Title : Once Upon a time...Two
Writer : Nalikakeaw
Rate : Not Sure
Pairing : .........
"ผมเลือกยูยะ"
ไม่น่าเชื่อ..แค่คำพูดธรรมดาๆเพียงประโยคเดียวกลับทำให้กล้องทุกตัว ทั้งกล้องโทรทัศน์ กล้องถ่ายภาพ ต่างหันมาเก็บภาพของเด็กหนุ่มที่เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ แต่ในแววตานั้นฉายชัดถึงความมั่นใจ ราวกับว่าคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในใจเสมอมา เสียงนักข่าวสายบันเทิงฮือฮาเหมือนผึ้งแตกรังยามที่ร่างสูงกำลังจะก้าวออกจากที่ตรงนั้น คำถามมากมายรัวใส่จากรอบข้างเหมือนปืนกล แต่ทั้งหมดก็เงียบเสียงลงเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นหันกลับมาอีกครั้ง
"ผมคงไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เพราะที่พูดไปวันนี้มันชัดเจนมากที่สุดแล้ว ถึงผมไม่เคยคิดจะปิดบังเรื่องของเรา แต่ก็ไม่ได้อยากทำให้เป็นจุดสนใจมากมายขนาดนี้ เราชอบอยู่กันเงียบๆมากกว่า"
จากนั้นนักข่าวทั้งหลายก็บันทึกได้เพียงภาพแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆห่างออกไป....
ภาพในจอโทรทัศน์ดับพรึ่บ! ฮารุมะโยนรีโมททิ้งไว้ที่โซฟาแล้วเดินกลับเข้ามาในห้องนอน บนเตียงกว้างมีร่างผอมบางที่ยังหลับสนิท นอนคว่ำซบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ เผยแผ่นหลังเปลือยเปล่า ฮารุมะไล่สายตาไปตามแนวโค้งลาดไหล่เรื่อยลงไปจนถึงสะโพกที่มีเพียงผ้าห่มผืนบางปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ ประทับกดริมฝีปากร้อนหนักๆ ย้ำลงตรงต้นคอ พอให้คนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต้องขยับกายหนีอย่างหงุดหงิด
"จะไม่ตื่นขึ้นมาชื่นชมความสำเร็จของฉันหน่อยหรือไง"
ตอนที่ยาบุบอกว่าทั้งสองคนจะต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างหมดเปลือกนั้น ฮารุมะไม่เข้าใจว่ายาบุต้องการอะไร เพราะดูแล้วมันไม่น่าจะช่วยทำอะไรให้ดีขึ้น มีแต่จะถูกวิจารณ์ในทางลบมากกว่าเดิมเท่านั้น
"ตอนแรกฉันก็อยากจะให้นายสองคนออกไปแก้ข่าวว่าเป็นแค่เพื่อนกัน แต่หลักฐานมันชัดขนาดนี้แล้วจะแถไปทางไหนก็ถูกด่าอยู่ดี สู้เปิดเผยให้โลกรู้ไปเลยดีกว่า"
"แล้วมันจะช่วยอะไรได้ล่ะ? ฉันไม่คิดว่าแฟนๆจะยอมรับได้หรอกนะ"
"นายไม่รู้อะไร ยูยะ ความรักในโลกสมัยนี้น่ะ มันไม่ได้มีข้อกับหนดไว้ว่าต้องเป็นคู่หญิงชายเท่านั้นหรอกนะ แฟนคลับที่อยากเห็นภาพนายสองคนเป็นคู่รักหวานแหววไม่แคร์สื่อมีอยู่ตั้งเท่าไหร่ ไม่เคยรู้ล่ะสิ หัดเข้าเว็บเช็คข่าวซะบ้าง ไม่ใช่เอาเวลาไปอยู่บนเตียงซะหมด"
"แต่คนที่รับไม่ได้ก็มีไม่น้อยนะ"
"มันก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย วัดกันระหว่างคนแก่หัวเก่ากับคนรุ่นใหม่ที่ไร้สิ่งปิดกั้นความคิด ว่าไงฮารุ อยากจะลองดูหน่อยไหม"
แค่มองตาฮารุมะก็ดูออกว่ายาบุอยากให้เขาทำ และความเชื่อมั่นในดวงตาคู่นั้นบ่งบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าคู่แข่งจะใช้เล่ห์กลมากมายเพียงใดมาโจมตี เขาก็จะไม่มีวันแพ้
"แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะ"
สิ่งที่ทั้งสองคนต้องทำก็คือการให้สัมภาษณ์สื่อ ตอบคำถามที่ทุกคนอยากรู้ และทำตัวเป็นคู่รักที่คบกันอย่างเรียบง่ายไม่โดดเด่นแต่เปิดเผยจริงใจ เพราะยาบุบอกว่ามันดูน่าเชื่อถือมากกว่าการแกล้งเอาอกเอาใจกันจนหวานเลี่ยน แต่ยูยะกลับปฏิเสธให้ฮารุมะเป็นคนรับหน้าที่นี้แต่เพียงผู้เดียว
"ฮารุแสดงละครเก่งกว่าฉัน เพราะงั้นเรื่องโกหกต่อหน้าคนเยอะๆก็น่าจะทำได้ดีกว่า"
ยาบุทำสีหน้าไม่ถูก แปลไม่ออกว่าประโยคที่พูดนั้นยูยะชื่นชมหรือแอบด่า เพราะสีหน้าคนพูดนั้นเรียบเฉย และคนที่ถูกพาดพิงอย่างเขาก็ไม่ได้มีสีหน้าขุ่นเคือง แต่กลับหัวเราะโอบเอวคนข้างๆเข้ามาจูบหนักๆให้สมกับความปากดีของเจ้าตัว
รสจูบร้อนรุ่มหอมหวาน ลิ้มลองมาเนิ่นนานหากมิรู้เบื่อ นับวันกลับยิ่งลุ่มหลง หวงแหน ราวสมบัติล้ำค่า ไม่อยากให้ใครมอง ไม่อยากให้หน้าไหนมาแตะต้อง เขาจึงเกลียดอาชีพนี้ แต่เขาไม่อาจห้ามยูยะไม่ให้ทำงานในวงการนี้ได้ เพราะสิ่งที่เขาได้ครอบครองมีเพียงร่างกายของยูยะ ไม่ใช่หัวใจหรือชีวิต
จ้องมองร่างที่ยังหลับพลางยิ้มน้อยๆ ช่างน่าขำที่สิ่งที่ทุกคนคิด กับความเป็นจริงนั้นช่างห่างไกลกันยิ่งนัก ระหว่างเขากับยูยะ ผูกพันกันด้วยร่างกาย คำสาบานและสิ่งตอบแทน ไม่ใช่ความรักอย่างที่ใครๆเข้าใจ
มนุษย์นั้นโง่เขลานัก......
เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะความคิด ฮารุมะรีบคว้าจากโต๊ะหัวเตียงมากดรับก่อนที่มันจะทำให้ยูยะตื่น ปลายสายกรอกเสียงบอกข่าวดีที่เขาคาดเอาไว้ไม่ผิด
"ทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา นายสองคนได้เล่นละครแน่ๆ ดูเหมือนพวกสปอนเซอร์ทั้งหลายจะกดดันไปทางสถานีกับทีมงานว่าถ้าถอดชื่อนายสองคนออก ก็จะถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนเหมือนกัน แล้วตอนนี้ทั้งโฆษณา ถ่ายแบบ เดินแบบ ก็เข้ามาอีกเพียบ"
"อาศัยข่าวสร้างกระแส ยิ่งเกาะกระแสสินค้าก็ยิ่งดัง ที่สุดแล้วบริษัทฯ ก็รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ ฉันชักสงสัยซะแล้วว่าไอ้ข่าวทั้งหมดที่ออกมานี่มันเป็นฝีมือนาย"
"ถ้าเป็นฝีมือฉัน ฉันจะเอากล้องไปติดไว้ในห้องนอนพวกนาย คงจะได้ภาพดีๆคลิบเด็ดๆ ทำเงินได้ดีกว่านี้เยอะว่ะ ว่าแต่ยูยะอยู่ไหน?"
"หลับอยู่"
ยาบุถอนหายใจก่อนจะเตือนผ่านโทรศัพท์มา
"เพลาๆลงหน่อยเถอะวะ เดี๋ยวละครเปิดกล้องก็ต้องเร่งถ่ายทำให้ทันวันออกอากาศที่เลื่อนเร็วขึ้น หามรุ่งหามค่ำกันบ่อยๆยูยะมันจะไม่สบายเอา"
"เข้าใจแล้ว"
เรื่องนั้นน่ะ รู้ดีอยู่แล้ว ต่อให้เขาต้องการมากแค่ไหน ยูยะก็ไม่อาจตอบสนองเขาได้อยู่ตลอดเวลา ความปรารถนาของเขาที่มีต่อยูยะนั้นไม่มีวันหมด
แต่ร่างกายของมนุษย์ ก็ยังมีขีดจำกัดสินะ....
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"เหนื่อย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"
คนหนึ่งนอนแผ่บนเตียงคนไข้ คนหนึ่งทิ้งตัวลงบนโซฟาตรงข้ามกัน สองพี่น้องพร้อมใจประสานเสียงหลังจากหลบหนีกองทัพนักข่าวมาได้เป็นรอบที่สามสิบของวัน ตั้งแต่มีข่าวของฮารุและยูยะออกมาชีวิตก็ไม่ได้อยู่อย่างสุขสงบอีกเลย
คุณหมอยูยะแทบไม่เป็นอันทำงาน ถูกนักข่าวติดตามรุมล้อมแม้กระทั่งเวลาที่ตรวจหรือไปเยี่ยมคนไข้ หนักเข้าถึงขั้นปลอมตัวเป็นคนไข้เสียเอง คุณหมอแสนดีเลยดีแตก สงเคราะห์นักข่าวทั้งหลายด้วยเข็มฉีดยาอันเบ้อเร่อ เล่นเอาบรรดาคนไข้จอมปลอมวิ่งออกจากห้องตรวจแทบไม่ทัน
ส่วนยูมะก็ถูกกองทัพนักข่าวตามติดเฝ้าอยู่หน้าห้องพักคนไข้ โผล่หน้าออกจากห้องทีไรเป็นต้องเจอไมค์โครโฟนและนักข่าวจากทุกสำนักที่ยื่นหน้ากันเข้ามาถามว่าเขาคิดยังไงกับพี่เขยอย่างฮารุ พยาบาลต้องตะโกนให้ลั่นว่าอย่ารบกวนคนไข้ พวกนักข่าวถึงได้ยอมถอย แต่ก็ยังคงตามยูมะไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่ายูมะจะไปห้องตรวจตามปกติหรือไปเยี่ยมเพื่อนคนไข้อื่นๆที่ห้องพัก
"ไม่น่าตามใจให้ไปเป็นนักแสดงแลยจริงๆ มีข่าวทีไรเดือดร้อนทุกที ดูสิ! นักข่าวเต็มโรงพยาบาลไปหมด รบกวนทั้งหมอทั้งคนไข้จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วยังหน้าทนไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปอีก"
ยูมะทำหูทวนลมกับเสียงบ่นของพี่ชาย ครั้งก่อน ครั้งก่อนหน้า ครั้งนี้ หรือครั้งไหนๆก็บ่นแบบเดียวกันเป๊ะ แต่พี่ก็ไม่เห็นจะทำอะไรอีกนอกจากบ่น พอยูยะโทรมาถามคุรหมอก็จะบอกว่า ไม่เป็นไรสบายดี ไม่มีบ่นซักแอะ
ส่วนยูมะ ที่จริงแล้วก็ไม่ได้หัวเสียกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ อย่างน้อยมันก็ทำให้ชีวิตในโรงพยาบาลที่แสนจะน่าเบื่อนี่มีสีสันขึ้นมาบ้าง จะเหนื่อยก้ตอนที่ต้องใช้สมองสู้รบกับเล่ห์กลของนักข่าวหัวเห็ดทั้งหลายนี่แหละ นอกจากจะเสียแรงไปไม่น้อยแล้วยังทำให้ยูมะเสียเวลาไปเยี่ยมเพื่อนคนป่วยคนอื่นๆอีกต่างหาก
วันนี้ยังไม่ได้ไปหาคุณตาที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคุณป้าที่ประสบอุบัติเหตุขาหัก ไม่ได้ไปหาน้องชายที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ แล้วก็ยังไม่ได้เล่านิทานให้เด็กน้อยที่เป็นโรคหอบฟังเลยน๊า~
ร่างเล็กสมส่วนในชุดสีขาวผลักประตูเข้ามาในห้อง และทันทีที่เห็นหน้าคุณหมอ เธอก็รีบรายงานอย่างร้อนรน
"คุณหมอ คุณตาฮายาเสะอาการไม่ค่อยดีค่ะ"
คุณหมอยูยะสาวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ด้วยหน้าที่หมอแม้รู้ว่าคนไข้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็
ต้องยื้อไว้จนสุดความสามารถ ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงหรือความชื่นชมที่ตนจะได้รับ แต่เพื่อหยุดยั้งทุกหยาดหยดน้ำตาแห่งความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่างหาก
ยูมะเองก็ตกใจไม่น้อย คุณตาฮายาเสะนั้นป่วยเป็นมะเร็งที่ตับระยะสุดท้าย นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเกือบครึ่งปี แต่ถึงแม้จะป่วยด้วยโรคร้ายแต่ก็ยังมีกำลังใจจากลูกๆและภรรยาที่ทำให้อดทนต่อการรักษามาจนถึงทุกวันนี้ ยูมะได้พบคุณตาตอนที่ลูกสาวคนโตพาคุณตาไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังโรงพยาบาล ยูมะชอบที่นั่นมาก พอๆกับที่ชอบคุยกับคุณตา แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นเพื่อนคุยกันมาตลอด ต่อให้ยูมะหายป่วยออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ก็ยังแวะมาหาคุณตาหลังเลิกเรียนอยู่ดี ครอบครัวของคุณตาก็ต้อนรับยูมะ เพราะทำให้คุณตาไม่เหงา
แต่จากวันนี้ไป ...ยูมะคงจะต้องเป็นฝ่ายรู้สึกเหงาแล้วสินะ....
...................................................................
....................................
...............
...
เวลาล่วงผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน ยูมะถูกเรียกให้ไปที่ห้องผู้ป่วยของคุณตา โดยที่คุณพยาบาลบอกเหตุผลสั้นๆว่า
"ถึงเวลาที่ต้องบอกลาแล้วจ๊ะ"
บางครั้งยูมะก็สงสัย ว่าคนที่ทำอาชีพหมอและพยาบาลจะยิ้มแย้มใจดีเมื่อพูดถึงความตายของคนอื่นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า แต่ยูมะก็เห็นว่าดวงตาคู่นั้นคลอด้วยหยาดน้ำ ถึงแม้ว่าจะจะต้องคอยดูแลคนไข้ตามหน้าที่ แต่ที่จริงแล้วก้คงผูกพันสินะ... และรอยยิ้มนั่นคงมีไว้เพื่อปกปิดความเศร้า...
ในห้องผู้ป่วย .... สว่างจ้าด้วยแสงไฟ วันนี้มีคนมาเยี่ยมคุณตาเยอะกว่าเคย บางคนยูมะไม่เคยเห็นหน้า แต่ยูมะก็สนิทสนมกับภรรยาและลูกๆของคุณตาพอสมควร
ลูกสาวของคุณตาเดินมาจับมือยูมะเอาไว้ เธอเป็นหญิงสาวอายุประมาณสามสิบต้นๆ รูปร่างเล็ก มีโครงหน้าเรียว ผิวขาว คล้ายกับคุณตา แต่งงานและมีลูกแล้ว เป็นพนักงานบริษัทเอกชน
"คุณตาอยากเจอยูมะคุงจ๊ะ"
เธอบอกและจูงมือเด็กหนุ่มไปที่เตียง ยูมะมองไปรอบห้อง ทุกคนในที่นั้นมีแต่รอยยิ้มมอบให้เขา แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงความหมองเศร้าเสียจนทำให้คนมองปวดหัวใจ
ร่างของคุณตาฮายะเสะตอนนี้ ไม่มีสายระโยงระยางตามตัวเหมือนเมื่อสองวันก่อนที่ยูมะมาเยี่ยม มีเพียงหน้ากากอ็อกซิเจนที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องช่วยหายใจ ยูมะรู้.. ว่าเมื่อไหร่ที่ถอดมันออก คุณตาจะจากไป... โดยที่ไม่มีวันกลับมา
"คุณตาจะไปแล้วเหรอครับ"
ร่างบนเตียงพยักหน้ารับช้าๆด้วยรอยยิ้ม ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งที่จะได้พบในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า คุณตาเคยบอกเอาไว้ว่าความตายก็เป็นเพียงการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต ที่จะต้องเดินทางด้วยหัวใจ ไม่ใช่ร่างกาย ยูมะไม่เคยเข้าใจความหมายนั้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ดีว่ากำลังจะได้เดินทางไปยังที่ใด
"ถ้าเราได้เจอกันอีกคุณตาจะเล่าเรื่องการเดินทางของคุณตาให้ผมฟังอีกจะได้มั๊ยครับ"
คนป่วยตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง แว่วเสียงสะอื้นดังขึ้นจากกลุ่มคนที่อยู่รอบเตียง แต่ไม่มีใครกล้าร้องไห้ออกมาดังๆ คุณตาบอกเอาไว้นานแล้วว่าอย่าร้องไห้เมื่อเวลามาถึง เพราะมันจะทำให้คุณตาเดินทางไปอย่างไม่สงบ ต้องคอยหันกลับมามองข้างหลังอยู่ตลอดเวลา แต่มันช่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เพราะแม้แต่ยูมะเอง ก็ต้องกลั้นน้ำตายามที่ต้องบอกลา
"ถ้างั้น ขอให้โชคดีนะครับคุณตา"
เด็กหนุ่มก้าวถอยหลัง เปิดโอกาสให้คนอื่นๆได้บอกลากับชายชราเป็นครั้งสุดท้าย แล้วพี่ชายเขาก็ถอดหน้ากากอ็อกซิเจนของคุณตาออก ช่วงเวลาไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้นเสียงสัญญาณชีพจรก็ค่อยๆดังช้าลง ...ช้าลง ในที่สุดก็เงียบหาย
ทดแทนด้วยเสียงร่ำไห้ที่ดังขึ้น...ดังขึ้น
คุณตาฮายาเสะหมดลมหายใจท่ามกลางบุคคลที่คุณตารัก และรักคุณตา คนที่กุมมือคุณตาไว้ในวินาทีสุดท้าย คือภรรยาคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาเกือบหกสิบปี
คุณตามีความสุขแล้วสินะครับ....
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยูมะเดินออกจากห้องมาด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าหมดแรง นี่ไม่ใช่ความตายของคนคุ้นเคยที่ยูมะได้เห็นครั้งแรก ตลอดเวลาที่รับการรักษา ยูมะได้รู้จักผู้ป่วยคนอื่นๆอีกมากมาย บางคนหายป่วยเป็นปกติแล้วก็กลับบ้าน แต่บางคน.... ก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
แต่คุณหมอยูยะกลับได้พบเจอความเจ็บปวดมากมายยิ่งกว่า ญาติของผู้ป่วยบางคนไม่อาจทนรับกับความสูญเสียได้ พวกเขาต่างโทษว่าเป็นความผิดของคุณหมอที่ไร้ความสามารถ แม้ว่ายูยะจะกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครอบครัวของคุณตาไม่เป็นอย่างนั้น ทุกคนไม่มีใครกล่าวโทษมีแต่จะขอบคุณที่คุณหมอยูยะทำให้พวกเขาได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น
แล้วอยู่ๆ ทั้งกล้องทั้งไมค์โครโฟนก็มาอยู่ตรงหน้าราวกับว่าใครใช้มนต์เสก
"รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับที่ครั้งนี้คุณหมอรักษาชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้"
ยูมะตวัดสายตาจ้องหน้าคนถามทันที คนพวกนี้ ..ขอให้ได้ข่าวไปเขียน ก็จะไม่สนใจเลยใช่ไหมว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตัวเองนี่นะ แล้วอีกอย่าง ถามแบบนี้เหมือนจะกล่าวโทษพี่ชายเขาชัดๆ
ขนาดถูกจ้องด้วยสายตาเอาเรื่องนักข่าวคนนี้ยังไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ทำหน้าเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรผิด หน้าที่ของฉันคือหาข่าว ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ข่าวมา ไม่สนทั้งนั้นว่าจะถูกใครมองยังไง ไม่สนด้วยว่าจะต้องทำให้ใครเจ็บบ้าง ยูมะเกลียดนักล่ะคนประเภทนี้..
เกลียด....
แว่วเสียงกระจกแตกดังเปรี๊ยะ ทั้งนักข่าวและตากล้องหันไปมองรอบตัวหาที่มาของเสียง เด็กหนุ่มจึงใช้โอกาสนั้นเดินเลี่ยงออกมา แต่นักข่าวคนเดิมยังตามมาเซ้าซี้ขอคำตอบไม่เลิก
จนกระทั่ง..
"เฮ้ย!!! เลนส์กล้องแตกได้ไงวะเนี่ย"
เสียงโวยวายดังมาจากช่างภาพคู่หูที่เพิ่งเห็นว่าเลนส์ด้านหน้ากล้องแตกร้าวเป็นทางยาว จนไม่อาจจะถ่ายภาพใดๆได้ กล้องตัวนี้ราคาแพงเแสนแพงนัก ยูมะได้ยินนักข่าวคนนั้นกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตากล้อง จากนั้นทั้งสองคนก็เกี่ยงกันว่าใครจะต้องเป็นคนชดใช้ ไม่นานก็ทะเลาะกันเสียงดังลั่นจนพยาบาลต้องเชิญทั้งคู่ให้ออกไปอยู่นอกพื้นที่โรงพยาบาล
สมน้ำหน้า.....
...................................................................
....................................
...............
...
"โกรธมากๆไม่ดีนะยูมะ เดี๋ยวก็ไม่หายป่วยหรอก"
คุณหมอยูยะเอ่ยเตือนน้องชายในเช้าวันต่อมา แต่ยูมะยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดูโทรทัศน์ จนต้องเดือนรอบสอง
"พี่รู้นะ ว่าที่เลนส์กล้องแตกน่ะ ฝีมือเรา ทำแบบนี้บ่อยๆเดี๋ยวน้องนั่นแหละจะไม่สบาย"
"ก็มันโกรธนี่ นักข่าวงี่เง่านั่น !!!!"
พูดถึงทีไรก็โกรธขึ้นมาทุกที ป่านนี้คงหาเงินมาชดใช้ค่ากล้องจนหัวบานไปแล้ว สมน้ำหน้า หากินบนความทุกข์ของคนอื่นดีนัก
"อย่ามาว่ากันนะ ! ทีพี่ยังไปเล่นงานคนที่เขียนข่าวใส่ร้ายพี่ยูยะเลย"
"ไม่ใช่พี่ซักหน่อย อุบัติเหตุนั่นฝีมือฮารุต่างหาก"
"ก็เหมือนกันแหละน่า!"
น้องน้อยเถียงอย่างดื้อดึง คุณหมอเลยส่ายหน้าแบบเอือมๆ จะว่าน้องก็ไม่ได้หรอก อันที่จริง เขาก็แอบสมน้ำหน้าคู่หูนักข่าวตากล้องนั่นอยู่เหมือนกัน
"เอาเป็นว่าอย่าทำบ่อยๆก็แล้วกัน ก็รู้อยู่ว่าเราน่ะถ้าทำแบบนี้บ่อยๆแล้วจะป่วย อีกอย่างตอนนี้มีแต่คนคอยตามเราอยู่นะ ถ้าเกิดพวกนักข่าวรู้ขึ้นมามันจะยุ่ง พี่ไม่อยากย้ายบ้านบ่อยๆ"
ยูมะยิ้มกว้างเอาใจพี่ชาย สัญญาว่าจะพยายามไม่ทำอีก แต่ดูคุณหมอจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
นิสัยมนุษย์ย่อมอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นเป็นธรรมดา เรื่องนี้เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจน แต่เรื่องบางเรื่อง มนุษย์ก็ไม่สมควรรู้ เพราะมันจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายตามมา
เหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว....
"ข่าวของพี่ยูยะล่ะ"
คุณหมอยูยะหันไปมองโทรทัศน์ทันที ภาพที่เห็นมีเพียงฮารุมะที่กำลังให้สัมภาษณ์แบบสั้นๆแล้วหันหลังเดินจากไป ถึงแม้จะไม่ชอบขี้หน้า แต่ถ้าจะให้พูดอย่างยุติธรรมแล้วต้องบอกว่าฮารุมะเหมาะกับการอยู่หน้ากล้องพอๆกับยูยะ ทั้งท่าทาง ทั้งรอยยิ้ม ทำให้สาวๆไม่ว่าคนไหนที่ได้เห็นหลงรักได้ง่ายๆ
แต่เขาไม่ชอบขี้หน้าอยู่ดี...
"วันนี้นักข่าวจะมาอีกมั๊ยน๊า~"
ยูมะถามลอยๆขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อวานเล่นงานไปสอง วันนี้จะแกล้งยังไงอีกดีนะ
"เพิ่งสัญญาไปเมื่อกี๊ไงยูมะ"
"ก็สัญญาว่าจะไม่ใช้วิธีแบบเมื่อวานไง แต่จะใช้นี่"
ยูมะใช้นิ้วเคาะที่หัวตัวเองเบาๆพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ คุณหมอยูยะได้แต่ส่ายหน้า นึกสงสารนักข่าวที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของยูมะจับใจ ไม่ว่าจะใช้ปัญญา หรือเวทย์มนต์ น้องชายเขาก็แกล้งคนได้อย่างเจ็บแสบทั้งนั้นแหละ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
งานแถลงข่าวเปิดกล้องละครถูกเลื่อนให้เร็วขึ้นสามสัปดาห์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันใจผู้ชมที่เฝ้ารออยากเห็นฮารุมะและยูยะแสดงละครร่วมกันอย่างใจจดใจจ่อ ยิ่งไปกว่านั้น ภาพเบื้องหลังการถ่ายทำเป็นสิ่งที่คนดูกระหายอยากจะดูมากที่สุด เพราะทุกคนอยากจะเห็นภาพคู่รัก ที่ตอนนี้กลายเป็นคู่รักแห่งปีไปแล้ว
นิตยสารทุกฉบับที่มีรูปคู่ของทั้งสองคนขายดีเป็นอันดับหนึ่ง หรือแม้แต่ภาพที่ไม่ได้ถ่ายแบบคู่กันก็ยังขายหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ไหนจะภาพแอบถ่ายที่เหล่าปาปารัสซี่คอยตามเป็นขโยงรัวกดชัตเตอร์จับภาพไว้ทุกอิริยาบทก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า กรณีสุดท้ายนี่ทำให้ยาบุปวดหัวมาก เพราะนอกจากจะต้องมานั่งจัดการตารางงานของทั้งคู่ให้ลงตัวกับคิวถ่ายละครแล้ว ยังต้องมาจัดการพวกปาปารัสซี่นี่อีก
"ที่จริง นายไม่ต้องยุ่งกับปาปารัสซี่พวกนี้ก็ได้ เรื่องแอบถ่ายแค่นี้พวกฉันชินกันแล้ว"
"ไม่ได้!! เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก ไม่อยากตามมาแก้ข่าวทีหลัง โอ๊ยยย!!!! อยากจะแยกร่างอีกซักยี่สิบร่าง!!!!"
"ไม่ใช่เพราะอยากเจอใครหรอกเหรอ"
ยาบุหัวเราะหึๆที่ถูกรู้ทัน เงยหน้าจากกองเอกสารมองยูยะในชุดนักเรียนมัธยมปลายแบบที่เรียกได้ว่าไม่ถูกระเบียบเลยซักข้อ พอๆกับของฮารุมะ ชุดนี้ฝ่ายเสื้อผ้าของกองละครจัดมาให้อย่างเร่งด่วนพอๆกับงานแถลงข่าว ตอนนี้ฮารุมะกำลังสำรวจผมที่เพิ่งไปทำไฮไลท์มาแบบสดๆร้อนๆ ก่อนหน้างานจะเริ่มแค่ไม่กี่ชั่วโมง
จะว่าไปก็เหมาะดี...
"ฉลาดอีกแล้วนะยูยะ ทำไมคนที่รู้ทันฉันถึงเป็นนายทุกที"
แต่ฮารุมะขมวดคิ้วใส่ยาบุ พูดแบบนี้หมายความว่าเขาไม่ฉลาดหรือยังไง
"ฉันแค่พูดว่ายูยะฉลาด ไม่ได้บอกว่านายโง่นี่หว่า เอ้านี่!"
ฮารุมะรับเอกสารจากมือยาบุมาดูกับยูยะ ในนั้นมีทั้งประวัติ รูปถ่าย ของคนคนหนึ่งที่ ทั้งฮารุมะและยูยะคุ้นหน้า แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
"ยาโอโตเมะ ฮิคารุ คนที่ฉันเคยไปตามตื๊อให้มาเป็นนายแบบในสังกัดไง"
"อ๋อ... แล้วก็โดนตอกกลับมาซะหน้าหงายน่ะเหรอ?"
"ทีเรื่องแบบนี้ล่ะฉลาดจำ"
ถึงฮารุมะไม่ย้ำ ยาบุก็จำเรื่องวันนั้นได้ดี นายยาโอโตเมะคนนั้น ปฎิเสธยาบุอย่างไร้เยื่อใย แล้วยังตอกกลับมาให้เจ็บใจด้วยว่า มีวิธีหาเงินได้เยอะกว่าการเป็นนักแสดงหรือนายแบบในสังกัดกระจอกๆของยาบุ
เพิ่งจะรู้ว่างานที่ว่าก็คือการเป็นปาปารัซซี่นี่เอง
"มิน่า ..ถึงบอกว่าหาเงินได้มากกว่า สงสัยว่าเงินที่ได้จากการขายภาพหลุด คงมากกว่าค่าตัวเราสองคนซะอีกละมั้ง คนนี้สินะตัวต้นเหตุ"
ยูยะยังไร้ความรู้สึกเหมือนเคย ยังพูดถึงคนที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายแบบไม่แค้นเคืองซักนิด ผิดกับคนข้างๆที่ทำตาวาวด้วยความโกรธจัด งานนี้ยาโอโตเมะคนนั้นจะโดนอาถรรพ์อย่างที่ใครๆเขาลือกันไหมว่า นักข่าวคนไหนที่คิดจะมายุ่มย่ามกับสองคนนี้ จะมีอันเป็นไปเสียทุกคน
"ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ฉันมีวิธีจัดการ รับรองว่าจะทำให้หมอนั่นเลิกอาชีพนี้แบบถาวรไปเลย นายสองคนมีหน้าที่แสดงละครให้ดีก็พอ"
"แล้ววันนี้เราต้องแสดงละครอีกรึเปล่า"
ยาบุละเกลียดสีหน้าเฉยๆไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับอะไรของคนตรงหน้านี่เสียจริงๆ ไม่รู้ว่าฮารุมะมันรักยูยะที่ตรงไหน ตุ๊กตาแสนสวยนี่มีดีอะไรฮารุมะถึงได้หวงหนักหนา ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมายาบุยังไม่เคยเห็นยูยะยิ้มนอกเหนือจากเวลางานเลยซักครั้ง เวลาอยู่ด้วยกันก็เหมือนอยู่กับหุ่นกระบอก แล้วเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนจะเป็นยังไง
"คงไม่ต้องหรอก ทำตัวเป็นปกตินั่นแหละ สวีทมากไปคนจะเบื่อเอา"
...................................................................
....................................
...............
...
งานแถลงข่าววันนี้มีนักข่าวมามากกว่าที่เคย เพราะเป็นการเปิดกล้องละครฟอร์มใหญ่ที่มีนักแสดงที่มีชื่อเสียง และนักแสดงดาวรุ่งน่าจับตาร่วมแสดงอยู่หลายคน แต่ที่สื่อให้ความสนใจถ่ายภาพมากที่สุดก็หนีไม่พ้นฮารุมะกับยูยะ ทั้งสองคนถูกนักข่าวขอร้องให้ยืนคู่กันเพื่อถ่ายภาพนานเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะได้ถ่ายรูปร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ
"ไอ้ผัวเมียจอมขโมยซีนเอ๊ย"
ฮารุมะหันไปแยกเขี้ยวใส่ อิชิงุระ ฮิเดโอะ ที่เดินเข้ามาแทรกระหว่างทั้งสองคน วาดแขนโอบไหล่ทั้งฮารุมะและยูยะเอาไว้ และแน่นอน ฮารุมะเอื้อมไปดึงยูยะออกจากอ้อมแขนนั้นทันที
"อยากมาเป็นแทนมั๊ยล่ะ ยิ้มจนเหงือกจะบานอยู่แล้ว"
"ถ้าได้ทาคาคิคุงมาอยู่ข้างๆฉันก็ยอมนะ"
มิอุระ โชเฮ เข้ามากอดยูยะจากด้านหลัง ทั้งฮิเดโอะ และโชเฮ เป็นทั้งนักแสดงและนายแบบที่ฮารุมะและยูยะเคยได้ร่วมงานกันหลายครั้ง จึงได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนและสนิทสนมกันมากพอสมควร แต่ต่อให้สนิทกันยังไง ฮารุมะก็ไม่อนุญาตให้มากอดยูยะนะเว้ย
"ออกไปห่างๆเลยถ้าไม่อยากตาย"
"หวงไรนักหนาว๊า~ ทาคาคิคุงก็เป็นเพื่อนฉันนะเว้ย เฮ้ย!!"
โชเฮกระโดดหลบเท้าฮารุมะ พร้อมๆกับที่นักแสดงอีกสองคนเดินเข้ามาพอดี ทั้งนากามะ จุนตะ และคิริยามะ อาคิโตะ เลยต้องกระโดดเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังยูยะอย่างพร้อมเพรียง
"อะไรวะ! แค่นี้ก็ไม่ได้ หวงชิบ-"
โชเฮหันไปพยักเพยิดกับอาคิโตะและจุนตะที่ยิ้มร่าอยู่ข้างหลัง ทั้งสองคนนั้นต่างก็รู้จักและสนิทสนมกันเช่นเดียวกับฮิเดโอะและโชเฮ พอมาเจอกันทีไรก็เลยรวมหัวกันแกล้งฮารุมะแบบนี้ทุกที
"เลิกเล่นเถอะน่า"
เสียงปรามเบาๆจากคนที่ถูกดึงไปมาอยู่ตรงกลาง ตอนนี้ยูยะแทบจะแยกร่างได้อยู่แล้ว ข้างหนึ่งก็ฮารุมะ ข้างหนึ่งก็บรรดาผองเพื่อน เล่นกันจนกลายเป็นจุดสนใจให้นักข่าวรัวชัตเตอร์ แสงแฟลชจากรอบทิศทำให้ยูยะแสบตาไปหมด
"เพิ่งเคยอยู่ต่อหน้าสื่อมวลชนมากขนาดนี้เป็นครั้งแรกคงยังไม่ชินสินะ พวกดาราใหม่ก็แบบนี้แหละ"
ดาราสาวรุ่นพี่คนหนึ่งเดินผ่านไปพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาลอยๆ บรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนที่บรรดาสื่อมวลชนจะส่งเสียงวิจารณ์กันให้แซ่ด ว่าคุณเธออิจฉาที่บรรดาสื่อให้ความสนใจกลุ่มนักแสดงหนุ่มๆมากกว่า แต่ก็มีใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า
"สงสัยจะอิจฉาที่ทาคาคิคุงสวยกว่าละมั้ง"
ทุกคนฟังแล้วหัวเราะก๊าก เว้นแต่ดาราสาวคนนั้นที่หันกลับมามองจ้องเขม็งอย่างขุ่นเคือง และยูยะที่มองตอบกลับไปด้วยสีหน้าและสายตาเรียบเฉย...
...................................................................
....................................
...............
...
ถึงเวลาสัมภาษณ์กลุ่มนักแสดงเด็กหนุ่มถูกจัดให้นั่งด้วยกันด้านหลังนักแสดงนำคนอื่นๆ ที่ผลัดกันตอบคำถามจากสื่อมวลชนไปเรื่อยๆจนครบทุกคน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งคำถามสุดท้าย
"อยากทราบว่าฮารุมะซังกับทาคาคิซังเป็นคนรักกันจริงๆหรือเปล่าครับ"
บรรยากาศในห้องสัมภาษณ์เงียบกริบ ทุกคนรวมทั้งนักแสดงที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างก็หันมามองฮารุมะกับยูยะเป็นตาเดียว แต่ทั้งสองคนยังนั่งเงียบจนพิธีกรต้องพูดแทรกเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้
"เอ่อ คุณนักข่าวครับ คำถามนี้ไม่เกี่ยวกับละครนะครับ ผมว่า.."
"ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถือว่าเป็นคำถามส่งท้าย ทุกคนในห้องก็อยากรู้เหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ"
เจ้าตัวหันไปมองเพื่อนนักข่าวด้วยกัน และทุกคนก็พยักหน้ากลับมาด้วยองศาเดียวกัน พร้อมเพรียงกันเหมือนนัดกันมา
"ผมคิดว่าผมพูดไปหมดแล้วตอนให้สัมภาษณ์ครั้งก่อน"
ฮารุมะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาหลังจากที่สะกดความไม่พอใจเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อถูกฝ่ายนั้นตอกกลับมาเป็นชุด
"นั่นมันยังไม่พอ ฮารุมะคุงพูดอยู่ฝ่ายเดียวแฟนๆคงไม่เชื่อหรอก ต้องให้ทาคาคิคุงพูดบ้าง จริงไหมครับ?"
"อะไรทำให้คุณคิดว่าเราไม่ใช่คนรักกัน"
นักข่าวจอมตื๊อยิ้มออกมาอย่างมีชัย ที่สามารถทำให้ยูยะยอมเปิดปากได้ แล้วพล่ามต่อไปด้วยคำพูดที่เตรียมมาเป็นอย่างดี เพื่อหลอกล่อคำตอบจากนักแสดงหนุ่มที่ได้ชื่อว่าปากหนักที่สุดของวงการ
"เพราะคุณดูไม่เหมือนคู่รักกันน่ะสิ ดูเหมือนคู่รักโปรโมททำให้ทุกคนสนใจละครมากขึ้น เรตติ้งช่องดีขึ้น ในสายตาผมน่ะพวกคุณดูเหมือนเป็นคู่นอ-"
คำพูดหลังจากนั้นถูกกลืนหายเหลือเพียงเสียงขลุกขลักในลำคอที่ไม่มีใครแปลความหมายได้ ฮารุมะเห็นนักข่าวคนนั้นอยู่ๆก็หน้าแดงจัดเหมือนคนกำลังจะเป็นลมแดดแต่ก็ไม่ใช่ สายตาจ้องตรงมายังเวทีที่เขานั่ง คนที่นั่งข้างๆเขา
ยูยะนั่งกอดอก มือหนึ่งเท้าคางให้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากที่ยกยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าลงนิดหน่อยเพื่อให้นักข่าวที่ตอนนี้ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ได้เห็นสายตาจิกเล็กๆ
รอยยิ้มยั่วยวนที่น้อยคนนักจะได้เห็น รอยยิ้มยั่วยวนที่ทำให้อารมณ์และเลือดในกายของคนมองสูบฉีดจนแทบบ้า รอยยิ้มพิฆาตที่ยูยะใช้เพื่อกำจัดคนบางคน ที่ทำให้ไม่พอใจ ให้ทรมานไปกับความต้องการตามสัญชาตญาณทางเพศที่ยูยะจงใจทำให้มันเกิดขึ้น
แม้ว่ายูยะจะเป็นฝ่ายยั่วก่อน ความโกรธของฮารุมะก็พุ่งตรงไปที่นักข่าวคนนั้นทันทีในคราวแรก แต่ก็หายโกรธทันทีที่เห็นว่าหมอนั่นกำลังเข่าอ่อนด้วยอารมณ์เร่าร้อนที่ตนเองไม่อาจควบคุมได้ จนต้องยกมือปิดส่วนที่โป่งพองขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หึ!! อ่อนชะมัด!! แค่สบตายูยะก็มีอาการถึงขนาดนี้แล้ว แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆก็ถูกทำให้อับอายขนาดนี้แล้ว ฮารุมะจะช่วยสงเคราะห์ให้ซักครั้ง
"ยูยะ มากไป"
เสียงกระซิบที่กะให้ได้ยินเฉพาะยูยะ ดังจนได้ยินชัดเจนไปทั้งห้องเพราะลืมไปว่าตัวเองพูดต่อหน้าไมค์โครโฟน กับท่าทางที่ยูยะทำเป็นเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆจากนักแสดงรุ่นใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วยกัน หรือแม้กระทั่งบรรดานักข่าวก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้
วินาทีนี้ไม่มีใครที่จะไม่เชื่ออีกแล้วว่าฮารุมะกับยูยะไม่ใช่คนรักกัน
แม้ว่ามัน....จะเป็นความจริงก็ตาม...
To Be Con....
No comments:
Post a Comment