Saturday 8 December 2012

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) nine


Title   -:- [Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) nine

Writer -:- Nalikakeaw

Pairing -:- Okadai,Takayabu,Nakachi,Hikainoo,Yamaryu




ตอนก่อนๆจ๊ะ
















ไม่รู้ว่าข่าวของใครเร็วกว่ากัน  ระหว่างข่าวที่ชินทาโรโพสลงในเว็บบอร์ดของโรงเรียนตอนเช้า หรือข่าวจากนักเรียนทั้งห้องที่ได้ยินเต็มสองหู  ตอนที่ยูโตะ กระโดดเข้ามาหา ตะโกนถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดๆ


                เมื่อคืนริวทาโรไปนอนค้างบ้านนาย เป็นยังไงมั่ง ได้นอนห้องเดียวกันป่ะ


                ในเช้าของวันเดียวกัน


                แต่ข่าวจากทั้งสองแหล่งก็คือเรื่องเดียวกันนั่นแหละ ยามาดะทำหน้าเบื่อโลกสุดขีดใส่ยูริ  คนตัวเล็กยิ้มแหยๆเป็นเชิงขอโทษที่ปิดปากยูโตะไม่ทัน


                แค่ช่วงพักระหว่างคาบเรียนตอนเช้าข่าวก็แพร่สะพัดไปทั้งโรงเรียน  นักเรียนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องเดินผ่านห้องเรียนของยามาดะมากผิดปกติกว่าทุกวัน  บางคนทำทีเข้ามาหาเพื่อนแต่ซุบซิบอยากรู้เรื่องของยามาดะกับริวทาโร แต่ไม่มีใครได้คำตอบ  ยามาดะไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย  แล้วก็ไม่พูดกับใครด้วย   ไม่มีใครกล้าถาม  เพราะยามาดะอารมณ์ไม่ดี ด่านหน้าที่ว่าซี๊ปึ๊กอย่างยูโตะยังถูกทำตาขวางใส่  แถมโขกหัวให้ด้วยสันหนังสือหนาๆให้เจ็บตัวกลับไปอ้อนยูริได้อีก


                มีคนออกความเห็นว่าควรไปถามริวทาโร  แต่หน่วยกล้าตายล่าสุดกลับออกจากห้องเรียนของริวทาโรโดยที่มีเก้าอี้นักเรียนปลิวตามหลังมาด้วย  ล่าสุดมีคำขู่จากริวทาโรว่าจะไปอาละวาดที่ชมรมวารสาร  ถ้าหากว่าใครบังอาจเอาข่าวนี้ไปลงหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนล่ะก็...


                ส่วนชินทาโร...


                ก็ถูกพี่ชายสำเร็จโทษไปแล้วเรียบร้อย..โทษฐานที่เอาเรื่องนี้ไปโพสในเว็บบอร์ดของโรงเรียน


                พวกนายทะเลาะกันเหรอ?”


                ยูริเลียบๆเคียงๆถาม  ปกติแล้ว  ยามาดะมักจะเบียดเบียนเวลาเรียนด้วยการส่งข้อความไปยั่วโมโหริวทาโรเสมอ แล้วริวทาโรก็จะแล่นมาจัดการถึงห้องด้วยความโมโหสุดขีด มียูโตะกับยูริเป็นกรรมการห้ามมวย จากนั้นเรื่องราวก็จะจบลงตอนที่ทุกคนนั่งกินข้าวด้วยกัน   แต่วันนี้ยามาดะไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าด้วยซ้ำ เอาแต่นั่งเท้าคางเหม่อลอยมองไปที่ประตูห้อง เหมือนรอคอยคนที่ควรจะมา..แต่ก็ไม่มา


                ก็คงงั้น..ฉันคง ทำเกินไปหน่อย


                ตอบไม่สมกับเป็นยามาดะ  แต่เจ้าตัวก็ไม่พูดอะไรต่อ  ยูริสงสัยจริง  ที่ว่าเกินไปน่ะมันขนาดไหน


                โดนต่อยมาด้วยเหรอ


                ยามาดะสะดุ้ง  เผลอยกมือแตะตรงใต้ตาขวา  เหตุเกิดเมื่อเช้าแต่รอยเพิ่งมาชัดจนคนอื่นสังเกตเห็นได้ตอนนี้


                โห~ ริวจังหมัดหนักน่าดูเลยนะเนี่ย


                ยูโตะมองรอยเขียวช้ำใต้ตาของยามาดะแล้วทำตาโตแบบที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกร้อนตัว  แม้ว่าความจริงแล้วยูโตะจะไม่รู้อะไรเลยก็ตาม


                นายต้องทำอะไรไม่ดีกับริวจังแน่ๆ


                ยูโตะทำตาใสปิ๊งๆอย่างที่ยามาดะละเกลียดนัก  หรือว่าจะรู้จริงวะ?


                อะไร?? ทำไม่ดีอะไร??”


                พอยามาดะทำท่าร้อนรน ทุกคนในห้องก็พลอยอยากรู้  ถึงจะทำทีเป็นสนใจเรื่องตรงหน้า แต่ร้อยทั้งร้อยก็ทำหูตั้งรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ


                ยามะจังนอนน้ำลายยืดใส่ริวจัง?” ยูโตะทำท่าลุ้นเหมือนกำลังเล่นเกมตอบปัญหาชิงรางวัล อ้าว~ ใม่ใช่เหรอ? งั้น เมื่อคืนยามะจังนอนกรนทำให้ริวจังนอนไม่หลับ  ไม่ถูกอีก เอ่อ .. งั้นยามะจังเอากางเกงในของริวจังไปซ่อน เอาหมอนปิดหน้าตอนหลับ ฯลฯ


                ยามาดะหัวเราะก๊ากกกกเป็นครั้งแรกของวัน  ถ้าฉันทำแบบนั้น ป่านนี้คงโดนริวทาโรฆ่าตายไปแล้ว ไม่มาให้นายเห็นหน้าหรอก”   คนอื่นๆที่คอยฟังพากันถอนหายใจ ส่ายหน้า แต่ยูริแอบสังเกตเห็นยามาดะแอบถอนใจเบาๆ เหมือนกับจะโล่งใจ ที่ทุกคนเลิกสนใจเสียได้


                มันทำให้ยูริอดสงสัยไม่ได้  ... ที่ยามาดะบอกว่าทำเกินไป  มันหมายความว่ายังไงนะ





++++++++++++++++++++++++++++++++++






                ฮิคารุ!!! ทำบ้าอะไรของมึงงงงงงงงงง!!!


                ยูยะตะเบ็งเสียงสุดปอดใส่เพื่อนเลิฟที่ใช้เครื่องขัดเงาพื้นหินอ่อนมาใช้แทนสกู๊ตเตอร์เล่นอยู่หน้าล็อบบี้ตอนตีห้ากว่าๆ   เสียงดังลั่นไปถึงห้องอาหาร เดือดร้อนยาบุต้องทิ้งงานออกมาดูอีกตามเคย


                ฮิคารุ  เอาเครื่องขัดพื้นไปเก็บ


                ยาบุบอกเรียบๆ  ฮิคารุทำตามโดยดี  เขาเคยเกรงยาบุอย่างไรเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น  นับตั้งแต่วันที่ทางโรงเรียนส่งหนังสือแจ้งผู้ปกครองว่าเขาลอกข้อสอบจากเคย์ทำให้ถูกลงโทษทั้งคู่  เขาก็กลัวยาบุยิ่งกว่าพ่อบังเกิดเกล้าเสียอีก  ยิ่งช่วงใกล้สอบตอนที่ยาบุยืนค้ำโต๊ะบังคับให้อ่านหนังสือให้ได้วันละหนึ่งเล่มนั่นอีก


                แค่คิดถึงก็ขนหัวลุกแล้ว


                เครื่องขัดพื้นไม่ใช่ของเล่น  นายเอามาใช้แบบนี้ไม่ได้


                แค่เอามาเล่นหน่อยเดียวเองน่า ไม่เสียหายหรอก ต่อให้เสียก็ส่งซ่อม ง่ายจะตาย


                ฮิคารุยักไหล่ไม่ใส่ใจ  แต่ถูกทั้งยูยะและยาบุจ้องด้วยสายตาที่ทำให้ต้องเสียวสันหลังวาบ  ยูยะสูดลมหายใจระงับอารมณ์โมโหได้บ้างแล้ว  ถึงจะรู้สึกว่าเลือดยังพุ่งขึ้นสมองอยู่ก็ตาม


                ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้หรอกนะ  ต่อไปถ้านายได้ดูแลกิจการอะไรซักอย่าง การควบคุมค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็น  ไม่มีใครยอมลงทุนให้งานที่มีแต่ค่าใช้จ่าย แต่ไม่มีผลกำไรเลี้ยงตัวเองไม่ได้หรอกนะ แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่สนามเด็กเล่น โรงแรมเราต้อนรับนักธุรกิจจากทั่วโลก  ถ้าลูกค้ามาเห็นนายเล่นแบบนี้เค้าจะคิดว่าที่นี่เป็นโรงแรมกระจอก มีแต่พนักงานที่เป็นเด็กปัญญาอ่อนน่ะสิ


                ฮิคารุก้มหน้าสำนึกผิดแบบไม่จริงจังนัก  กว่าจะรู้ตัวว่าถูกเพื่อนหลอกด่ายูยะก็ผิวปากสบายอารมณ์เดินหนีไปไกลแล้ว  ยาบุหัวเราะหึๆสมน้ำหน้าตอกย้ำแล้วก็เดินหนีกลับไปทำงานต่อ  ฮิคารุฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งจนมองเห็นคนที่ฝึกงานคู่กันยืนรออยู่หน้าลิฟท์พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด  จึงเดินเข้าไปหา


                มีอะไรล่ะ


                มีแขกจะเข้าพักตอนหกโมงเช้า เราต้องไปเตรียมห้อง


                ฮิคารุถอนหายใจหงุดหงิด  ไม่ใช่เพราะต้องทำงาน  แต่เป็นเพราะไอ้สีหน้าแบบจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะหัวเราะก็ไม่หัวเราะของคนข้างๆนี่ต่างหาก


                อยากจะหัวเราะก็ทำสิ... ฉันรู้นะ ว่านายนึกถึงตอนที่เราถูกยาบุทำโทษด้วยกันน่ะ


                เคย์....





++++++++++++++++++++++++++++++++++






                เสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน  ยูยะจะกลับไปนอนพักในห้องเล็กๆแคบๆที่ยาบุและไดกิใช้เป็นห้องนอนชั่วคราวเสมอ  ยาบุไล่ให้กลับไปนอนที่บ้านก็ไม่ไป  เพราะยูยะรู้สึกว่าห้องเล็กๆนี่ล่ะที่เขาพอใจ  ถึงมันจะเทียบกับเตียงใหญ่ๆ ห้องกว้างๆที่บ้านไม่ได้  เพราะห้องนั้นน่ะ ไม่มีชาอุ่นๆกับแซนวิชอร่อยๆที่ยาบุเอามาให้


                ถ้าไม่อยากกลับบ้าน อย่างน้อยก็ขึ้นไปนอนข้างบนก็ได้  มานอนที่นี่บ่อยๆไม่ดีต่อสุขภาพ


                ข้างบนที่ยาบุพูดถึง  คือชั้นบนสุดของโรงแรมที่จัดไว้เป็นที่พักของผู้บริหารโดยเฉพาะ  ยาบุเคยขึ้นไปช่วยทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ  เพราะยูยะไม่ค่อยอยากให้ใครขึ้นไปยุ่มย่ามบนนั้น  เลยลงมือทำความสะอาดเองเป็นส่วนใหญ่ ยาบุก็ไม่เข้าใจว่าจะห่วงไปทำไม ในเมื่อไม่มีผู้บริหารคนไหนขึ้นไปพักเลย  แม้แต่ยูยะเอง


                ฉันไม่ใช่ผู้บริหาร  เป็นแค่เด็กฝึกงานเหมือนฮิคารุกับเคย์นั่นแหละ  แค่มาทำงานแทนเจ้าของตัวจริง


                ถึงจะปฏิเสธ แต่ยาบุก็คิดว่ายังไงเสียยูยะก็จะได้ดูแลที่นี่  ไม่อย่างนั้นผู้เป็นอาคงไม่ส่งมาทำงานที่โรงแรมตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้


                ก็ฉันมันสมองทึบเกินกว่าจะเรียนต่อ ก็เลยของานทำจากคุณป๋า แค่นั้นแหละ


                ไม่มีใครที่ไหนจะให้เด็กที่จบแค่ม.ปลายมาเป็นผู้จัดการโรงแรมหรอก ยกเว้นแต่ว่าจะให้มาเตรียมตัวเพื่อตำแหน่งที่สูงกว่านั้น   แต่ฉันอาจจะคิดผิดไปก็ได้ เพราะยังไงซะนายก็ไม่มีมาดพอจะเป็นผู้บริหารได้อยู่แล้ว


                ยาบุพูดทีเล่นทีจริง  ยูยะลุกขึ้นจากโซฟาคว้าแซนด์วิชจากจานไปกินอย่างรวดเร็ว  จากนั้นก็ซดน้ำชารวดเดียวตบท้าย  กินเร็วเสียจนยาบุห่วงว่าถ้าของกินไม่ติดคอตาย ซักวันหนึ่งยูยะอาจจะท้องอืดตายเพราะอาหารไม่ย่อย  แต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจเรื่องนี้เอาเสียเลย


                ขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวฉันขนาดนี้  นะยาบุ  ไหนๆฉันก็เป็นผู้จัดการแล้ว ขอสั่งให้นายไปทำของกินอร่อยๆมาให้อีกสักสองสามอย่าง  แซนด์วิชคู่เดียวไม่พอยาไส้

                 
                กินเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวโรงแรมก็ขาดทุนพอดี


                ยาบุบ่นแต่ยิ้มกว้าง  ยูยะเอนตัวลงนอนหนุนตัก  ยาบุขมวดคิ้วใส่ แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวหนีเพราะถึงจะหนี ยูยะก็คงไม่ยอมปล่อยให้ไป


                ตอนแรก ฉันว่าจะซื้อเตียงเล็กๆกับเครื่องนอนเอามาไว้ในห้องนี้  พวกนายจะได้นอนสบายขึ้นอีกหน่อย  แต่คิดไปคิดมามันคงจะเปลือง  เพราะฉะนั้นนายก็ทนเป็นหมอนให้ฉันต่อไปก็แล้วกันนะ ยาบุ


                ขอโอทีเพิ่มด้วยละกัน


                งกแฮะ


                แน่ล่ะ  มีอีกสองหน่อกำลังกินกำลังโต  อยากให้เรียนจบมหาวิทยาลัย คงต้องใช้เงินอีกเยอะ


                งั้นก็มาเป็นหมอนให้หนุนบ่อยๆ  เดี๋ยวป๋าให้ทิปหนักๆ


                ยาบุหมั่นไส้ฟาดไหล่หนาเข้าให้หนึ่งที  ยูยะแกล้งร้องโอดโอยเสียงดังลั่นจนยาบุขู่ว่าจะฟาดซ้ำถึงหยุด  ทั้งสองคนหัวเราะกันเบาๆ  จากนั้นยูยะก็หลับไป  ยาบุเองก็เอนหลังพิงโซฟา แล้วก็หลับไปเช่นกัน  ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครอีกคนแอบฟังอยู่จากด้านนอก







++++++++++++++++++++++++++++++++++






                ไดกิบ่นกับประตู


                พวกนายมาสวีทกันในห้องแบบนี้แล้วจะให้ฉันทำยังไง  ฉันก็ง่วงอยากจะนอนเหมือนกันนะ


                ไดกิรู้ว่าถึงจะเข้าไปข้างใน ยาบุกับยูยะก็จะไม่ว่าอะไรซักคำ  แต่เขาไม่อยากเข้าไปเป็นก้างให้ตัวเองอึดอัด อีกอย่างไดกิก็ไม่ได้เห็นทั้งสองคนหัวเราะพูดคุยกันอย่างนี้นานแล้ว  ปล่อยให้หลับฝันหวานไปอย่างนี้ก็น่าจะดี


                แล้วฉันจะไปนอนที่ไหนล่ะเนี่ย



                กลับมาทำหน้ามุ่ย  ใจนึกถึงห้องพักของเคย์โตะ ไดกิไม่ค่อยอยากไปอาศัยห้องนั้นนัก ไปทีไรก็เสียเปรียบอยู่เรื่อย แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ต้องกลับมาทำงานแล้ว  จะนั่งรถไฟกลับบ้านก็เสียเวลา ไหนจะเสียเงินอีก  ยาบุพูดถูกพวกเขายังมียูโตะกับยูริที่ยังต้องกินต้องใช้  อีกหลายปีกว่าที่ทั้งคู่จะเรียนจบมหาวิทยาลัย


                เพราะต้องประหยัดหรอกนะ


                ไดกิตัดสินใจหันหลังกลับ  เดินไปที่ลิฟท์สำหรับพนักงานด้านหลัง  กดปุ่มชั้นสิบสี่  มองซ้ายมองขวาก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในลิฟท์  ลิฟท์เคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นบน  ก่อนออกจากลิฟท์ก็มองซ้ายมองขวาอีกทีก่อนจะวิ่งปรู๊ดรวดเดียวถึงห้อง ใช้คีย์การ์ดที่เคย์โตะให้ไว้เปิดประตูแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว


                พอประตูปิดลง  ไดกิถึงได้โล่งอก  ผิดกับคนที่อยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้วที่ทำหน้าตาประหลาดใจนัก


                มาหาแฟนทั้งที  ทำตัวลึกลับเหมือนไม่อยากให้ใครรู้  ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นชู้มากกว่าแฟนแฮะ


                ไดกิหันไปทำตาเขียวใส่ร่างหนาที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่บนเตียง  พูดมาได้ รู้ทั้งรู้ว่าที่เขาทำอยู่นี่มันเสี่ยง  ยังมาทำน้อยอกน้อยใจอยู่อีก  เดี๋ยวก็ไม่มาซะเลย


                ถ้าเกิดถูกผู้จัดการแก่นั่นจับได้ว่ามานอนในห้องพักของแขก ถูกไล่ออกแล้วใครจะรับผิดชอบล่ะ


                ไดกิเดินไปทิ้งตัวลงนอนตรงที่ว่างอีกฝั่งหนึ่งของเตียง  ตอนนี้เขาไม่มีความคิดที่จะไปนอนที่โซฟาอีกแล้ว เพราะแค่ล้มตัวลงนอน เคย์โตะจะมาอุ้มเขาไปโยนลงบนเตียงแน่ๆ  และเขาก็จะไม่เถียงกับอีกฝ่ายให้เสียเวลานอนด้วย


                เพิ่งมาถึงก็จะนอนเลยเหรอ?”


                ก็มีเวลาน้อยนี่นา ต้องรีบนอน  รีบตื่นไปทำงานต่อ


                พูดจบก็คว้าหมอนขึ้นมาปิดหัวตัวเอง


                เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกหรอก ไดจัง


                ถ้าไม่ทำอย่างงี้ เดี๋ยวนายก็จูบฉันตอนหลับอีก


                เคย์โตะไม่รู้จะหัวเราะหรือปวดใจดี  เขาอยากจะคิดว่าที่เป็นแบบนี้ เพราะไดกิยังไม่ชินต่อการแสดงออกตรงๆของเขา  แต่อีกเหตุผลหนึ่ง  ไดกิเป็นคนซื่อตรงเกินไป  ตราบเท่าที่ยังลบใครอีกคนไปจากหัวใจไม่ได้  ความรู้สึกของเขาก็มีแต่จะทำให้ไดกิเจ็บปวดเท่านั้น


                ร่างหนาวางกีตาร์ตัวโปรดไว้ข้างเตียง  ล้มตัวลงนอนพลางบอกตัวเองอย่างทุกครั้งว่าให้อดทน  เขาเป็นฝ่ายบอกเองว่าจะรอ  ต่อให้นานแค่ไหนก็จะรออยู่เสมอ


                แล้วอยู่ๆโทรศัพท์มือถือก็ลอยมาตกบนหัว    เคย์โตะหันไปมองไดกิที่ยังนอนหันหลังให้งงๆ  ร่างบางพูดเสียงอู้ฮี้ออกมาจากใต้หมอน


                เอาไปดูซะ  จะได้ไม่ต้องแอบมาเช็คมือถือตอนฉันหลับ ฉันไม่ชอบ!!


                เคย์โตะมีสีหน้าละอายนิดหน่อยที่ถูกจับได้  เริ่มรู้สึกว่าไดกิชักจะน่ากลัวขึ้นทุกวันๆแล้ว


                โทรศัพท์ของไดกิที่ทั้งเก่าและตกรุ่น แต่เจ้าของไม่ยอมทิ้งจนกว่ามันจะพัง  สภาพของมันเป็นอย่างที่เขาเคยเห็นเมื่อวันก่อน   ทั้งรอยถลอกบนปุ่มกด  รอยขีดข่วนบนหน้าจอและตัวเครื่อง  เคย์โตะรอให้ถึงวันเกิดของไดกิมาถึงเร็วๆ จะได้ซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้  เขาเคยคิดไว้แล้วว่าถ้าซื้ออย่างที่แพงมากๆ ไดกิคงจะไม่รับ  เพราะฉะนั้นเอาแค่ที่มันใช้งานได้แบบทั่วไปก็พอ


                ไฟบนหน้าจอสว่าง  เคย์โตะเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาพลิกตัวไปคว้าร่างบางเข้ามากอดไว้เสียแน่น  ก่อนจะดึงหมอนออกจากมือไดกิ


                ขอบคุณนะ  ไดจัง


                เคย์โตะบอกด้วยรอยยิ้มกว้างที่ทำให้คนมองหวั่นไหวทุกครั้งที่ได้เห็น


                แค่เปลี่ยนภาพหน้าจอมือถือ ไม่เกี่ยวกับนายซักหน่อย ขอบคุณทำไม


                ไดกิบอกห้วนๆ แต่หน้าแดงไปถึงหู  พยายามจะแย่งโทรศัพท์คืน พอแย่งคืนไม่ได้ก็คว้าหมอน  แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเมื่อเคย์โตะก้มหน้าลงมาจนชิดซะขนาดนี้


                บอกว่าห้ามจูบไงล่ะ


                ห้ามตอนหลับ  ไม่ได้ห้ามตอนตื่นนี่นา


                ไอ้คนเจ้าเล่ห์  ไดกิได้แต่คิดในใจ  เพราะริมฝีปากถูกปิดกั้นด้วยความอบอุ่นอ่อนหวานจนแทบละลายไปทั้งตัว  ร่างบางหลับตาลงช้าๆ  ปล่อยให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายช่วยเยียวยาความเจ็บปวดในใจ


                สักวัน..เขาคงจะลืมได้จนหมด  เหมือนที่เขาเปลี่ยนภาพหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปคู่ของเขากับเคย์โตะ  ถึงรูปที่ถ่ายคู่กับใครอีกคนจะยังอยู่ในการ์ดความจำ  แต่สักวันหนึ่ง...ไดกิจะมีความกล้าพอที่จะลบมันออก พร้อมๆกับที่ลบใครคนนั้นออกไปจากหัวใจ


                ขอแค่นายอย่าปล่อยมือจากฉันก็พอ....เคย์โตะ






++++++++++++++++++++++++++++++++++





                เหมือนบรรยากาศเดิมๆหวนกลับมาอีกครั้ง


                ยาบุยืนกอดอกอยู่ตรงประตูห้องอาหาร  มองยูยะกำลังล็อกคอฮิคารุด้วยความโมโห  ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว แขกที่มาพักส่วนใหญ่ทยอยกลับไปพักผ่อนที่ห้องตัวเองไปแล้ว  ที่ยังอยู่ในห้องอาหารมีไม่กี่คน  โถงกว้างด้านหน้าของโรงแรมก็เลยเงียบเหงาเกินไป  ฮิคารุเลยก่อการทำลายความสงบด้วยการชวนพนักงานคนอื่นๆมาเล่นสไลเดอร์โดยใช้ราวบันไดหรูตรงโถงทางเข้าแทนแผ่นกระดานลื่น  แน่นอนว่าไม่มีใครยอมเล่นด้วย  แต่ฮิคารุก็ไม่สน  วิ่งขึ้นไปถึงบันไดขั้นบนสุดแล้วก็ลื่นลงราวบันไดมา  ส่งเสียงร้องตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยลื่นลงสไลเดอร์ยักษ์ในสวนน้ำ


                พนักงานคนอื่นๆมีทั้งส่ายหัว ทั้งหัวเราะคิกคัก แต่พอเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูกระจกบานใหญ่ใสแจ๋วเข้ามาถึงโถงทางเดิน  พนักงานที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่หน้าห้องอาหารบ้าง หน้าล๊อบบีบ้าง ก็วงแตกทันที


                "ฮิคารุ!!!"


                ยูยะทำตัวพองด้วยความโกรธ  เสียงตะโกนทำให้การลื่นครั้งที่สี่เสียจังหวะตอนที่กระโดดลงพื้น  ฮิคารุสะดุดล้มไถลไปบนพื้นหินอ่อนเงาวับไปหยุดอยู่ตรงหน้ายูยะพอดิบพอดี


                แล้วฮิคารุก็ไม่ได้ลุกขึ้นอีกเลย


                "โอ๊ย!! ยอมแพ้ๆๆๆ  ยอมแล้วววว"


                ฮิคารุร้องลั่น  ไม่รู้ว่าเจ็บเพราะโดนเฮดล็อก  หรือว่าจุกที่ถูกยูยะทับจนแบนแต๊ดแต๋กันแน่


                "เห็นที่นี่เป็นสนามเด็กเล่นรึไงห๊ะ!!! เล่นอะไรไร้สาระอยู่ได้  มาฝึกงานนะโว้ยไม่ใช่ให้มาก่อกวน"


                ยาบุถลึงตาใส่ฮิคารุเป็นเชิงบอกให้หุบปาก ห้ามเถียง  ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะคิดแบบเดียวกันว่าที่ยูยะเป็นอยู่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากตอนที่พวกเขาเป็นเด็กประถมเลยสักนิด


                พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันมาแบบนี้  ฮิคารุมักจะทำอะไรพิเรนทร์ๆยั่วโมโหยูยะบ่อยๆ  สุดท้ายก็ถูกยูยะจับทุ่มบ้าง วิ่งไล่เตะบ้าง  ยาบุจะมีหน้าที่เป็นกรรมการ  ส่วนน้องๆก็จะเป็นคนดูคอยหัวเราะคิกคักอยู่ห่างๆ


                และมันก็เป็นอย่างนั้น  ระหว่างที่ทำหน้าที่กรรมการจำเป็น  ยาบุได้ยินเสียงไดกิหัวเราะร่าเริงจากบันไดขั้นบนสุด  หัวเราะจนพอใจแล้วก็กลับไปทำงานต่อ                 


                เคย์ยืนอยู่หน้าลิฟท์  จากจุดที่ยืนอยู่ยาบุมองเห็นน้องกำลังซ่อนรอยยิ้มด้วยการหันไปกดลิฟท์ให้แขก  แต่เมื่อหันกลับมาอีกครั้งรอยยิ้มน้อยนิดที่เพิ่งจะมีก็หายไป  เหลือเพียงแววตาโหยหา  ที่ทำให้ยาบุรู้ว่า  เคย์ยังไม่ลืมช่วงเวลาที่เคยได้อยู่ร่วมกัน


                "ตัวหนักชิบ -าย  กระดูกหักตรงไหนมั่งวะเนี่ย"


                "พูดมาก!! อยากโดนอีกเรอะ!!"


                ยูยะตะโกนไล่หลัง  ยาบุมองฮิคารุเดินไปหาเคย์ด้วยความรู้สึกสงสัยนิดๆ   หลังจากที่ยูยะจับให้ฝึกงานคู่กัน   ดูเหมือนฮิคารุจะดีกับเคย์มากขึ้น  งานที่ทำก็ดีขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย  แม่บ้านที่สนิทกันมาเล่าให้ฟังว่าถึงจะใช้เวลานานไปหน่อยแต่ทั้งสองคนก็ทำห้องได้เนี๊ยบ เรียบร้อย แม้กระทั่งผู้จัดการแก่ที่ตั้งใจจะเข้าไปหาเรื่องยังหาที่ติไม่ได้  เป็นฝ่ายอารมณ์เสียเดินหนีไปซะเอง  ฮิคารุรับมือกับลูกค้าที่จุกจิกเรื่องมากเอาแต่ใจได้ดีขึ้น  เคย์ก็ยิ้มมากขึ้น  อย่างน้อยก็ยิ้มให้แขกที่มาพัก


                "ทำไมถึงให้สองคนนั่นทำงานด้วยกันล่ะ? ยูยะ"


                "ก็แค่คิดว่าน่าจะทำงานด้วยกันได้แบบไม่มีปัญหา"  ยูยะหันไปมองหน้าคนถามนิดหนึ่ง "ถ้าให้พนักงานคนอื่นเป็นพี่เลี้ยงให้ คงสอนอะไรฮิคารุไม่ได้สักอย่าง  ส่วนคนก็คงไม่ได้ทำงานเพราะมีคนจุ้นจ้านคอยตาม"


                ประโยคท้ายๆ ยูยะตั้งใจว่ากระทบคนขับรถจากบ้านฮอนดะที่นอกจากจะมีหน้าที่รับส่งเคย์แล้ว ยังคอยสอดรู้ไปเสียทุกเรื่อง  แต่คงจะพูดดังไปนิด  ฮิคารุที่เดินห่างออกไปถึงได้ยินและตะโกนตอบกลับมา


                "ฉันก็ว่างั้น  ถ้าคนขับรถที่บ้านฉันเป็นแบบที่ว่า  พ่อคงไล่ออกไปนานแล้ว แต่อย่างว่าละนะ  เจ้านายเค้าคงสั่งมาให้สอดแนม"


                ยาบุไม่ได้เสียเวลามองคนขับรถที่เขาไม่รู้จักชื่อเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป  เพราะฉะนั้นเขาถึงได้เห็น  รอยยิ้มนิดๆของเคย์ที่ถึงแม้มันจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว  แต่นั่นก็เป็นรอยยิ้มจริงๆที่เขาไม่ไห้เห็นมานานแล้ว


                อย่างน้อยฮิคารุก็ทำให้นายยยิ้มได้สินะ... เคย์






++++++++++++++++++++++++++++++++++




                "เอาเบอร์มือถือมาซิ"


                ฮิคารุบอกห้วนๆตอนที่ทั้งสองคนกำลังเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด  เคย์หันกลับไปมองคนที่ยืนพิงกรอบประตูด้วยสายตาไม่แน่ใจ  ตอนที่ออกจากบ้าน  ร่างบางทิ้งทุกอย่างที่เป็นของตัวเองเอาไว้ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ  แน่นอนว่าที่มีใช้อยู่นี่เป็นของนายฮอนดะให้มา  แต่ก็ใช้เฉพาะเวลาที่อยู่นอกบ้านเท่านั้น  เขาไม่เคยให้เบอร์กับใครแม้กระทั่งเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย  แต่วันนี้คนที่แสดงท่าทางว่าเกลียดเขาที่สุด กลับอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของเขา


                "ทำไม? ขอเบอร์คู่หมั้นตัวเองมันแปลกตรงไหน?"


                เมื่อพูดถึงเรื่องการหมั้น เคย์สะดุ้งเล็กน้อยพลางมองผ่านประตูออกไปก่อนจะถอนใจเบาๆเมื่อเห็นว่านอกจากฮิคารุแล้วไม่มีใครอยู่ตรงนั้น  ฮิคารุลอบยิ้มมุมปาก


                "กลัวใครได้ยินรึไง?"


                "เปล่า"


                ฮิคารุมองคนที่พยายามก้มหน้าก้มตาเก็บของทั้งๆที่ไม่มีอะไรให้เก็บแล้ว  อันที่จริงเขาก็ไม่รู้เหตุผลของนายฮอนดะว่าทำไมถึงไม่ประกาศเรื่องการหมั้นหมายครั้งนี้  หมอนั่นเป็นนักธุรกิจที่ชอบโปรโมทตัวเองให้เป็นข่าวอยู่ในแวดวงธุรกิจอยู่บ่อยๆ  แต่สำหรับฮิคารุแล้วก็นับว่าดี  เพราะเขาก็ยังไม่รู้จะแก้ตัวกับไดกิและพี่ๆน้องๆบ้านนั้นว่ายังไง  และคนตรงหน้าเขานี้ต้องรู้ดีแน่ๆว่าความโกรธของยาบุ ยูโตะ และยูริ ทั้งสามคนรวมกัน  ยังน่ากลัวน้อยกว่าน้ำตาของไดกิเสียอีก


                "ว่าไงล่ะจะให้หรือไม่ให้"


                ฮิคารุเป็นคนแบบนี้  ลองว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้  วันนี้ถ้าเคย์ปฏิเสธฮิคารุก็คงยืนขวางประตูอยู่แบบนี้ไปอีกหลายวัน  เมื่อไม่มีทางเลือก  ร่างบางจำเป็นต้องหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา  แล้วฮิคารุก็คว้ามันไปกดๆอยู่แป๊บหนึ่งแล้วก็โยนมันคืนกลับมา


                "ฉันเมมเบอร์ของฉันไว้ในเครื่องนายด้วย"  แววตาสงสัยที่มองมาทำให้ฮิคารุหยุดพูดไปครู่หนึ่ง   "ก็แค่เผื่อไว้"


                ฮิคารุบอกเท่านั้นแล้วหันหลังเดินจากมา  ทิ้งความงุนงงสงสัยไว้ให้ร่างบางที่ยังยืนนิ่ง  เอาแต่ทำคิ้วขมวดจ้องมองเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกบันทึกลงไปล่าสุด  ส่วนคนที่เพิ่งเดินจากมานั้นก็ไม่วายนึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน


                เคย์ไม่ได้อยากได้เบอร์เขานี่หว่า  ต่อให้เขาเป็นฝ่ายบันทึกเบอร์ลงในเครื่องให้เสร็จสรรพ  ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะลบมันไม่ได้เสียเมื่อไหร่  คนอย่างเคย์ที่สามารถลืมได้แม้กระทั่งความผูกพันของครอบครัว  จะมาใส่ใจอะไรกับแค่เบอร์โทรศัพท์ของคนที่ถูกลืมไปแล้วอย่างเขา


                แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะให้...  ต่อให้เคย์ลบเบอร์ออกจากมือถือของตัวเองทันทีที่เขาหันหลังให้ก็ตาม






++++++++++++++++++++++++++++++++++




                แต่ฮิคารุคิดผิดไป  ดังนั้นจึงประหลาดใจมากเมื่อพบว่าเบอร์ที่โทรฯเข้ามาเป็นเบอร์ของเคย์  แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจยิ่งกว่า คือเสียงสั่นครือที่แผ่วมาจากปลายสาย 





                "นาย! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?"





                "ผมอาจจะฆ่าคนตาย"




                ฮิคารุนึกว่าตัวเองฟังผิดไป  แต่เขาก็ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดซ้ำ พอถามได้ความว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน  ฮิคารุก็ออกวิ่งทันที  ไม่กี่นาทีก็มาถึงหน้าห้องพักหนึ่งบนชั้นที่สิบหกของโรงแรม  และเพียงแค่เคาะทีเดียว ประตูก็เปิดออกทันทีราวกับว่าคนที่อญุ่ข้างในมายืนรอเปิดให้อยู่แล้ว


                ใบหน้าซีดเซียว ความหวาดกลัวที่สั่นระริกอยู่ในดวงตาคู่สวย ทำให้ฮิคารุเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาหน่อยๆ  เมื่อกี๊เคย์บอกว่าอาจจะฆ่าคนตาย  เขาไม่เชื่อเด็ดขาด  แต่พอก้าวเข้าไปในห้องแล้วเห็นร่างของใครบางคนนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงแล้วเขาก็ตกใจสุดขีด  แต่ยังอุตส่าห์ฝืนใจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ   ชายวัยกลางคนนอนนิ่งสนิท ฟุบหน้าลงกับเตียง ดูไม่รู้เลยว่ายังหายใจอยู่รึเปล่า แต่ใบหน้าซีกขวาที่ยังมองเห็นได้มีเลือดไหลอาบลงมา ผ้าปูที่นอนสีขาวซับเลือดสีแดงสดเป็นวงกว้าง  โคมไฟตั้งโต๊ะ


                "ข-เขาเรียกมาให้ช่วยหาของ  แต่จู่ๆ- อยู่ๆก็-"


                พูดได้เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ร่างบางยืนพิงกำแพง  หมดแรงแทบจะทรงตัวยืนต่อไปไม่ไหว  ฮิคารุต้องรีบเข้าไปประคอง  พอได้อยู่ใกล้กัน ฮิคารุถึงรู้สึกได้ว่าเคย์ตัวสั่นขนาดไหน  ใบหน้าขาวไม่มีสีเลือดแต่ริมฝีปากเจ่อช้ำ มือทั้งสองข้างเอาแต่กุมคอเสื้อของตัวเองเอาไว้แน่น  เสื้อเชิ้ตสีขาวยับย่น  กระดุมเสื้อถูกกระชากจนขาดหลุดลุ่ย....


                เลือดทั้งตัวพุ่งขึ้นสมองในคราวเดียว  ฮิคารุแทบอยากจะไปลากร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงมากระทืบซ้ำให้แหลกเป็นผง   แต่เนื้อตัวเย็นเฉียบของคนข้างๆก็ทำให้ต้องบังคับตัวเองพาเคย์ออกไปจากห้อง ก่อนที่ใครจะมาเห็น


                "เขา-จะตายรึเปล่า"


                "ยัง! แค่สลบไป  มือหนักเหมือนกันนี่!"


                ถึงจะไม่ได้ฆ่าใคร แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย  เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในสมอง มันทำให้ร่างบางรู้สึกอยากจะอาเจียน  แขกคนนั้น สายตาที่มองเขาอย่างหื่นกระหาย  สัมผัสที่แตะต้องบนริมฝีปากและตัวเขาอย่างตะกละตะกลาม  ทำเอาร่างบางอยากจะขย้อนเอาอาหารเช้าออกมาเสียให้หมด  ต่อให้เขาขัดถูอย่างไรความรู้สึกขยะแขยงที่ติดบนตัวเขาก็ไม่อาจลบออกไปได้


                ร่างบางถูกพาเข้ามาในลิฟท์  จมอยู่ในเหตุการณ์น่ารังเกียจที่เพิ่งเจอกับตัวไปสดๆร้อนๆ ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าฮิคารุจะพาไปไหน  จนกระทั่งรู้สึกว่ามีสายลมอุ่นพัดผ่านเบาๆ


                แล้วหัวใจของเขาก็หยุดเต้น... โลกทั้งใบหยุดหมุน  เมื่อริมฝีปากเย็นชืดซึมซับความอบอุ่นจากริมฝีปากของอีกคน ร่างกายถูกโอบล้อมด้วยไอร้อนหลอมละลายความหนาวเหน็บในหัวใจ  เคย์หลับตาแน่น  สัมผัสที่ได้รับทำให้เขามึนงง..และทำให้การรับรู้เชื่องช้า


                เสียงสัญญาณลิฟท์ดัง...แล้วสัมผัสทั้งหมดก็หายไป  เวลากลับมาเดินเป็นปกติ พร้อมๆกับที่ประตูลิฟท์เปิด  ร่างบางยืนพิงผนังด้วยท่าทีงุนงง ถูกฮิคารุที่เพิ่งถอยห่างออกไปเชยคางให้เงยหน้าสบตา


                "คิดซะว่าเป็นฝีมือคู่หมั้นอย่างฉัน น่าจะรู้สึกดีกว่าเป็นเจ้าแก่โรคจิตนั่น"


                ราวกับมีใครมากดเปิดสวิชต์การรับรู้  สัมผัสที่ได้รับเมื่อครู่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม  ความอบอุ่นจากร่างกายและริมฝีปากของฮิคารุทำให้ร่างบางร้อนไปทั้งตัว เลือดที่สูบฉีดจากหัวใจแข่งกันวิ่งขึ้นไปสร้างสีสันบนแก้มซีดๆจนกลายเป็นสีชมพู  มือเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากช้าๆ


                "คุณ-"


                แต่ทันใดนั้นสีเลือดบนใบหน้าที่เพิ่งได้มาก็หายวับไป เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครอีกคน ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าลิฟท์   คนที่เขาแกล้งทำตัวห่างเหินเย็นชา แต่ก็ยังห่วงใย   คนที่เคย์ไม่อยากให้รับรู้เรื่องนี้มากที่สุด







++++++++++++++++++++++++++++++++++





                ไดกิยืนนิ่ง.... ช็อกเหมือนถูกตีแสกหน้า  ภาพที่เห็นกับตา  คำพูดที่ได้ยินกับหู  ไม่มีทางผิดไปได้


                "คู่หมั้นเหรอ?"


                น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะกระซิบ แต่ไดกิไม่มีแรงจะพูดให้ดังกว่านี้อีกแล้ว  เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น  คนหนึ่ง...คือคนที่รัก  อีกคน... คือเพื่อนที่ไว้ใจ


                "พวกนายหมั้นกันเหรอ"


                ฮิคารุดูอึดอัดใจ  แต่แล้วก็พยักหน้า แล้วคมมีดนับร้อยนับพันก็ทิ่มแทงเข้ามา ร่างกายและหัวใจของไดกิเหมือนจะพังทลายลงตรงนั้น  เจ็บเกินไปแล้ว... 


                "ขอโทษนะ  ไดจัง"


                ฮิคารุกางแขนกั้นระหว่างไดกิกับเคย์เอาไว้  ดูเหมือนเคย์จะอยากออกมาหาเขา  แต่มันสายไปแล้ว... ระยะห่างแค่ไม่กี่ก้าวแต่ไม่สามารถเอื้อมมือให้ถึงกันได้อีกแล้ว


                จบแล้วจริงๆสินะ...


                "ยินดีด้วยนะ"


                คำพูดไม่กี่คำ  แต่ไดกิกลับต้องฝืนพูดออกไปอย่างยากลำบาก  ก่อนจะรวบรวมกำลังเท่าที่มี ก้าวเท้าหนีไปจากที่ตรงนั้นให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้


                ลาก่อนนะ... เคย์







++++++++++++++++++++++++++++++++++






                อีกฟากฝั่งของความเจ็บปวด  ทั้งเคย์และฮิคารุต่างนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ  หากว่าไดกิจะตะโกนด่าว่า ทั้งสองคนอาจจะรู้สึกดีกว่านี้   ถ้อยคำแสดงความยินดีที่กลั่นออกมาจากความร้าวรานมันช่างทำร้ายหัวใจคนพูดและคนฟังให้เจ็บไม่น้อยไปกว่ากัน


                ดวงตาของไดกิที่เคยเป็นเหมือนกระจกสะท้อนแต่ความสดใส  ตอนนี้กลับแตกร้าวพังทลาย  จนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว


                "ทั้งหมดเป็นความผิดของนาย!!!"


                เคย์ทำได้เพียงนิ่งเงียบเมื่อฮิคารุตะโกนใส่หน้า  เขาจะพูดอะไรได้อีก ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นความผิดของเขา


                ผิดตั้งแต่คิดอะไรโง่ๆ ตัดสินใจออกจากบ้าน  ผิดที่ทำให้พี่น้องต้องผิดหวัง  ผิดที่ทำให้ไดกิต้องเสียใจ  ผิดทั้งนั้น...


                "แก้ตัวสิ! พูดออกมา! เงียบอยู่ทำไม!"


                ร่างบางปล่อยให้ตัวเองถูกกระชากออกจากลิฟท์  กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามฮิคารุไปหยุดอยู่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง  ทันทีที่ประตูเปิด ก็ถูกเหวี่ยงเข้าไปข้างใน  ฮิคารุสั่งว่าให้อยู่ในห้อง  อยู่เงียบๆห้ามไปไหน 


                ต่อให้ไม่สั่ง  เคย์ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะพาตัวเองไปไหนได้อีกแล้ว...


                หลังจากประตูปิด  เคย์ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นพรมเย็นๆ  ทั้งร่างกายและหัวใจอ่อนล้าไปหมด ได้แต่กอดตัวเองอยู่ในความมืด  เขาอยากร้องไห้  แต่กลับไม่มีน้ำตาออกมาเลยสักหยด 


                น้ำตาทั้งหมดของไดกิ...ก็คือน้ำตาของเขา


                ยิ่งไดกิเสียน้ำตามากเท่าไหร่  เคย์ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น


                แต่เขาไม่อาจเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ได้ .... นับตั้งแต่วันที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน  และนับจากวันนี้ไป


                ไม่มีอีกแล้ว....








++++++++++++++++++++++++++++++++++








                ฮิคารุพูดไม่ออก เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก แล้วพบว่าเคย์ยังอยู่ตรงที่เดิมก่อนที่เขาจะปิดประตู  นั่งกอดเข่าอยู่ในห้องมืดๆ  เย็นๆ  ดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง


                นี่มันบ้าจริงๆ!! ทำไมเขาถึงไม่คิดมาก่อนว่าภายความเย็นชาที่เห็นนั่นเคย์ยังเป็นคนเดิมที่เขารู้จัก  คนที่มีแววตาหงอยเหงา  พูดน้อย คอยแต่มองพี่น้องและเพื่อนเล่นกันอย่างร่าเริงสนุกสนาน อยู่ในมุมเงียบๆกับหนังสือเรียน  ทำตัวแปลกแยกจากทุกคน


                มันอาจจะมีเหตุผลที่เคย์ต้องทำอย่างนี้..


                ฮิคารุยืนสับสนอยู่ครู่หนึ่ง  เขาอยากจะพาเคย์ไปนอนดีๆที่เตียง แต่แค่ถูกตัวร่างบางก็สะดุ้งตื่นซะแล้ว  เคย์ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะนั่งขดตัวท่าเดิมนานเกินไปทำให้ขาทั้งสองข้างชาหลังและแขนก็ปวดเมื่อย


                "แค่นี้ก็ทนไม่ได้"  ฮิคารุฉุดร่างบางขึ้นจากพื้นแล้วผลักให้นั่งลงบนเตียง "เป็นคุณชาย สบายจนเคยตัวล่ะสิ"


                ไม่มีคำตอบ  ฮิคารุถอนหายใจ เคย์ก็เป็นซะแบบนี้ ถูกว่าหรือถูกแกล้งยังไงก็ได้แต่เงียบ มีแต่เขานี่แหละที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนทุกครั้ง  ทุกครั้งที่มีคนมาหาเรื่องเคย์จะคอยดึงเขาเอาไว้ไม่ให้ไปชกต่อยกับใคร แต่ก็หยุดฮิคารุไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องพาเขากลับบ้าน ไปให้พี่ๆน้องดูแลใส่ยา


                ฮิคารุยังจำได้ถึงวันเวลาที่ ยาบุตีหน้ายักษ์ใส่เขาเวลาที่เจ็บตัวกลับมา มีไดกิคอยใส่ยาทำแผลให้  ยูโตะกับยูริคอยถามโน่นถามนี่  ส่วนยูยะก็เอาแต่หัวเราะเยาะเขา ทำให้ถูกยาบุหันไปทำตาเขียวใส่  ระหว่างนั้น เคย์ก็จะนั่งอยู่เงียบๆ มองฮิคารุด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ขอบคุณและรู้สึกผิด


                "เรื่องเจ้าคนโรคจิตนั่น" ฮิคารุเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา "ฉันจัดการไปแล้ว  ตาแก่นั่นไม่อยากเสียชื่อเสียง เลยรับปากว่าจะไม่พูดเรื่องที่ถูกตีหัว"


                อีกฝ่ายยังคงเงียบ ฮิคารุเริ่มรู้สึกเหมือนอยู่ในสุสานร้างท่ามกลางสายลมหวีดหวิว   เขาไม่ชอบความเงียบแบบนี้ มันทำให้เขาอึดอัดจะเป็นบ้า


                "ขอบคุณ"


                นั่นค่อยดีขึ้นหน่อย  นึกว่าจะได้นั่งคุยกับตุ๊กตาหินซะแล้ว


                “ตาแก่นั่นบอกว่าเข้าใจผิด คิดว่านาย-เอ่อ- ขายตัว”


                “มีโทรศัพท์จากฟรอนท์บอกว่าให้ขึ้นไปช่วยลูกค้าหาของ ผมก็ไปเท่านั้นเอง”


                “ฉันรู้  มีพนักงานหลายคนก็ถูกเข้าใจผิดเหมือนกัน  ยูยะโกรธเป็นบ้าไปเลยที่เกิดเรื่องแล้วไม่มีใครบอก”


                ร่างบางเพียงแต่นั่งฟังเงียบๆ  แต่ไม่มีทีท่าว่ารับรู้  สายตามองเหม่อไร้จุดหมาย หัวใจหลุดจากร่างกายลอยไปหาอีกคนที่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน


                “ขอโทษ”  ฮิคารุพูดทั้งๆที่ยังยืนหันหลังให้อีกฝ่าย จึงมองไม่เห็นว่าคำพูดนั้นทำให้เคย์หลุดออกจากภวังค์หันกลับมามองฮิคารุช้าๆ ด้วยความแปลกใจ  “เรื่องไดจัง ฉันไม่ควรโทษนายฝ่ายเดียว”


                “แต่สำหรับเรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้น  ทุกอย่างเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของนาย!!


                ฮิคารุหันกลับมาเผชิญร่างบางที่มีสีหน้าแข็งเหมือนหิน แต่กลับไม่อาจซ่อนแววตาตัดพ้อเอาไว้ได้ แต่ครู่เดียวมันก็เลือนหาย พร้อมๆกับที่เคย์ลุกขึ้นยืนและเป็นฝ่ายหันหลังให้เขาบ้าง 


                “ทำไม? ทนฟังความจริงไม่ได้หรือไง?”


                “ผมจะกลับ”


                คำพูดที่ฟังเหมือนไม่รู้สึกรู้สานั้นทำให้ฮิคารุเริ่มอารมณ์เดือด ถ้าหากว่าเคย์เสียใจฟูมฟายเขาจะยังไม่โกรธมากเท่านี้  นี่ตั้งใจจะทำเป็นเย็นชาใส่กันจนวันตายเลยหรือไง


                “นึกว่าฉันไม่รู้หรือไงว่านายออกจากบ้านเพราะอะไร”


                คนที่กำลังก้าวออกจากห้องถึงกับชะงัก  ฮิคารุกระชากแขนเคย์ให้หันกลับมาพูดใส่หน้าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเหยียดหยันอย่างที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะทำได้


                “เพราะนายมันเห็นแก่ตัวไงล่ะ ทำเป็นพูดดีบอกใครต่อใครว่าอยากเรียนต่อ แต่ที่จริงนายไม่อยากลำบากทำงานงกๆส่งน้องเรียนเหมือนยาบุกับไดจังต่างหาก เลยเลือกออกจากบ้านไปเป็นลูกบุญธรรมของเศรษฐี  แล้วไง กินดีอยู่ดี สบายสมใจนายมั๊ยล่ะ”


                “หลังจากที่พ่อแม่ของนายตาย ครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มีเงินมากพอจะส่งเสียคนสามคนให้เรียนจบมหาวิทยาลัย  ก็ใช่!!  แต่นายรู้มั๊ยว่ายาบุบอกกับทุกคนว่ายังไง? หมอนั่นพูดว่า  ต่อให้ลำบากยากเข็ญยังไง ก็จะต้องหาเงินมาส่งน้องเรียนจนจบให้ได้! ไดจังอีกล่ะ ไดจังบอกว่าจะช่วยยาบุทำงานจะได้มีเงินส่งนายกับน้องเรียน  แล้วยูโตะล่ะ? เจ้านั่นบอกว่าหัวทึบเรียนไม่ไหว พอจบม.ปลายแล้วจะหางานทำ นายกับยูริจะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยจนจบ แล้วสิ่งที่นายทำเพื่อพวกเขาคืออะไร? รู้ไหมวันที่นายออกจากบ้านไปสี่คนนั่นกอดคอกันร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ยาบุเครียดจนเกือบจะต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วรู้ไหม?ว่าใครที่เสียใจที่สุด!


                ยิ่งพูด ความโกรธยิ่งพุ่งสูงจนตัวสั่น  ฮิคารุไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องโกรธมากมายขนาดนี้  รู้แต่เพียงอย่างเดียวว่าคนตรงหน้านี้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด


แต่สำหรับเคย์ ทุกคำพูดของฮิคารุ ความจริงที่ได้รับรู้ กำลังจะกัดกร่อนหัวใจอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ในความเย็นชาให้แตกสลาย แต่กระนั้นร่างบางก็ยังกัดฟันเชิดหน้า ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


"ถ้าพูดจบแล้ว ผมจะกลับ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ-"


คำพูดที่เหลือยังคงค้างอยู่ที่ริมฝีปาก ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อรู้ตัวว่าถูกจู่โจมอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้มันเกรี้ยวกราดรุนแรง ริมฝีปากอิ่มถูกบดเบียดจนแสบร้อน ร่างกายถูกพันธนาการด้วยแขนแข็งแรงราวโซ่เหล็ก รัดแน่นจนกระดูกแทบกลายเป็นผง ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งเจ็บ



สุดท้ายได้แต่ยอมจำนน ปล่อยตัวยอมให้อีกฝ่ายกระทำตามแต่ใจ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายหยุดได้  ฮิคารุมองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาดูหมิ่น


"อ่อนแอ! คนอย่างนายจะมีปัญญาปกป้องใครได้"


เคย์ได้แต่หลับตาลงอย่างเจ็บช้ำเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้ามาชิด ร่างบางผงะหนีเมื่อริมฝีปากสัมผัสอีกครั้ง  รสสัมผัสนุ่มนวลผิดจากเมื่อครู่ทำให้ร่างบางผลักไสอีกฝ่ายด้วยหัวใจสับสน  แต่ก็จนปัญญา  ร่างกายเขาอ่อนละลายเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ  ขยับเขยี้อนไม่ได้ แค่จะเผยอริมฝีปากยังทำได้ยากเย็นนัก


                “ฮิคารุ-อย่า-“


                เสียงร้องแผ่วเบาที่หลุดรอดจากริมฝีปากแดงฉ่ำ  ทำให้คนที่รุกรานอย่างย่ามใจได้ชะงัก  ฮิคารุยิ้มมุมปากพอใจ


                “นึกว่านายจะลืมชื่อฉันแล้วซะอีก”


                ร่างบางถูกผลักลงไปนั่งบนเตียงทั้งๆที่ยังไม่หายสับสน  ฮิคารุยื่นโทรศัพท์ให้  พร้อมกับคำสั่งและคำขู่ที่ทำให้เคย์ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย


                “โทรฯไปบอกที่บ้านนายซะ ว่าตั้งแต่วันนี้ไป นายจะพักอยู่กับฉันที่นี่  เสื้อผ้าไม่มีก็ใส่ของฉัน หรือไม่ก็ให้คนขับรถไปเอามา  อย่าขัดคำสั่งฉัน!! ห้ามหนีกลับด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะตามไปถึงบ้าน  นายคงเดาออกนะ ว่าฉันจะทำอะไรได้บ้าง!







++++++++++++++++++++++++++++++++++








                นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้  ....


                ที่ไดกิยอมเปลี่ยนรูปบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นรูปคู่กัน ก็เพราะแค่อยากตอบแทนความรู้สึกของเขา  ไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนใจลืมคนในอดีตไปได้


                ทั้งๆที่รู้... แต่ก็ยังปวดใจ


                นับตั้งแต่เปิดประตูแล้วพบกับไดกิยืนน้ำตานองหน้าอยู่ตรงนั้น  จนถึงตอนนี้  เคย์โตะทำได้แค่กอดร่างเล็กเอาไว้ ไม่มีคำพูดใดๆปลอบใจ เพราะเขาพูดไม่ออก


                ไดกิเจ็บเพราะรักคนอื่น....  และเคย์โตะก็เจ็บ  เพราะรู้ว่าไม่ว่าจะทำดียังไง  ไดกิก็ไม่อาจมีใจให้เสียที


                “ถ้านายลืมเขาได้  ก็คงดีนะ ไดจัง”


                คำพูดลอยๆที่แฝงความเจ็บปวดทำให้ไดกิสลัดความเศร้าเสียใจได้ชั่วครู่  เงยหน้ามองเจ้าของอ้อมแขนอุ่นที่กอดตัวเองเอาไว้  แม้จะมองผ่านม่านน้ำตาแต่ก็ยังมองเห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้ม แม้มันจะจืดจางลงเพราะความรู้สึกผิดหวัง


                ทำให้ไดกิยิ่งเจ็บ  ความรู้สึกผิดที่ทำให้คนตรงหน้าต้องเสียใจหนักอึ้งอยู่ในอก


                ใช่ว่าไดกิไม่อยากลืม  แต่มันทำไม่ได้  พอคิดว่าจะลืมได้  กลับต้องมาเจอเหตุการณ์ตอกย้ำความเจ็บของตัวเอง  แล้วจะให้เขาทำยังไงได้ล่ะ  ซ้ำร้าย  คนที่ทำให้เจ็บไม่ได้มีแค่คนเดียว  


                ทั้งคนที่รัก... ทั้งเพื่อนที่ไว้ใจ 


                ยิ่งคิด... น้ำตาก็ยิ่งไหล


                “ถ้ายังไม่หยุดร้องไห้..จะจูบละนะ”


                ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น  แต่ไดกิก็ตอบโต้คำขู่นั้นด้วยการทุบกำปั้นหนักๆ พร้อมกับที่มุดหน้ากับอกหนาด้วยความขุ่นเคือง

                “คิดว่าสั่งให้หยุดแล้วจะหยุดได้ง่ายๆรึไง? ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้สักหน่อย!!


                พูดไม่ทันจบก็ถูกผลักล้มลงบนเตียง  ยิ่งไปกว่านั้นร่างหนาที่เอนลงทาบทับทำให้ไดกิตกใจจนพูดไม่ออก  แววตาของเคย์โตะ  ริมฝีปากอุ่นที่กดจูบลงมานั้นบอกชัดว่าเจ้าตัวทั้งเสียใจ และผิดหวังเพียงใด


                และอาจเป็นความรู้สึกนั้นของเคย์โตะ  ที่ทำให้ไดกิไม่กล้าขยับตัวไปไหน  ไม่กล้าแม้แต่จะร้องห้ามให้อีกฝ่ายหยุดริมฝีปากที่กำลังรุกล้ำร้องขอมากเกินไป  ไม่กล้าปัดป้องมือร้อนที่รุกรานล่วงล้ำเข้าไปใต้เสื้อผ้า  อ้อมกอดแข็งแรงนั้นทำให้ร่างร้อนหลอมละลายได้เหมือนทุกครั้ง 


                แต่ครั้งนี้ไดกิรู้ว่ามันมากกว่า...


                น้ำตายังรินไหล ... แต่ร่างบางหลับตาลง   นอนนิ่งๆปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามแต่ใจ  หากว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนึ้จะช่วยลบล้างความเจ็บปวดได้   เขาก็ยินดี....


                แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!?


                หลังจากนั้นนานหลายนาที  ไดกิกระพริบตาปริบๆมองเพดานด้วยความงุนงง  ไฟในห้องยังสว่างจ้า  ร่างหนานอนนิ่งอยู่บนตัวเขา  ซบหน้ากับซอกคอขาว ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า  พูดอะไรสักอย่างอู้อี้จนไดกิแทบฟังไม่รู้เรื่อง


                “ไม่ไหว  ร้องไห้ไม่หยุดแบบนี้ใครจะทำลง”


                เคย์โตะยันกายขึ้นแต่ยังวางแขนคร่อมร่างเล็กไว้  จ้องมองคนเจ้าน้ำตาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี 


                แล้วน้ำตาก็ไหล  ... ไดกิร้องไห้หนักกว่าเดิมจนเคย์โตะตกใจรีบดึงร่างเล็กเข้ามากอด คราวนี้ลูบหลังลูบไหล่ปลอบแต่ร่างบางก็ยังสะอึกสะอื้นยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก


                “ฉันทำให้กลัวสินะ  ขอโทษจริงๆ”


                “งี่เง่า!! นึกว่าฉันเป็นเด็กหรือไงถึงต้องมาตกใจร้องไห้กะอีแค่เรื่องนี้”


                “อ้าว! งั้นร้องไห้ทำไม?”


                ไดกิตอบไม่ได้  มันน่าอายเกินกว่าจะบอกไปตามตรงว่าเมื่อครู่  ตอนที่เคย์โตะผละจากและมองเขาด้วยสายตาผิดหวังนั้น  ทำให้เขากลัว... กลัวว่าเจ้าของอ้อมแขนอบอุ่นที่กอดเขาไว้อยู่เสมอนั้นจะทิ้งไป  ถึงได้ร้องไห้เสียมากมายขนาดนี้


                แต่การที่ร่างเล็กเอาแต่ร้องไห้หน้าแดงหูแดงมุดอยู่กับอกของอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะปิดบังได้  เพราะเจ้าของอกอุ่นที่ไดกิอาศัยอยู่นั่น   หลังจากที่ทำคิ้วขมวดเป็นนานสองนานก็เริ่มยิ้มน้อยๆ   เป็นรอยยิ้มแฝงแววตาเจ้าเลห์ที่ไดกิละเกลียดนัก


                แต่ก็แพ้แววตาแบบนี้ทุกครั้งไป..แล้วก็แพ้ความเจ้าเล่ห์ของคนคนนี้ทุกทีเสียด้วย !


                “เอ~ ถ้าไม่ได้กลัว  งั้นไดจังร้องไห้เพราะอะไรกันล่ะ”


                “ห้ามถาม!! เงียบไปเลยแล้วอย่าถามอีกนะ!!!


                ไดกิแหวทั้งๆที่ยังกอดอีกฝ่ายแน่น  เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะซ่อนใบหน้าของตัวเองไม่ให้เคย์โตะเห็น  แต่ไม่ทันได้คิดว่าแบบนี้ ก็ทำให้ตัวเองหนีไปไหนไม่ได้เหมือนกัน  ไดกิถึงร้องเสียงหลงตอนที่ตัวเองโดนผลักลงนอนบนเตียงอีกครั้ง  ถูกเคย์โตะที่เอนตัวตามลงมาทับเสียจนอึดอัด  แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่าตาตี่ๆแต่วิบวับเป็นประกายของเคย์โตะ


                “ทำบ้าอะไรของนาย!?”


                “เสียใจที่ฉันไม่กอดก็บอกมาตรงๆก็ได้นี่นา  ไม่เห็นต้องอายเลย”


                “ไม่ได้เสียดาย!! ปล่อยนะ!!


                “ไม่ต้องเขินหรอกไดจัง  งั้นมาต่อกัน  อืม~เมื่อกี๊ถึงตรงไหนแล้วนะ โอ๊ย!!!


                ถึงจะเป็นแค่หมอน  แต่โดนฟาดแรงๆเข้าหลายๆที  คนตัวโตอย่างเคย์โตะก็เจ็บเป็นเหมือนกัน  แถมโดนตีแบบเน้นๆ แถมลูกเตะลูกถีบจนเกือบกลิ้งตกเตียง  แต่ร่างเล็กกระโดดนั่งทับเขาแล้วระดมฟาดหมอนตีซ้ำๆแบบไม่นับ ปากก็ตะโกนด่าไปด้วย  เคย์โตะจับความได้เป็นคำๆ อย่าง ฉวยโอกาส คนบ้า ลามกหรืออะไรทำนองนี้แหละ  แต่ถ้าปล่อยให้ไดกิทารุณกรรมต่อไปเขาอาจจะตายได้


                “โอ๊ย!!!  ไดจังๆๆๆ ฉันล้อเล่น!!! เลิกตีก่อนเถอะ!


                “ต่อไปจะแกล้งฉันแบบนี้อีกมั๊ย!


                ไดกิยกหมอนขึ้นขู่  บอกเป็นนัยๆว่าถ้าไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจละก็  ตายแน่ๆ!!!!


                “ไม่แกล้งแล้ว แต่จะทำจริงๆล่ะ”


                “ฝันไปเถอะ!! นายไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้วล่ะ”


                ไดกิแลบลิ้น  ฟาดหมอนใส่ร่างหนาอีกสองสามทีจนพอใจ ก่อนจะพาตัวเองลงมานั่งหอบบนเตียง  รู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้ร้องไห้  ได้อาละวาด (?)  ระบายกับใครสักคนแล้ว


                แต่ไอ้คนที่ทำให้รู้สึกดีเนี่ย  มันเจ้าเล่ห์ซะจนไม่อยากจะพูดขอบคุณเอาซะเลย 


                “ถ้ายังโกรธอยู่  ให้ตีอีกหลายทีก็ได้นะไดจัง”


                มันน่าฆ่าให้ตายนัก!!  ง้อไปหัวเราะไปแบบนี้มันน่าจะเอาหมอนอุดจมูกซะ!!


                “ฉันจะไปทำงาน”


                ไดกิกระฟัดกระเฟียดเดินไปเกือบถึงประตู  แต่แล้วก็นึกแปลกใจที่เคย์โตะไม่คิดจะห้าม  พอหันกลับไปมองร่างหนาก็ตอบกลับมายิ้มๆ  ทำให้ไดกิทั้งอาย ทั้งอยากจะเอาอะไรซักอย่างฟาดปากไอ้คนพูดเสียจริงๆ


                “ออกไปทั้งๆอย่างนั้น  มีหวังคนอื่นๆเข้าใจว่าถูกใครทำมิดีมิร้ายมาแน่ๆ  ถึงจริงๆแล้วมันเกือบจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ “





++++++++++++++++++++++++++++++++++