Tuesday 1 November 2011

[SF] In Your Eyes


Title  -:-                In Your Eyes



Writer  -:-             Nalikakeaw



Pairing   -:-           Taka x Inoo





ฟิคเรื่องนี้เป็นภาคต่อจากเรื่อง [SF] Sweet Dreams และ [SF] Night of the star~☆★~ ถ้าใครงงให้กลับไปอ่านสองตอนนี้ก่อนละกันค่า






เสียงตึงตังโครมครามที่เกิดขึ้นทุกเช้า เป็นเรื่องปกติที่ทีมงานหลายๆคนคุ้นตาและเคยชินไปเสียแล้ว ยิ่งเป็นทีมงานของกลุ่มนักร้องที่ได้ชื่อว่าเป็นกรุ๊ปที่มีจำนวนศิลปินมากที่สุดในค่าย แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็บอกได้เลยว่าวันนี้ใครจะเป็นผู้โชคดีมาสาย ถูกพี่ใหญ่ที่สุดในวงดุเอา




แต่วันนี้ .. ไม่ต้องฟังเสียงฝีเท้าก็รู้ว่าใคร เพราะเจ้าตัวตะโกนโหวกแหวกมาตั้งแต่ชั้นหนึ่งโน่นแน่ะ




"แย่แล้ว!! สายแล้ว!!! ถูกดุแน่เลย เคย์โตะวิ่งเร็วๆซี่!!!"




ต่อให้คนถูกเรียกไม่อยากวิ่ง ก็ต้องวิ่งอยู่ดีเพราะมือข้างหนึ่งของยูโตะกำแขนเสื้อเคย์โตะเอาไว้แน่น ลองไม่วิ่งสิ ยูโตะจะได้ทำให้ร่างหนาแปลงร่างเป็นไม้ถูพื้นช่วยคุณแม่บ้านแน่ๆ




พอถึงหน้าห้องซ้อม ยูโตะก็เปิดประตู แล้วเหวี่ยงตัวคนที่ลากมาด้วยให้เข้าไปเป็นด่านหน้าทันที!




และด้วยสกิลการทรงตัวบาลานซ์ดีเยี่ยม .. ด้วยน้ำหนักของกีตาร์ที่แบกอยู่ข้างหลัง  บวกกับแรงส่งของเพื่อนซี้ที่มีดีกรีเป็นมือกลองประจำวง  เจ้าชายเม่นสุดหล่อจากอังกฤษจึงเซถลากางแขนรับลมลงไปซบพื้นแทบเท้าของยาบุได้อย่างพอดิบพอดี




"มาสายนะเคย์โตะ"




"ขอโทษนะ"




"ช่างเถอะ ไปเตรียมตัวซ้อมสิ"




ยูโตะยื้นอึ้งอยู่ที่ประตู พอๆกับเคย์โตะที่ขมวดคิ้วน้อยๆด้วยความสงสัย พอยืนขึ้นได้มั่นคงเคย์โตะก็ถูกลากไปรวมกลุ่มกับเซเวนเมมเบอร์ทันที




"ทำไมอ่ะ? เกิดอะไรขึ้น? ปกติแล้วฉันต้องถูกบ่นเป็นชุดแล้วนี่นา? นี่ๆๆๆทุกคน ทำไมไม่ตอบฉันล่ะ?"




"ไม่รู้!! ดูเอาเองสิ"




ยูริตอบอย่างหงุดหงิด พลางมองไปทางยามาดะที่เอาแต่สนใจการ์ตูนในมือของไดกิจนแทบไม่เงยหน้ามองใคร ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสองคนนี้ แต่ปกติแล้วข้างๆไดกิจะมีใครอีกคนหนึ่งคอยถามโน่นถามนี่ จุ๊กจิ๊กกวนใจอยู่นี่นา




"ทำไมวันนี้ ไดจังอยู่กับยามะจังได้ล่ะ อิโนะจังไปไหน"




"ดูเอาสิ"




ทำไมวันนี้ไม่ค่อยมีคนตอบคำถามนะเนี่ย ยูโตะย่นจมูกใส่เคย์โตะ มองตามยาบุที่เดินไปกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆทาคาคิ ทอดสายตามองไปทางอีกมุมหนึ่งของห้อง ตรงนั้นริวทาโรนั่งทำการบ้านของตัวเองอยู่เงียบๆ และที่นั่งห่างออกไปอีกเล็กน้อย คือฮิคารุและอิโนะโอะ ที่ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน ถึงได้เอาแต่หัวเราะแล้วก็ยิ้มให้กันไม่หยุด




"ทำไมอิโนะจังถึงได้เอาหัวโขกกับฮิคารุคุงแบบนั้นล่ะ"




"ไปถามเอาเองสิ!!"




แง้~ ! วันนี้ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด










อิโนะจัง ... ทำไมนายทำอย่างนี้?..




ยาบุคิดอย่างปวดใจ ระหว่างที่มองดูเพื่อนกับแฟนทำตัวสนิทสนมจนเกินหน้า มีเรื่องอะไรต้องคุยกันหนักหนาหรือไงถึงได้ตัวติดกันทั้งวันแบบนี้ ส่วนแฟนอย่างเขากลับได้คุยกับฮิคารุแบบนับคำได้




"คิดมากไปมั๊ยนาย ฮิคารุกับอิโนะจังก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่"




"คิดอย่างนั้นเหรอ?"




ยาบุถามกลับน้ำเสียงเย็นชา ยูยะเลยทำเป็นสนใจข้าวของตัวเองต่อ ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิด แต่ก็คิดไม่ออกว่าทำไมวันนี้เคย์ถึงยอมปล่อยคู่ซี้อย่างไดกิให้ไปเดินช็อปปิ้งกับเคย์โตะได้ง่ายๆ แล้วมาเกาะแกะอยู่กับฮิคารุจนทำให้ยาบุเริ่มคิดมากแบบนี้




"เวลาเรามากินข้าวกัน ปกตินายนั่งตรงนี้รึเปล่า ทาคาคิ"




ยูยะคีบข้าวใส่ปากแทนการตอบคำถาม ถ้ามากินข้าวด้วยกันห้าคน ฮิคารุจะนั่งข้างยาบุ เคย์จะนั่งกับไดจัง ส่วนคนที่ต้องนั่งโดดเดี่ยวอยู่ตรงหัวโต๊ะนั้นมักจะเป็นยูยะเสมอ ถ้าไดกิไม่มาด้วยเขาถึงจะขยับไปนั่งข้างๆเคย์  แต่วันนี้เคย์กลับตัดหน้าแย่งที่ที่ว่างข้างๆฮิคารุไปแบบหน้าตาเฉย ทำให้ยาบุต้องมานั่งข้างๆยูยะแทน




จริงๆแล้วยาบุก็คงจะไม่คิดมาก ... ถ้าสองคนนั่นจะไม่ทำตัวติดกันแม้กระทั่งเวลาไปเข้าห้องน้ำ!




"ยาบุ ไม่หิวเหรอ?"




ฮิคารุถามตอนที่กลับมาจากห้องน้ำแล้วเห็นข้าวตรงหน้ายาบุยังเหลือเท่าเดิม ในขณะที่ของยูยะหมดไปกว่าครึ่งแล้ว




"ยังไม่หิวหรอก"




ฮิคารุทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ยังช้ากว่ามือขาวเรียวของคนข้างๆ ที่เอื้อมไปคว้าชามข้าวของยาบุมากินอย่างรวดเร็ว




"นายไม่กิน งั้นฉันขอละกัน"




"อืม แค่ข้าวน่ะให้ได้อยู่แล้วล่ะ อิโนะจัง"




ยูยะคิ้วกระตุกกับน้ำเสียงเย็นๆของยาบุ กับรอยยิ้มใสซื่อของตัวต้นเหตุร้าวฉาน ที่ดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย




แกล้งโง่รึเปล่าวะเนี่ย?...














"นี่ ฮิคารุ เราไปเดินดูของกันเถอะ"




ไม่รู้ทำไม ยูยะรู้สึกว่าเสียงใสๆ รอยยิ้มหวานๆ และท่าทางซื่อๆเกาะแขนอ้อนฮิคารุของเคย์ถึงได้เหมือนนางร้ายในละครเข้าไปทุกที  มันยิ่งทำให้คนข้างๆเขาใกล้จะแปลงร่างเป็นจอมมารขึ้นมาทุกทีแล้วเหมือนกัน




"ไม่ได้หรอกอิโนะจัง ฉันนัดกับยาบุไว้ว่าจะไปดูหนังกัน"




"งั้นฉันไปด้วยสิ ดูหนังเสร็จแล้วค่อยไปช็อปปิ้งก็ได้"




ยูยะอยากจะเอาหัวโขกอะไรสักอย่างแถวนี้ให้สลบคาที่ เผื่อว่าพระเจ้าจะเห็นใจ เลิกเขียนบทเด็กดื้อตาใสให้เคย์เล่นเสียที ตอนนี้ยูยะอยากจะกลับบ้านไปนอน ไม่อยากเอาตัวไปกั้นกลางระหว่างระเบิดเวลาอีกแล้ว ถ้าเคย์ไปด้วย รับรองว่ายาบุต้องลากยูยะไปด้วยแน่ๆ




"นี่~ ไปได้ใช่มั๊ยล่ะ เนอะ ยาบุคุง"




พอฮิคารุทำท่าอึดอัดใจ ก็หันไปคาดคั้นเอาคำตอบกับยาบุด้วยดวงตาใสแบ๊ว น่ารัก แต่ยูยะมองตายาบุแล้วรู้สึกว่ายาบุคงนึกอยากจะบีบคอคนตรงหน้านี้มากกว่า




"ไม่ได้!!!"




"อะไรกันน่ะ ฉันไม่ได้ถามทาคาคิคุงนะ ฉัน-"




"สองคนนี้เขาจะไปเดทกัน นายจะไปเป็นก้างขวางคอทำซากอะไรห๊ะ!! อิโนะจัง!!"




"แหม~ ก็ฉันอยากได้คนไปเป็นเพื่อนซื้อของนี่นา"




แล้วตอนที่ไดกิชวนไปช็อปปิ้ง ใครกันที่บอกว่าอยากจะกลับบ้านไปอ่านหนังสือ!? ให้ตายเถอะ!! นี่เขาต้องทำตัวเป็นเพื่อนพระเอกแสนดี ดึงก้างชิ้นโตนี่ออกจากคอเพื่อนใช่ไหม?




"ฉันจะไปเป็นเพื่อนนายก็แล้วกัน ไปกันเถอะ!"




ยูยะไม่รอฟังคำตอบว่าร่างบางจะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ แต่เขาคว้ามือเรียวของเคย์ไว้แล้วพาเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ทิ้งฮิคารุไว้กับยาบุที่กำลังเกิดความรู้สึกสงสัยกับอะไรบางอย่างแทนที่ความหงุดหงิดใจเมื่อครู่




ทำไมถึงยอมให้ทาคาคิพาไปง่ายๆอย่างนั้นล่ะอิโนะจัง  แล้วรอยยิ้มแบบนั้นน่ะ  นายจะให้ฉันเข้าใจว่ายังไง?  จุดประสงค์ที่แท้จริงของนาย .. ไม่ใช่ฮิคารุ  แต่เป็นคนที่จูงมือนายอยู่อย่างนั้นใช่ไหม?










"นายอยากซื้ออะไรเหรออิโนะจัง"




"ไม่รู้สิ"




ยูยะหันไปจ้องหน้าคนที่ลอยหน้าลอยตาตอบว่าไม่รู้ แล้วนึกอยากกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้  คนอะไร! เอาใจยากดีแท้




"ก็อยากมาเดิน แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี"




คนฟังส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด เดินจ้ำเอาๆจนร่างบางเกือบวิ่งตามไม่ทัน




"ทาคาคิคุง นายโกรธเหรอ?"




ยูยะอยากจะตอกกลับแรงๆให้สมกับที่ร่างบางทำให้เขาต้องเสียเวลามาเดินเตร่อยู่แถวนี้ แทนที่จะได้กลับบ้านไปนอนอย่างใจอยาก แต่พอหันมาเห็นแววตาหงอยๆแล้วก็เปลี่ยนใจ




"ถ้านายไม่ซื้ออะไร ฉันจะกลับล่ะ"




ยูยะเดินหนีมาตั้งแต่ยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ เขาไม่อยากมองสบตาคู่นั้นให้ใจอ่อน ไม่รู้ว่าพักนี้ตัวเองเป็นบ้าอะไร มองตาคู่นั้นของเคย์แล้วรู้สึกแปลกจนไม่อยากจะอยู่ใกล้




แต่พอเดินห่างมาได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็อดเป็นห่วงไม่ได้  ทิ้งไว้แบบนั้นจะเป็นไรไหมนะ ..




ลังเลอยู่ชั่วอึดใจ  และแล้วความเหงาในดวงตาคู่นั้นก็ทำให้ร่างหนาต้องหันหลังกลับ เดินไปยังที่ที่เขาเพิ่งเดินจากมา  ตรงนั้น ... ร่างบางยังยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองอะไรสักอย่างบนฟ้า  แต่สิ่งที่ทำให้ยูยะใจหาย คือหยดน้ำเล็กๆที่หล่นร่วงจากดวงตาคู่นั้น




ร่างสูงก้าวเร็วๆเข้าไปหา ยกมืออุ่นขึ้นประคองแก้มนิ่ม เช็ดน้ำตาให้ด้วยความห่วงใย




เหงาจริงๆสินะ..




"อิโนะจัง ฉัน-"




"อยากดูจังเลย"




ยูยะขมวดคิ้ว ความรู้สึกผิดที่ปั่นป่วนในอกจนทำให้พูดอะไรไม่ออกชั่วครู่หายวับไปทันที




"นายพูดว่าไงนะ?"




"ก็หนังเรื่องนั้นไง"




ร่างหนามองตามสายตาของร่างบางไปยังตึกสูงที่ไม่ไกลออกไปนัก บนตึกนั้นมีบิ๊กสกรีนที่กำลังฉายภาพยนต์ดรามาน้ำตาท่วมจอที่ทำรายได้ถล่มทลายไปเมื่อสามเดือนก่อน




"ตอนที่เข้าฉายฉันไม่ว่างเลยไม่ได้ไปดู เดี๋ยวเราซื้อดีวีดีไปดูด้วยกันที่บ้านนะ ทาคาคิคุง"




ร่างบางพูดเองเออเองเสร็จสรรพ ก่อนจะลากแขนร่างหนาที่ยังยืนงงอยู่ให้ออกเดินไปด้วยกัน













คราวนี้เขาหนีมาจริงๆ ..




ยูยะยอมตามร่างบางไปที่ร้านขายดีวีดี แล้วก็ชิ่งออกมาตอนที่อีกฝ่ายกำลังเพลินกับการเลือกดูหนัง แต่ก็แอบซุ่มรออยู่หน้าร้าน รอจนร่างบางเดินตามหาเขาจนถอดใจ ยอมขึ้นรถไฟกลับบ้านไป ตัวเองถึงได้กลับห้องบ้าง




แต่ยูยะก็แทบจะช็อคตาย เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วพบว่าคนที่เขาเพิ่งจะคิดว่าหนีได้พ้น มานั่งดูหนังสบายใจอยู่บนโซฟาตัวโปรด  ในห้องของเขาเอง!!!




"อ-อิโนะจัง น-นายมาได้ไง นายเข้าห้องฉันได้ยังไง!"




"ก็นั่งรถไฟมาน่ะสิถามได้ ที่เข้ามาในห้องได้ก็.. นี่ไง"




มือขาวๆหยิบพวงกุญแจที่วางบนโต๊ะขึ้นมาเขย่ากรุ๊งกริ๊ง กุญแจสำรองห้องของยูยะ ที่เขาเคยให้ไปด้วยความไม่เต็มใจเมื่อก่อนหน้านี้




นี่ยังไม่ได้คืนอีกเรอะ!!!




"ฉันอยากดูหนังเร็วๆ ห้องนายใกล้กว่าก็เลยมาที่นี่ มาดูด้วยกันนะทาคาคิคุง"




"ไม่ล่ะ! ฉันว่านายกลับบ้านไปดีกว่า ฉันเหนื่อยแล้วอยากจะนอน!"




ยูยะเหวี่ยงกระเป๋าลงไปบนโซฟาอย่างไม่พอใจ ยิ่งเห็นว่าร่างบางยังไม่ยอมขยับตัวไปไหนเขาก็ยิ่งหงุดหงิด




"วันนี้นายเป็นอะไรไปอิโนะจัง ทำไมถึงได้คอยหาเรื่องกวนใจคนอื่นอยู่เรื่อย ว่างนักหรือไง!?"




บางครั้งคนเราก็พูดอะไรออกไปโดยไม่ได้คิดคิดถึงหัวใจคนอื่น ยูยะเองก็เป็นคนแบบนั้น ถึงได้พูดออกไปโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของคนฟังเลยแม้แต่น้อย ว่ารอยยิ้มหวานๆค่อยๆจืดจางลงไปทุกที




จนกระทั่งร่างบางลุกขึ้นจากโซฟาอย่างเงียบๆ เก็บของใส่กระเป๋า เดินผ่านยูยะไปจนถึงประตูห้อง หยิบรองเท้ามาใส่ โดยที่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว




ประโยคแรกที่ร่างบางเอ่ยขึ้นมา หลังจากความเงียบงันอันแสนยาวนาน แม้ว่าที่จริงแล้วเข็มของนาฬิกายังไม่ทันกระดิกไปถึงไหนก็ตาม คือสิ่งที่ยูยะไม่ได้คาดคิดและก็ทำให้ร่างหนาตกใจจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ




"นายเกลียดฉันเหรอ? ทาคาคิคุง"




กว่ายูยะจะคิดได้ว่าควรจะรั้งเอาไว้ ร่างบางก็เกือบจะพ้นประตูห้องไปแล้ว แต่พอประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ร่างบางก็ทำเหมือนไม่อยากจะมองหน้าเขาอีกต่อไป ถึงจะยอมให้รั้งไว้ แต่ก็หันหลังให้ไม่ยอมมองหน้ากัน




"ฉันอยู่ก็กวนใจนาย แล้วทำไมไม่ยอมให้ฉันกลับไปล่ะ"




โดนประชดเข้าอีกดอก ยูยะถึงกับจุก แต่ก็ยังจับมือบางเอาไว้ พยายามรั้งให้ร่างบางหันมาสบตากันตรงๆแต่ก็ไม่สำเร็จ ยูยะก็ไม่รู้จะทำยังไง คนที่ปากเคยตรงกับหัวใจมากที่สุดอย่างเขา ในเวลาอย่างนี้กลับปากหนักเสียจนน่าโมโหตัวเอง




แค่คำว่าขอโทษคำเดียว..





"ฉันไม่ได้เกลียดนาย"




"นายโกหก"




พอร่างบางหันกลับมา ยูยะก็เสมองไปทางอื่น ทำให้เคย์จ้องอย่างจับผิด ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ยูยะก็ยิ่งถอยหนี




"เห็นมั๊ยล่ะ นายไม่ยอมมองตาฉัน แสดงว่าโกหก!!"




"เปล่านี่"




ยอมโดนด่าว่าแถหน้าด้านๆเสียยังจะดีกว่าถูกบังคับจ้องตาระยะประชิดแบบนี้  เพียงแค่มือเรียวคู่นั้นยกขึ้นประคองแก้มเขา บังคับให้มองตา จากที่ถอยๆจนพาตัวเองกลับเข้ามาอยู่ในห้องนั่งเล่น ร่างหนากลับยืนนิ่งราวกับต้องมนต์ในดวงตาคู่นั้น มือที่พยายามปัดป้อง ก็วางทาบอยู่บนมือเรียวเหมือนจะหมดแรงไปซะเฉยๆ




"ทาคาคิคุง มองตาฉันแล้วพูดอีกครั้งสิ ว่าไม่ได้เกลียด"




"อิโนะจัง ฉันไม่ได้เกลียดนาย"




พอถึงเวลาจะพูด ก็พูดออกมาง่ายๆ ถึงตอนที่พูดสติจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเพราะถูกตาคู่สวยจ้องเอาก็ตาม และหลังจากที่พูดออกไปทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว มือเรียวที่แนบแก้มของยูยะถูกดึงกลับไปแล้ว สายตาที่จิกจ้องคาดคั้นก็ฉายประกายอีกครั้ง ยูยะมองตาคู่นั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด




มันดู...มีอะไรบางอย่างแอบแฝง




แต่ร่างบางคงไม่อยากเล่นเกมจ้องตากับเขา เพราะตอนนี้เจ้าตัวเดินกลับไปนั่งบนโซฟา หยิบรีโมทขึ้นมากดอีกครั้ง หันมาชวนเจ้าของห้องตัวจริงด้วยรอยยิ้มหวานสุดหัวใจ




"มาดูหนังด้วยกันนะ ทาคาคิคุง~"










ดูหนัง .. แต่ก็เหมือนไม่ได้ดู ยูยะเอาแต่เหลียวไปมองคนข้างๆแทนที่จะดูจอโทรทัศน์ แต่พอร่างบางหันมามองก็ทำเป็นสนใจหนังแทน แม้ความจริงทั้งภาพและเสียงไม่ได้ทะลุเข้าไปในสมองเลยก็ตาม




"สงสัยอะไรเหรอ? ทาคาคิคุง"




"เปล่า"




"โกหกไม่ดีเลยน๊า~"




ยูยะหันกลับไปจ้องอย่างเอาเรื่อง แต่พอดวงตาสวยๆคู่นั้นมองกลับมา ยูยะก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง เลยถูกร่างบางแซวเสียนี่




"นั่นไง~ ไม่ยอมมองตากันแสดงว่าโกหก บอกมาตรงๆดีกว่า อยากรู้เรื่องวันนี้ใช่มั๊ยล่ะ ถ้านายถามฉันก็จะตอบนายตรงๆนะ"




"เรื่องนั้นไม่ต้องถามฉันก็รู้ นายจงใจแกล้งยาบุ! ไม่ต้องมามองแบบนั้น ฉันไม่ได้โง่สักหน่อย"




อิโนะโอะ เคย์ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยที่ถูกรู้ทัน และไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่สักนิดด้วย มีแต่ความรู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่า ตัวเองไม่ได้ถูกเมินอย่างที่กังวลอยู่เป็นเดือนๆ




ที่รู้...เป็นเพราะว่ามองฉันอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ




"ไม่อยากรู้ต่อเหรอ ว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น"




ไม่ถามเปล่าร่างบางเขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆ ยูยะส่ายหัวดิก จะมีเหตุผลอะไรมากไปกว่าเจ้าตัวนึกอยากแกล้งคนแก้เซ็ง แล้วคนที่แกล้งได้สนุกที่สุดก็คือยาบุนี่แหละ หมอนั่นน่ะ ถ้าเป็นเรื่องของฮิคารุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหนก็ถูกคนอื่นเอามาปั่นหัวได้เสมอ




"ไม่ใช่หรอก เพราะนายต่างหากล่ะ ทาคาคิคุง"




"เห?"




"ใช่ เพราะนายไม่คุยกับฉัน ไม่มองหน้าฉัน  พอจะคุยด้วยก็เดินหนี เป็นแบบนี้มาเป็นเดือนๆแล้ว ฉันก็เลยไปกวนยาบุไงล่ะ เพราะรู้ว่ายังไงซะ นายก็ต้องยื่นมือมาช่วยอยู่แล้ว"




คนพูดยิ้มระรื่น แต่คนฟังมึนสุดขีด อะไรวะ!! เป็นเพื่อนพระเอกอยู่ดีๆ ไหงกลายเป็นตัวก่อปัญหาไปได้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับได้รู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าจังเบ้อเร่อ ( อีกแล้ว )




ปัญหาหนักคือจะตะกายออกจากหลุมกับดักได้ยังไง




"พูดอะไรของนาย ไม่เกี่ยวกับฉันเลยนะ"




"เกี่ยวสิ ถ้านายไม่หนีหน้าฉันก็คงไม่ต้องหาเรื่องไปแกล้งยาบุหรอก เวลาหมอนั่นโกรธน่ากลัวจะตาย "




"ฉันเปล่า ไม่ได้หลบหน้า ไม่ได้หนีไปไหนทั้งนั้นแหละ"




ต่อให้เสียงดังหนักแน่นกว่านี้อีกสิบเท่า คนที่ถือไพ่เหนือกว่าก็ยังคงเป็นพรานคนสวยที่ยูยะคอยแต่จะหลบตาอยู่เรื่อย อาจเป็นเพราะสมองที่สั่งการ หรือสัญชาตญาณ ที่บอกให้รู้ว่า ถ้าเผลอสบตาเมื่อไหร่ จะต้องพูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นแน่




"งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันโทรฯหาฮิคารุดีกว่า ป่านนี้จะทำอะไรอยู่น๊า~ น่าจะดูหนังจบแล้ว คงจะไปกินข้าวกันต่อ อ๊ะ!"




ร่างบางขยับหนีมือที่ยื่นเข้ามาหา เอาโทรศัพท์ซ่อนไว้ข้างหลังพลางยิ้มยั่ว ยูยะเริ่มลมออกหู ฉวยโอกาสตอนที่ร่างบางเผลอ อ้อมแขนไปข้างหลัง ยื้อยุดกันอยู่สักพักก็คว้าโทรศัพท์ออกมาได้ แต่ก่อนจะได้ยิ้มอย่างมีชัย สองแขนของยูยะก็ถูกมือเรียวคว้าหมับ




ยูยะถึงได้รู้ตัวว่าหลงกลคนเจ้าเล่ห์เข้าอีกแล้ว ระยะห่างระหว่างกันตอนนี้น้อยยิ่งกว่าคืบ ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน และดวงตาคู่นั้น ก็สะกดยูยะเอาไว้ในที่สุด  ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มหวาน...




"จับได้แล้วนะ .. ทาคาคิคุง"










"ทีนี้จะบอกได้รึยัง ว่าทำไมต้องคอยหลบหน้ากันด้วย"




"ก-ก็ เป็นเพราะแบบนี้ไง"




แบบนี้... แบบตอนนี้ที่โดนจ้องตา จนทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด เหมือนกับทุกครั้ง ยูยะไม่รู้จริงๆว่าตัวเองเป็นอะไรไป รู้แต่ว่าเวลาที่เคย์ยิ้ม หรือหัวเราะแล้วบังเอิญได้สบตากัน เขาจะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ต้องคอยอยู่ห่างๆเอาไว้ จะได้ไม่แสดงอาการให้คนอื่นมาล้อเอาได้




พักนี้ยิ่งถูกเซเวนเมมเบอร์คอยจับผิดอยู่ด้วย




"พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ จะบอกว่าฉันเป็นต้นเหตุให้นายทำแบบนี้เหรอ?"




ยูยะพยักหน้าหงึกๆแทนคำตอบ แต่คนฟังกลับไม่เชื่อ หาว่ายูยะแกล้งซะอย่างนั้น




"นี่นายตั้งใจจะเอาคืนที่โดนแกล้งใช่ไหมทาคาคิคุง"




"เอ้า!! พอพูดความจริงก็ไม่เชื่อ เฮ้ย!! นายจะทำอะไรน่ะ"




ยูยะร้องเสียงหลง เพราะมือเรียวนั้นเอื้อมมาจับแก้มเขาบังคับให้จ้องตากันอีกแล้ว




"ก็จะพิสูจน์ ว่านายจ้องตาฉันแล้วใจเต้นแรงจริงรึเปล่า"




ฟังร่างบางว่าอย่างนั้นแล้วยูยะก็แทบตะกายหนีจากโซฟา แต่ก็ถูกขู่ไว้ว่าจะโกรธเลยต้องนั่งนิ่งๆ  ตอนนี้ยูยะไม่กลัวจะถูกมองตาอีกแล้ว เพราะแก้มนิ่มๆที่แนบกับอกเขามันน่ากลัวกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า ตอนนี้หัวใจของยูยะทำงานหนักจวนเจียนจะระเบิดอยู่แล้ว




"อิโนะจัง- นายคิดจะทำอะไร"




"ว่ากันว่าหัวใจของคนเราปกติเต้นเจ็ดสิบสองครั้งต่อนาที ฉันจะนับดูว่าหัวใจนายเต้นเร็วผิดปกติรึเปล่า"




เล่นกันอย่างงี้เลยเรอะ!!!  แล้วคิดมั่งมั๊ยว่ากว่าจะครบหนึ่งนาที ยูยะอาจจะหัวใจวายตายไปก่อนแล้วก็ได้




"อิโนะจัง"




"เงียบๆน่ะ ฉันฟังเสียงหัวใจนายไม่ถนัด"




โกหกชัดๆ!!! ขนาดยูยะยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังกระหึ่ม เซอร์ราวด์รอบทิศขนาดนี้ แล้วคนที่แนบหูฟังอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจแป๊ะๆจะไม่ได้ยินได้ยังไง




"คือ-อิโนะจัง ฉัน-ฉันว่า"




"บอกให้หยุดพูดไง เอ๊ะ!! นับได้เท่าไหร่แล้วนะ แย่จังลืมไปแล้ว"




ลืม!!! ลืมก็ต้องนับใหม่ โอยยย!!! พ่อแก้วแม่แก้วววววววววว




ยูยะอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า แต่ความจริงแล้วต้องพยายามอยู่นิ่งๆ ควบคุมลมหายใจและหัวใจของตัวเองอย่างหนัก ให้เวลาหนึ่งนาทีแสนยาวนานผ่านพ้นไปเสียที




แต่ว่า..นี่มันเลยมาตั้งหลายนาทีแล้วนี่หว่า?




"อิโนะจัง"




"....."




มีเพียงเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอดังแทนคำตอบ ยูยะค่อยๆก้มลงมองร่างบาง ที่ไม่รู้ว่าเผลอกอดไปตั้งแต่ตอนไหน  แก้มเนียนที่แนบกับอก ลมหายใจอุ่นๆ เปลือกตาสีม่วงอมชมพูอ่อนๆ ขนตาเรียงเป็นแพปิดสนิท ริมฝีปากระบายยิ้ม..




หลับ!!! หลับทั้งๆที่ทำให้เขาหัวใจจะวายตายเนี่ยนะ!!!




"อิโนะจัง! เฮ้! อิโนะจัง!"




ยูยะเขย่าร่างบางแรงๆด้วยความโมโห แต่พอได้เห็นสีหน้าง่วงงุนกับดวงตาปรือๆของอีกฝ่ายก็คิดได้ว่า เคย์คงจะง่วงจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ น้ำเสียงจึงอ่อนลงกว่าตอนแรก




"ถ้าง่วงก็ไปนอนในห้องสิ"




"ไม่เอา!! จะนอนตรงนี้"




ล้มตัวลงนอนบนโซฟา เบียดจนเจ้าของห้องลงไปนั่งทำตาปริบๆบนพื้น ยูยะนั่งจ้องใบหน้าขาวๆนั้นอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะลุกเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง











ลมหายใจอุ่นๆของใครบางคน ... ปลุกใครอีกคนขึ้นจากฝัน




ร่างบางกระพริบตางงๆกับโครงร่างเงาของใครบางคน ที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน




"เตียงในห้องตัวเองก็มี  มานอนเบียดฉันทำไมกันนะ ทาคาคิคุง"




แกล้งจิ้มนิ้วลงบนแก้มของร่างหนาเบาๆ  ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ ให้แก้มชิดกับอกหนาอีกครั้ง  ให้ไออุ่นและเสียงหัวใจของอีกฝ่ายกล่อมนอนอีกครั้ง




นายรู้มั๊ย..ทาคาคิคุง   ฉันก็เป็นเหมือนกันล่ะ




ที่มองตานาย แล้วหัวใจก็เต้นแรงไปซะทุกครั้ง ตั้งแต่วันที่นายแกล้งกอดเอวฉันในคอนเสิร์ตซัมมารีนั่นแหละ




แต่ว่า..ฉันจะไม่บอกนายหรอก เพราะนายน่ะ แกล้งเมินฉันจนทำให้ฉันคิดมากอยู่ตั้งนาน




ต่อไปฉันจะแกล้งนายบ้าง ขอเอาคืนจนกว่าจะพอใจก็แล้วกันนะ ทาคาคิคุง...








END+++




จบแล้วจ๊ะ  ทาคาอิโนะแบบใสๆ

[SF] Night of the star~☆★~

Title -:-  [SF] Night of the star  ~☆★~

 

Writer -:- Nalikakeaw

 

Pairing -:- Takainoo

 

 

 

 

ค่ำคืนแห่งเทศกาลทานาบาตะ  เทศกาลแห่งการขอพรจากดวงดาว และดูเหมือนจะเป็นเทศกาลของหนุ่มสาวในชุดยูกาตะหลากสี ที่ตอนนี้เดินสวนกันไปมาให้วุ่นวาย แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลาเกือบๆสี่ทุ่มแล้วก็ตาม

 

เด็กหนุ่มร่างสูงสองคน ชะเง้อคอยืดยาวมองหากลุ่มเพื่อนที่ได้นัดกันไว้ว่าจะมาเจอกันหลังเลิกงาน แต่ก็ทำได้ยากยิ่งเพราะดูเหมือนยิ่งดึก คนก็ยิ่งทยอยกันมามากขึ้น

 

"อุตส่าห์เลือกมาเที่ยวแถวๆนอกเมืองแล้ว คนก็ยังเยอะได้อีก"

 

"ก็ช่วยไม่ได้นี่นา เทศกาลทานาบาตะที่นี่น่ะ จะจุดดอกไม้ไฟหลังเที่ยงคืนด้วย คนก็เลยมาดูกันเยอะ"

 

ทาคาคิ ยูยะ  และยาบุ โคตะ เดินฝ่าฝูงชนไปเรื่อยๆพลางมองหาเพื่อน ทั้งสองคนอยู่ในชุดยูกาตะสีพื้นเรียบๆ ธรรมดา แต่กลับกลายเป็นจุดเด่นท่ามกลางผู้คน ให้สาวๆหลายคน หลายกลุ่ม เหลียวหลังมองตามจนคอแทบเคล็ด

 

"คนเยอะแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเน้อ~"

 

ยาบุเปรยพลางส่งยิ้มหวานให้สาวๆที่เดินสวนผ่านไป  พวกเธอแก้มแดงไปจนถึงหูแล้วก็รีบเดินจากไปพร้อมเสียงวี๊ดว้าย

 

"ระวังจะโดนฆ่าหมกป่า"

 

"ถ้าบอกว่าสาวๆพวกนั้นเป็นแฟนเพลงของเรา ฮิคารุไม่ว่าหรอก"

 

ทั้งสองคนเดินผ่านเด็กสาวอีกกลุ่มหนึ่ง หน้าตาน่ารัก แต่กลับประโคมโปะเครื่องสำอางลงบนใบหน้าเสียจนดูแก่เกินวัย พวกเธอสวมชุดที่ดูเหมือนจะเป็นกิโมโนสีฉูดฉาดที่ดัดแปลงตรงนั้นนิด ตัดตรงนี้หน่อยจนไม่เหลือเค้าของชุดเดิม  โดยเฉพาะรอยแหวกช่วงขาที่ขึ้นมาเกือบถึงสะโพก อวดผิวขาวเนียนที่ประดับด้วยรอยสักรูปอะไรสักอย่างที่มองเห็นได้ไม่ถนัดนัก

 

แต่เหตุผลที่สองหนุ่มรีบจ้ำผ่านสาวๆกลุ่มนั้นมาไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าหรือรอยสัก แต่เป็นสายตาที่พวกเธอทั้งหลายมองมา มันสื่อความหมายชัดเจนว่า สาวๆทั้งกลุ่มนั้น อยากจะแปลงกายเป็นเจ้าหญิงทอผ้าของทั้งสองคนในค่ำคืนนี้

 

"ไม่สนหน่อยเหรอ"

 

"ไม่อยากเป็นคนเลี้ยงวัวว่ะ"

 

ความจริงแล้วกลิ่นเครื่องสำอางที่ลอยมานั่น มันทำให้ยูยะนึกถึงแก้มเนียนใส กับกลิ่นกายหอมอ่อนๆที่เขาเคยได้มีโอกาสชิดใกล้เมื่อเดือนก่อน  แต่ไม่รู้ทำไม กลิ่นหอมนั้นยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกทั้งๆที่เวลาผ่านมาหลายวันแล้ว

 

"ไม่อยากเป็นคนเลี้ยงวัว แต่ตอนนี้เราก็เหมือนคนดูแลสัตว์นะ"

 

ยาบุบุ้ยใบ้ไปทางด้านหลัง วันนี้พวกเขาไม่ได้มากันแค่สองคน แต่พกเด็กๆกลุ่มหนึ่งที่หน้าตาน่ารัก แต่เสียงดังที่สุด วุ่นวายที่สุดมาด้วยกลุ่มหนึ่ง ยูยะกับยาบุต้องคอยดูแลไม่ให้แตกกลุ่มมาตลอดทางตั้งแต่สถานีรถไฟจนถึงที่นี่  บ่นไม่ทันไรแฮมสเตอร์น้อยที่เดี๋ยวนี้ตัวสูงเกือบเท่ายาบุแล้วก็กระโดดเกาะหลัง

 

"ยาบุคุงงงงงงงงงงงงง อยากกินสายไหม"

 

หลังจากนั้นอีกหนึ่งวินาที กระรอกน้อยแสนสวยก็วิ่งมาเกาะแขน

 

"ยาบุคุง ฉันอยากได้ปลาทองตรงนั้นน่ะ ไปช้อนปลาให้หน่อยสิ"

 

ยาบุถอนหายใจ ไม่ใช่เพราะเบื่อกับการต้องดูแลน้อง แต่เบื่อตัวเองที่เห็นสายตาอ้อนๆแบบนี้แล้วต้องยอมแพ้ทุกที

 

ส่วนสองมือของยูยะก็ต้องคอยรั้งคอเสื้อของคู่หูนากายามะที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใคร วิ่งไปทางโน้นทางนี้ ดูโน่นดูนี่จนเขาเวียนหัว นึกภาวนาให้เจอผู้ดูแลสัตว์ตัวจริงไวๆ เขาจะได้ปล่อยมือจากภาระจอมโวยวายคู่นี้เสียที

 

แต่คนเยอะแบบนี้จะเจอกันได้ยังไง..

 

ปีที่แล้ว ยูยะมาที่นี่กับครอบครัว ตอนนั้นคนไม่เยอะ ต้นไผ่ที่จัดไว้สำหรับผูกกระดาษขอพรหลากสีมีอยู่ตรงหน้าวัดเพียงจุดเดียว ยูยะถึงได้นัดเจอคืนอื่นๆที่นั่น แต่ปีนี้เขามองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไผ่ และโคมไฟหลากหลายรูปแบบ ดูเหมือนว่าพื้นที่จัดงานจะถูกขยายให้กว้างขึ้นจากบริเวณวัดเพื่อรองรับจำนวนคนมาเที่ยวที่มีมากขึ้น

 

"โทรฯหาพวกนั้นหน่อยซิ ยาบุ"

 

"มือไม่ว่างว่ะ"

 

ยูยะหันกลับไปมอง แล้วก็พบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะมือซ้ายของยาบุกำลังถือขนมสายไหมสีชมพูฟูฟ่องให้ริวทาโรที่เกาะหลังอยู่ มือขวาก็หิ้วถุงปลาทองที่เพิ่งไปตักมาได้ให้ยูริที่ยิ้มกว้าง

 

"ยาบุคุงเก่งจังเลย ช้อนแป๊บเดียวก็ได้ปลามาตั้งหลายตัวแน่ะ"

 

ยูริบอกพลางยิ้มกว้างขึ้นไปอีก พอมีความสุข รอยยิ้มก็เปล่งประกายเจิดจ้า  ทั้งยูริ ริวทาโร ยูโตะ และยามาดะ ทั้งสี่คนกำลังมีความสุขจนตอนนี้เหมือนว่าพวกเขากำลังถูกห้อมล้อมด้วยออร่าของดวงดาว มันทำให้ยูยะนึกถึงรอยยิ้มหวานๆของใครอีกคน..

 

"นั่นอิโนะจังนี่!"

 

ยูโตะร้อง ชี้มือไปที่ต้นไผ่กอใหญ่ที่อยู่ทางซ้าย ยามาดะยืดคอมองตาม

 

"ไหนล่ะ ไม่เห็นเลย"

 

"โน่นไง"

 

ที่ต้นไผ่ ยูยะมองเห็นมือขาวเรียวที่เขาจำได้ดีว่าเป็นมือของใคร กำลังเอื้อมจนสุดแขนเพื่อคว้าปลายของกิ่งไผ่  ยูยะลากคู่หูนากายะมะมุ่งหน้าไปทางนั้นทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ยูยะบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนที่เขาเดินไปถึงต้นไผ่ อาจเป็นเพราะแสงจากโคมไฟบริเวณนั้นที่ขับผิวขาวของร่างโปร่งในชุดยูกาตะสีกรมท่าและทุกอย่างให้กลายเป็นสีนวลสบายตา

 

เขายืนมองภาพนั้นนิ่งนานจนกระทั่งสังเกตเห็นร่างเล็กๆที่อยู่ข้างกันนั้นกำลังพยายามกระโดดเพื่อเอื้อมให้ถึงกิ่งไผ่ที่อยู่สูงกว่าตัวเองมาก จนเกือบจะล้มเสียเอง

 

"เลือกกิ่งอื่นก็ได้นี่ไดจัง"

 

ไดกิยิ้มโชว์ฟันขาวเป็นประกาย ยูยะคิดว่าถ้าปีหน้าได้มาเที่ยวเทศกาลทานาบาตะด้วยกันอีกเขาควรจะพกแว่นกันแดดมาด้วย

 

"ไม่เอาหรอก เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หมดสิว่าขออะไร"

 

"ไม่ใช่เพราะอยากให้กระดาษขอพรอยู่สูงๆ เผื่อว่าเทพเจ้าจะลัดคิวให้พรก่อนใครหรอกเหรอ?"

 

ยูยะหัวเราะหึๆ ในขณะที่ไดกิและเคย์ส่งค้อนวงใหญ่ให้เด็กหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหา เคย์โตะสวมชุดยูกาตะสีน้ำตาลอ่อน แต่ด้วยหน้าตาและรูปร่างสมส่วนก็ทำให้ดูโดดเด่นไม่แพ้ใคร  เคย์โตะเอื้อมมือขึ้นไปดึงกิ่งไผ่ที่อยู่เหลือขึ้นไปและยังไม่มีกระดาษขอพรผูกไว้ลงมาอย่างง่ายดาย

 

"จะขอพรทั้งทียังขี้โกงอีกนะไดจัง"

 

"พูดมากน่ะ จับกิ่งไผ่เอาไว้ดีๆล่ะ"

 

ไดกิผูกกระดาษขอพรเอาไว้กับกิ่งไผ่ ดึงกระดาษจากมือเคย์โตะมากผูกไว้ด้วยกัน ก่อนที่กิ่งไผ่จะถูกปล่อยให้กลับคืนสู่ที่เดิม  สองคนยิ้มให้กัน แบ่งบันออร่าสีชมพูให้คนรอบข้างอิจฉาเล่น

 

"ดึงกิ่งไผ่ให้อิโนะจังด้วยสิ"

 

"อิโนะจังเดินไปหาต้นไผ่ต้นอื่นแล้วล่ะ บอกว่าไม่อยากเป็นก้าง"

 

"งั้นทาคาคิคุงมายืนทำอะไรอยู่แถวนี้ล่ะ"

 

ไดกิหัวเราะคิก ยูยะทำคิ้วขมวด เห็นเงียบๆ เป็นสุภาพบุรษแบบนี้แต่ก็แอบปากร้ายใช่ย่อยนะเคย์โตะ

 

"ก็แค่จะบอกให้ช่วยดูแลลิงสองตัว ไม่สิ สามตัวข้างหลังนั่นให้หน่อยแน่ะ"

 

ไดกิมองข้ามไหล่ยูยะไป เห็นยูโตะ ยามะดะ และฮิคารุที่เพิ่งมาถึง กำลังวิ่งวุ่นหาของเล่นของกินกันอย่างสนุกสนาน แล้วหันมามองหน้าเคย์โตะที่ได้แต่ยักไหล่

 

"งานหนักนะเนี่ย"

 

 

 

 

 

 

ร่างบางยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะผูกกระดาษขอพรไว้กับกิ่งไผ่สูงๆ เลยเดินเลี่ยงเข้ามาบริเวณด้านหลังของวัด ที่นี่มีต้นไผ่ที่ถูกตัดออกไปบางส่วนเพื่อนำไปจัดไว้ที่ด้านหน้า กิ่งไผ่ที่เหลือจึงอยู่สูงเกินจะเอื้อมถึง ต่อให้เขากระโดดจนสุดแรงก็ตาม

 

"โอ๊ย!!"

 

ผลจากการกระโดดครั้งที่สองคือเสียหลักล้มกระแทกพื้น ร่างบางทำหน้านิ่วเพราะความเจ็บ

 

"ถ้ามันลำบากขนาดนี้แล้วจะทำทำไม"

 

ยูยะประคองร่างบางขึ้นยืน เขาเดินตามเคย์มาจนถึงที่นี่ ตอนแรกคิดว่าจะยืนดูอยู่เฉยๆ แต่เห็นความดื้อของเจ้าตัวแล้วก็อดใจไม่ได้ พอเห็นว่าร่างบางยืนได้มั่นคงแล้ว ก็กระโดดขึ้นคว้ากิ่งไผ่โน้มมันลงมาให้

 

"เอ้า รีบผูกซะ จะได้รีบไป เดี๋ยวคนอื่นๆจะเป็นห่วง"

 

ร่างบางเอ่ยขอบคุณแล้วหันหลังให้ยูยะ ท่าทางดูมีลับลมคมในจนยูยะต้องชะโงกหน้าข้ามไหล่บางเข้าไปดู

 

"โหย! นี่มันกระดาษขอพรหรืองูอนาคอนดากันแน่ ขออะไรมากมายขนาดนี้"

 

ยูยะหัวเราะก๊าก ที่จริงกระดาษขอพรในมือบางนั้นก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย เพียงแต่มันยาวกว่ากระดาษขอพรทั่วไปที่เขาเคยเห็น บนกระดาษใบนั้นยังมีตัวหนังสือเล็กๆที่อัดกันแน่นจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างเลย

 

เคย์ก้มหน้าผูกกระดาษขอพรกับกิ่งไผ่ต่อไป ซ่อนแก้มแดงๆเอาไว้ไม่ให้ยูยะเห็น จนกระทั่งยูยะชะโงกหน้าเข้ามาอีกหน

 

"ไหนดูซิขออะไร"

 

"ห้ามดูนะ!"

 

มือบางตีเพียะเข้าไปที่ท่อนแขนของคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แม้ไม่แรงนักแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายตกใจเผลอปล่อยมือ กิ่งไผ่ที่ถูกโน้มลงมาดีดกลับคืนสู่ที่เดิมอย่างรวดเร็ว ใบไผ่คมๆฟาดผ่านแก้มใสจนเกิดเป็นรอยแดงชัด

 

"อิโนะจัง!"

 

ยูยะร้องด้วยความตกใจ เหมือนตอนที่ร่างบางเป็นลมล้มจนเกือบตกบันได หรือตอนที่เวียนหัวจนยืนไม่อยู่  มือหนาเชยคางให้ใบหน้าน่ารักเงยขึ้น แต่แสงสลัวก็ทำให้มองไม่ชัดจนต้องก้มหน้าลงไปใกล้ ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดลงบนแก้มใสให้ใจสั่น

 

"ทาคาคิคุง ฉันไม่เป็นไรหรอกแผลนิดเดียว"

 

"ขอโทษทีนะ ฉันไม่ทันระวัง"

 

ร่างบางส่ายหน้า มองสายตาที่บ่งบอกว่ารู้สึกผิดของร่างสูงแล้วก็แอบรู้สึกดีที่ทาคาคิห่วงเขา ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเคย์ที่มองมาทำให้ยูยะรู้สึกเขินจนต้องหาเรื่องคุย

 

"เมื่อกี๊น่ะ..นายขออะไรเหรอ"

 

"ไม่ใช่เรื่องของนายซักหน่อย"

 

"ไม่เกี่ยวได้ไง เมื่อกี๊ฉันเห็นนะ กระดาษขอพรของนายมีชื่อฉันเขียนบนนั้นด้วย"

 

บรรยากาศอบอุ่นนุ่มนวลเมื่อครู่หายไปทันที ร่างบางทำตาโตใส่ยูยะก่อนจะก้าวถอย ปากก็ปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะรู้ทันเขาเสียแล้ว ยูยะยิ้มเจ้าเล่ห์

 

"ไม่บอกฉันดูเองก็ได้"

 

"ไม่ได้นะ!!!"

 

เคย์กอดร่างสูงที่เตรียมจะกระโดดไปคว้ากิ่งไผ่ไว้แน่น ยูยะเกือบล้มเสียหลักแต่ก็ยังตั้งตัวทัน ยามนี้ความอยากรู้กระเด็นหายไปจากความคิด เพราะกลิ่นหอมอ่อนๆและไออุ่นจากอ้อมแขนเรียวบางที่โอบรอบตัวเขา

 

อยากอยู่อย่างนี้ไปนานๆ...

 

 

 

 

 

 

 

เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ  ร่างบางบ่นกระปอดกระแปดเมื่อพบว่าเพื่อนๆหนีกลับบ้านไปหมดแล้ว

 

"ก็ช่วยไม่ได้นี่ ได้เที่ยวแค่นี้ก็ดีแล้วน่า"

 

"แต่ฉันอยากดูดอกไม้ไฟนี่"

 

"ถ้าอยู่ดูก็ไม่ได้กลับบ้านน่ะสิ พรุ่งนี้นายไม่มีเรียนรึไง"

 

ยูยะรู้สึกแปลกๆนิดๆ ปกติแล้วคนที่มักจะถูกเคี่ยวเข็ญเรื่องความรับผิดชอบมันควรจะเป็นเขามากกว่าเคย์ไม่ใช่หรือไง

 

"ไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน"

 

ยูยะออกเดินนำร่างบางที่เดินตามมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก พอมาถึงหน้าสถานีเคย์ก็ยังทำหน้างอเหมือนเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ขัดใจ

 

"นายไม่อยากดูดอกไม้ไฟมั่งเหรอทาคาคิคุง"

 

"ก็อยาก แต่พรุ่งนี้มีงาน"

 

คำตอบที่ได้รับทำเอาร่างบางหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม  ตั้งแต่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เขาแทบไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน ยิ่งได้เดบิวต์บวกกับการที่ต้องเรียนหนัก ทำให้เวลาว่างแทบจะไม่มี วันนี้ได้ออกมาเที่ยวทั้งทีก็เหมือนไม่ได้เที่ยวซะอีก

 

"น่าเบื่อชะมัด"

 

ยูยะมองหน้าตาที่กลายเป็นม้าหมากรุกแล้วก็ถอนใจ ถ้าหากคนข้างๆนี่เป็นน้องชายเขาล่ะก็ จะจับตีก้นเสียให้หายดื้อ แต่ที่เขาทำได้ตอนนี้...

 

"ที่ริมแม่น้ำใกล้ๆกับตึกที่ฉันอยู่ ก็มีจัดงานเทศกาลทานาบาตะเหมือนกันนะ แต่ว่าคนไปที่นั่นเยอะ ฉันก็เลยไม่ชวนพวกเราไป"

 

"แล้วยังไงล่ะ?"

 

ร่างบางถามกลับอย่างหงุดหงิด ขณะที่ซื้อตั๋วรถไฟ

 

"หลังเที่ยงคืนที่นั่นจะมีการจุดดอกไม้ไฟด้วยนะ"

 

"แล้วมาบอกฉันทำไม ไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว กว่าจะนั่งรถไฟ กว่าจะนั่งรถข้ามแม่น้ำไปอีก ไปถึงคงไม่เหลืออะไรให้ดูแล้วล่ะ"

 

"ที่ห้องฉันน่ะ มองเห็นวิวตรงแม่น้ำ"

 

ยูยะหยุดพูดนิดหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาจากคนข้างๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ใบหน้าหงิกงอเมื่อครู่เปล่งประกายขึ้นมาทันที มันทำให้คนมองนึกถึงดวงดาวสักดวงที่อยู่บนฟากฟ้า

 

"นายอยากไปมั๊ยล่ะ ไปถึงห้องก็คงทันตอนเริ่มพอดี"

 

แทบไม่ต้องรอฟังคำตอบ ยูยะยิ้มกว้างเมื่อมือเรียวคว้าแขนเขาพาเดินเข้าไปที่ชานชาลาอย่างรวดเร็ว  และเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้เขียนคำขอพรลงบนกระดาษเลยสักใบ

 

แต่ว่า..คืนนี้ เขาจะมีดวงดาวแสนสวยอยู่ข้างกาย  คงไม่ต้องขอพรอะไรอีกแล้วละมั้ง..

 

 

++++++++++++E+N+D+++++++++++++






 
 
Special Part++++++

 

 

 

"ทำไมนายยังกลับไม่ถึงบ้านอีกห๊ะ!!!!"

 

พี่ใหญ่ของวงแผดเสียงผ่านหูโทรศัพท์มาแบบดัง ชัด ใส แบบไม่ต้องกดปุ่มเร่งเสียง แล้วยังเผื่อแผ่เสียงมาให้อีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันได้ยินอีกต่างหาก

 

"ก็-ฉันอยากดูดอกไม้ไฟ"

 

"แล้วยังไง ดูดอกไม้ไฟเสร็จแล้วจะไปนอนที่ไหน รถก็ไม่มีกลับ อยากจะนอนข้างทางหรือไง?"

 

ยาบุยังคงตะเบ็งเสียงต่อไปอย่างไม่ลดละ  แค่คิดว่าคืนนี้น้องจะอยู่ยังไง ความโกรธก็พุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเขาที่ต้องมาคอยตามดูแลคนที่อายุห่างจากเขาแค่ไม่กี่ปี  ส่วนคนที่อยู่อีกฝั่ง ต้องยื่นโทรศัพท์ออกไปให้ห่างหู แก้ตัวกลับไปด้วยเสียงอ่อยๆเหมือนกลัวใครจะได้ยิน

 

"ไม่ใช่นะ ฉัน-ฉันจะไปดูดอกไม้ไฟที่ห้องทาคาคิคุงน่ะ"

 

"ห๊ะ!!! เจ้านั่นชวนนายไปที่ห้องเรอะ!"

 

"ก็ไม่เชิงหรอก ทาคาคิคุงแค่ถามว่าอยากจะมามั๊ย แล้วฉันก็ตอบตกลง.."

 

บังเกิดความเงียบอันน่ากลัวขึ้น เสียงยาบุเงียบหายไปจนเคย์ต้องกดโทรศัพท์มือถือแนบหู ยูยะเองก็แนบหูกับโทรศัพท์เครื่องเดียวกันด้วยความอยากรู้

 

"อิโนะจังงงงง ไปทำอะไรที่ห้องทาคาคิคุงน่ะ!!!"

 

กลายเป็นเสียงฮิคารุที่ตะโกนผ่านโทรศัพท์มาด้วยความตื่นเต้น  แต่หนนี้ยูยะคว้าโทรศัพท์จากมือบางแล้วกรอกเสียงลงไปแทน

 

"ก็บอกไปแล้วไงว่าจะไปดูดอกไม้ไฟน่ะ ถามอะไรนักหนา แค่นี้นะ ราตรีสวัสดิ์"

 

กดวางสายไปซะดื้อๆแล้วเร่งเดินนำไปตามถนนที่ผู้คนบางตาเพื่อให้ไปถึงห้องก่อนเวลาที่จะเริ่มจุดดอกไม้ไฟ แต่เคย์กลับเดินช้าลงด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

 

"อะไรอีกล่ะ"

 

"คือ..ฉันเพิ่งนึกได้ว่าฉันไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน"

 

พอคิดว่าจะได้ดูดอกไม้ไฟ เรื่องอื่นๆก็ถูกลืมไปหมด ไม่ได้นึกถึงเรื่องที่ต้องมานอนค้างที่ห้องของอีกฝ่ายเลยซักนิด แล้วตอนนี้..เขาก็มาตัวเปล่า

 

"งั้นก็ไปซื้อของจำเป็นที่ร้านสะดวกซื้อแถวนี้ก็แล้วกัน เสื้อผ้าก็ใช้ของฉัน ชุดนอนที่นายใส่คราวก่อนก็อยู่ในตู้น่ะ ฉันไม่ได้ใช้"

 

"เอ๋?"

 

ร่างบางร้องออกมาอย่างแปลกใจ แต่ที่ทำให้แปลกใจยิ่งกว่าคือเมื่อตอนที่มาถึงห้อง แล้วพบว่า ชุดนอนของยูยะที่เขาเคยสวมมันนั้น ถูกซักรีดและพับเก็บไว้อย่างดี ราวกับว่าเจ้าของตัวจริงไม่เคยได้หยิบมันมาใช้อีกเลย

 

นี่รังเกียจเขาขนาดนี้เลยหรือ?

 

"ก็..ฉันไม่ชอบใส่เสื้อผ้าซ้ำกับใคร เลยเก็บไว้เผื่อว่านายจะมาค้างอีก"

 

เพราะสีหน้าหมองๆของร่างบางในตอนแรกเลยทำให้ยูยะพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิด  คนฟังก็เลยทำตาโตขึ้นมาอย่างจับผิด แต่ก็เหมือนโชคช่วย เมื่อแสงหลากสีที่สว่างวาบเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ร่างบางทิ้งทุกสิ่ง วิ่งไปเกาะขอบหน้าต่างทันที

 

"ทำตื่นเต้นเป็นเด็กๆไปได้"

 

แม้จะยินดีที่เห็นร่างบางได้ยิ้มอย่างมีความสุข แต่ก็อดปากไม่ได้ตามความเคยชิน โชคดีที่ร่างบางนั้นอารมณ์ดีเกินกว่าจะโต้เถียงด้วย

 

"แล้วนายไม่ตื่นเต้นหรือไง"

 

"ไม่หรอก ที่ตรงนั้นน่ะ จัดงานอะไรก็ไม่รู้อยู่บ่อยๆ มีงานทีไรก็เห็นมีดอกไม้ไฟทุกทีแหละ  เพียงแต่วันนี้...ดอกไม้ไฟ..ดูสวยกว่าทุกวัน"

 

ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาเหมือนรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่า แต่คนข้างๆก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน

 

"ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว  วันนี้มีเทศกาลทานาบาตะนี่"

 

"เพราะมีนายอยู่ด้วยต่างหาก"

 

นิสัยปากตรงกับใจแก้ไม่เคยหาย นี่เขาเพ้ออะไรน้ำเน่าออกไปเนี่ย   พูดออกไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเองซักร้อยที จะได้ไม่ต้องร้อนรนแก้ตัวทีหลังจนลิ้นแทบพันกันแบบนี้

 

"ค-คือ ฉันหมายความว่า ดูดอกไม้ไฟคนเดียวมันเหงา ถ-ถ้ามีเพื่อนดูด้วยก็น่าจะดี คือ..เอ่อ  ฉัน..ฉันไปเอาน้ำมาให้ดีกว่า"

 

ยิ่งพูดก็ยิ่งลนลาน สุดท้ายแล้วก็ต้องหาข้ออ้างเพื่อหลบสายตาจากคนช่างสงสัย หากแต่ยังไปได้ไม่ถึงก้าว แรงกระตุกเบาๆที่แขนเสื้อก็ทำให้ยูยะต้องหันกลับมาพบกับบางสิ่ง..ที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว

 

ร่างบางตรงหน้ากำลังยิ้ม..ยิ้มทั้งตาและปาก น่าแปลกนักที่รอยยิ้มที่เขาเคยได้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน  ครั้งนี้กลับสะกดให้ยูยะรู้สึกว่า...อยากจะยอมให้ทุกอย่าง ไม่ว่าร่างบางตรงหน้านี้จะเอ่ยปากขออะไรก็ตาม..

 

"อยู่ดูด้วยกันจนจบ...นะ   ทาคาคิคุง"

 

 

 

 

 

 

ไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต

 

ช่วงเวลาที่เหมือนกับอยู่ในห้วงฝัน ลอยละล่องท่ามกลางปุยเมฆขาวทอประกายสีรุ้ง ห้อมล้อมด้วยบรรยากาศอ่อนหวาน ที่ทำให้เขาหลงละเมอจ้องมองแต่คนตรงหน้า แม้ว่าแสงสีวูบวาบจากฟากฟ้านั้นจะจางหายไปแล้วก็ตาม

 

อยากจะบ้าตาย...

 

รู้ตัวอีกที..คนที่ยืนข้างๆก็บอกราตรีสวัสดิ์แล้วก็ดันตัวเขาเข้าไปในห้องน้ำ  เมื่อออกจากห้องน้ำ ยูยะก็พบว่าร่างบางหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาตัวโปรดของเขาเสียแล้ว

 

"ทำไมไม่ไปนอนในห้องนะ"

 

ยูยะบ่น ก้าวเข้าไปหาเคย์ แต่พอได้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังหลับสนิทแล้ว เขากลับไม่อยากจะปลุกซะอย่างนั้น ยืนสับสนว่าจะปลุกหรือไม่ปลุกอยู่นาน สุดท้ายยูยะก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง   แล้วก็กลับออกมาอีกครั้งพร้อมยาแก้อักเสบในมือ

 

"อยากรู้จริงๆว่านายเขียนอะไรบนกระดาษใบนั้น"

 

อยู่ๆความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา ระหว่างที่เขาค่อยๆทาเนื้อครีมบางเบาลงบนแก้มใส  รอยที่ถูกใบไผ่คมๆฟาดเอานั้นแม้จะเป็นรอยเล็กๆแต่ตอนนี้มันก็เริ่มแดงจนเห็นชัด

 

"ความลับ"

 

ยูยะไถลตกจากโซฟาด้วยความตกใจ พอๆกับร่างบางที่เห็นยูยะออกอาการขนาดนั้น ทันทีที่ตะกายลุกจากพื้นได้เสียงโวยวายก็ตามมาทันที

 

"นายแกล้งหลับ!!"

 

"ฉันเปล่านะ ฉันเพิ่งตื่นเมื่อกี๊นี้เอง ตอนที่นายทายาให้"

 

ใช่ว่ายูยะจะเขินอยู่ฝ่ายเดียว ร่างบางก็เอาแต่ก้มหน้าพูดกับพื้น แต่อีกฝ่ายกลับเดินหนีกลับเข้าห้องไปซะเฉยๆ เคย์ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากจะเดินตามไปเท่านั้น

 

"นายโกรธฉันเหรอทาคาคิคุง"

 

"เปล่า"

 

ตอบแค่นั้นแล้วก็หันหลังให้ ล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่พูดอะไรอีกเลย

 

"ฉันบอกไม่ได้จริงๆว่าเขียนอะไร ถ้าบอกไปคำขอก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็จะไม่เป็นจริง แล้วเมื่อกี๊ฉันก็ไม่ได้แกล้งหลับด้วย"

 

พูดไม่ทันจบร่างบางก็ถูกดึงให้ลงมานอนบนเตียง  ยูยะพลิกตัวนอนหงาย พูดกับเพดานแทนที่จะหันหน้ามองคนที่นอนอยู่ข้างๆ

 

"ฉันไม่ได้โกรธ แค่แปลกใจที่นายใส่ใจฉันก็เท่านั้น"

 

"เอ๋?"

 

"ก็คำอธิษฐานนะ มันต้องเป็นเรื่องสำคัญนี่นะ ฉันก็เลยแปลกใจว่าทำไมมีชื่อฉันบนกระดาษใบนั้นด้วย ก็แค่นั้นแหละ"

 

ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาห่มให้ถึงหน้าอก ร่างบางพลิกตัวตะแคงพร้อมกับที่ยูยะพลิกตัวหันไปอีกทางเช่นกัน แสงไฟจากโคมข้างเตียงดับลง

 

ในความมืดนั้นร่างบางได้เอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ทั้งสองคนยิ้ม และหัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

"ทาคาคิคุง"

 

"หืมม์?"

 

"ฉันน่ะ .. ไม่เคยคิดว่านายไม่สำคัญหรอกนะ"

 

 
 
 
 
 
 
 
 
End+++++++++