Thursday 2 June 2011

[Fiction] Once Upon a time...One

Title : Once Upon a time...One

Writer : Nalikakeaw

Rate : Not Sure

Pairing : .........






"ทำหน้าย่นแบบนั้นบ่อยๆ ตีนกามันจะถามหาเอานะ"



คุณหมอคนสวยตวัดสายตาขุ่นขวับใส่ร่างสูงผู้มาใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้อง มือเรียวยกขึ้นแตะๆแถวหน้าผากกับหางตาสำรวจหาริ้วรอยอันไม่พึงประสงค์


"พี่ยูยะ!"


ยูมะกระโดดลงจากเตียงโผเข้ากอดร่างสูงด้วยความดีใจจนเกือบล้มไปด้วยกัน


"ไงยูมะ ..เป็นเด็กดีรึเปล่า"


คนถูกถามทำหน้าย่น ริมฝีปากเชิดขึ้นนิดๆอย่างถือดี ไม่ใช่เด็กแล้วซักหน่อย แต่กลับถูกอีกฝ่ายขยี้ผมเล่นอย่างเอ็นดู ยูยะประคองน้องน้อยที่ยังง้องแง้งไปนั่งตรงโซฟา ใช้เท้าเขี่ยๆคุณหมอที่ยังนอนกางแขนขาเต็มโซฟาให้ขยับหนีจะได้มีที่นั่ง


"นานๆเจอกันทีทักพี่แบบนี้เรอะ! ไอ้น้องบังเกิดเกล้า"


"เป็นคุณหมอมานอนเป็นอึ่งอ่างโดนรถทับแบบนี้ได้ไง คนไข้เห็นได้หมดความนับถือกันพอดี"


"เค้าวัดกันที่ฝีมือการรักษาคนไข้เว้ย! แล้วนายล่ะพ่อดาราวัยรุ่นชื่อดัง ไอ้ยีนส์ขาดๆเนี่ย เอาไปทิ้งได้แล้วมั้ง"


"แล้วพี่จะให้ใส่อะไร กิโมโนเหมือนเมื่อก่อนมั๊ยล่ะ"


ยูมะนั่งฟังสองคนทะเลาะกันตาแป๋ว เมื่อไหร่ที่เจอกัน พี่ชายสองคนจะสรรหาเรื่องมาเถียงกันได้ไม่รู้เบื่อ แต่ละครั้งก็เถียงกันเรื่องเดิมๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วพี่ชายคนโตก็ยอมตามใจน้องทุกทีนั่นแหละ


"ก็ฉันไม่ได้เก่งแบบพี่ จะให้เป็นหมอรักษาคนแบบพี่ได้ยังไง ที่ทำได้ก็มีแค่นี้แหละ"


ตั้งแต่จำความได้พี่ชายคนโตทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เมื่อก่อนเป็นหมอประจำอยู่ในอำเภอเล็กๆในต่างจังหวัด รักษาคนไข้จนมีชื่อเสียง ถึงขั้นที่ว่าคนไข้จากจังหวัดอื่นยอมเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรมาเพื่อให้รักษา แล้วตอนนี้ก็ถูกเชิญให้มาประจำที่โรงพยาบาลในเมืองใหญ่ แค่สามเดือนก็มีคนไข้ประจำให้คอยดูแลจนแทบไม่มีเวลาได้พัก ไม่นับรวมคนไข้ที่ตามมาจากจังหวัดอื่นๆอีก


"อย่ามาแกล้งทำน้อยใจนะเว้ย เดี๋ยวปั๊ดตบกะโหลกร้าว พี่ก็แค่เป็นห่วง อยากจะเป็นดาราซุปเปอร์สตาร์อะไรก็ตามใจ พี่ไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับชีวิตนายอยู่แล้วนี่!"


ดูเอาเถอะ ใครน้อยใจใครกันแน่ ยูยะรีบคว้าตัวพี่ชายเข้ามากอด เป็นพี่ชายคนโตของบ้านก็จริง แต่คุณหมอก็ตัวเล็กกว่ายูยะ ผอมบางกว่า สูงน้อยกว่า ถ้าเปรียบกันแล้วตอนนี้น้องเล็กยังตัวสูงกว่าพี่คนโตคนนี้ซะอีก


ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย...


...แค่ชื่อเท่านั้น....


"อย่าเพิ่งโกรธน่า ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นซักหน่อย แค่งานนี้มันสนุก แล้วฉันก็ทำมันได้ดีด้วยนะ พี่ไม่ได้ดูเหรอ"


"ไม่ว่าง!"


โกหก! แล้วใครกันคอยตัดข่าวใส่แฟ้ม ซื้อแมกกาซีนเก็บไว้ทุกเล่ม คอยดูโทรทัศน์ทุกวันว่ายูยะไปออกรายการไหนบ้างแล้วแอบอัดเก็บไว้  วันไหนดูไม่ทันก็เข้าเว็บแฟนคลับโหลดมาดู ยิ่งล่าสุดมีข่าวว่ายูยะจะได้แสดงละครซีรี่ย์เรื่องดังที่มีการสร้างติดต่อกันมาสองภาคแล้วยิ่งปลื้ม กระโดดตัวลอยอยู่คนเดียวในห้องพัก จนทั้งแฟ้มข่าว ทั้งแมกกาซีนที่สะสมไว้เกือบหล่นลงมาทับหัวตาย


ยูมะรู้ ...  แต่ถ้าพูดออกไปหมดยูมะจะถูกกล่าวหาว่าแฉพี่ชายตัวเองมั๊ยเนี่ย...


ยูมะซุกตัวหาอ้อมแขนพี่ชายที่นั่งอยู่ตรงกลาง แนบหน้าผากกับพี่ชายอีกคนที่ซุกตัวอยู่คนละฝั่งของอ้อมแขน เมื่อก่อนสามพี่น้องกอดกันแบบนี้บ่อยๆ ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองนี้ เวลาที่จะได้เจอกัน คุยกัน กอดกันแบบนี้ก็น้อยลง


"กอดกันแบบนี้ฉันดูเหมือนเป็นอาเสี่ยในฮาเร็มเลย"


"อื้อ..ถ้ามีพุงอีกหน่อยนะ"


หัวเราะกันคิกคักสองคนกับยูมะแล้วก็เงียบไป ยูยะรับรู้ได้ถึงอ้อมแขนที่กอดกระชับกับตัวมากขึ้น  ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่าพี่ชายเป็นห่วงเขา รักเขามากแค่ไหน ถึงจะจิกกัดปากร้ายไปบ้าง แต่ยังไงก็รักน้องอยู่วันยังค่ำ


"ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่มีอันตรายอะไรซักหน่อย ไม่เหมือนตอนที่อยู่บ้านเก่าหรอกนะ"


ยูยะคนพี่ได้แต่ก้มหน้างุด ปล่อยให้น้องลูบหัวลูบหางปลอบเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ


"นายรู้ไหม ตอนที่พี่กลับมาบ้านแล้วรู้ว่าป๋ากับหม่าม๊ามีนายอีกคน แล้วก็ตั้งชื่อให้ว่ายูยะ  พี่รู้สึกยังไง"


"ไม่รู้สิ พี่ไม่เคยเล่าให้ฟังเลย"


ยูยะเคยถามว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงได้ตั้งชื่อเขาว่ายูยะ ทั้งๆที่เป็นชื่อของพี่อยู่แล้ว คำตอบก็คือ ก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลก พี่ชายเขาหายตัวไปจากบ้าน ทั้งพ่อแม่เฝ้าตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนคิดว่ายูยะคนพี่อาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกแล้ว พอมีลูกอีกคนถึงได้ตั้งชื่อว่ายูยะ เพื่อให้เขาเป็นตัวแทนความรัก ความคิดถึงของพ่อแม่ที่มีต่อพี่ชาย ยูยะรู้เรื่องนี้ตอนที่โตมากแล้วถึงไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าตัวเองเกิดมาเพื่อเป็นตัวแทนของใคร เพราะทั้งพ่อกับแม่ก็รักทั้งสองคนเท่ากัน พี่เสียอีกที่ต้องคอยเสียสละของเล่นให้เวลาที่เขางอแง คอยดูแลเวลาพ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน คอยอยู่ข้างๆเวลาที่ไม่สบาย และยังคอยห่วงใยมาจนถึงเดี๋ยวนี้


"ครั้งแรกที่พี่ได้เห็นนาย ตอนที่เห็นว่าหม่าม๊าอุ้มนายแนบอก พี่รู้สึกเหมือนอยากจะสาปนายให้กลายเป็นตุ๊กตาหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้นายหายไปซะ พอไม่มีนาย ป๋ากับหม่าม๊าก็จะได้รักพี่คนเดียวเหมือนเดิม  ตอนนั้นพี่ยังเด็กมาก แต่พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่าความรู้สึกนั้นน่ะ  คือความอิจฉา  น่าอายมั๊ยล่ะ อิจฉาจนอยากจะทำร้ายแม้กระทั่งน้อง"


"ฉันไม่เห็นรู้สึกเลยว่าถูกพี่อิจฉา"


มันเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบเท่านั้นเอง พอแม่อุ้มน้องเข้ามาใกล้ๆ พอมือน้อยๆนั้นเอื้อมมือมาดึงผม กระตุกเบาๆแล้วก็หัวเราะเหมือนได้ของเล่น วินาทีนั้นเองที่ได้รู้สึกว่าน้องน่ารักน่ากอดแค่ไหน ตั้งแต่วันนั้นยูยะคนพี่ก็ทุ่มเทให้น้องหมดทุกอย่าง ดูแลน้อง เล่นกับน้อง ยอมเสียสละผมให้น้องดึงเล่นอยู่บ่อยๆ ยูยะคนน้องคงไม่รู้ตัวหรอกว่านิสัยที่ชอบเอานิ้วมาพันผมพี่เล่นน่ะ มันเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว


"ความอิจฉาของมนุษย์มันน่ากลัวนะยูยะ  มันสามารถเผาทำลายได้ทุกอย่างแม้แต่ตัวเอง ยิ่งนายเป็นที่ชื่นชมมากเท่าไหร่ ก็จะมีคนอิจฉามากขึ้น"


"พี่หมายถึงเรื่องข่าวเมื่อวันก่อนน่ะเหรอ?"


จะข่าววันไหนยูยะคนพี่ก็ไม่สนใจทั้งนั้น ไม่อยากจะอ่านเพราะรู้ว่ามันเป็นวิธีการของหนังสือบันเทิงแผงลอยทั้งหลายที่จะเรียกความสนใจจจากบรรดานักอ่านที่อยากสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน มีข่าวแค่สองบรรทัดแต่ละเลงสีตีไข่นั่งเทียนเขียนได้เป็นหน้าๆ ด้วยภาษาหวือหวาวิบัติสุดกู่จนคุณหมอไม่อยากจะแลด้วยซ้ำ แต่วันก่อนคุณหมอไปตรวจคนไข้แล้วเห็นมันวางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง


แค่อ่านพาดหัวข่าว  คุณหมอคนสวยก็ลมออกหู โกรธจนแทบอยากจะจับไอ้คนเขียนมาผ่ามือดึงเส้นเอ็นออกมาสับ จะได้ไม่ต้องมีมือไว้เขียนข่าวบ้าๆแบบนี้ได้อีก ทางที่ดีคงต้องควักลูกตาออกมาด้วยจะได้ไม่ต้องแส่ส่ายหาเรื่องไปเขียนให้คนอื่นเสียหายแบบนี้


"ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่นี้เอง ฉันรับมือไหว ห่วงคนที่มาหาเรื่องฉันเถอะพี่"


"ทำไมฉันต้องไปห่วงมันด้วย?.."


"ก็คนไข้ของพี่ไม่ใช่เหรอ ที่รถชนเพราะถูกหมาวิ่งตัดหน้าหรืออะไรซักอย่างเมื่อวานน่ะ"


คุณหมอเงยหน้าขึ้นมามองน้องชาย  ดวงตากลมใสเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ


"แขนหักทั้งสองข้าง ขาก็หัก หัวโดนกระแทกอย่างแรงก็เลยทำให้การมองเห็นผิดปกติ แต่ก็ไม่ถึงกับตาบอด  กรรมสนองสินะ"


"สมน้ำหน้า!"


ยูยะมองหน้าพี่ชายกับน้องชายสลับกันไปมา ในสามคนพี่น้องที่ใครๆต่างพูดว่าไม่มีอะไรที่เหมือนกันนอกจากสีผิว ไม่น่าเป็นพี่น้องกันได้ แต่พี่ชายคนโตกับน้องเล็กยังมีบางสิ่งที่คล้ายกัน นั่นคือดวงตาตาใสแบ๊วที่มองแล้วชวนให้นึกถึงลูกกวางไร้เดียงสาน้อยในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่


แต่ไม่รู้ทำไม...


เห็นพี่ชายน้องชายยิ้มแบบนี้แล้วตาขวามันกระตุกแปลกๆทุกทีสิน่า...


"ไม่ต้องมามองหน้า ฉันไม่ทำอะไรให้เสียจรรยาบรรณแพทย์หรอก"





++++++++++++++++++++++++++++++




"ให้มันจริงเถอะ!"


เจ้าของคำพูดนั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นร่างสูง ผิวขาว แต่มีสีผมและนัยน์ตาสีเข้ม ราวกับสะท้อนสีของท้องฟ้าอันมืดมิดยามราตรี  โครงหน้าสมส่วน คิ้วเข้มรับกับจมูกโด่ง ขับให้ใบหน้าดูมีเสน่ห์ชวนมอง


ผิดกับสามพี่น้องที่มีผิวสีแทนโดยกำเนิด แต่มีผมสีอ่อน มีนัยน์ตาคู่งามเป็นประกายราวกับมีใครหลอมผลึกอำพันมาใส่ไว้  แม้เป็นชายแต่กลับให้บรรยากาศงดงามไปคนละแบบ


คนหนึ่งอ่อนหวาน อ่อนโยน ใจดี สมกับอาชีพที่เลือกเป็น...


"มาทำไมไอ้หมาบ้า!"


เสียก็แต่ปากนี่แหละ ไม่รู้ว่าตอนที่อยู่กับคนไข้กับตอนนี้คนไหนคือร่างจริง..คนไหนคือร่างทรง..


อีกคนสวยเฉี่ยว ดวงตาเรียว กับริมฝีปากอิ่มได้รูป เย้ายวน ให้ลองสัมผัส ดวงตาสีอำพันนั้นไร้ความรู้สึก แต่กลับมีเสน่ห์ลึกลับชวนค้นหา


อีกคนแม้ยังเด็ก ก็สดใสน่ารัก ดวงตาใสบริสุทธิ์ที่ใครมองก็อดหลงรักไม่ได้ แม้ไม่ใช่น้องแท้ๆแต่เขาก็รักเด็กคนนี้มากไม่แพ้อีกสองคนที่มีสายเลือดเดียวกันกับยูมะ


"พี่ฮารุ!"


น้องน้อยโถมตัวเข้าหาผู้มาใหม่ด้วยท่าทางเดียวกับที่กอดยูยะไม่มีผิดเพี้ยน ผิดกันตรงที่ว่าฮารุสามารถตั้งหลักรับได้สบายๆ แม้ว่าตอนนี้ยูมะจะสูงเกือบเท่ากับเขาแล้ว


"ผอมเหลือเกินนะเรา กินให้มันเยอะกว่านี้หน่อยสิ"


"ข้าวที่โรงพยาบาลมันไม่อร่อยนี่"


อาหารของคนป่วยจืดชืดไร้รส สีสันก็ไม่น่ากิน บวกกับบรรยากาศคนป่วยอื่นๆรอบตัวยิ่งทำให้ไม่อยากอาหาร ที่ฝืนกลืนลงไปได้ทุกมื้อก็เพราะพี่ชายสองคนขู่แกมบังคับว่าถ้าไม่กินให้หมดก็จะไม่หายป่วย ไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลซักที


"ไว้ออกจากโรงพยาบาลจะพาไปกินอะไรอร่อยๆ แต่วันนี้กินนี่ไปก่อนนะ"


"เย้~!"


คว้าถุงขนมใบโตกลับไปนั่งกินตรงโซฟาตัวเดิม เอนหลังพิงพี่ชายคนกลางสบายใจเฉิบ แต่พี่ชายคนโตกลับมองด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก


"ไม่ใส่ยาพิษไว้หรอกน่า  ถ้าฉันซื้อมาให้นายถึงค่อยสงสัย"


คุณหมอยูยะตวัดสายตามองคนพูดอย่างเหยียดๆ เหมือนบอกเป็นนัยว่า จะไม่มีวันกินของที่ฮารุซื้อมาเป็นอันขาด ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอกกลับด้วยสายตาว่า ชาตินี้ชาติไหนก็อย่าหวังเลยว่าจะได้กิน


สองคนแง่งๆใส่กันโดยคนที่เหลือไม่มีใครคิดจะห้าม ยูมะรู้มานานแล้วว่าพี่ชายคนโตไม่ชอบขี้หน้าฮารุ ตามประสาพี่ชายที่รักและหวงน้องยิ่งชีพ ยิ่งฮารุแย่งยูยะไปครองคนเดียวเสียแบบนี้ เวลาที่จะอยู่กับพี่น้องก็แทบไม่เหลือ อาทิตย์หนึ่งอยู่กับครอบครัวสามวัน สี่วันที่เหลือเป็นของฮารุ ยูยะคนพี่ทำใจยอมรับไม่ลงแต่ก็ขัดใจน้องไม่ได้ ยูมะก็หวงพี่เป็นเหมือนกันแต่ไม่อยากงอแงให้ยูยะต้องลำบากใจ


ก็ใช่ว่ายูมะจะยอมให้ทุกครั้งไปหรอกนะ....


"เมื่อกี๊นายหมายความว่าไง?"


"อะไร?"


"ที่พูดตอนนายเข้ามาน่ะ หมายถึงอะไร?"


ทันทีที่ถาม สองคนที่นั่งข้างๆก็มีปฏิกิริยาทันที ยูมะไอค่อกแค่กเพราะขนมเกิดติดคอ ส่วนคุณหมอก็ใช้สายตาขู่เข็ญแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฮารุรู้สึกอะไรนอกจากจะนึกอยากแกล้งมากขึ้นเท่านั้น


"เมื่อกี๊ฉันเดินสวนกับคนไข้คนหนึ่งที่หน้าโรงพยาบาล  คนที่เขียนข่าวนายนั่นแหละ หมอนั่นโวยวายอยากจะออกจากโรงพยาบาลให้ได้ "


"ทำไม?"


"ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่คุณหมอเจ้าของไข้เข้าไปตรวจตอนบ่าย"


ยูยะหันไปสบตาพี่ชาย


"นั่นมันคนไข้ของฉัน ฉันก็แค่ไปตรวจตามปกติ แปลกเหรอ?"


ไม่แปลกสักนิด หากคุณหมอไม่ได้แนะนำตัวอย่างจงใจว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องยังไงกับคนที่เป็นข่าวในหนังสือที่พกติดมือไปให้คนไข้อ่านระหว่างตรวจ แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มอบรอยยิ้มหวานอาบยาพิษให้ แล้วก็...เอ่อ อาจจะมือหนักไปนิดตอนที่จับแขนขาคนไข้


สิบนาทีต่อมา ยูมะก็ไปอยู่ที่ห้องคนไข้ห้องเดิม ไปชวนคุยแก้เบื่อ บังเอิญไปเป็นหนังสือที่คุณหมอเผลอลืมทิ้งไว้  แล้วบอกกับคุณคนไข้ว่าคนที่เป็นข่าวนั่นเป็นพี่ชายเขาเอง ก่อนจะหันเหความสนใจไปที่เครื่องมือแพทย์ อยากยกเสาแขวนน้ำเกลือเล่นบ้าง อยากถอดเข็มน้ำเกลือแล้วจิ้มมันลงไปบนแขนอีกที หรืออยากแกะเฝือกออกมาดูว่าข้างในมีอะไร


เท่านี้ก็คงมากพอที่จะทำให้คนไข้มีอาการวิตกจริต กลัวตาย อยากออกจากโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนได้แล้ว


"เห่ามากเกินไปแล้ว!!!!"


ยูยะพูดอะไรไม่ออก นอกจากนั่งมองพี่ชายลับฝีปากกับฮารุอยู่เงียบๆ หันไปทางยูมะ น้องก็ทำตาแป๋วแบบที่เห็นแล้วต้องยอมแพ้ ดุไม่ลงสักที


"นี่ คืนนี้พี่จะมาอยู่เป็นเพื่อนผมใช่มั๊ย"


"ไม่ได้หรอกยูมะ พรุ่งนี้ยูยะมีงานน่ะ"


"เอ๋!!!!"


"อย่าให้มันมากนักไอ้หมาหื่น ให้พี่น้องมีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง"


แล้วคุณหมอก็ปะทะคารมกับฮารุอีกหน ยูยะเลยนั่งนิ่งๆ รอเวลาให้เสียงประกาศิตตัดสินว่าวันนี้เขาจะได้นอนที่ไหน  แต่ก็คงจะเดาได้ไม่ยากหรอก


"ไม่ได้! ไม่ให้พี่ยูยะไปไหนทั้งนั้น คืนนี้พี่ยูยะต้องนอนกับน้อง!!! ใครอยากกลับบ้านก็กลับไปคนเดียวสิ"





++++++++++++++++++++++++++++++




กระจกบานใหญ่สะท้อนภาพเงาใครบางคนที่แสนคุ้นตา เหมือนจะรู้จักแต่ก็ไม่รู้จัก  ร่างผอมบางในชุดกิโมโนสีแดงสด เล่นลวดลายบนผืนผ้าด้วยดอกไม้สีขาว เหมือนชุดที่เคยใส่เมื่อนานมาแล้ว แต่ใบหน้ากลับเฉยชา ดวงตาที่มองมานั้นช่างไร้ความรู้สึก เหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต


คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้คือใครกัน..?


"ยูยะ.."


สัมผัสหนักๆตรงเอวและต้นคอเรียกให้ยูยะถอนสายตาจากเงาสะท้อนในกระจกกลับมาสู่ความเป็นจริง ว่าเงาที่เห็นนั่นคือตัวเอง แต่เป็นตัวตนที่ช่างแตกต่างจากที่เคยเป็นจนตัวยูยะเองก็แทบจำไม่ได้  เมื่อก่อนยูยะเคยมีรอยยิ้ม มีชีวิตชีวา  ไม่ได้เฉยชาเหมือนตุ๊กตาหินสลักอย่างตอนนี้..


เพราะอะไร?...


"คิดอะไรอยู่?.."


"เปล่า!"


น้ำเสียงไร้อารมณ์ไม่แสดงความรู้สึก คนถามก็ยังไม่พอใจ จับร่างบางให้หันเข้าหา จ้องตาตรงๆค้นลึกลงไปหาคำตอบ แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรนอกจากดวงแก้วสีอำพันที่ว่างเปล่า


"คิดถึงหมอนั่นอยู่?"


เป็นคำเรียกแทนใครสักคนที่กว้างขวางจนคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆ นึกไม่ออกว่าคนถามหมายถึงใคร จนอีกฝ่ายต้องเฉลยออกมา ว่าเป็นช่างภาพคนที่เพิ่งจะร่วมงานกันไปเมื่อกี๊ แต่ก็ไม่ได้มีเหตุผลว่าทำไมยูยะจะต้องคิดถึงอย่างที่ว่า


"นึกว่าฉันตาบอดหรือไง!"


ฮารุเข่นเขี้ยวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในสตูดิโอ ไอ้หมอนั่น! ไอ้ช่างภาพคนนั้น! มันบังอาจแตะต้องยูยะ มันฉวยโอกาสระหว่างที่ทำงานเข้าใกล้ยูยะ จับมือถือแขนทุกครั้งที่ทำได้ และถ้ามันทำได้มันคงจะจูบยูยะไปแล้ว ทุกการกระทำของมันแนบเนียนจนเขาไม่อาจจะทำอะไรได้แม้ใจอยากจะทำมากกว่าต่อยซักหมัด


"ถ้าดูอยู่ตั้งแต่แรก ก็น่าจะเห็นแล้วสิว่าฉันทำยังไง หรือแค่นั้นยังไม่พอ?"


"ไม่!"


แค่ยูยะกระแทกศอกไปสองสามครั้ง กับแกล้งเหยียบเท้าไปไม่กี่ที หมอนั่นยังเจ็บตัวไม่สมกับที่มันบังอาจแตะต้องคนของเขา


"ถ้างั้นนายก็ไปจัดการ.. อย่างที่นายพอใจก็แล้วกัน"


"ฉันทำแน่"


รั้งใบหน้านั้นเข้ามาหา กระซิบตอบให้ริมฝีปากแนบชิดกัน ปลายนิ้วร้อนแตะลงบนต้นคอเปล่าเปลือย ผมที่เคยยาวถูกรวบสูง พอๆกับที่คอเสื้อกิโมโนถูกรั้งลงต่ำจนเกือบเห็นแผ่นหลัง


ยูยะหลับตาลงปล่อยให้ริมฝีปากและร่างกายถูกครอบครองจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ กระทั่งสัมผัสนั้นหยุดลง ดวงตาเรียวจึงกระพริบเปิด จ้องมองคนตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึกเหมือนทุกครั้ง


"ดูท่าทางเหนื่อยๆนะ ยูมะคงชวนคุยทั้งคืนจนไม่ได้นอนล่ะสิ"


"อยู่กับนายฉันก็คงไม่ได้นอนเหมือนกัน"


ฮารุหัวเราะหึๆกับคำพูดที่ตรงไปตรงมาไร้ความเขินอายกับเรื่องแบบนี้  เท่าที่รู้จักกันมา ยูยะไม่เคยแสดงอารมณ์ใดกับเขานอกจากความเฉยชา จะยิ้มหรือหัวเราะก็แค่เวลาที่อยู่กับพี่น้องเท่านั้น แม้แต่ตอนนี้ที่ร่างบางถูกรั้งมาที่โซฟาตัวยาวที่ตั้งชิดผนังจนล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ ใบหน้างดงามนั้นก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกสักนิด


แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว...


เพราะสิ่งที่เขาต้องการจากยูยะอยู่ทุกค่ำคืน  ไม่ใช่ความรู้สึก...


ยูยะซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย หลับตารับสัมผัสอุ่นๆที่แตะลงบนขมับ ไล้เรื่อยลงมาที่แก้ม คอ และริมฝีปาก


"หลับซะยูยะ.."


ปลายลิ้นร้อนแทรกเข้าไปลิ้มรสความหวานอย่างนุ่มนวล ..เนิ่นนาน..แล้วละริมฝีปากออกมาอย่างแสนเสียดาย


"หลับซะตอนนี้....ก่อนที่คืนนี้ นายจะไม่ได้นอน"





++++++++++++++++++++++++++++++






วันต่อมา ยูยะจำเป็นต้องตื่นเช้าทั้งที่เมื่อคืนผ่านศึกหนักจากคนที่นอนอยู่ข้างกาย เพราะเสียงโทรศัพท์สามเครื่องช่วยกันแผดเสียงต่อเนื่องแทนนาฬิกาปลุก เครื่องหนึ่งเป็นของยูยะ เครื่องหนึ่งเป็นของฮารุ อีกเครื่องเป็นโทรศัพท์ภายในที่ติดตั้งมาพร้อมกันกับตอนที่ซื้อห้องชุดในแมนชั่นสุดหรูนี่


ห้องที่อยู่กันแค่สองคนเท่านั้น..


ยูยะมีบ้านอยู่แล้ว คือบ้านที่อยู่ด้วยกันสามคนพี่น้อง ตั้งอยู่ห่างตัวเมืองไปไม่ไกล แต่ฮารุก็ยืนยันจะซื้อห้องนี้ให้ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้สะดวกเวลามาทำงาน แต่พี่ชายคนโตกลับมองว่า


"ไอ้หมาบ้านั่นซื้อไว้เพื่อจะได้ทำอะไรต่อมิอะไรกับนายได้สะดวกกว่าอยู่บ้านน่ะสิ!"


พี่ชายเขาพูดไม่ผิดเลย...


แล้วตอนนี้โทรศัพท์ทั้งสามเครื่องก็ถูกเหวี่ยงลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นพรมนุ่ม  ด้วยฝีมือคนที่น่าจะตื่นอยู่ก่อนแล้ว แต่กลับปล่อยให้โทรศัพท์ทั้งสามเครื่องดังหนวกหูจนยูยะต้องตื่น


"คนที่โทรฯมาน่าจะมีธุระด่วนนะ"


"ฉันไม่สน!"


พลิกกายทาบทับอีกร่างที่ไร้อาภรณ์แม้สักชิ้น บดเบียดริมฝีปากหนักหน่วงกระตุ้นอารมณ์ให้รุ่มร้อนในแรงปรารถนา จนกระทั่งยูยะหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ


แม้ในยามปกติไร้ความรู้สึก แต่เมื่อยามใดที่อารมณ์ถูกชักพาจนถึงขีดสุด ร่างบางนี้จะเร่าร้อนจนแทบจะแผดเผาฮารุได้ทั้งตัว เพราะเหตุนี้เขาถึงต้องการยูยะมากกว่าใครๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยเต็มใจก็ตาม


แต่แล้วทุกการเคลื่อนไหวบนเตียงกลับต้องหยุดลง เพราะเสียงใครบางคนที่เล็ดลอดผ่านประตูด้านหน้ามาเข้าหู


"ฉันรู้ว่านายสองคนอยู่ข้างใน อย่าให้ต้องพังประตูเข้าไป เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะโว้ย!!! "


.............................................


..............................


..................


........




แล้วตอนนี้ยูยะก็มีชุดคลุมอาบน้ำเพียงตัวเดียวปกปิดร่างกาย อยู่ในห้องนั่งเล่น รอฮารุที่อีกไม่กี่นาทีคงจะอาบน้ำเสร็จ ระหว่างนั้นก็เก็บเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนให้ลงไปอยู่ในตะกร้า


"อดอยากมากหรือไงถึงรอให้ไปถึงเตียงไม่ได้"


"ถามฮารุสิ"


ตอบแบบนี้คนถามก็ได้แต่ส่ายหัวสถานเดียว ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆ สาบานเลยว่าจะไม่มากวนตอนที่ไอ้คู่นี้มันกำลังทำอย่างว่ากันอยู่เด็ดขาด ให้ตายเถอะ!


"มีธุระอะไร"


ถึงจะอาบน้ำ แต่ก็ใช่ว่าจะดับอารมณ์ที่ค้างคาอยู่ให้หายไปได้ ฮารุจึงกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาหนังสีดำอย่างหงุดหงิด ผิดกับยูยะที่นั่งลงข้างกันด้วยสีหน้าเรียบเฉย จนคนมองแปลกใจ


"มองอะไรวะ!"


ฮารุเอื้อมมือไปจัดชายเสื้อของยูยะให้ปกปิดมิดชิดมากขึ้น


เออ! หวงกันเข้าไป ทีตัวมันเองดันปล่อยให้เสื้อแหวกจนเกือบถึงสะดือ


อยากด่าอย่างใจคิด แต่เวลาก็มีไม่มากแล้ว  ยาบุเทหนังสือนับสิบเล่มที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะกระจกเตี้ยๆหน้าโซฟา ฮารุทำหน้าตาเหนื่อยหน่ายทันที


"ข่าวอะไรอีกล่ะคราวนี้"


ยูยะชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหยิบ ภาพบนหน้าปกหนังสือทุกเล่มเหมือนกันหมด กิโมโนสีแดง?


"นี่มัน-"


"ภาพสวีทหวานในห้องแต่งตัว ของ-นาย-สอง-คน  ไม่ได้มีแค่นี้นะ ยังมีคลิบวิดีโอด้วย ตอนนี้ระบบอินเตอร์เน็ตปิดซ่อมเพราะมีคนกดเข้าไปดูเป็นล้านๆในคืนเดียว สายเคเบิ้ลคงไหม้ไปเลยละมั้ง"


ฮารุอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะย้อนถามด้วยคำถามที่ยาบุคิดว่ามันกวนประสาทจนอยากจะยันหน้าหล่อๆนั่นสักที


"แล้วไง?"


"ก็ไม่ไงละวะ ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อ ทุกวันนี้นายสองคนมีข่าวไม่พอหรือไง ข่าวมันมีผลกระทบกับนายยังไงรู้บ้างรึเปล่า"


"ไม่รู้ แล้วก็ไม่สนด้วย มันเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันกับยูยะอยู่กันแบบนี้นานแล้ว  ถ้างานนี้ทำให้เราอยู่กันแบบนี้ไม่ได้ ฉันก็ไม่ทำ "


ฟังแล้วไมเกรนขึ้นกะทันหัน ถ้าหมอนี่เลิกเป็นดารา ก็หมายความว่ายูยะก็ต้องเลิกทำงานนี้ด้วยแน่ๆ แล้วทุกสิ่งที่สร้างมาตลอดหนึ่งปีนี้ก็ไม่มีความหมาย ลงทุนลงแรงไปเสียเปล่า


อาจจะเป็นความบังเอิญที่ยาบุได้พบกับสองคนนี้ระหว่างที่โมเดลลิ่งของเขากำลังมองหาดาราวัยรุ่นหน้าใหม่เพื่อจะแข่งขันกับบริษัทอื่นๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และเพียงงานโฆษณาชิ้นแรกก็ทำให้ทั้งสองคนเป็นที่จับตามองทันที  ด้วยบุคลิกที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่อยู่ด้วยกันแล้วกลับลงตัวอย่างน่าประหลาด  แล้วงานชิ้นต่อมาก็ตามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่กำลังจะได้แสดงละครเรื่องแรก ละครวัยรุ่นชื่อดังที่สร้างติดต่อกันมาแล้วถึงสองภาค และคนที่เคยรับบทนำก็กลายเป็นดาราชั้นแนวหน้าของวงการไปแล้ว


ข่าวนี้อาจทำให้ทั้งสองคนถูกปลดออกจากรายชื่อนักแสดง หากทั้งผู้ผลิตละครและคนดูมองว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และถ้าเป็นแบบนั้นจริง  ทั้งสองคนก็จะสูญเสียโอกาส บริษัทก็จะเสียรายได้เป็นจำนวนมหาศาล


"ฉันไม่เสียดายหรอกนะ ที่ฉันทำงานนี้ก็เพราะมันสนุก แต่ถ้ามันทำให้ชิวิตยุ่งยากฉันก็คงไม่ทำ"


"หมายความว่านายเลือกชีวิตส่วนตัวมากกว่างานเหรอ?"


คำตอบมันชัดเจนอยู่ในดวงตาของทั้งสองคน จนยาบุไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยได้แต่ทิ้งตัวหมดแรงลงบนโซฟาอย่างปลงๆ


"แล้วใครเป็นคนถ่ายภาพนี้กันล่ะ ตอนนั้นฉันกับยูยะอยู่ในห้องกันสองคนไม่มีคนอื่น แสดงว่าต้องมีใครเอากล้องไปซ่อนไว้  ดูจากมุมกล้องแล้ว น่าจะแถวๆกระจก"


"ถูกเผง! ก็คงเป็นคนในสตูดิโอนั่นแหละ ตามไม่ยากหรอก แต่ป่านนี้มันคงหอบเงินล้านไปสุขสบายอยู่ที่ไหนซักแห่งแล้วล่ะ"


"หนีไม่พ้นหรอก"


ฮารุพูดเบาๆพอแค่ให้ยูยะได้ยิน  ยาบุเลยมองเห็นแค่ทั้งสองคนสบตากันเท่านั้น


จะว่าไปสองคนนี้ก็น่าอิจฉาจริงๆที่มีความมั่นคงในกันและกันมากขนาดนี้ แต่ทั้งสองคนเป็นนักแสดงที่มีฝีมือมาก จะปล่อยให้ออกจากวงการไปทั้งๆอย่างนี้ก็น่าเสียดาย


แล้วอะไรบางอย่างก็แวบขึ้นมาในหัว  ใช่แล้ว..ยังพอมีวิธี..


"ฉันว่าบางที..พวกนายอาจจะไม่ต้องออกจากวงการก็ได้นะ"





++++++++++++++++++++++++++++++





To be con....

No comments:

Post a Comment