันดับหนึ่ง หรือแม้แต่ภาพที่ไม่ได้ถ่ายแบบคู่กันก็ยังขายหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว  ไหนจะภาพแอบถ่ายที่เหล่าปาปารัสซี่คอยตามเป็นขโยงรัวกดชัตเตอร์จับภาพไว้ทุกอิริยาบทก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า  กรณีสุดท้ายนี่ทำให้ยาบุปวดหัวมาก เพราะนอกจากจะต้องมานั่งจัดการตารางงานของทั้งคู่ให้ลงตัวกับคิวถ่ายละครแล้ว ยังต้องมาจัดการพวกปาปารัสซี่นี่อีก


"ที่จริง นายไม่ต้องยุ่งกับปาปารัสซี่พวกนี้ก็ได้ เรื่องแอบถ่ายแค่นี้พวกฉันชินกันแล้ว"


"ไม่ได้!! เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก ไม่อยากตามมาแก้ข่าวทีหลัง  โอ๊ยยย!!!! อยากจะแยกร่างอีกซักยี่สิบร่าง!!!!"


"ไม่ใช่เพราะอยากเจอใครหรอกเหรอ"


ยาบุหัวเราะหึๆที่ถูกรู้ทัน เงยหน้าจากกองเอกสารมองยูยะในชุดนักเรียนมัธยมปลายแบบที่เรียกได้ว่าไม่ถูกระเบียบเลยซักข้อ พอๆกับของฮารุมะ ชุดนี้ฝ่ายเสื้อผ้าของกองละครจัดมาให้อย่างเร่งด่วนพอๆกับงานแถลงข่าว ตอนนี้ฮารุมะกำลังสำรวจผมที่เพิ่งไปทำไฮไลท์มาแบบสดๆร้อนๆ ก่อนหน้างานจะเริ่มแค่ไม่กี่ชั่วโมง


จะว่าไปก็เหมาะดี...


"ฉลาดอีกแล้วนะยูยะ ทำไมคนที่รู้ทันฉันถึงเป็นนายทุกที"


แต่ฮารุมะขมวดคิ้วใส่ยาบุ พูดแบบนี้หมายความว่าเขาไม่ฉลาดหรือยังไง 


"ฉันแค่พูดว่ายูยะฉลาด ไม่ได้บอกว่านายโง่นี่หว่า  เอ้านี่!"


ฮารุมะรับเอกสารจากมือยาบุมาดูกับยูยะ ในนั้นมีทั้งประวัติ รูปถ่าย ของคนคนหนึ่งที่ ทั้งฮารุมะและยูยะคุ้นหน้า แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน


"ยาโอโตเมะ ฮิคารุ คนที่ฉันเคยไปตามตื๊อให้มาเป็นนายแบบในสังกัดไง"


"อ๋อ... แล้วก็โดนตอกกลับมาซะหน้าหงายน่ะเหรอ?"


"ทีเรื่องแบบนี้ล่ะฉลาดจำ"


ถึงฮารุมะไม่ย้ำ ยาบุก็จำเรื่องวันนั้นได้ดี  นายยาโอโตเมะคนนั้น ปฎิเสธยาบุอย่างไร้เยื่อใย แล้วยังตอกกลับมาให้เจ็บใจด้วยว่า มีวิธีหาเงินได้เยอะกว่าการเป็นนักแสดงหรือนายแบบในสังกัดกระจอกๆของยาบุ


เพิ่งจะรู้ว่างานที่ว่าก็คือการเป็นปาปารัซซี่นี่เอง 


"มิน่า ..ถึงบอกว่าหาเงินได้มากกว่า สงสัยว่าเงินที่ได้จากการขายภาพหลุด คงมากกว่าค่าตัวเราสองคนซะอีกละมั้ง คนนี้สินะตัวต้นเหตุ"


ยูยะยังไร้ความรู้สึกเหมือนเคย ยังพูดถึงคนที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายแบบไม่แค้นเคืองซักนิด  ผิดกับคนข้างๆที่ทำตาวาวด้วยความโกรธจัด  งานนี้ยาโอโตเมะคนนั้นจะโดนอาถรรพ์อย่างที่ใครๆเขาลือกันไหมว่า นักข่าวคนไหนที่คิดจะมายุ่มย่ามกับสองคนนี้  จะมีอันเป็นไปเสียทุกคน


"ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ฉันมีวิธีจัดการ รับรองว่าจะทำให้หมอนั่นเลิกอาชีพนี้แบบถาวรไปเลย  นายสองคนมีหน้าที่แสดงละครให้ดีก็พอ"


"แล้ววันนี้เราต้องแสดงละครอีกรึเปล่า"


ยาบุละเกลียดสีหน้าเฉยๆไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับอะไรของคนตรงหน้านี่เสียจริงๆ  ไม่รู้ว่าฮารุมะมันรักยูยะที่ตรงไหน  ตุ๊กตาแสนสวยนี่มีดีอะไรฮารุมะถึงได้หวงหนักหนา  ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมายาบุยังไม่เคยเห็นยูยะยิ้มนอกเหนือจากเวลางานเลยซักครั้ง  เวลาอยู่ด้วยกันก็เหมือนอยู่กับหุ่นกระบอก  แล้วเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนจะเป็นยังไง


"คงไม่ต้องหรอก ทำตัวเป็นปกตินั่นแหละ สวีทมากไปคนจะเบื่อเอา"



...................................................................



....................................



...............



...




งานแถลงข่าววันนี้มีนักข่าวมามากกว่าที่เคย เพราะเป็นการเปิดกล้องละครฟอร์มใหญ่ที่มีนักแสดงที่มีชื่อเสียง และนักแสดงดาวรุ่งน่าจับตาร่วมแสดงอยู่หลายคน  แต่ที่สื่อให้ความสนใจถ่ายภาพมากที่สุดก็หนีไม่พ้นฮารุมะกับยูยะ ทั้งสองคนถูกนักข่าวขอร้องให้ยืนคู่กันเพื่อถ่ายภาพนานเกือบครึ่งชั่วโมง  กว่าจะได้ถ่ายรูปร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ


"ไอ้ผัวเมียจอมขโมยซีนเอ๊ย"


ฮารุมะหันไปแยกเขี้ยวใส่ อิชิงุระ ฮิเดโอะ ที่เดินเข้ามาแทรกระหว่างทั้งสองคน วาดแขนโอบไหล่ทั้งฮารุมะและยูยะเอาไว้ และแน่นอน ฮารุมะเอื้อมไปดึงยูยะออกจากอ้อมแขนนั้นทันที 


"อยากมาเป็นแทนมั๊ยล่ะ ยิ้มจนเหงือกจะบานอยู่แล้ว"


"ถ้าได้ทาคาคิคุงมาอยู่ข้างๆฉันก็ยอมนะ"


มิอุระ โชเฮ เข้ามากอดยูยะจากด้านหลัง ทั้งฮิเดโอะ และโชเฮ  เป็นทั้งนักแสดงและนายแบบที่ฮารุมะและยูยะเคยได้ร่วมงานกันหลายครั้ง จึงได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนและสนิทสนมกันมากพอสมควร  แต่ต่อให้สนิทกันยังไง ฮารุมะก็ไม่อนุญาตให้มากอดยูยะนะเว้ย


"ออกไปห่างๆเลยถ้าไม่อยากตาย"


"หวงไรนักหนาว๊า~ ทาคาคิคุงก็เป็นเพื่อนฉันนะเว้ย  เฮ้ย!!"


โชเฮกระโดดหลบเท้าฮารุมะ พร้อมๆกับที่นักแสดงอีกสองคนเดินเข้ามาพอดี ทั้งนากามะ  จุนตะ และคิริยามะ อาคิโตะ  เลยต้องกระโดดเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังยูยะอย่างพร้อมเพรียง


"อะไรวะ! แค่นี้ก็ไม่ได้ หวงชิบ-"


โชเฮหันไปพยักเพยิดกับอาคิโตะและจุนตะที่ยิ้มร่าอยู่ข้างหลัง ทั้งสองคนนั้นต่างก็รู้จักและสนิทสนมกันเช่นเดียวกับฮิเดโอะและโชเฮ  พอมาเจอกันทีไรก็เลยรวมหัวกันแกล้งฮารุมะแบบนี้ทุกที


"เลิกเล่นเถอะน่า"


เสียงปรามเบาๆจากคนที่ถูกดึงไปมาอยู่ตรงกลาง ตอนนี้ยูยะแทบจะแยกร่างได้อยู่แล้ว ข้างหนึ่งก็ฮารุมะ  ข้างหนึ่งก็บรรดาผองเพื่อน เล่นกันจนกลายเป็นจุดสนใจให้นักข่าวรัวชัตเตอร์ แสงแฟลชจากรอบทิศทำให้ยูยะแสบตาไปหมด


"เพิ่งเคยอยู่ต่อหน้าสื่อมวลชนมากขนาดนี้เป็นครั้งแรกคงยังไม่ชินสินะ พวกดาราใหม่ก็แบบนี้แหละ"


ดาราสาวรุ่นพี่คนหนึ่งเดินผ่านไปพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาลอยๆ บรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนที่บรรดาสื่อมวลชนจะส่งเสียงวิจารณ์กันให้แซ่ด  ว่าคุณเธออิจฉาที่บรรดาสื่อให้ความสนใจกลุ่มนักแสดงหนุ่มๆมากกว่า แต่ก็มีใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า


"สงสัยจะอิจฉาที่ทาคาคิคุงสวยกว่าละมั้ง"


ทุกคนฟังแล้วหัวเราะก๊าก เว้นแต่ดาราสาวคนนั้นที่หันกลับมามองจ้องเขม็งอย่างขุ่นเคือง และยูยะที่มองตอบกลับไปด้วยสีหน้าและสายตาเรียบเฉย...



...................................................................



....................................



...............



...



ถึงเวลาสัมภาษณ์กลุ่มนักแสดงเด็กหนุ่มถูกจัดให้นั่งด้วยกันด้านหลังนักแสดงนำคนอื่นๆ ที่ผลัดกันตอบคำถามจากสื่อมวลชนไปเรื่อยๆจนครบทุกคน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งคำถามสุดท้าย


"อยากทราบว่าฮารุมะซังกับทาคาคิซังเป็นคนรักกันจริงๆหรือเปล่าครับ"


บรรยากาศในห้องสัมภาษณ์เงียบกริบ  ทุกคนรวมทั้งนักแสดงที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างก็หันมามองฮารุมะกับยูยะเป็นตาเดียว แต่ทั้งสองคนยังนั่งเงียบจนพิธีกรต้องพูดแทรกเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้


"เอ่อ คุณนักข่าวครับ คำถามนี้ไม่เกี่ยวกับละครนะครับ ผมว่า.."


"ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถือว่าเป็นคำถามส่งท้าย ทุกคนในห้องก็อยากรู้เหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ"


เจ้าตัวหันไปมองเพื่อนนักข่าวด้วยกัน และทุกคนก็พยักหน้ากลับมาด้วยองศาเดียวกัน พร้อมเพรียงกันเหมือนนัดกันมา


"ผมคิดว่าผมพูดไปหมดแล้วตอนให้สัมภาษณ์ครั้งก่อน"


ฮารุมะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาหลังจากที่สะกดความไม่พอใจเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อถูกฝ่ายนั้นตอกกลับมาเป็นชุด


"นั่นมันยังไม่พอ ฮารุมะคุงพูดอยู่ฝ่ายเดียวแฟนๆคงไม่เชื่อหรอก ต้องให้ทาคาคิคุงพูดบ้าง จริงไหมครับ?"


"อะไรทำให้คุณคิดว่าเราไม่ใช่คนรักกัน"


นักข่าวจอมตื๊อยิ้มออกมาอย่างมีชัย ที่สามารถทำให้ยูยะยอมเปิดปากได้ แล้วพล่ามต่อไปด้วยคำพูดที่เตรียมมาเป็นอย่างดี เพื่อหลอกล่อคำตอบจากนักแสดงหนุ่มที่ได้ชื่อว่าปากหนักที่สุดของวงการ


"เพราะคุณดูไม่เหมือนคู่รักกันน่ะสิ  ดูเหมือนคู่รักโปรโมททำให้ทุกคนสนใจละครมากขึ้น เรตติ้งช่องดีขึ้น ในสายตาผมน่ะพวกคุณดูเหมือนเป็นคู่นอ-"


คำพูดหลังจากนั้นถูกกลืนหายเหลือเพียงเสียงขลุกขลักในลำคอที่ไม่มีใครแปลความหมายได้  ฮารุมะเห็นนักข่าวคนนั้นอยู่ๆก็หน้าแดงจัดเหมือนคนกำลังจะเป็นลมแดดแต่ก็ไม่ใช่  สายตาจ้องตรงมายังเวทีที่เขานั่ง  คนที่นั่งข้างๆเขา


ยูยะนั่งกอดอก มือหนึ่งเท้าคางให้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากที่ยกยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าลงนิดหน่อยเพื่อให้นักข่าวที่ตอนนี้ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ได้เห็นสายตาจิกเล็กๆ


รอยยิ้มยั่วยวนที่น้อยคนนักจะได้เห็น  รอยยิ้มยั่วยวนที่ทำให้อารมณ์และเลือดในกายของคนมองสูบฉีดจนแทบบ้า   รอยยิ้มพิฆาตที่ยูยะใช้เพื่อกำจัดคนบางคน ที่ทำให้ไม่พอใจ ให้ทรมานไปกับความต้องการตามสัญชาตญาณทางเพศที่ยูยะจงใจทำให้มันเกิดขึ้น 


แม้ว่ายูยะจะเป็นฝ่ายยั่วก่อน   ความโกรธของฮารุมะก็พุ่งตรงไปที่นักข่าวคนนั้นทันทีในคราวแรก แต่ก็หายโกรธทันทีที่เห็นว่าหมอนั่นกำลังเข่าอ่อนด้วยอารมณ์เร่าร้อนที่ตนเองไม่อาจควบคุมได้     จนต้องยกมือปิดส่วนที่โป่งพองขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่


หึ!! อ่อนชะมัด!! แค่สบตายูยะก็มีอาการถึงขนาดนี้แล้ว  แต่ก็เอาเถอะ  ไหนๆก็ถูกทำให้อับอายขนาดนี้แล้ว ฮารุมะจะช่วยสงเคราะห์ให้ซักครั้ง


"ยูยะ มากไป"


เสียงกระซิบที่กะให้ได้ยินเฉพาะยูยะ  ดังจนได้ยินชัดเจนไปทั้งห้องเพราะลืมไปว่าตัวเองพูดต่อหน้าไมค์โครโฟน กับท่าทางที่ยูยะทำเป็นเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว  เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆจากนักแสดงรุ่นใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วยกัน หรือแม้กระทั่งบรรดานักข่าวก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้


วินาทีนี้ไม่มีใครที่จะไม่เชื่ออีกแล้วว่าฮารุมะกับยูยะไม่ใช่คนรักกัน


 แม้ว่ามัน....จะเป็นความจริงก็ตาม...







To Be Con....

No comments:

Post a Comment