Title : [Fiction] Rabbit on the Moon [ On
the moon Part ]
Writer : Nalikakeaw
Pairing : Yamayuma, Koyashige
ตอนก่อนหน้านี้จ๊ะ กันงง
ตอนนี้..ผมอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
รอบตัวล้อมด้วยทุ่งหญ้ากว้างไกล
สุดขอบเขตของทุ่งหญ้าคือต้นไม้สูงใหญ่ขนาดหลายคนโอบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
ทะเลสาบที่ผิวน้ำราบเรียบ ไร้ระลอกคลื่นและใสเหมือนกระจก
ที่ริมทะเลสาบนั้นมีบ้านแบบโบราณที่หาได้ยากนักในสมัยนี้ บ้านทรงสูง มีสี่ชั้น หลังคามุงจากฟางข้าวหนาและสูงชันลาดจากชั้นบนสุดจนเกือบถึงชั้นหนึ่ง
ดูคล้ายบล็อกไม้สามเหลี่ยมตั้งอยู่บนพื้น
คุณอาจไม่เห็นว่ามันแปลกตรงไหน?... คุณคงคิดว่าผมคงอยู่ในหมู่บ้านโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งในชนบท
แต่เชื่อผมเถอะ..ที่ที่ผมอยู่นี่
แปลกประหลาดกว่าที่คุณคิด
เพราะทุกสิ่งที่ผมเอ่ยมานั้น
ล้วนเป็นสีเงินเรืองรองราวกับว่าทุกสิ่งสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง ทั้งต้นไม้ใบหญ้า น้ำในทะเลสาบ
หรือก้อนหินทุกก้อนที่อยู่บนทางเดินนี้
"บ้านฉันสวยใช่มั๊ยล่ะ
ชวนมาเที่ยวตั้งหลานหนแล้วก็ไม่ยอมมา"
ผมหันไปมองเด็กหนุ่มร่างบางที่ยืนอยู่ข้างๆกันด้วยความประหลาดใจ
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ก็คือตัวของผมเอง
ผมสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงยืนสองขา ใส่เสื้อผ้า สวมรองเท้า ทั้งๆที่เมื่อห้านาทีก่อน
ผมยังเดินเท้าเปล่า สี่ขา สวมแค่ปลอกคอหนังธรรมดาๆ วิ่งตามน้องๆอยู่เลย
"งงอะไรเนี่ยยามะ ยูมะก็บอกแล้วไง
ว่าถ้าขึ้นมาที่นี่แล้วจะกลายเป็นคนน่ะ ซื่อบื้อ"
ดูมัน!! ผมละอยากจะยื่นขาหน้า เอ๊ย!!
มือทั้งสองข้างไปเขกหัวไอ้สองแสบนี่ซะจริง คนมันไม่ชินนี่หว่า
ใครจะเหมือนายสองคนพอขึ้นมาถึงนี่ปุ๊บก็วิ่งพล่านจนต้นหญ้าสูงเกือบท่วมหัวราบไปแถบหนึ่ง
"ก็มันตื่นเต้นนี่
ได้ขึ้นมาอยู่บนดวงจันทร์ทั้งที เนอะแฮมทาโรเนอะ"
น้องสองตัว เอ๊ย!! คน หันไปพยักเพยิดสนับสนุนกันเอง เฮ้อ~ เด็กหนอเด็ก
ทั้งชี่น้อยและแฮมทาโรอาจคิดว่าการมาที่นี่เหมือนได้ออกไปเที่ยวนอกบ้าน แต่สำหรับผม ..
การที่ได้มาเหยียบบนดวงจันทร์นี่ มันเป็นสิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต
ผมขาสั่นตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างลงบนทางแสงจันทร์
แสงสีเงินส่องสว่างทอดยาวจากดวงจันทร์ลงบนบ่อน้ำ
เส้นทางที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้
แต่ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ? ..
ก็เมื่อหลายเดือนก่อนมีกระต่ายจากดวงจันทร์ตัวหนึ่งตกลงในสระน้ำบ้านผมน่ะสิ
พาไปให้ป๋ากับมี๊เลี้ยงได้หนึ่งเดือน ก็มีแมวขายาวตาตี่มาแสดงตัวว่าเป็นพ่อกระต่าย
จากนั้นไม่นานป๊ะป๋าแมวตัวนั้นก็พาลูกๆอีกสี่ตัวลงมาจากดวงจันทร์
มาก่อวีรกรรมให้ป๋ากับมี๊ของผมใจหายเล่น
แล้ววันนี้..ผมก็อาจจะต้องทำให้ป๋ากับมี๊ใจหายอีก ถ้าหากว่ากลับลงไปบนโลกไม่ทันเวลา
ถ้าป๋ากลับมี๊กลับมาถึงบ้านแล้วไม่เจอแมวขาวตัวอ้วน กระรอกน้อยกับแฮมสเตอร์ละก็..
"ไม่ต้องห่วงหรอก
ยังไงเราก็กลับไปบนโลกก่อนที่ทุกคนจะกลับถึงบ้านแน่ๆ
เพราะฉันเองก็ต้องกลับไปรับหน้าเรียวซังกับฮิโระจังเหมือนกัน"
ผู้ชายตัวสูง ตาตี่
ผมทองที่เดินตามหลังมาบอกให้ผมคลายกังวล ชายคนนี้ เมื่ออยู่บนโลก
เขาคือแมวที่มีชื่อว่าโคโค่ หรือไอ้โคะของเจ้านายเรียว
คนข้างบ้านของป๋ากับมี๊ของผมเอง แต่พอได้มาอยู่บนดวงจันทร์
เวทมนตร์บนนี้ก็ทำให้แมวกลายเป็นคนได้เฉยเลย
ผมเองก็ด้วย.. จากแมวสีขาวตัวกลมๆ
ก็กลายเป็นมนุษย์ ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง
รู้แค่ว่าพอก้าวขาพ้นจากทางแสงจันทร์ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กระต่ายห้าตัว
กระรอกน้อยกับแฮมสเตอร์ที่วิ่งนำไปก่อน กลายร่างเป็นเด็กหนุ่ม
ทุกคนสวมกิโมโนลวดลายแตกต่างกัน แต่ก็คุ้นตา เพราะสีและลายอย่างเดียวกับสีของแต่ละคนเมื่อยามเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่บนโลกมนุษย์ทุกประการ
อย่างผมที่เป็นแมวสีขาวก็สวมชุดกิโมโนสีขาว
ยูมะกับป๊ะป๋าโคโค่สวมกิโมโนลายทางแบบลายเสือสีดำเทาสลับกัน เพราะเวลาที่อยู่บนโลก
พ่อลูกคู่นี้เป็นแมวกับกระต่ายที่มีสีและลายแบบเดียวกันเป๊ะ
อย่าถามนะครับ ว่าแมวมีลูกเป็นกระต่ายได้ยังไง
เพราะผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน..
"เด็กๆ
ไปหาหม่ามี๊ก่อนแล้วค่อยไปเล่นกันนะ"
"คร๊าบบบบ"
+++++++++++++++++++++++++++++++++
หม่ามี๊งั้นเหรอ? ผมคิดอย่างตื่นเต้น
ผมกำลังจะเข้าไปในบ้านริมทะเลสาบ เพื่อไปพบกับแม่ของยูมะและพี่น้องเป็นครั้งแรก
ผมรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย จากที่ได้ฟังมา
หม่ามี๊ของยูมะเป็นกระต่ายที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์
เป็นผู้ที่ใช้เวทมนต์บันดาลให้คำขอที่มีความตั้งใจแน่วแน่
ไม่ว่าจะเป็นคำขอของใครก็ตามให้เป็นจริง
"หม่ามี๊~!!!"
ขบวนลูกกระต่ายในร่างมนุษย์แข่งกันวิ่งโครมครามเข้าไปในบ้าน
เคนโตะวิ่งนำหน้าน้องๆเข้าไปในห้องด้านในพลางส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
ชี่น้อยกับแฮมทาโรมาเกาะแขนผมคนละข้างด้วยความตื่นเต้น
เราสามคนเคยคุยกันว่าหม่ามี๊ของยูมะจะต้องเป็นคนที่ดุและเข้มงวดมากแน่ๆ
ไม่อย่างนั้นคงจะดูและกระต่ายแสนซนทั้งหลายไม่ได้
พอป๊ะป๋าโคะพาเราทั้งสามเข้าไปในห้อง
ทุกเสียงก็เงียบลงทันที
ป๊ะป๋าโคะก้าวยาวๆเข้าไปประคองร่างของใครคนหนึ่งที่สวมชุดกิโมโนสีเงิน
ที่นอนอยู่บนฟูกสีขาวกลางห้องให้ลุกขึ้นนั่ง
พลางหันไปดุลูก
"อย่ากระโดดใส่หม่ามี๊แบบนั้นสิ"
ลูกๆทั้งห้าคนกลิ้งลงจากฟูก ลงไปนอนเท้าคางบนพื้นเสื่อเรียงกันตามลำดับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เฝ้ามองป๊ะป๋าประคองหม่ามี๊ไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่
"หม่ามี๊~ เมื่อไหร่พวกเราจะได้เห็นหน้าน้องล่ะ"
เคนโตะ ลูกคนโตในบรรดาพี่น้องกระต่ายถามขึ้น
อ่ะ..ยูมะเคยบอกว่ากำลังจะมีน้องนี่นะ มิน่าล่ะ หม่ามี๊ชิเงะท้องโตเชียว แต่ว่า
นี่มันก็หลายเดือนมาแล้วทำไมไม่คลอดสักทีล่ะ
"คงอีกไม่นานแล้วล่ะ"
หม่ามี๊ชิเงะยิ้มอย่างใจดี
เผื่อแผ่ยิ้มหวานมาให้ผมกับน้องๆทำให้ผมใจชื้นขึ้น เริ่มมองสำรวจไปรอบๆห้อง
ห้องนี้ไม่เหมือนห้องนอนเลย มีแค่โต๊ะตัวเล็กๆวางของเพียงไม่กี่ชิ้น
กับฟูกเท่านั้น
"ปกติชิเงะนอนชั้นบนสุดน่ะ
แต่พอท้องก็เดินไม่สะดวกเลยต้องนอนข้างล่างนี่"
"แล้วทำไมไม่ใช้เวทมนต์เหาะขึ้นไปล่ะ"
แฮมทาโรโพล่งสวนคำป๊ะป๋าโคะด้วยความอยากรู้
จนผมกลัวว่าหม่ามี๊ชิเงะจะใช้เวทมนต์ดีดน้องผมกลับไปบนโลก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"เวทมนต์บนดวงจันทร์นี้ มีไว้ช่วยเหลือผู้อื่น
ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรอก แฮมสเตอร์น้อย"
ผมเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนั้นเองว่าทำไมป๊ะป๋าโคะถึงได้รักหม่ามี๊ชิเงะหนักหนา
จนถึงกับยอมทิ้งบ้านบนโลกมาอยู่ที่นี่เป็นเดือน
เพราะกระต่ายบนดวงจันทร์นี้ไม่ได้มีแค่ความน่ารักน่าเลี้ยงเหมือนกระต่ายทั่วไป
หม่ามี๊ชิเงะเป็นคนที่นุ่มนวลอ่อนหวาน ใจดี
และพร้อมจะแบ่งปันความรักให้กับทุกคนแม้กระทั่งคนแปลกหน้าอย่างผมและน้องๆ
ยิ่งมอง..ทุกสิ่งรอบตัวก็ยิ่งเหมือนภาพฝัน
"โอ๊ย!!"
อยู่ดีๆภาพฝันอันแสนสุขก็สลายหายวับ
ผมรู้สึกเพียงแค่ว่าโดนอะไรหนักๆตีเข้าที่หัว พอกระพริบตาเพื่อมองชัดๆ
ก็เห็นยูมะอยู่ข้างๆกำลังทำตาดุใส่ผม
"นายเอาหมอนมาตีหัวฉันทำไมเนี่ย?"
"ห้ามมองหม่ามี๊อย่างงั้นนะ"
เสียงหัวเราะใสๆเหมือนเป็นระฆังห้ามทัพก่อนที่หมอนในมือยูมะจะทุบลงมาบนหัวผมอีกรอบ
หม่ามี๊ชิเงะมุดหน้ากับอกป๊ะป๋าโคะเพื่อกลั้นหัวเราะ
มองผมด้วนแววตารู้ทันยังไงพิกล
"เด็กๆออกไปเล่นข้างนอกเถอะ
หม่ามี๊ง่วงแล้วล่ะ"
"เย้~!"
"ทำไมห้ามมองล่ะยูมะ"
"ไม่รู้ล่ะ!! ยังไงก็ห้ามมอง"
"แม่นายน่ารักดีออก ทำไมมองไม่ได้"
ยูมะหันกลับมาทำตาเขียวใส่ผม
ตอนที่เรากำลังเดินตัดทุ่งหญ้าสีเงิน
เพื่อไปให้ถึงป่าสนพันปีที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ
หม่ามี๊ชิเงะบอกว่าพี่เลี้ยงสองคนของแก๊งกระต่ายพักผ่อนอยู่ที่นั่น พี่ๆน้องๆของยูมะรวมทั้งไอ้สองแสบของผมวิ่งแข่งกันไปจนถึงชายป่าแล้ว
เหลือแต่ยูมะที่ดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีกับผมที่คอยเดินตามแบบมึนๆ
"ก็ไม่ชอบนี่"
"แล้วทำไมถึงไม่ชอบล่ะ?"
"ไม่รู้"
กรรมของแมว ยูมะน่ะ
ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นโกรธใคร ถูกพี่น้องแกล้งยังไงก็ไม่เคยจะเคืองซัดนิด
แล้วทำไมวันนี้แจ็คพ็อตมาลงที่ผมได้หว่า?
ดูซิเนี่ย พูดอะไร..ถามอะไร
ก็ตอบว่า"ไม่"คำเดียว
เดี๋ยวปั๊ดจัดไม้ตายแมวเหมียวให้ซักดอก
พลั่ก!!!
"โอ๊ยยยยยยยยย!!!"
ยูมะร้องลั่น
ล้มไปบนผืนหญ้าสีเงินเพราะถูกผมกระโดดทับ
"เหมียวบ้า!! ลงไปเลยนะ!! หนัก!!"
"บอกก่อนซิ ว่าทำไมถึงไม่ชอบ ไม่งั้นไม่ลง"
วิธีการนี้เสี่ยงต่อการกลายเป็นแมวหัวขาดอย่างยิ่ง
ถ้าเกิดป๊ะป๋าโคะหรือหม่ามี๊ชิเงะมาเห็นเข้า ผมคงโดนดีดลงไปบนโลกแบบสายฟ้าแลบ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงนั่งมองยูมะโวยวายฟาดแขนขากับพื้นหญ้าต่อไป
ผอมๆแบบนี้เดี๋ยวก็หมดแรงไปเอง
แต่ผมคิดผิด!!
ยูมะไม่โวยวายแล้วก็จริง แต่ร้องไห้แทน ..
"เฮ้ยย!!"
ผมร้องลั่น ดึงยูมะให้ลุกขึ้นนั่งอย่างลนลาน
แกล้งลูกเขาจนร้องไห้ ไม่ตายคราวนี้จะไปตายคราวไหน ยูมะปาดน้ำตาป้อยๆ
บอกว่าเจ็บหลัง ผมลืมไปว่าพอเป็นมนุษย์ร่างกายสูงใหญ่ขึ้น
น้ำหนักก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา ยูมะตอนเป็นกระต่ายก็ผอมจะแย่
ตอนเป็นคนก็ไม่ต่าง ถูกผมกระโดดนั่งทับหลังไม่หักก็บุญแล้ว
"โอ๋ๆๆ อย่าร้องๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้
ไม่ร้องแล้วนะ ขอโทษ เมี๊ยวๆๆๆๆ"
ผมกอดยูมะ
ถูแก้มตัวเองกับแก้มเนียนเหมือนที่เคยพันแข้งพันขาอ้อนป๋ากับมี๊ แป๊บเดียว ยูมะก็หายโกรธแล้ว
"เหมียวเนี่ย
อ้อนเหมือนปะป๊าเวลาที่ง้อหม่ามี๊เลย"
"ก็เป็นแมวเหมือนกันนี่นา"
"เหรอ?"
ยูมะพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไป
ส่วนผมก็ได้แต่เกยคางบนไหล่บาง ทำตาปริบๆคอยฟัง
"แล้ว- แมวนี่
ต้องชอบทุกอย่างเหมือนกันมั๊ย"
"หืมม์ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ"
"ก็"
ยูมะเอียงหัวเหมือนไม่แน่ใจว่าจะถามดีไหม
"ก็เมื่อกี๊อ่ะเหมียวมองหม่ามี๊เหมือนที่ปะป๊ามองเลย"
เหอ?.. นี่ใช่ไหมครับสาเหตุที่ทำให้ยูมะโกรธผม
ที่แท้ก็หวงหม่ามี๊แทนป๊ะป๋าหรอกเรอะ?
"ก็คงหวงมั้ง..ฉันคิดแต่ว่า
ถ้าเกิดนายชอบหม่ามี๊ขึ้นมาแล้วฉันจะทำยังไงดีอ่ะ"
"ฮะๆๆๆ ยูมะนี่น๊า~ " ผมลงไปหัวเราะกลิ้งบนพื้นหญ้า
ยูมะหน้าแดงแล้วแดงอีกด้วยความอาย "หม่ามี๊ของนายน่ารักดีอยู่หรอก
แต่ฉันไม่ได้ชอบแบบนั้นซักหน่อยนี่"
"จริงนะ
ไม่ได้ชอบหม่ามี๊แบบเดียวกับปะป๊าจริงๆนะ"
"จริงสิ"
ชอบได้ไงละครับ
เดี๋ยวแมวขายาวจะได้กระโดดฟรีคิกประไร
"เย้!!! งั้นไปเล่นกันเถอะ"
เผลอแป๊บเดียว ยูมะก็วิ่งนำผมไปไกลแล้ว
แต่อย่านึกว่าผมจะยอมแพ้นะ ยังไงซะ แมวก็วิ่งเร็วกว่ากระต่ายอยู่วันยังค่ำ
+++++++++++++++++++++++++++++++++
"เหนื่อยยย!!!"
ผมนอนตายท่ามกลางป่าสน
หลังจากที่วิ่งตามยูมะมาได้สักสิบกิโลเมตร ขาแข้งมันก็เริ่มล้าจนก้าวต่อไปไม่ไหว
ให้ตามทันก็ทำได้อยู่แต่ยูมะจะวิ่งเร็วไปไหนเนี่ย
"ทำไมยอมแพ้แล้วล่า~ วิ่งแค่นี้เอง"
"สมน้ำหน้า ตอนอยู่ที่บ้านเอาแต่นอนนี่นา"
เสียงของชี่น้อยดังมาจากที่ไหนสักแห่งเหนือตัวผม
แต่เมื่อผมมองขึ้นไปก็เห็นแต่กิ่งก้านต้นสนสั่นไหวรุนแรง
เหมือนกับว่ามีฝูงลิงสักฝูงปีนป่ายอยู่บนนั้น แต่ก่อนที่จะได้รู้แน่ชัดว่าคืออะไร
เสียงดุๆที่ผมไม่คุ้นหูก็ดังมาจากด้านหลัง
"ขึ้นไปบนนั้นอีกแล้ว! ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"
ร่างของคนสองคนเดินพ้นจากร่มเงาสีเงินเข้ามาหา
คนหนึ่งคือน้องชายผม แฮมทาโรในร่างมนุษย์ กับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ผมสีดำ
รูปร่างผอมสูง สวมชุดกิโมโนสีเขียวอมฟ้าเหมือนสีของน้ำทะเล
กำลังเงยหน้าพูดกับกิ่งสนที่ส่องแสงสีเงินวูบวาบไปตามแรงไหว
ครู่หนึ่งก็มีร่างเด็กหนุ่มอีกสามคนกระโดดตุ๊บลงมาจากต้นไม้
"บ่นมากจริงน๊า~ นายเนี่ย"
เด็กหนุ่มฟันกระต่าย พูดออกมาอย่างเบื่อๆ
เขาวสวมชุดสีน้ำตาลอ่อนๆที่ดูเหมาะกับบุคลิกร่าเริง ไม่อยู่นิ่ง
"ไม่บ่นได้เหรอ มีหน้าที่คอยดูแลเด็กแท้ๆ
แทนที่จะห้ามกลับไปวิ่งเล่นด้วยกันอยู่บนต้นไม้โน่น"
"เป็นพี่เลี้ยงก็ต้องเล่นกับเด็กๆด้วยสิ
ดูแลไปด้วยเล่นไปด้วยไง"
เด็กหนุ่มหน้าหวานสวมกิโมโนสีดำปนเทาพูดออกมาบ้าง
แล้วหันไปพยักเพยิดขอความเห็นจากเด็กหนุ่มฟันกระต่ายที่ยืนอยู่ข้างกัน
แล้วก็ต้องหลบสายตาดุๆที่จ้องกลับมาด้วยการมองพื้นแทน
"มัวแต่เล่นจนลืมดูแลน่ะสิ
ถ้าเกิดมีใครตกลงมาบาดเจ็บจะทำยังไง"
"ยาบุคุงงงง เล่นมาตั้งนานแล้วไม่เคยเห็นมีใครตกซ๊ากกกที"
เด็กหนุ่มตัวสูงอีกคนพูดขึ้นบ้าง
เขาดูเด็กกว่าใครทั้งหมดในบรรดาพี่เลี้ยงแต่ก็ตัวสูงกว่าใครเช่นกัน
เขาสวมกิโมโนสีเขียวอ่อน ร่าเริงแจ่มใส
เด็กหนุ่มฟันกระต่ายสวมกิโมโนสีน้ำตาล
ส่วนหนุ่มหน้าหวานอีกคนนั้นสวมกิโมโนสีเทา ดูจากหน้าตาแล้ววัยน่าจะใกล้เคียงกับบรรดาแก๊งกระต่าย
ทั้งสามคนไม่น่าจะมาเป็นพี่เลี้ยงได้เลย เป็นหัวโจกน่าจะเหมาะกว่า
"ว๊ากกกก!!!"
เสียงจากเบื้องบนดึงความสนใจของพวกเราให้มองหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน
ใครสักคนกำลังตกผ่านกิ่งก้านสนลงมาอย่างรวดเร็ว ทำใบสนร่วงกราวๆ
ไม่ใช่แค่ยูโกะแต่ชี่น้อยก็ร่วงลงมาด้วย
เด็กหนุ่มในชุดกิโมโนสีเขียวถลาไปข้างหน้ารอรับร่างของชี่น้อย
เพื่อนอีกสองคนก็ไปคอยรับยูโกะให้ลงถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ
แต่ดูเหมือนจะพึ่งไม่ได้เอาซะเลยเพราะดันวิ่งเอาหัวโหม่งกันเองคนละโป๊ก
ก่อนจะหงายหลังลงไปนอนนับดาวบนพื้น ส่วนผม ยูมะ กับแฮมทาโรยืนมองเฉยๆ
ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงชี่น้อยหรอกครับ ถ้าคุณเป็นผม คุณจะรู้ว่าไม่มีอะไรน่าห่วงสักนิด
ตอนอยู่ที่บ้านก็ห้อยโหนโจนทะยานระหว่างเชือกถักบนเพดานกับพื้นอยู่บ่อยไป
ไม่เห็นตกลงมาเข้งขาหักซักที
ตอนเป็นคนก็คงเหมือนกันแหละ
ยูโกะหล่นลงมาดังตุ๊บ แต่ไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหน
เพราะหล่นลงบนหลังพี่เลี้ยงที่นอนกองบนพื้นอยู่ก่อนแล้ว ส่วนน้องชายผม
ตีลังกาเกลียวสามตลบลงสู่พื้นได้อย่างสวยงาม ปานนักยิมนาสติกดีกรีเหรียญทอง
พอหายตะลึง ยาบุก็เอ่ยปากบ่นขึ้นมาเป็นคนแรก
แล้วแก๊งกระต่ายที่เหลือก็ถูกเรียกตัวให้ลงจากต้นไม้แบบไม่มีข้อแม้
+++++++++++++++++++++++++++++++++
พวกเรามาล้อมวงกินข้าวกันไม่ไกลจากที่เดิมนัก
ตอนแรก พอรู้ว่าจะได้กินข้าว ผมก็เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที
จะอะไรละครับ ก็แก๊งค์กระต่ายกะไอ้สองแสบของผมน่ะ เป็นมังสวิรัติกันทั้งนั้น
แล้วผมเคยกินผักได้ซะที่ไหน?
โชคยังดีที่ยาบุคุงเห็นสีหน้าผะอืดผะอมของผมแล้วเกิดเห็นใจ
ยื่นกล่องข้าวใบหนึ่งให้ผม ข้างในมีปลาที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆวางซ้อนกันอยู่เต็มกล่อง
บนตัวปลาสีเงินที่ถูกนึ่งจนสุกแล้วยังมีมีร่องรอยของเกล็ดเล็กๆที่ถูกแล่ออกไป
ผมรู้ว่ามันกินได้ แต่ผมไม่เคยเห็นปลาพวกนี้มาก่อนเลย กลิ่นก็ไม่คุ้นด้วย
"นี่น่ะ เรียกว่าปลานวลจันทร์ทะเล
รสชาติดีใช้ได้ แต่ก้างเยอะไปหน่อย ระวังด้วยก็แล้วกัน"
ผมพยังหน้าหงึกๆหยิบชิ้นปลาใส่ปากเคี้ยวด้วยความหิวจัด
บรรดาแก๊งกระต่ายกับพี่เลี้ยงทำจมูกย่นใส่ผม บอกว่าเหม็น แล้วก็หันไปแทะแท่งแครอทกัน
"เอ๊ะ! ยาบุคุงกินเนื้อด้วยเหรอ ?" ผมถามขึ้นเพราะเห็นยาบุคุงกินปลากล่องเดียวกับผมแบบไม่มีบ่น
"ตอนอยู่บนโลกฉันก็กินปลานี่"
"แอ๊ว ออน อู่ อน โอก อาอุอุง อิน"ไอ อ๊ะ?"
เสียงอ้อแอ้คล้ายคนลิ้นจุกปากเรียกความสนใจเราสองคนจนลืมหัวข้อสนทนา
ผมแทบสำลักก้างปลาตอนที่หันไปเจอแฮมทาโรกำลังทำแก้มพองจนแทบจะแตก
เพราะดันเอาผักที่กัดๆเคี้ยวๆไปเก็บไว้ในแก้ม ไม่ยอมกลืน
"แฮมทาโร ชี่น้อย
ตอนนี้เป็นคนแล้วเอาของกินไปเก็บที่แก้มแบบนั้นไม่ได้นะ ต้องกลืนลงไปสิ"
สองแสบทำตาแบ๊วใส่กัน แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
สำลักค่อกแค่กอยู่หลายยกกว่าจะกลืนหมด
"ทำไมเก็บไม่ได้อ๊ะ? ก่อนจะขึ้นมานี่ก็เก็บเม็ดทานตะวันไว้ตั้งเยอะ
เอาไว้กินเวลาหิว"
ผมก็จนปัญญาจะอธิบายเหมือนกัน
ปล่อยให้คนที่ฉลาดกว่าอธิบายน่าจะดี
"นี่ๆๆ เราเล่นทายปัญหากัน" ฮิคารุ
เด็กหนุ่มฟันกระต่ายในชุดกิโมโนสีน้ำตาลโพล่งขึ้น
ทุกคนสบตากันแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที
"แล้วจะทายอะไรละ"
"คำถาม .. พวกเราเป็นอะไร ตอนที่อยู่บนโลก
เฉพาะพวกเรานะ "
ฮิคารุชี้ไปที่ตัวเองกับเพื่อนๆอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
ส่วนพี่น้องกระต่ายที่รู้คำตอบอยู่แล้วมีหน้าที่เป็นคนดูอย่างเดียว
"โหย!! แบบนี้ใครจะไปรู้ฟะ!!
สัตว์บนโลกมีตั้งเยอะ"
"พวกเราสองคนทายง่ายที่สุดแล้วน๊า~ นายน่าจะเคยเห็นบ่อยๆ
ในหนังสารคดีบนโลกน่ะ"
เคย์ หนุ่มหน้าหวานบอกใบ้ให้
แต่คำใบ้แบบนี้วันหลังไม่ต้องก็ได้ สรรพสัตว์ในสารคดีมีเป็นล้าน
ตั้งแต่หนอนไส้เดือนไปจนถึงไดโนเสาร์ ใครทายถูกผมจะขอเลขไปให้ป๋ากะมี๊ซื้อหวย
"ดูที่อาหารสิ"
"อ๋อ!! ลิง!!"
ชี่น้อยสมองใสทายถูกทันทีที่ยาบุคุงบอกคำใบ้ที่สอง
อ้อ~ มิน่าถึงสามารถปีนป่ายวิ่งเล่นบนต้นไม้กับแก๊งลูกกระต่ายครึ่งแมวได้
"จริงน่ะ ทั้งสองคนเป็นลิงเหรอ? ทำไมสีเสื้อไม่เหมือนกันล่ะ"
แฮมทาโรถาม เพราะเคย์สวมชุดกิโมโนสีดำล้วน
แต่ฮิคารุเป็นสีน้ำตาล
"ก็เป็นลิงคนอย่างกันนี่
ฉันน่ะเป็นลิงสีดำล่ะ"
เคย์ยิ้มแป้นใส่หน้าตางงงวยของชี่น้อยกับแฮมทาโร
ผมก็เพิ่งรู้นี่แหละครับว่าลิงมีหลายประเภท สำหรับผมแมว กระรอก
หนูถึงแต่ละตัวจะหน้าตาหรือสีไม่เหมือนกัน แต่ก็แมวก็คือแมว กระรอกคือกระรอก
และหนูก็คือหนูอยู่ดี
"ลิงสีดำ ที่หน้าขาวๆใช่ป่ะเคย์"
"โย่ว!! ถูกต้อง"
แล้วคู่หูฮิกเคย์ก็เริ่มปอกกล้วยใส่ปากสบายใจ
ยูโตะ เด็กหนุ่มตัวสูงสวมกิโมโนสีเขียวชี้นิ้วที่ตัวเองบ้าง
ผมนึกไม่ออกเลยครับว่านอกจากต้นไม้ บนโลกยังมีอะไรที่เป็นสีเขียวอีก
"กบ!!"
ตอนที่อยู่บ้านชี่น้อยชอบไปเกาะไหล่ป๋ากับมี๊เวลาที่ทั้งสองคนดูโทรทัศน์
และรายการโปรดที่ดูกันบ่อยๆคือสารคดีครับ
ผมรับรองว่าหนนี้ชี่น้อยทายถูกล้านเปอร์เซนต์
ถ้าดูจากหน้าตาบูดๆเบื่อๆของยูโตะแล้วละก็นะ
"ไม่สนุกเลย ชี่น้อยเก่งเกินไปแล้ว"
"มันง่ายเกินไปต่างหาก ตัวสีเขียว แขนขายาว
แล้วก็กินแมลงเป็นอาหาร"
"กบหรอกเหรอ? เห็นตัวยาวๆก็นึกว่าเป็นงูเขียวซะอีก"
แฮมทาโรถามทำตาปริบๆ
จากนั้นเราก็หันเหความสนใจไปที่คำถามสุดท้าย
ดูเหมือนคำถามนี้จะยากจนชี่น้อยทำคิ้วยุ่งเป็นนานสองนานก็ยังทายไม่ถูก
"ขอคำใบ้"
ถึงจะพูดจาห้วนๆไปบ้าง
แต่ท่าทางเกาะขาจ้องตาอ้อนๆแบบนั้นมันได้ผลทุกทีเวลาที่เจ้าแฮมอยากได้อะไร
"ฉันอยู่ในทะเล"
ช่วยได้มาก! คำตอบแคบลงมาเกือบครึ่งโลก
ชี่น้อยยิ่งขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก แฮมทาโรตะกายขึ้นไปบนตัก
วางมือทั้งสองลงบนไหล่ของยาบุคุงด้วยความสงสัย น้องคงลืมตัวว่าตอนนี้เป็นคนไม่ใช่แฮมสเตอร์จะไปนั่งตักทำอยากรู้อยากเห็นเหมือนเวลาอยู่กับมี๊ได้ที่ไหน แต่ยาบุคุงก็ใจดีเกินคาด
นอกจากจะไม่ไล่แล้วยังยิ้มให้อีก
"นึกออกมั๊ยแฮมทาโร"
อย่าว่าแต่เจ้าแฮมเลยครับ
กระรอกฉลาดอย่างชี่น้อยยังส่ายหน้า ยูมะเลยบอกคำใบ้เพิ่มให้อีกหน่อย
"ฉลาดแล้วก็เป็นมิตรที่สุดในท้องทะเลไงล่ะ"
"เอ่อ~ ปลา- ปลาโลมา"
ชี่น้อยตอบแบบไม่แน่ใจ
แต่แก๊งกระต่ายกับพี่เลี้ยงเฮลั่น ระหว่างนั้น แฮมทาโรยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
สองมือเลื่อนจากไหล่ไปที่แก้มของยาบุคุง
"ปลาโลมา? หน้าตาอย่างงี้
น่าจะเป็นปลากระเบนมากกว่า!"
+++++++++++++++++++++++++++++++++
กินข้าวอิ่ม เคนโตะ ก็นำทีมน้องๆอย่างฟูมะ
โฮคุโตะ ยูโกะ และชี่น้อย ไปหาเรื่องซนต่อ โดยมีพี่เลี้ยงตามไปดูแล (?)ห่างๆ ฮิคารุ เคย์ ยูโตะ
ฉวยโอกาสตอนที่ยาบุคุงกำลังตอบคำถามแฮมสเตอร์ช่างซักแอบหลบไปอีกด้านหนึ่งของป่าสน
สงสัยจังว่าจะไปสรรหาอะไรมาเล่นกันอีก
"ไม่ไปเล่นกับเค้าล่ะ ยูมะ?"
"ไม่เอาอ่ะ อยากไปหาหม่ามี๊ "
"ก็ดีเหมือนกัน
ฉันมีเรื่องอยากถามปะป๊ากับหม่ามี๊ของนายเยอะเลย แฮม-"
ผมไม่ทันรู้ตัวว่าเสียงถามแจ้วๆนั้นเงียบลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่
หันไปอีกทีแฮมสเตอร์น้องผมก็หลับอุตุอยู่ในอ้อมแขนของยาบุคุงซะแล้ว
"ไปกันเถอะ ฉันจะดูแลแฮมทาโรให้เอง"
เป็นพี่น้องกันมานานผมก็รู้ดีหรอกว่าแฮมทาโรน่ะน่ารัก
แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าปลาโลมาติดใจอะไรแฮมสเตอร์ตัวนี้ถึงขนาดที่ลืมว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องดูแลพี่น้องกระต่ายครึ่งแมวที่กำลังตีลังกาห้อยโหนเป็นลิงค่างอยู่บนยอดสนพันปีโน่นต่างหาก
ยูมะพาผมเดินออกจากป่าสน
ลัดทุ่งหญ้าสีเงินที่เอนไหวเบาๆโดยไม่มีแรงลม
ใบหญ้าเย็นเฉียบปัดถูกเราตอนที่เดินผ่าน บนดวงจันทร์นี้ไม่เคยมีกลางวัน
มีแต่ท้องฟ้าสีดำกับดวงดาวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแสงตะวันคอยให้ความอบอุ่น
ที่นี่จึงมีแค่ฤดูหนาวเท่านั้น
"เราไม่ไปที่บ้านกันเหรอ?"
"หม่ามี๊อยู่ที่บ่อน้ำแหละ"
เราเดินผ่านบ้านออกไปไม่ไกลก็เจอบ่อน้ำที่ว่า
เป็นบ่อน้ำเล็กๆเหมือนบ่อปลาของเจ้านายเรียว คนข้างบ้าน
มีแนวต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมือนจะอยู่มานานพอๆกับพระจันทร์ดวงนี้ ดูเก่าแก่
แล้วก็มีพลังมากกว่าต้นไม้ต้นอื่นๆบนดวงจันทร์ ใต้ต้นไม้นั้น
หม่ามี๊ชิเงะกับป๊ะป๋าโคะนั่งพิงกันกำลังจ้องมองลงไปในบ่อน้ำนั้น ระหว่างที่เราสองคนกำลังจะเดินไปถึง
ก็มีแสงสว่างจ้าวาบขึ้นมาจนผมตาพร่าเกือบเดินสะดุดหัวทิ่ม
"หม่ามี๊กำลังทำให้คำอธิษฐานของใครซักคนบนโลกเป็นจริงอยู่ล่ะ"
ยูมะวิ่งไปอ้อนแม่ทิ้งให้ผมยืนเอ๋ออยู่คนเดียว
ผมยืนลังเลอยู่ซักพักถึงค่อยเดินตามไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ไปนั่งลงตรงโคนไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง
มองลงไปยังบ่อน้ำเล็กๆนั้นด้วยความสงสัย มันก็เป็นบ่อปลาธรรมดาๆนี่เอง
แค่มันไม่มีปลาเลยสักตัว
แล้วน้ำในบ่อก็ใสสะอาดส่องแสงสีเงินเรืองรองเมือนทุกอย่างรอบตัวผม
สงบนิ่งจนดูเหมือนกระจกบานใหญ่
"ถ้าหากว่าน้ำในบ่อนี้ไม่สงบ ก็เป็นสัญญาณว่า
กำลังมีคำอธิษฐานที่รอให้ฉันช่วยให้สมหวังอยู่
ฉันถึงต้องมานั่งอยู่ข้างๆบ่อนี้ทุกวันไงล่ะ"
"คงเหนื่อยน่าดูเลยเนอะ"
ผมว่าบนโลกน่ะ
คงมีคำอธิษฐานล้านแปดยิ่งกว่าดาวบนท้องฟ้าซะอีก
"ก็จริง
แต่ถ้าหากว่าอธิษฐานแล้วรอคอยให้สมหวังอย่างเดียว
คำขอนั้นจะไม่มีทางส่งมาถึงที่นี่ได้เลย
ต้องมีความมุ่งมั่นพยายามด้วยตนเองเท่านั้น
คำอธิษฐานจึงจะมาถึงดวงจันทร์นี้ได้"
ผมพยักหน้าหงึกๆพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของหม่ามี๊ชิเงะ
ระหว่างนั้นยูมะก็เอาหูแนบท้องหม่ามี๊แล้วอยู่ๆก็สะดุ้งตกใจร้องลั่น
"หม่ามี๊!!! อะไรไม่รู้ถีบลูกกกกก"
"ก็คงเป็นน้องนั่นแหละยูมะ
ท่าทางจะซนน่าดู"
ป๊ะป๋าโคะหัวเราะอารมณ์ดี
แต่ผมรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
นึกภาพไม่ออกเลยว่าแก๊งกระต่ายครอกสองจะซนระเบิดระเบ้อขนาดไหน
พี่เลี้ยงสี่คนจะไหวเร้อ~
"ก็คิดอยู่ว่าจะหาพี่เลี้ยงเพิ่ม
แต่ว่าไม่ค่อยมีใครอยากมาอยู่บนนี้ตลอดไปหรอก"
"ทำไมล่ะ"
"ก็มันน่าเบื่อน่ะสิ ตอนที่ฉันอยู่คนเดียวน่ะ
เหงามากเลยนะ ได้แต่นั่งอยู่ข้างๆบ่อน้ำนี่ คอยมองความเป็นไปบนโลก"
มิน่า ถึงได้มองจนหล่นลงไปให้แมวงาบจนมีลูกด้วยกันตั้งห้าตัว
"ตั้งแต่มีลูก ชีวิตฉันก็ไม่เหงาอีกเลยล่ะ
วันๆต้องคอยวิ่งตามไม่ให้ไปทำโน่นหักนี่หัก
วันดีคืนดีก็ตัดหญ้าในทุ่งหญ้าซะเตียนโล่ง
เมื่อเดือนก่อนเพิ่งทำต้นสนพันปีโค่นไปอีกสองต้น อ่ะ"
น้ำในบ่อเริ่มสั่นไหว แล้วค่อยๆหมุนวนขึ้นเป็นภาพของสัตว์คู่หนึ่ง
หน้าตาเหมือนแมวแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ เพราะดูเป็นสัตว์ที่ทรงพลังกว่าแข็งแรงกว่า
ตัวหนึ่งเป็นสีขาวมีลายสีดำพาดตามลำตัวเป็นริ้วๆ
ส่วนอีกตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหมือนสีใบไม้แห้ง แต่มีลายแต้มเป็นจุดๆอยู่ตรงหน้าผาก
ทั้งคู่ดูเหงาเศร้านอนเคียงกันอยู่ในกรงมืดๆแคบๆที่ไหนซักแห่งบนโลก
ยูมะละจากท้องของหม่ามี๊จ้องมองลงไปในบ่อน้ำบ้าง
"ลูกจะทำอย่างหม่ามี๊ได้มั๊ย?"
"ได้สิ แต่ต้องตั้งใจให้ดีนะ
คอยฟังเสียงว่าพวกเขาอธิษฐานว่าอะไร แล้วเราถึงจะช่วยเขาได้"
ยูมะหลับตาลง หายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
มีป๊ะป๋ากับหม่ามี๊คอยให้กำลังใจอย่างเงียบๆ
แต่ผมสิตื่นเต้นจนหัวใจจะระเบิดอยู่แล้ว
แล้วบ่อน้ำนั้นก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบอีกครั้ง
แม้จะไม่สว่างจนทำให้ตาพร่าเหมือนครั้งก่อน
แต่ก็ไม่ได้อ่อนแสงเหมือนดวงไฟที่ใกล้ดับ แล้วน้ำในบ่อที่ปั่นป่วนสั่นไหวก็ค่อยกลับมานิ่งสงบดังเดิม
"เหนื่อยจังเลยหม่ามี๊~"
หม่ามี๊ชิเงะลูบหัวลูกอย่างเอ็นดู
ยูมะหาวปากกว้างขนาดนี้ก็ยังน่ารักเนอะ
พอป๊ะป๋าบอกให้ไปนอนยูมะก็งัวเงียมานอนซบตักผมเหมือนว่าผมเป็นเบาะนอนประจำตัวงั้นแหละ
แล้วก็หลับปุ๋ยไปเลย น่าเป็นห่วงจัง
"แค่ใช้พลังมากไปเท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรน่าห่วง"
หม่ามี๊บอกอย่างนั้นผมก็โล่งอก
อีกหน่อยยูมะก็คงต้องรับหน้าที่นี้ต่อจากหม่ามี๊สินะ คิดแล้วกลุ้ม~
แล้วเสียงประหลาดทำให้ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเอง
เงยหน้าขึ้นสบตาป๊ะป๋ากับหม่ามี๊ที่ทำคิ้วขมวดใส่กัน
เสียงที่ได้ยินมาจากไกลๆนั่น... มันลั่นเอี๊ยดอ๊าด ตามด้วยเสียงครืนสนั่น
แล้วผืนดินที่ผมนั่งอยู่ก็สะเทือน
"สงสัยว่าเด็กๆจะทำต้นสนพันปีโค่นอีกแล้วละมั๊ง"
เอ่อ..ป๊ะป๋าครับ หม่ามี๊ครับ
ถ้าลูกกระต่ายครอกต่อไปคลอดออกมา ป่าสนบนนี้จะเหลือเหรอครับ?
End...................................