Title : [Fiction] Once Upon a time...Intro
Writer : Nalikakeaw
Pairing : .....?......
"กาลครั้งหนึ่ง นานแสนนานมาแล้ว ในดินแดนอันแสนไกล มีเมือง เมืองหนึ่ง ปกครองโดยพระราชาผู้มีคุณธรรม เคียงข้างด้วยราชินีผู้แสนใจดี และเจ้าหญิงผู้งดงามและอ่อนหวาน ประชาชนอาศัยอยู่ในเมืองด้วยความผาสุขตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่ง มีพ่อมดตนหนึ่งหลงไหลในความงามของเจ้าหญิง และอยากได้เจ้าหญิงไปเป็นภรรยา พระราชาได้ปฏิเสธ ทำให้พ่อมดโกรธมาก จึงใช้เวทย์มนต์เรียกปีศาจจากขุมนรก ออกมาทำร้ายชาวเมืองและสาปให้ชาวเมืองทุกคนกลายเป็นปีศาจ จนกว่าจะได้เจ้าหญิงมาเป็นภรรยา พระราชาเสียใจมาก และไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรก้ไม่อาจทำให้ชาวเมืองกลับเป็นมนุษย์ได้ดังเดิม สุดท้ายจึงต้องจำยอมยกเจ้าหญิงให้แก่พ่อมด แต่พ่อมดผู้เจ้าเลห์ร้ายกาจกลับไม่ยอมแก้คำสาปให้ชาวเมือง ซ้ำร้ายยังคิดนำตัวเจ้าหญิงไปที่ปราสาทของตน พระราชาเสียใจมากแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และทันใดนั้นเอง ก็มีเจ้าชายผู้สูงศักดิ์และสง่างามได้เข้ามาช่วยเหลือเจ้าหญิงจากเงื้อมมือพ่อมดร้าย ทั้งสองคนต่อสู้กัน และเจ้าชายก็กำจัดพ่อมดร้ายได้ในที่สุด เมื่อพ่อมดตายคำสาปจึงหมดฤทธิ์ ชาวเมืองได้กลับเป็นมนุษย์ เจ้าหญิงกับเจ้าชายได้พบรักกัน ได้แต่งงานและปกครองเมืองต่อไปอย่างแสนสุข"
เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ คิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
"จบแล้วเหรอฮะ?"
"จบแล้วจ๊ะ"
"เห?~"
ผู้เป็นแม่ยิ้มอ่อนโยนให้กับบรรดาเครื่องหมายคำถามที่อยู่บนใบหน้าของลูกน้อย เคยชินเสียแล้วเพราะทุกคืนก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่นิทานจบ จะมีคำถามมากมายพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากเล็กๆคู่นั้น และเธอก็ไม่เคยเบื่อที่จะตอบเลยสักครั้ง
"หม่าม๊า~"
"ว่าไงจ๊ะ"
"พ่อมดคืออะไรฮะ"
"คือคนที่ใช้เวทมนต์จ๊ะ"
"แล้วเวทย์มนต์คืออะไรฮะ"
"คือพลังอย่างหนึ่งที่สามารถเสกอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการไงจ๊ะ"
"จะหาพลังแบบนี้ได้จากไหนฮะ"
คนเป็นแม่ยิ้มอย่างรู้ทัน ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ผมลูกชายสุดรัก
"อยากได้เวทย์มนต์เอาไว้แกล้งเพื่อนหรือไม่ก็เอาไว้เสกขนมอร่อยๆเอาไว้แอบกินตอนดึกๆละสิ เสียใจด้วยนะจ๊ะ พลังแบบนี้น่ะ ไม่มีจริงหรอก และพ่อมดก็มีอยู่แต่ในนิทานเท่านั้นแหละ"
"เอ๋?~"
เด็กชายหน้าม่อยลงอย่างผิดหวัง แต่ก็ยังอดปากถามไม่ได้
"แล้วปีศาจก็ไม่มีจริงเหมือนกันเหรอฮะ"
"ไม่มีจ๊ะ"
"ไม่มีจริงๆเหรอฮะ"
"ไม่มีจ๊ะ นิทานน่ะเป็นเรื่องที่คนแต่งขึ้นเพื่อให้เด็กๆได้อ่านกันสนุกๆเท่านั้น ทั้งพ่อมดทั้งปีศาจน่ะไม่มีอยู่จริงหรอ-"
ชะงักไปชั่วครู่เพราะรู้สึกเหมือนว่าเห็นเงาดำวูบไหวอยู่ตรงหน้าต่าง แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อห้องนี้อยู่บนชั้นที่สามสิบ ด้านนอกหน้าต่างมีเพียงท้องฟ้าสีหมึก ตัดด้วยความสว่างไสวของดวงไฟตึกตรงข้าม และป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ไม่ได้มีระเบียงที่จะให้ใครมาเดินผ่านได้ด้วยสิ
พรึ่บ!
ผ้าม่านไหวแต่ไร้ลมพัด อากาศเย็นยะเยือกขึ้นกะทันหัน แว่วเสียงหัวเราะของใครบางคนสะท้อนมาจากที่ไกลๆ แต่ในความรู้สึกกลับสัมผัสได้ว่าใคร..หรืออะไรบางอย่าง อยู่ใกล้ๆ...
ใกล้เสียจนเกิดความหวาดหวั่น เหมือนถูกใครสักคนจ้องมองทั้งๆที่ในห้องก็มีกันอยู่เพียงสองคนแม่ลูก
"หม่าม๊า~"
ไม่ได้มีเพียงแต่เธอ แม้แต่ลูกน้อยก็สัมผัสได้เช่นกัน
หญิงสาวสูดหายใจลึก แล้วค่อยเดินไปรูดปิดม่าน หวังให้ผ้าม่านช่วยปิดกั้นบางสิ่ง..หรือบางคน ที่ทำให้เกิดความหวาดหวั่นต่อหัวใจดวงน้อยนี้ได้ ก่อนจะหันกลับมายิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กชายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"วันนี้...นอนกับหม่าม๊าก็แล้วกันนะลูก"
........................................
..........................
...................
.......
มนุษย์เอ๋ย...ในเมื่อเจ้าปฏิเสธว่าเผ่าพันธุ์ของข้าไม่มีจริงในโลกใบนี้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงหวาดกลัวเล่า
ในราตรีที่เต็มไปด้วยแสงสีของเมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับไหล มีร่างหนึ่งซ่อนอยู่ในเงามืด จ้องมองร่างหญิงสาวที่หายลับไปหลังผ้าม่าน ก่อนที่ไฟในห้องจะมืดลง
ริมฝีปากบางผุดรอยยิ้มเย้ยหยัน
มนุษย์เอ๋ย..เจ้าคิดหรือว่าเพียงผ้าม่านจะป้องกันไม่ให้ข้าเข้าไปในห้องนั้นได้ เพียงผ้าม่านจะป้องกันอำนาจใดๆของข้าได้งั้นหรือ
หรือเจ้าใช้ผ้าม่านเพื่อปิดกั้นใจจากสิ่งที่เจ้าไม่อยากรับรู้กันแน่..?
ช่างโง่เขลานัก...
ถ้าหากมนุษย์จะเปิดตาเปิดใจเสียบ้าง คงจะได้รู้ว่าในเมืองนี้ มีผู้อาศัยที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่มากมาย เพราะอะไรน่ะหรือ ... ก็เพราะว่าเมืองใหญ่เช่นนี้เต็มไปด้วยมนุษย์ผู้สิ้นหวัง ที่พร้อมจะเป็นเหยื่อให้กับปีศาจอยู่มากมายนัก
มนุษย์เอ๋ย..เจ้าคงไม่รู้หรอก ว่าในอาหารที่พวกเจ้ากินนั้น มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความเคียดแค้นของสรรพสัตว์ที่เจ้าฆ่า ในละอองอากาศที่พวกเจ้าหายใจ มันช่างเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้า ความหวาดกลัว ของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของเจ้าเอง
เจ้าจะรับรู้ได้หรือไม่...
ดังเช่นที่ข้าสัมผัสได้ในเวลานี้...
ดวงตาคมเขม้นมองไปในทิศทางตรงกันข้าม จ้องมองหาเหยื่อดังเช่นเหยี่ยวในราตรี ที่นั่น...อาคารสูงสิบชั้นสีขาวสะอาดตา สว่างไสวด้วยแสงไฟที่เหมือนจะไม่มีวันดับ ผู้คนในชุดขาวเดินกันขวักไขว่ แต่กลับห้อมล้อมด้วยบรรยากาศอึมครึมดุจดั่งเมฆสีเทา เสียงร้องไห้ระงมระคนกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือ กลิ่นคาวเลือด ความสูญเสียและความอาลัย
........................................
..........................
...................
.......
ทำไมโลกนี้ถึงได้โหดร้ายนัก..? หล่อนทำผิดอะไรหรือ..ถึงได้เกิดมามีชีวิตที่ขาดวิ่นเหมือนผ้าขี้ริ้วเช่นนี้ เป็นเด็กกำพร้า ยากจน ผู้คนรังเกียจไม่เว้นแม้กระทั่งคนรัก ผู้ชายที่หวังจะฝากชีวิตนี้ไว้ แต่เขากลับไม่ต้องการมันเพียงเพราะเธอถูกผู้ชายเลวๆข่มขืน แม้คนผิดจะได้รับโทษ..แต่สิ่งที่หล่อนสูญเสียนั้นไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้
เจ็บปวดเหลือเกิน... เจ็บจนไม่อยากจะรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว
หลับไปตลอดกาลเลย...จะดีไหมนะ....
มือบางเอื้อมไปใต้หมอน หยิบขวดสีขาวที่ซ่อนเอาไว้ออกมา วันนี้ดูทุกคนจะมีเรื่องวุ่นวาย คงไม่มีหมอหรือพยาบาลคนไหนมาขัดขวางได้อีกแล้วละมั้ง
ค่อยๆหมุนเปิดฝาออกอย่างใจเย็นก่อนจะเอียงขวดให้เม็ดยาไหลออกมาเต็มกำมือ
ถ้ากินหมดนี่...คงไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วล่ะ
"กินหมดนั่น ทรมานนะ"
สายลมพัดเย็นยะเยือก หนาวไปถึงขั้วหัวใจ แต่ก็ไม่เท่าสายตาเย็นชาของใครคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามานั่งอยู่ตรงหน้าต่างตั้งแต่เมื่อไหร่ ในความมืดที่มีเพียงแสงสลัวจากภายนอกทำให้มองให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาได้ไม่ถนัด แต่ก็พอเดาจากรูปร่างได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่ม ในชุดเสื้อผ้าสีดำทั้งตัวจรดเท้า
แต่ในยามนี้หล่อนไม่มีกะใจจะอยากรู้เรื่องใครที่ไหนทั้งนั้น จะใครก็ช่าง
"อย่ามาห้ามเลย ไม่มีประโยชน์"
"ก็ไม่ได้คิดจะห้ามหรอก"
ทำเอาคนที่กำลังจะกรอกยาใส่ปากชะงักงัน ถ้าไม่ได้มาห้าม งั้นมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน?
"มาช่วยไม่ให้ทรมานไงล่ะ รู้ไม่ใช่เหรอว่าจะเป็นยังไง ถ้ากินยาเข้าไปทั้งหมดนั่น"
มือบางกำเม็ดยาในมือแน่นจนข้อนิ้วเริ่มขาวซีด
รู้สิ!..รู้ดีด้วย ทั้งที่เลือกแล้วแท้ๆว่าวิธีนี้เจ็บปวดน้อยที่สุด แต่ก็ไม่เคยได้ตายสมใจ กี่ครั้งที่กล้ำกลืนเม็ดยาขมนับสิบนับร้อย กี่ครั้งที่ได้สัมผัสถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต แต่กลับต้องล้างท้อง และตื่นขึ้นมาพบกับความจริงอันแสนโหดร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ไม่ทรมาน... ทำได้เหรอ?"
สุดท้ายแล้วก็ยังอยากจะตายอยู่ดี...เพราะมันคงจะเจ็บปวดน้อยกว่าต้องมีชีวิตอยุ่
"มาสิ"
ไม่มีอะไรต้องคิด ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย ไม่มีคนให้อาลัย โลกนี้จึงไม่เหลืออะไร..ให้อาวรณ์
ยื่นมือข้างที่ว่างเปล่าออกไปจับมือที่ยื่นมาหา ยึดไว้แน่นราวกับว่ามือนี้จะช่วยชีวิต...ทั้งๆที่กำลังจะทิ้งชีวิตนี้ไปแท้ๆ
ทันทีที่ได้สัมผัส มือนั้นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ไร้สัญญาณใดๆที่บ่งบอกว่าเป็นมนุษย์ ใบหน้าเฉยชานั้นดูราวกับหินสลัก แต่งดงามนัก ผิวสีซีดเหมือนหินอ่อน ดวงตากลมโตสีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรี จมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูป
และริมฝีปากนั้นเองที่กดประทับลงมา ... คลอเคลียอยู่เนิ่นนานก่อนใบหน้านั้นจะเลื่อนลงไปที่ต้นคอ
ร่างผอมบางสะดุ้งยามที่ฟันคมกดลงบนลำคอขาว ทว่าความเจ็บแปลบนั้นนั้นมีเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเลือนหายไปพร้อมๆกับที่ความเหน็บหนาวแทรกซึมเข้าสู่กาย
หนาว....
เม็ดยาในกำมือร่วงลงกระจายลงเกลื่อนพื้น ความหนาวเย็นวิ่งจากปลายมือปลายเท้ากระจายไปทั่วร่าง จนกระทั่งไร้ความรู้สึก
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังหายใจอยู่ไหม....
....ความตาย....เป็นแบบนี้เองสินะ...
แม้ความมืดจะเริ่มช่วงชิงการมองเห็น แต่ยังรับรู้ได้ว่าทั้งร่างถูกประคองลงนอนบนเตียง รอเวลาให้ลมหายใจสุดท้ายหมดลง
"อีกไม่กี่วินาทีหรอก"
เด็กหนุ่มในชุดดำบอก และหล่อนยิ้ม ....ยิ้มแม้ว่าร่างกายทุกส่วนไม่อาจจะเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว ดวงตาจ้องมองนิ่งอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาของยมฑูตที่มอบความตายให้ ราวกับจะจดจำเอาไว้เป็นภาพสุดท้าย
...ทุกอย่างจบลงแล้ว.....
........................................
..........................
...................
.......
พรึ่บ!!!!!
"เฮ้ย!!!!"
ดวงตากลมกระพริบถี่เหมือนไม่แน่ใจ เมื่อกี๊เหมือนจะเห็นอะไรบินผ่านหน้าต่างแว้บๆ
มือเรียวเอื้อมไปเปิดหน้าต่าง พยายามมองไปรอบๆ
"ก็ไม่มีอะไรนี่นา" แต่เมื่อกี๊น่ะ เห็นจริงๆนะ นกสีดำตัวเบ้อเริ่ม
เสียงเปิดประตูดึงความสนใจให้หันไปมองด้านหลัง ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง ผู้มีใบหน้าอ่อนโยน สวยหวานราวกับผู้หญิง
พี่ชายของเขาเอง..
"ยังไม่นอนหรือยูมะ"
ทั้งที่ถามอย่างนั้น แต่กลับถอดเสื้อกาวน์โยนๆทิ้งแบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
"ยังไม่ง่วงนี่ วันนี้คนไข้เยอะเหรอฮะ"
"ผ่าตัดด่วนน่ะ มีอุบัติเหตุ แถมคนไข้ที่ชั้นหกก็ดันมาฆ่าตัวตายอีก"
คิ้วเรียวขมวดหากันจนเป็นปม ดูไปก็คล้ายๆกับปมบนคิ้วของคนฟังซะด้วย
"พี่สาวคนที่มีแผลบนมือเยอะๆเหรอฮะ"
"อื้ม นั่นแหละ พยายามมาหลายครั้งแล้วนี่นะ วันนี้ทุกคนมัวแต่วุ่นกัน ก็เลย..."
คนพูดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"น่าเสียดาย ทั้งๆที่น่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้วแท้ๆ"
ยูมะนั่งฟังพี่ชายพูดต่อไปเงียบๆ เขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าตัวตาย แต่ในส่วนลึกของหัวใจ บางครั้งเขาเองก็นึกอยากจะทิ้งชีวิตนี้ไปเหมือนกัน....
To be con...
No comments:
Post a Comment