Thursday 26 April 2012

[SF]✪~Rabbit on the Moon ~✪ [ Little white tiger & Little lion Part ]


Title       :               [Fiction] Rabbit on the Moon [ Little white tiger & Little lion Part ]


Writer   :               Nalikakeaw


Pairing  :               Yamayuma, Haruyuya











 ตอนก่อนหน้านี้นะจ๊ะ














"เหมียว ตื่นเถอะ"


เสียงเรียกจากนาฬิกาปลุกที่แสนคุ้นเคย ไม่ทำตัวผมขยับ นอกจากจะทำหูกระดิกสองสามทีตอบรับ


แล้วก็หลับต่อ....


"นี่ตื่นสิ ไปดูพี่ๆด้วยกันหน่อย"


ผมหลับตารับรู้สัมผัสนุ่มๆ จากอุ้งเท้าเล็กๆที่เหยียบลงบนหัวอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ก็กระดิกหูรับสักหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่ายังได้ยิน  คราวนี้อุ้งเท้าเล็กๆนั่นเลยเพิ่มแรงเหยียบขึ้นอีก ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะขึ้นมาเหยียบบนตัวผมทั้งสี่ขาเลยนะนั่น แต่แค่นี้ผมไม่สะเทือนหรอกครับ แถมยังสามารถเอาคืนด้วยการตวัดขาทั้งสี่ข้างกดร่างผอมๆนั่นลงมาเป็นหมอนข้างได้อีกต่างหาก


"หนักนะ"


ผมยังหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ แม้ว่าสองขาหน้าของอีกฝ่ายจะยันถูกปลายคางผมแบบเต็มๆก็เถอะ พออีกฝ่ายพยายามหนีจากอ้อมแขนแมวๆของผม ผมก็ตะกายไปคว้ากลับมาทำหมอนได้อยู่ดี จนกระทั่งยอมให้ผมกอดอย่างสงบนั่นแหละผมถึงยอมลืมตา


"กลางวันก็นอนทั้งวัน กลางคืนก็นอนอีก มิน่าล่ะถึงอ้วน"


หมอนข้างหูยาวสีเทาบ่นอู้อี้ไม่เต็มเสียงเพราะถูกทับ ผมเลยย้ายตัวเองลงมานอนบนเบาะให้หัวเกยอยู่บนร่างผอมๆนี่แทน เพราะถ้าแกล้งมากๆแล้วหมอนใบนี้เกิดงอนหนีหน้ากลับขึ้นไปอยู่บนพระจันทร์ ผมคงนอนไม่หลับไปจนตาย


คุณไม่ต้องสับสนไปหรอกครับ ผมจะบอกคุณว่าหมอนขนฟูที่ผมหนุนอยู่นี่คือกระต่าย มีนามว่ายูมะ ที่ตกลงมาจากดวงจันทร์เมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งผมบังเอิญเก็บได้แล้วพามาอยู่ด้วยที่บ้าน  แล้วหลังจากนั้น ก็มีเหตุการณ์ชวนงงหลายอย่างตามมา นับตั้งแต่แมวตาตี่ขายาวข้างบ้านมาอ้างตัวว่าเป็นพ่อกระต่ายมารับลูกคืน ซึ่งผมไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะนอกจากทั้งคู่จะมีสีสันและลวดลายที่เหมือนกันแบบเป๊ะๆ กระต่ายของผมยังเรียกแมวตัวนั้นว่า "ปะป๊า" อีกต่างหาก 


หรือตอนที่บรรดาพี่น้องกระต่ายอีกสี่ตัวตามลงมาป่วนให้ป๋ากี้กับมี๊สึของผมเกือบหัวใจวายเล่น  และตอนที่ผมได้ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกและกลายเป็นมนุษย์


เวทมนตร์บนดวงจันทร์ สามารถบันดาลให้ทุกชีวิตบนโลกสมหวังหากมีความตั้งใจและมุ่งมั่น หม่ามี๊ชิเงะ  แม่ของบรรดาแก๊งกระต่ายจอมซนบอกผมไว้ว่าอย่างนั้น แล้วยังทำให้แมวเหมียวสี่ขาอย่างผมกลายเป็นมนุษย์ได้เมื่อขึ้นไปบนพระจันทร์ ส่วนพี่ๆน้องๆรวมทั้งตัวของยูมะเอง ก็กลายเป็นกระต่ายเมื่อลงมาบนโลก


ฟังดูสับสน แต่อย่างน้อยสมองแมวๆอย่างผมก็พอจะเข้าใจ  แต่ที่ไม่เข้าใจ  ก็คือ  หลังจากที่ส่งหมอนนุ่มขนฟูชื่อยูมะมาให้ผมหนุนนอนสบายแล้ว ทำไมพระจันทร์ต้องส่งบรรดาพี่น้องอีกสี่ตัวของยูมะลงมาด้วยครับแค่น้องชายตัวแสบของผม กระรอกแสนซนชี่น้อย กับแฮมทาโร แฮมสเตอร์จอมป่วน ก็ทำให้ผมปวดหัวไม่เว้นวันอยู่แล้ว นี่เจ้าสองแสบยังได้ไปร่วมแก๊งค์กับพี่น้องของยูมะอีก ทำให้ผมอยากนอนกอดหมอนทั้งวันทั้งคืนไม่รับรู้อะไรเลยจะดีกว่า


"พวกนั้นทำอะไรแตกอีกเหรอ?"


โชคดีวันนี้ป๋ากี๊กับมี๊สึของผมไปเยี่ยมบ้านที่โอซากา ไปพร้อมๆกับเจ้านายเรียวและฮิโระจังคนข้างบ้าน เจ้านายของป๊ะป๋าโคโค่ พ่อของยูมะและพี่น้อง  ทั้งสองบ้านเลยไม่มีใครอยู่ ตัวป๊ะป๋าโคโค่เองก็ไม่อยู่ครับ ขึ้นไปดูแลหม่ามี๊ชิเงะที่ท้องโตใกล้คลอดบนพระจันทร์  ทิ้งงานสุดหินเอาไว้ให้ผม...  ถ้าวันนี้เดอะแก๊งทำข้าวของพังอีกละก็ ถึงจะใช้เวทมนตร์ซ่อมได้ก็เถอะ ผมก็จะฟ้องป๊ะป๋าโคะแน่ๆ


"ไม่ได้ทำอะไรแตกหรอก  แต่ทุกคนกำลังปีนรั้วกันล่ะ"














ผมวิ่งสี่ขาตาเหลือกออกมาถึงหน้าบ้าน  ไม่เห็นแก๊งกระต่ายวิ่งเล่นในสนามหญ้าใต้แสงจันทร์อย่างเคย ชี่น้อยกับแฮมทาโรก็ไม่อยู่..


ผมก็เลยกระโดดขึ้นไปบนกำแพงที่กั้นระหว่างบ้านเจ้านายเรียว และบ้านป๋ากี้กับมี๊สึของผม พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ นั่นไงล่ะ!!! บนกำแพงรั้วหน้าบ้านของเจ้านายเรียว ใกล้ๆกับประตูบ้าน


อยู่กันครบแก๊ง ทั้งเจ้ากระรอกแสบชี่น้อย เคนโตะกระต่ายขนสีน้ำตาลอ่อนทั้งตัว พี่คนโตของแก๊งกระต่าย ฟูมะ กระต่ายขนฟูฟ่องสีขาวทั้งตัวพี่คนรองจากเคนโตะ  โฮคุโตะ กระต่ายสีเทาทั้งตัวยกเว้นขนรอบๆคอที่เป็นสีขาว น้องชายคนรองถัดจากยูมะที่เป็นลูกคนกลาง ส่วนน้องเล็ก ยูโกะกระต่ายขนสีขาวแซมเทาที่มีใบหูลู่ไปข้างหลังต่างจากบรรดาพี่น้อง แล้วยังมีแฮมทาโรตัวน้อยเกาะหลังอยู่ด้วย


"พวกนายลงจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ !! เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า!!"


ผมร้องเหมียวๆ ตะโกนข้ามไปอีกฟากฝั่งกำแพงรั้ว  แต่นอกจากจะไม่มีใครทำตามแล้ว ทุกคนยังมองกลับมาด้วยสายตาที่... แบบว่า... ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นแมวโง่พิกล


"ตื่นตูมทำไมเนี่ย นี่มันตอนกลางคืนแล้วนะนาย ไม่มีใครเห็นเราหรอก"


ไม่ให้ผมตื่นตูมได้ยังไงครับ.. ถึงจะเป็นกลางคืน แต่พระจันทร์เต็มดวงสว่างโร่ยิ่งกว่าไฟตามถนนทุกดวงรวมกันเสียอีก เกิดมีใครขับรถผ่านมาเห็นกระต่ายสี่ตัวนั่งชมวิวอยู่บนกำแพงมิแตกตื่นกันเหรอนั่น กำแพงรั้วนี่ก็ใช่ว่าจะสูงน้อยเสียเมื่อไหร่


"เอาน่าๆๆ ถ้าเกิดมีใครขับรถผ่านมา พวกเราค่อยกระโดดลงไปในสวนก็ได้ เนอะยูมะ!"


ผมก้มลงมองข้างล่าง ตรงที่ที่ผมกับยูมะยืนอยู่ด้วยกันเมื่อหนึ่งนาทีก่อน ยูมะไม่อยู่ตรงนั้น แต่กระโดดขึ้นมายืนอยู่ข้างๆผมซะแล้ว


"เฮ้ย!!! ขึ้นมาตอนไหน?"


"เมื่อกี๊นี้เอง เกาะหลังเหมียวขึ้นมาแหละ"


ยูมะตอบตาแป๋ว ทำให้ผมถึงบางอ้อตอนนั้นเองว่าที่ไปเรียกผม ก็เพราะอยากให้ผมช่วยพาขึ้นมาบนกำแพง ไม่ได้อยากจะให้มาห้ามพี่ๆน้องๆเสียหน่อย


"เมื่อกี๊ไม่ได้พูดสักหน่อยนี่ว่าให้มาห้าม"


นับวันยิ่งเจ้าเล่ห์เหมือนพี่ๆน้องๆเข้าไปทุกที ชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าไอ้ตาแบ๊วๆใสๆนี่ จะเป็นจริงอย่างที่เห็นหรือเปล่า


"เหมียว..ฉันอยากไปตรงโน้นอ่ะ"


"ก็เดินไปสิ .. แค่นี้เอง"


"ฉันเป็นกระต่ายนะ เดินบนทางแคบๆสูงๆแบบนี้ไม่ถนัดอ่ะ กลัวหล่น เหมียวพาไปหน่อยสิ.. นะ"


ปิดท้ายด้วยเสียงอ้อนๆ กับแววตาอ้อนวอนทำให้ผมใจอ่อน สุดท้ายก็ต้องยอมให้ยูมะเกาะหลังพาเดินไปบนกำแพงรั้ว นี่ถ้ามีมนุษย์คนไหนผ่านมาเห็นเข้าคงเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งกว่าได้เห็นกระต่ายกระโดดขึ้นกำแพงได้เสียอีก


"ยามะลำเอียง!! ทำไมใจดีกับยูมะคนเดียวล่ะ"


ชี่น้อยกับเจ้าแฮมแข่งกันส่งเสียงประท้วง เออนะ ถ้าน้องสองคนว่าง่าย ป่วนผมน้อยลงกว่านี้ผมอาจจะพิจารณาก็ได้มั้ง


"ถ้าชี่น้อยกับแฮมทาโรยอมเป็นหมอนให้กอดทุกคืน บางทียามะอาจจะใจดีด้วยก็ได้นะ"


กระต่ายยูโกะพูดเหมือนกับรู้ใจผม กระรอกน้อยกับหนูแฮมสเตอร์เลยพากันส่ายหัวดิก


"ไม่ไหวมั้ง พวกเราตัวเล็กนิดเดียว เดี๋ยวก็โดนทับแบนแต๊ดแต๋"


"ให้ยูมะเป็นหมอนเหมือนเดิมดีแล้วล่ะ ว่าแต่ยูมะไม่หนักมั่งเหรอ?"


ชี่น้อยถามตอนที่ยูมะไถลลงจากหลังของผมลงไปยืนข้างๆแล้ว กระต่ายตาแบ๊วพยักหน้าแรงๆเป็นคำตอบ แต่ประโยคที่พูดตามหลังมานั่น ทำให้ผมรู้สึกตัวพองแปลกๆ หัวใจเต้นแรงด้วยความยินดีเหมือนตอนที่ป๋ากี๊หรือมี๊สึยื่นเนื้อชิ้นโปรดมาให้


"ก็หนักนะ แต่ว่ามันอุ่นดี"


"งี้นี่เองงงงงงงง"


แก๊งกระต่ายพยักหน้าแล้วทุกคนก็เลิกสนใจเรื่องนี้ หันไปชมวิวทิวทัศน์จากมุมสูงพลางหันไปคุยกันเองหงุงหงิง จนกระทั่งผมมองเห็นแสงไฟจากรถยนต์มาจากไกลๆ จึงได้ชวนกันกระโดดกลับเข้ามาในบ้าน หูผมแทบชาเพราะได้ยินเสียงบ่นเสียดายของแก๊งกระต่าย


"บ่นจริงพวกนาย เดี๋ยวค่อยกระโดดขึ้นไปใหม่ก็ได้นี่"


"พวกเราไม่ได้เป็นแมวเหมือนนายนี่นา จะกระโดดขึ้นไปแต่ละทีต้องใช้เวทมนตร์ช่วย ใครจะสบายเหมือนยูมะมีแมวให้เกาะหลัง เชอะ!!"


กระต่ายสีขาวขนฟูนามว่าฟูมะ เชิดหน้าใส่ผม  ก็ใครมันจะไปรู้เล่า! ตอนอยู่บนดวงจันทร์ก็เห็นกระโดดเด้งดึ๋งอยู่บนต้นไม้บ่อยไป ที่แท้ก็ใช้เวทมนตร์นี่เอง


"เอ๋!!! แบบนี้ยูมะก็สบายอยู่คนเดียวสิ เวทมนตร์ก็ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องออกแรงปีนเองด้วย ขี้โกงนี่นา"


เหมียว! ผมเห็นด้วยกับเสียงประท้วงของยูโกะครับ ว่าแต่กระต่ายเจ้าเล่ห์ของผมเกิดติดใจวิวบนกำแพงหรือยังไงครับถึงไม่ยอมลงมา เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้าหรอก

 
"ยูมะ ลงมาได้แล้ว"


ผมร้องเรียกเหมียวๆแต่กลับไร้เสียงตอบรับ พอมองขึ้นไปบนกำแพงก็ไม่เห็นกระต่ายสีเทาลายเสือแม้แต่เงา


หายไปไหน?


ผมเลยกระโดดขึ้นไปบนกำแพงอีกครั้ง แต่เท้ายังไม่ทันจะได้แตะบนขอบกำแพง หัวก็โหม่งเข้ากับอะไรสักอย่างกลมๆ นุ่มๆอย่างแรง  แต่สองขาหน้ายังเกาะไว้ได้ พอผมปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพงได้ ลูกกลมๆนั่นก็กลิ้งไปอยู่กลางถนนพอดี สายตาแมวอย่างผม สามารถมองเห็นได้ดีในเวลากลางคืน แต่ถึงอย่างนั้นแสงไฟจากรถยนต์ก็ทำให้ผมหยุดสายตาไว้ที่ลูกกลมๆนั่นได้ชั่วครู่  ที่แท้แล้วมันคือลูกบอลไหมพรมสีเทาสลับดำ ตอนที่ผมกำลังคิดว่าใครเป็นคนขว้างเจ้าลูกบอลนี่ใส่หัวผม เจ้าลูกกลมๆนั่นก็เริ่มมีหูงอกออกมา หูยาวๆเหมือนหูกระต่าย จากนั้นผมเก็เริ่มมองเห็นดวงตา ตาแบ๊วๆคู่หนึ่งที่ผมคุ้นเคย ...


ไม่ใช่ลูกบอลนี่หว่า!!!!


"ยูมะ!! ออกจากตรงนั้นเร็วเข้า!!!"


แสงไฟจากรถยนต์ใกล้เข้ามาแล้ว ผมร้องตะโกน กระโดดลงไปที่ฟุทบาธอย่างรวดเร็ว แต่ยังช้ากว่าเจ้าเครื่องยนต์ติดล้อ มันวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเท้าของผมแตะพื้น....


ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า ... และเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มที่ค่อยๆไกลออกไปในความมืด
















ไม่จริง!! ... สมองแมวๆของผมคิดได้เท่านี้  ขาทั้งสี่ก้าวไม่ออกหรืออาจเป็นเพราะหัวใจของผมหยุดเต้นไปแล้วก็ได้


ทุกอย่างมันรวดเร็วเกินไป...


หลังจากนั้น..เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมไม่รับรู้   รู้แต่ว่าขาทั้งสี่กำลังเดินเข้าไปตรงจุดที่ยูมะเคยอยู่ กลิ่นของกระต่ายสีเทาลายเสือที่ผมนอนกอดทุกคืนยังหลงเหลือ


แต่ยูมะไม่อยู่แล้ว....


"ยูมะ นายหายไปไหน?"


ผมร้องเหมียวๆ เบาๆเหมือนตอนที่ชี่น้อยกับแฮมทาโรถูกทำให้หลับเหมือนตาย แต่ตอนนี้ป๋ากับมี๊ไม่อยู่ปลอบใจผม ป๊ะป๋าโคโค่ก็ไม่อยู่ช่วยกันตามหาเหมือนครั้งก่อนด้วย


ทำไงดี?


"เหมียว ฉันอยู่ตรงนี้"


เสียงที่เบายิ่งกว่าเสียงของสายลม เป็นยิ่งกว่าเสียงสวรรค์ที่ทำให้พลุดอกไม้ไฟในหัวผมแข่งกันระเบิดตู้มต้ามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


แต่แค่วินาทีเดียวเท่านั้น...


แล้วหัวใจของผมก็หยุดเต้น...


เหตุการณ์ตอนนี้.. เหมือนกับเมื่อครั้งที่ผมได้เจอยูมะครั้งแรก ตอนที่ป๊ะป๋าโคโค่มาพายูมะกลับไปหาหม่ามี๊ไม่มีผิด  กระต่ายน้อยถูกคาบจนเท้าทั้งสี่ลอยเหนือพื้นแกว่งไปมาจนน่ากลัว ...  และครั้งนี้ยูมะไม่ได้หลับ ดวงตาใสๆคู่นั้นดูตื่นตระหนกจนทำให้ผมพลอยใจเสีย ...


เจ้าตัวที่คาบยูมะเอาไว้จ้องมองมาที่ผม นัยน์ตาของมันเขียวปัดเมื่อสะท้อนกับแสงไฟ รูปร่างของมันสูงกว่าผม ตัวหนากว่า และดูท่าจะแข็งแรงมากเสียด้วย


แต่ผมไม่ได้สนใจ.. ความคิดของผมมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือแย่งกระต่ายตัวนั้นคืนมาให้ได้


หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง ขาทั้งสี่ย่อลง เตรียมกระโจนไปข้างหน้า  ไม่ว่ายังไงผมต้องชนะเท่านั้น!!!


แล้วผมก็กระโดดออกไป!!!


พลั่ก!!!!!


ตามด้วยร่างหนาๆของผมที่โดนอะไรสักอย่างทับจนจุกแอ๊ก!!!


"โอ๊ยยยยยยยย!!!!"


ผมร้องแง้วๆๆๆ ตะกายสุดชีวิตให้ตัวเองหลุดจากอะไรสักอย่างที่ทับผมอยู่ แต่ดูเหมือนเจ้าสิ่งนั้นจะหนักมากจนผมหนีไปไหนไม่ได้  ผมนึกถึงตอนที่ตัวเองชอบแกล้งกระโดดทับชี่น้อยกับแฮมทาโรบ่อยๆแล้วรู้สึกเห็นใจน้องขึ้นมาเชียว


แต่กรรมจะมาสนองอะไรผมตอนนี้ละคร๊าบบบบบบ แง้วๆๆๆๆๆๆ


"เลิกโวยวายสักทีเถอะน่า หนวกหู!!"


เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือตัวผม เสียงแหบๆเหมือนเด็กชายที่ยังไม่โตเต็มที่แบบนี้ผมไม่คุ้นมาก่อนเลย แต่ผมไม่สนหรอก สายตาของผมจ้องอยู่แต่กับเจ้านั่น!!! มันกำลังคาบยูมะเดินเข้ามาใกล้แล้ว..


และมันก็วางยูมะลง..  วางลงบนพื้น!! แบบนุ่มนวลจนผมไม่ได้ยินเสียงเท้าแตะลงบนพื้น


"คืนให้ก็ได้ หวงจริงนะ"


ผมกระพริบตาปริบๆใส่เสียงบ่นนั่น และพอหลุดจากพันธนาการที่แสนจะหนักอึ้งได้ ผมก็พุ่งตัวไปหายูมะ เลียหน้าเลียตาปลอบขวัญกระต่ายขี้ตกใจเป็นการใหญ่


"ทำไมรักกันจัง กระต่ายเนี่ยเป็นอาหารของเราไม่ใช่เหรอ? ฮารุ?"


เพราะประโยคสุดท้ายประโยคเดียว ที่ทำให้ผมละความสนใจจากกระต่ายตาแบ๊ว หันหลังกลับมาตั้งท่าขู่ฟ่อใส่สัตว์สองตัวที่ยืนเคียงกัน กระต่ายตัวอื่นน่ะคงใช่หรอกครับ แต่สำหรับกระต่ายตาแบ๊วตัวนี้น่ะ ใครห้ามแตะ!!!


แต่สัตว์สองตัวตรงหน้านี่ไม่สนใจผมเอาซะเลย คุยกันเหมือนโลกนี้มีกันอยู่สองตัวงั้นแหละ กว่าจะรู้ตัวว่าผมมองอยู่ ลูกกะตาของผมก็แทบจะถลนออกนอกเบ้า


"ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น เราไม่กินกระต่ายของนายหรอก ใช่ไหม?ยูยะ"


"อื้อ~ กระต่ายผอมอย่างงั้นกินไม่อิ่มหรอก"


ผมแยกเขี้ยวขู่อีกหน ตกลงมันกินหรือไม่กินแน่วะเนี่ย!!!


แล้วเสียงหัวเราะใสๆก็ดังขึ้น ยูมะกระโดดมายืนอยู่ข้างๆผม เบียดแก้มผอมๆของตัวเองกับหน้าของผม แล้วก็เฉลยเรื่องราวอย่างอารมณ์ดี


"พวกเขาไม่กินฉันหรอกนะเหมียว ก็เมื่อกี๊เขาช่วยฉันไว้นี่นา ขอบคุณมากนะ"


"พวกนายเป็นใครน่ะ!!!"


ผมถามทะลุกลางปล้องหลังจากใช้สายตาสำรวจทั้งสองตัวอย่างละเอียด ตัวอะไรหว่า หน้าตาเหมือนแมวแต่ก็ไม่ใช่แมว ตัวหนึ่งเป็นสีขาวแต่มีลายริ้วๆสีดำพาดขวางตามลำตัวเรื่อยไปจนถึงปลายหาง   ดวงตาสีฟ้าสดใส เมื่อกี๊ได้ยินว่าชื่อฮารุรึเปล่านะ  อีกตัวหนึ่งหน้าตาคล้ายๆกันเพียงแต่มีขนสีน้ำตาลทองตลอดทั้งตัว มีลายจุดสีน้ำตาลเข้มประปรายอยู่เฉพาะที่หัว หางยาวสีน้ำตาลทองมีสีน้ำตาลเข้มตรงปลาย  แตกต่างทั้งสีและลาย แต่ทั้งสองตัวมีใบหูกลมใหญ่เหมือนกัน อุ้งเท้าก็ใหญ่ และ... ทั้งๆที่ดูแล้วอายุไม่น่าจะถึงหนึ่งปีแท้ๆ แต่ตัวหนาดูแข็งแรง แล้วก็สูงพอๆกับป๊ะป๋าโคโค่เลย


ที่สำคัญ..ทั้งคู่เป็นแมวที่หน้าตาดุดัน น่าเกรงขามกว่าแมวตัวอื่นๆที่ผมเคยพบ


เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ ผมแปลกใจที่เห็นสัตว์ทั้งสองตัวทำหน้าตาตื่น เหมือนกับกลัว ทั้งๆที่เมื่อกี๊ตอนที่ช่วยยูมะยังกระโดดตัดหน้ารถยนต์ได้อยู่เลย


"ไม่เหมือนกันนะ รถคันนี้มีมนุษย์ใจร้ายที่มาตามจับเราแล้วเอาไปขังในกรง ฉันไม่อยากไปนี่" ตัวที่ชื่อยูยะตอบพลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ "พวกเราต้องหาที่ซ่อนก่อนล่ะ"


"ไปซ่อนข้างในบ้านเถอะ"


เร็วยิ่งกว่ากระพริบตาหนึ่งครั้ง ยูมะพูดออกมาก่อนที่ยูยะจะพูดจบเสียอีก ผมหันไปมองยูมะด้วยความตกใจสุดขีด จะพาสองตัวนี้เข้าบ้านเรอะ!!


"ทำไมล่ะ ก็เมื่อกี๊เขาช่วยฉันไว้นี่นา"


มันก็จริง แต่ถ้าบรรดาเจ้านายกลับมาเห็นสองตัวนี่วิ่งอยู่ในบ้านจะทำไงล่ะยูมะ?


"ขอบใจนะ แต่ว่าเราเข้าไปไม่ได้หรอก"


ยูยะพูดขึ้นอีกพลางมองไปทางกำแพงบ้านอย่างเศร้าๆ อย่าบอกนะว่าเจ้ายูยะตัวหนักจนกระโดดไม่ขึ้นน่ะ กำแพงรั้วเนี่ยสูงเท่าความสูงของเจ้านายเรียวเองนะ


"เมื่อกี๊ตอนที่วิ่งหนีพวกมนุษย์ เหยียบถูกอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ยังฝืนวิ่ง ตอนนี้เท้าระบม คงกระโดดไม่ไหวหรอก แต่ถ้าเป็นฮารุ-"


"นายไม่ไป ฉันก็ไม่ไป!!! เราจะอยู่ด้วยกัน จำได้ไหม ยูยะ!!"


















"เลิกพูดมากแล้วกระโดดเข้าบ้านไปสักทีได้มั๊ย!!!"


ผมพองขน ขู่ฟ่อใส่ ทั้งยูยะที่ยังทำอิดออดไม่ยอมกระโดด และฮารุที่ยืนยันว่าจะไม่ไปไหนถ้าไม่มียูยะ  ความจริงผมจะกระโดดเข้าบ้านไปโดยไม่ต้องดูดำดูดีทั้งสองตัวนี่ก็ได้


ถ้าหากว่ายูมะไม่บอกว่าจะไม่ยอมเข้าบ้านถ้าไม่มีเพื่อนใหม่สองตัวนี่ไปด้วยละก็...


เสียงเครื่องยนต์กับแสงไฟใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว ถ้ามัวเสียเวลามีหวังโดนจับขังกรงทั้งสี่ตัวแน่ๆ


"ก็ได้"


ยูยะตอบเสียงอ่อยๆแบบไม่มั่นใจนัก หันหลังกลับเดินไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับกำแพงบ้านผม  ไปทำไมทางนั้นล่ะเฮ้ย!!!


"เงียบน่ะ!! พวกเราต้องอาศัยทางวิ่งไกลๆถึงจะกระโดดได้สูงๆ"


พอผมเลิกส่งเสียงแล้วทุกอย่างก็เงียบลง แต่ผมยังได้ยินเสียงหัวใจสี่ดวงเต้นโครมๆด้วยความกังวลและตื่นเต้น ด้วยรูปร่างและพละกำลัง ยูยะกระโดดพ้นกำแพงได้ไม่ยาก แต่ผมเองก็เพิ่งเห็นว่าเท้าทั้งสี่ของยูยะมีเลือดออก ถึงจะไม่มาก แต่ก็มากพอที่จะประทับเป็นรอยบนพื้นถนนเวลาที่ออกวิ่ง


ความเจ็บที่อุ้งเท้าทั้งสี่ทำให้ยูยะวิ่งได้ไม่เต็มฝ่าเท้า  ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็วิ่งได้ไม่เต็มที่ และทำให้มีแรงส่งไม่มากพอที่จะทำให้ร่างนั้นพ้นกำแพงไปได้


"ยูยะ!!"


ฮารุร้องเสียงหลงตอนที่ร่างของยูยะกระแทกเข้ากับกำแพง ทั้งๆที่อีกนิดเดียวก็จะพ้นแล้วแท้ๆ พวกเรากรูกันเข้าหายูยะที่พอตกจากกำแพงแล้วก็นอนนิ่งอยู่บนฟุตบาท


"เจอแล้ว!!!"


เสียงมนุษย์ตะโกนโหวกเหวกใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์และแสงไฟสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ฮารุกระโดดออกมาข้างหน้า แยกเขี้ยวขู่ใส่พวกมนุษย์สองสามคนที่เพิ่งก้าวลงจากรถพร้อมด้วยเชือกเส้นใหญ่ กรงขังขนาดใหญ่ที่สามารถจับพวกเราใส่ลงไปได้ และเมื่อมนุษย์พวกนั้นยืนค้ำหัวเรา ผมก็เพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรก ว่ามนุษย์นั้นน่ากลัวแค่ไหน ไม่ใช่เพราะพวกเขาสูงใหญ่กว่า แต่เพราะดวงตาที่เป็นเหมือนนักล่านั่นต่างหาก


ยูมะหลับตาปี๋ ทำให้ผมเองต้องกระโดดข้างหน้า แยกเขี้ยวส่งเสียงขู่แบบเดียวกับที่ฮารุทำ


"ตัวแค่นี้ทำเป็นอวดเก่งนักนะ ไอ้แมวบ้า เดี๋ยวจะจับไปแล่ทำอาหารให้ทั้งสองตัวนี่ซะเลย"


มนุษย์คนหนึ่งขู่ สาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เสียงของกรงเหล็กที่ถูกวางลงบนพื้นนั้นสั่นสะเทือนมาถึงหัวใจของผม  และ..


แสงสีเงินก็สว่างวาบ...


















ผมกระพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าเข้ามาอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้านของเจ้านายเรียวแล้ว ฮารุยืนอยู่ข้างๆผม หน้าตางงแบบเดียวกันไม่มีผิด เราต่างถามกันว่าเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น ก่อนจะมองไปรอบๆ


ยูยะยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติ แต่ที่ทำให้ผมสติแตกก็คือภาพของยูมะที่นอนแน่นิ่งอยู่เคียงกัน หัวใจผมหายแว้บตอนที่เห็นครั้งแรก พอเห็นว่ายูมะยังหายใจก็เบาใจ แต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี


"แค่หลับไปเฉยๆน่ะ"


ฮารุบอกหลังจากดมๆสำรวจร่างของยูมะแล้วเรียบร้อย  ตอนที่ผมเดินไปหายูมะ ยูยะก็รู้สึกตัวพอดี คำแรกที่ยูยะพูดออกมาคือ


"จุก"


"ก็กระแทกกำแพงซะขนาดนั้น แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เดี๋ยวก็หาย"


ผมว่าที่ยูยะหายจุก เพราะฮารุช่วยเลียหน้าเลียตาปลอบขวัญซะละมั้ง


"นี่ยามะ หันมาสนใจทางนี้หน่อยสิ!"


น้ำเสียงขุ่นเคืองของชี่น้อยกับแฮมทาโร ทำให้พวกเราทั้งหมดหันกลับไปมองอีกมุมหนึ่งของสนามหญ้า


ที่ตรงนั้น...ในแสงจันทร์ส่องสว่าง ชี่น้อยกับแฮมทาโรกำลังยืนอยู่บนกองขนสัตว์หลายสี ที่พอมองเห็นชัดๆแล้วว่ามันคืออะไรแน่ เหงื่อก็เริ่มแตกพลั่ก  นั่นไม่ใช่กองขนสัตว์ แต่เป็นกระต่ายสี่ตัวที่นอนนิ่งเหมือนตาย ใจผมนึกไปถึงแมวขายาวตาตี่ที่ตอนนี้ดูแลประคบประหงมภรรยาที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดอยู่บนดวงจันทร์


ถ้าป๊ะป๋าโคโค่มาเห็นลูกๆแสนรักนอนระเนระนาดเหมือนโดนวางยาแบบนี้ ... มีหวัง...


"เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าพวกนั้นน่ะ"


"เพราะช่วยพวกนายนั่นแหละ"


ชี่น้อยตอบแบบงอนๆ พลางตวัดสายตามาทางผมเหมือนกับจะบอกว่า ความผิดของนายนั่นแหละ


"ช่วยเราเหรอ?"


ยูยะทวนคำ


"ใช่สิ!  คิดว่าแค่เวทมนต์ของยูมะคนเดียวจะพาพวกนายเข้ามาในบ้านได้รึไงล่ะ"


ปากเก่งทั้งสองตัวเลยครับน้องผม แต่พอฮารุเดินเข้าไปใกล้ๆเท่านั้นแหละ ทั้งชี่น้อยกับแฮมทาโรก็วิ่งปรู๊ดเข้ามาหลบอยู่ใต้ตัวผมทันที


"ยูยะ นายจำได้รึเปล่าตอนที่เราหนีออกมา เกิดอะไรขึ้นบ้าง"


แมวยักษ์ขนสีน้ำตาลทองยังคงนอนตะแคงอยู่บนพื้นหญ้า ผงกหัวขึ้นมาทำหน้าตาครุ่นคิด 


"ตอนนั้นพวกมนุษย์จับเราใส่กรงพาขึ้นรถ ตลอดทางเราช่วยกันกัดโซ่กับซี่ลูกกรงจนปากของนายเป็นแผล  เกือบถูกมนุษย์ใจร้ายตีเอาด้วย  แล้วอยู่ๆก็มีแสงจ้าจากไหนก็ไม่รู้  จากนั้นพวกเราก็มายืนอยู่บนถนน"


"เหมือนเมื่อกี๊เลย"


"จะทำอะไรน่ะ!!"


ชี่น้อยกับแฮมทาโร่ตะโกนถามตื่นๆ แต่ยังคงใช้ขาหน้าทั้งสองของผมเป็นที่กำบัง ฮารุก้มลงคาบกระต่ายสีน้ำตาลขึ้นมา เคนโตะยังหลับสนิท คออ่อนคอพับตัวแกว่งไปมาตามจังหวะเดินของฮารุ 


เคนโตะถูกวางไว้ใกล้ๆกับยูยะ  ฮารุเดินไปคาบลูกกระต่ายมาทีละตัว  ทีละตัวจนครบ ยูยะที่นอนอยู่ก็มีหน้าที่เขี่ยๆดันๆให้แต่ละตัวนอนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


"เท้านายเป็นยังไงบ้าง"


"ยังเจ็บอยู่ แต่เลือดหยุดไหลแล้วล่ะ"


ฮารุเดินวนรอบๆยูยะเหมือนกำลังสำรวจดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ จากนั้นก็นอนลงในท่าหมอบ วางหัวลงบนสองขาหน้า ให้ลูกกระต่ายทั้งห้าตัวหลับสบายอยู่ตรงกลาง ระหวางทั้งสองตัว


แล้วทั้งฮารุยูยะก็เข้าสู่โหมดโลกนี้มีแต่เราสอง ลืมว่ายังมีผมกับน้องยืนอยู่ตรงนี้ และด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นของชี่น้อยและแฮมทาโร ผมเลยต้องเดินเข้าไปขัดขวางโลกส่วนตัวของทั้งคู่อย่างช่วยไม่ได้


















หลังจากที่แนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ และแน่ใจแล้วว่าจะไม่โดนจับกิน ชี่น้อยและแฮมทาโรก็ถือวิสาสะขึ้นไปวิ่งเล่นบนตัวฮารุ  ส่งเสียงแจ้วๆถามโน่นถามนี่ซะจนน่าหนวกหู แต่ฮารุก็ดีใจหาย ตอบมันซะทุกคำถามเลย ผิดกับยูยะที่ได้แต่หมอบมองอยู่เฉยๆ


"นี่ๆ เสือต้องมีขนสีเหลืองไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายถึงเป็นสีขาวล่ะ"


"ก็ฉันเป็นเสือขาวไงล่ะ"


ระหว่างที่ชี่น้อยกำลังโยนความสงสัยร้อยข้อใส่ฮารุ แฮมทาโรก็ไปยืนจดๆจ้องๆตรงหน้ายูยะ  จนเจ้าตัวต้องหรี่ตามองด้วยความแปลกใจ


"มีอะไร?"


"นายเป็นสิงโตตัวเมียใช่ป่ะ?"


ยูยะทำท่าเหมือนอยากจะขย้ำเจ้าแฮมแล้วเขมือบลงท้องซะ แต่คงจะคิดได้ว่าถึงกินไปก็คงจะไม่ทำให้อิ่ม หรือไม่ก็มองตาใสๆคู่นั้นแล้วกินไม่ลงเป็นแน่


"ฉันเป็นตัวผู้นะ"


"ไม่จริงอ่ะ ฉันเคยเห็นในทีวี ตัวผู้ต้องหัวฟูๆดิ นายไม่เห็นมีเลย"


"ยูยะยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เลยยังไม่มีแผงคอไง"


ยูยะตวัดสายตาขุ่นเคืองไปทางฮารุที่ตอบไปด้วย เอาอุ้งเท้าปิดปากไปด้วยเหมือนจะกลั้นหัวเราะ แต่ก่อนที่จะได้ตวัดกรงเล็บใส่อีกฝ่ายเพื่อเอาคืน อุ้งเท้าเล็กๆก็พาดใส่สีข้างของยูยะ แม้ไม่แรงนักแต่ก็ทำให้เจ้าตัวสะดุ้ง


ผมไม่ได้บอกคุณใช่ไหมครับ? ว่าแก๊งกระต่ายน่ะ เฮี้ยวได้ตลอดเวลากระทั่งยามหลับ ยังไงน่ะเหรอครับ? ก็ดูนั่นสิครับ  จากที่นอนเรียงหันหัวหันหน้าไปทางเดียวกันเมื่อห้านาทีก่อน ตอนนี้ยูโกะนอนดิ้นกลับหัวผิดพี่น้อง  โฮคุโตะกลิ้งหลุนๆไปหยุดตรงขาหลังของยูยะ ถ้าไม่ไปหยุดตรงนั้นคงกลิ้งไปจนสุดสนามโน่นแหละครับ  ฟูมะนอนหงายสี่เท้าชี้ฟ้า  แล้วเจ้าของอุ้งเท้าที่ฟาดใส่สีข้างของยูยะก็คือเคนโตะ   ส่วนยูมะ


ก็ถูกพี่น้องทับจนแบนเป็นพรมติดพื้น


"นอนดิ้นแบบนี้เสมอเลยเหรอ?"


ต้องบอกว่าปกตินอนดิ้นกว่านี้ถึงจะถูก  ผมไม่อยากให้ยูมะนอนกับพี่ๆน้องๆก็เพราะอย่างงี้แหละ นอนดิ้นกันซะขนาดนี้ ไม่รู้ตอนที่คืนร่างเป็นมนุษย์อยู่บนดวงจันทร์เคยนอนดิ้นฟาดกันคอหักมั่งมั๊ย


ฮารุก็คงจะเห็นใจยูมะอยู่ ถึงได้คาบยูมะออกจากบรรดาพี่น้องมาวางใกล้ๆผม


และด้วยความเคยชินของยูมะที่ต้องนอนอยู่กับที่อุ่นๆอยู่เสมอ และความเคยชินของผมที่ต้องมีหมอนข้างกอดยามนอน ยูมะเลยสะลึมสะลือคลานมามุดอยู่กับอกผมและผมก็ขยับตัวให้อยู่ในท่าที่จะสามารถนอนกอดกระต่ายได้สบายๆ ชี่น้อยกับเจ้าแฮมก็คงจะง่วงแล้วเหมือนกันก็เลยวิ่งมาซุกตัวหลับข้างๆยูมะอีกที ฮารุที่มองเราอยู่นานพูดขึ้นมา


"พวกนายนี่แปลกเนอะ"


"พวกนายก็แปลก มาอยู่ด้วยกันได้ไงเนี่ย"


เสือขาวกับสิงโตสบตากันก่อนที่ฮารุจะเป็นคนตอบ


"ถูกมนุษย์จับมาอยู่กรงเดียวกันน่ะ แต่ว่าก่อนหน้านั้นพวกมนุษย์พยายามจับเสือขาวตัวอื่นมาอยู่กับยูยะ แต่ไม่มีใครอยู่กับยูยะได้เลย"


"ทำไมล่ะ"


ผมหันไปถามยูยะ แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ผมนึกห่วงแก๊งกระต่ายที่นอนอยู่ตรงนั้นเหลือเกิน


"ก็เจ้าพวกนั้นเอาแต่ร้องไห้หาแม่ มันหนวกหู ฉันก็เลยกัดน่ะสิ"


ไม่ชอบเสียงดังว่างั้น แล้วถ้าเกิดสี่ตัวที่นอนอยู่นั่นตื่นขึ้นมาทำเสียงโหวกแหวกเหมือนเวลาที่อยู่กับผม ยูยะคงกัดไม่เหลือซากสินะ


ตอบอย่างงี้แล้วใครจะกล้าถามต่อฟะ!!!




















หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีก ยูยะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย ตัวผมก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกที ก็ลืมตาขึ้นมาจ๊ะเอ๋กับดวงตาสีฟ้าๆของเจ้าเสือขาวในระยะประชิด ทำให้ผมดีดตัวขึ้นยืนด้วยความตกใจ ทำให้ยูมะตื่นด้วย


"พวกเราต้องไปแล้วล่ะ"


ไป? ไปไหนผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันเป็นสีน้ำเงินเข้มบอกเวลาใกล้จะเช้า แต่พระจันทร์ดวงโตยังส่องสว่างถึงตอนนี้จะเอยู่ใกล้เส้นขอบฟ้าแล้วก็ตาม


"อยู่ด้วยกันก็ได้นี่นา"


"ไม่ได้หรอก ไม่มีมนุษย์คนไหนอยากเลี้ยงเสือกับสิงโตไว้ในบ้านหรอก ถ้าเจ้าของบ้านกลับมาเจอ เราต้องถูกส่งกลับไปอยู่กับมนุษย์ใจร้ายพวกนั้นแน่ๆ"


ฮารุบอกเศร้าๆ พลางหันไปมองยูยะที่กำลังเดินมาหา หลังจากที่คาบกระต่ายสี่ตัวมานอนเรียงกันเรียบร้อยแล้ว


"แบบนี้ก็ไม่ได้เจอกันอีกสิ"


ชี่น้อยกระโดดขึ้นไปนั่งบนหัวของฮารุ แฮมทาโรกำลังพยายามตะกายขึ้นไปบนหัวของยูยะบ้าง แต่ทั้งสองตัวก็พูดเหมือนกันว่า


"ไม่อยากให้ไปเลยย"


ผมเองก็ไม่อยากให้ไปครับ แต่ที่ฮารุพูดก็ถูกเหมือนกัน เสือกับสิงโตไม่เหมือนแมวอย่างผม ถึงจะอายุมากขึ้นก็คงจะตัวเท่านี้ แต่สองตัวนี่ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่อาจจะตัวสูงกว่าป๋ากับมี๊ของผมก็ได้


"แล้วพวกนายจะอยู่ยังไงอ่ะ ข้างนอกไม่มีคนคอยให้อาหารนี่"


"ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องกินเราอาจจะลำบากหน่อยแต่ก็ชินซะแล้ว ก่อนหน้านั้นที่หนีออกมาแรกๆก็ต้องทนหิวอยู่หลายวัน แต่ตอนนี้ก็พอจะจับอะไรกินได้แล้วล่ะ"


"แล้วเราจะได้เจอกันอีกมั๊ย?"


ยูมะถามตาแป๋ว ใจอยากให้ทั้งสองตัวอยู่ต่อ


"คงไม่ได้หรอก ก่อนที่จะมาเจอพวกนาย  พวกเราซ่อนตัวอยู่แถวๆสวนสาธารณะใกล้ๆนี่แหละ แต่ตอนนี้พวกมนุษย์รู้แล้ว เราก็คงต้องไปจากที่นี่"


ตลอดเวลาที่ร่ำลา ยูยะไม่พูดอะไรเลยสักนิด แต่ก็ยอมให้แฮมทาโรเกาะอยู่บนหัวตลอดเวลา จนถึงเวลาที่ต้องจากกันจริงๆ ยูยะถึงค่อยๆนอนหมอบลงให้แฮมทาโรกระโดดลงบนพื้นหญ้า


"ลาก่อนนะ"


ยูยะพูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินเคียงฮารุไปยังอีกฝั่งของสนามหญ้า เท้าของยูยะไม่เจ็บแล้ว


นาทีต่อจากนั้น... ก้าวแรกที่ทั้งสองออกวิ่งเพื่อให้กระโดดไปถึงบนกำแพงรั้ว ผมก็ได้รู้ว่าสัตว์ทั้งสองตัวแข็งแกร่งและทรงพลังกว่าแมวอย่างมากแค่ไหน  ทั้งน้ำหนักของฝีเท้าที่กระทบบนผืนหญ้า จังหวะก้าวกระโดด ภาพที่ทั้งคู่เหินอยู่บนอากาศก่อนจะวางเท้าทั้งสี่ลงบนกำแพงรั้วพร้อมกัน  เป็นเหมือนภาพช้าที่ฉายซ้ำๆในหัวผมเหมือนตอนที่ป๋ากับมี๊กดรีโมทให้ภาพในทีวีช้าลง


"นี่!!แล้วนายจะไปไหนกัน"


ผมถามก่อนที่ทั้งคู่จะกระโดดลงไปยังอีกฝั่งกำแพง ภาพที่ผมเห็นคือทั้งสองหันมาสบตากัน ยิ้มให้กัน ส่วนคำตอบที่ผมได้ยิน...


"ที่ไหนก็ได้ที่เราจะไม่พรากจากกัน อยู่ด้วยกันตลอดไป"


มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมจดจำภาพนี้ คำพูดนี้ไปอีกนานแสนนานทั้งๆที่ผมเองก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม


"มีที่แบบนั้นด้วยเหรอ? ยูมะ"


ผมถามหลังจากฮารุและยูยะหายไปจากกำแพงแล้ว ยูมะตอบกลับมาด้วยความเชื่อมั่น สายตายังไม่ละจากจุดที่ทั้งสองตัวยืนอยู่ก่อนหน้านั้น


"ต้องมีสิ"





















ลูกเสือขาว และลูกสิงโตเดินเคียงข้างกันบนถนนที่ดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด เงาของทั้งคู่ทอดยาวใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง ใกล้เช้าแล้วแต่ทั้งสองตัวยังหาที่ดีๆสำหรับซ่อนตัวไม่ได้เลย เดินไปทางไหนก็มีแต่บ้านคน


"ทำไมนายเงียบล่ะ? ยูยะ"


"ปกติฉันพูดมากเหรอ?"


"เปล่า แต่ก็ไม่ได้พูดน้อยจนเหมือนเป็นใบ้ขนาดนี้"


ยูยะเงียบไปอีก ฮารุเข้าใจดีว่าทำไม  บ้านหลังที่ทั้งสองเพิ่งจากมานั้นช่างแสนสบาย อบอุ่น และปลอดภัย ดูจากสมาชิกแต่ละตัวแล้ว คงมีเรื่องสนุกๆให้ทำทุกวันเลย


แต่ว่า...ที่ตรงนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับพวกเขา


"ถ้าได้อยู่ด้วยกันก็ดีสินะ"


ฮารุสังเกตว่ายูยะเริ่มเดินกะเผลกอีกแล้ว คงเพราะเมื่อกี๊ต้องออกแรงวิ่ง ก็เลยทำให้เจ็บแผล


"พักก่อนไหมยูยะ"


"ฉันอยากหาที่ซ่อนตัวเร็วๆ ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว"


ท้องฟ้าสีน้ำเงินเริ่มมีสีส้มจางๆ ยูยะเงยหน้ามองแล้วถอนใจ ไม่รู้ว่าจะต้องพเนจรร่อนเร่อย่างนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ ถึงยูยะจะไม่กลัวความลำบาก แต่เขาก็กลัวจะถูกแยกจากฮารุสุดหัวใจ


"จะมีมั๊ยนะ"


"เอ๋?"


"ที่ที่เราจะอยู่ด้วยกันได้ จะมีอยู่จริงไหมฮารุ"


อยู่ด้วยกัน..ไม่ต้องแยกจากกัน  ไม่ต้องหนีใครอีก


"มีจริงสิ"


ทั้งฮารุและยูยะทำหูตั้ง พยายามมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใคร เสียงที่ตอบมานั้นเหมือนดังสะท้อนมาจากสถานที่ไหนสักแห่งแสนไกล


"ใครน่ะ ฮารุ นายเห็นรึเปล่า"


ลูกเสือขาวส่ายหัวอย่างงุนงง เขาไม่เห็นใครเลย ไม่ได้กลิ่นของใครด้วย แต่ว่า..คำพูดที่เขาได้ยินเมื่อกี๊น่ะจริงใช่ไหม? ที่ที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน โดยไม่ต้องถูกใครตามล่าอีก


ราวกับจะรู้ความคิดของฮารุ เสียงนั้นตอบกลับมาว่าหากทั้งคู่มีความตั้งใจอย่างแน่แน่วไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่พวกเขาต้องการก็จะเป็นจริง


"พวกเธออยากอยู่ด้วยกันตลอดไปรึเปล่าล่ะ"


"เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว"


"ฉันก็เหมือนกัน"


แล้วแสงสีเงินก็สว่างขึ้นอีกครั้ง...



















ยูยะกระพริบตาถี่ๆไล่แสงสีเงินที่เกือบทำให้เขาตาบอดหายไป แต่มันกลับไม่หาย..


"มีแสงแบบนี้ทีไร มีแต่เรื่องแปลกๆตามมาทุกที"


เสียงมนุษย์ดังขึ้นใกล้ๆทำให้ยูยะสะดุ้งสุดตัว แต่ก่อนจะได้กระโดดหนี ก็กลับถูกรวบเอาไว้ในอ้อมแขนของเจ้าของเสียงนั่น ยูยะดิ้นรนสุดแรง และคงจะฝังเขี้ยวลงบนแขนของเจ้ามนุษย์คนนั้นหากไม่ได้ยินคำพูดประโยคนี้


"ยูยะ นี่ฉันเอง ฮารุ"


"โกหก!!"


ยูยะออกแรงดิ้นมากขึ้นอีก แต่อ้อมแขนนั้นกลับรัดแน่นยิ่งกว่า เสียงกระซิบปลอบโยนของมนุษย์ไม่คุ้นหู แต่กลิ่นกายที่โอบล้อมกายของยูยะนั้น เขาจำได้แม่น


ยูยะหยุดดิ้นรน หันกลับมาเผชิญหน้ากับมนุษย์คนนั้น  ผมดำ ผิวขาว นัยน์ตาสีฟ้า ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่มีทางเป็นเสือขาวฮารุไปได้


"นายเป็นใคร!!"


ไม่มีคำตอบ แต่อ้อมแขนที่รัดแน่นคลายลงแล้ว มนุษย์คนนั้นเผยรอยยิ้มกว้าง ยกสองแขนขึ้นเสมอไหล่ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


"พิสูจน์สิ"


ยูยะจ้องมนุษย์ตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมีกลิ่นของฮารุ แล้วฮารุอยู่ที่ไหนกัน?


ยูยะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ หลับตาลง สูดหายใจช้าๆเข้าไปจนเต็มปอด  ใช่แล้ว..กลิ่นนี้แหละ  กลิ่นที่ยูยะไม่ใช่แค่รู้สึกคุ้นเคย แต่จำได้แม่นยำไม่ว่ากลิ่นนั้นจะเจือจางในสายลมสักแค่ไหน เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอด..


"จำได้แล้วใช่ไหม?"


ยูยะพยักหน้า แล้วก็ต้องหลับตาลงอีกครั้งเมื่อใบหน้าที่มีรอยยิ้มสว่างไสวก้มลงมา ปลายจมูกโด่งอย่างมนุษย์แตะลงบนจมูกของยูยะ ฮารุทำแบบนี้เสมอเวลาที่ยูยะจะเข้านอน ตื่นนอน หรือทุกเวลาที่อยากจะทำ


"ทำไมหน้าตาเป็นแบบนี้ล่ะ"


"ไม่ใช่แค่ฉันนะ ดูนี่สิ"


ยูยะก้มลงมองผืนน้ำใสสงบเหมือนกระจก มีเงาของมนุษย์อีกคนหนึ่งสะท้อนอยู่ในนั้น ผมสีน้ำตาลทอง ผิวสีแทน ยูยะไม่รู้จักมนุษย์คนไหนที่หน้าแต่แบบนี้ เพียงแต่  รูปตาเรียวเล็ก นัยน์ตาสีเหลืองดูดุดันนั้นเขาเคยเห็นที่ไหนนะ


"ใครน่ะ ฮารุ?"


"ก็นายน่ะสิ"


ยูยะไม่อยากเชื่อเลย แสงสีเงินเมื่อกี๊คืออะไรกันแน่นะ หลายครั้งแล้วที่ได้รับความช่วยเหลือจากแสงสว่างสีเงินนี้ แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้เลย  ยูยะก้มลงมองเงาสะท้อนของตัวเองอีกครั้ง  ใบหน้าอย่างมนุษย์ของเขาดูสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ แต่ทำไม..เขาถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ


"เห็นหน้าตานายแล้วนึกถึงแฮมทาโรเนอะ"


ยูยะทำตาเขียวใส่ฮารุที่พูดแทงใจดำพอดิบพอดี เขานึกถึงเจ้าหนูนั่นจริงๆนั่นแหละ นึกถึงเจ้าแฮมที่อยู่ดีๆมาเกรียนถามว่าเขาเป็นตัวเมียหรือเปล่า ถ้าเจ้านั่นมาเห็นหน้าตาของยูยะตอนนี้ คนปักใจเชื่อว่าเขาเป็นผู้หญิงแน่ๆ


"ว่าแต่..ที่นี่มันที่ไหนกันล่ะ"


ฮารุเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่จะถูกตบ ถึงยูยะจะไม่มีอุ้งเท้าของสิงโจแล้ว แต่เรี่ยวแรงก็ใช่ว่าจะน้อยลงเสียเมื่อไหร่


"ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน"


พวกเขานั่งอยู่ริมทะเสสาบ ที่ผืนน้ำราบเรียบไร้คลื่น ใสจนเห็นผืนทรายลึกลงไปเบื้องล่าง  ผืนดิน ผืนหญ้า ต้นไม้  ทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ที่นี้พร้อมใจกันเปล่งแสงสีเงินเรืองรอง สว่าง  และสงบ ไม่มีที่ใดบนโลกสวยงามกว่าที่นี่อีกแล้ว


"เราลองไปถามคนพวกนั้นดูไหม ฮารุ"


ยูยะชี้มือไปทางอีกฝั่งของทะเลสาบ แม้จะกลายเป็นมนุษย์แต่ความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ไม่ได้หายไปด้วย ทั้งคู่สามารถมองเห็นเหตุการณ์หนึ่งเดียวที่ดูจะไม่สงบผิดกับสถานที่ที่เกิดขึ้นอีกด้านหนึ่งไกลออกไป


ตรงนั้นมีบ้านที่ดูเหมือนกล่องรูปสามเหลี่ยมวางตั้งอยู่เฉยๆ ด้านหลังบ้านมีต้นไม้สูงใหญ่อายุราวพันปีหรือมากกว่านั้น ที่ตัวบ้านมีคนหลายคนแตกตื่นวิ่งวุ่นวายตลอดเวลา


"ดูท่าทางจะมีเรื่องนะ"


ฮารุเป็นฝ่ายยืนขึ้นก่อน แต่ยูยะยังลังเลและไม่เคยชินกับการยืนสองขา  ก็อดคิดไม่ได้ว่า ต่อจากนี้ไป จะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาอีก แต่ฮารุได้ตอบคำถามทั้งหมดนั้นแล้ว


"ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกยูยะ เพราะจากนี้..เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป"








2 comments:

  1. มันคือบนดวงจันทร์ใช่ป่ะคุณปี้

    ReplyDelete
  2. ไม่เฉลย เพราะมันยังมีตอนต่อไป. ^^

    ReplyDelete