Sunday 4 December 2011

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Seven


Title  -:-                (¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Seven



Writer  -:-             Nalikakeaw



Pairing   -:-           Okadai, Takayabu, Nakachii, Yamaryu, Hikainoo
























วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีหม่น เด็กหนุ่มร่างบางยืนมองท้องฟ้าอยู่กลางสนามหญ้าเขียวสด ประดับด้วยหินธรรมชาติและต้นไม้เล็กใหญ่ที่ถูกดัดเลี้ยงให้ผิดรูปร่าง



ความงามที่ฝืนธรรมชาติ..



ทุกครั้งที่รู้สึกกดดันจนทนไม่ไหว  เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ .. ยืนมองกิ่งก้านบิดเบี้ยว แล้วบอกตัวเองว่าต้องทนให้ได้  แล้วเขาจะเติบโตเป็นไม้ใหญ่ได้อย่างต้นไม้เหล่านี้



"ได้เวลาแล้วครับ"



เด็กหนุ่มหันหลังเดินตามคนขับรถ ตามทางเดินปูด้วยแผ่นหิน ลัดเลาะจากสวนด้านหลังจนถึงด้านหน้าตึก ... หรืออาจเรียกได้ว่า  คฤหาสน์..



มันเพิ่งถูกเปลี่ยนมือมาเป็นของนายฮอนดะเมื่อสองปีก่อน เวลาเดียวกับที่รับอุปการะเขาเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรม ...



ประตูรถสีดำสุดหรูถูกเปิดรอไว้แล้ว ผู้ที่นั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลังคนขับคือนายฮอนดะ เด็กหนุ่มเดินมาหยุดข้างๆรถอย่างลังเล แม้จะได้ชื่อว่าเป็นลูกบุญธรรม แต่เด็กหนุ่มก็ได้รับการปฏิบัติจากคนอื่นๆในบ้านไม่ต่างจากผู้อาศัย ยามที่ต้องตามนายฮอนดะไปงานสังสรรค์หรือไปทำธุระแทนตามคำสั่งเท่านั้นจึงจะมีรถไปรับส่ง



"ขึ้นมาสิ วันนี้ไม่ต้องไปนั่งข้างคนขับหรอก ฉันไม่อยากให้บ้านโน้นคิดว่าฉันรับนายมาเป็นเด็กรับใช้"



ประตูรถปิด รถคันใหญ่เล่นผ่านประตูรั้วสูงใหญ่บังคับด้วยระบบอัตโนมัติ พ้นจากรั้วกำแพงสีทึบหม่น มุ่งหน้าสูสถานที่แห่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มรู้ว่าเป็นที่ไหน ไปพบใคร และเพื่ออะไร  สิ่งเดียวที่เขาไม่รู้คือ.. ทำไม?



"เธอไม่จำเป็นต้องรู้! แค่ทำตามคำสั่งก็พอ"



เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรอีก เฝ้าเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่เคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ พลางครุ่นคิดถึงบางสิ่ง รอเวลาให้รถแล่นไปถึงจุดหมาย..



คำสั่ง...



ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ก็ต้องทำตามคำสั่งมาตลอด จะไปไหน ทำอะไร ก็ต้องมีคนคอยดูแล หรือที่จริงแล้ว.. คอยเฝ้าจับตามองมากกว่า



"ตั้งแต่วันนี้ไป เธอจะต้องทำตามที่ฉันสั่ง ทุกอย่าง!"



ทุกอย่าง..การปฏิบัติตัวในสังคม ที่นายฮอนดะมองว่าเป็นสังคมชั้นสูง  การพบปะผู้คน  มหาวิทยาลัยที่เลือกเรียน  การคบหาเพื่อน ทุกอย่างอยู่ในสายตาและอยู่ภายใต้คำสั่งของนายฮอนดะทั้งหมด



แม้กระทั่ง... การกลับไปหาพี่น้อง  บ้านที่เขาจากมา..



"เธอเลือกแล้วที่จะมาอยู่ที่นี่  เพราะฉะนั้นต้องทิ้งอดีตของตัวเองให้หมดห้ามกลับไปพบหรือพูดคุยกับคนที่บ้านนั้นอีกเป็นอันขาด  ถ้าไม่อยากทำหรือทำไม่ได้ ก็กลับไปซะ!!! กลับไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าของเธอ"



อยากกลับไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้ แต่สีหน้าของทุกคนที่ถูกเขาทิ้งเอาไว้ข้างหลังก็ทำให้ถอยกลับไม่ได้  ..



ที่นั่น...บ้านหลังนั้นไม่ต้อนรับเขาอีกแล้ว...



ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะทิ้งทุกอย่าง ... แล้วสั่งให้เขากลับไปอีกทำไม?








รถยนต์สีดำเลี้ยวเข้าสู่แนวรั้วกำแพงอีกแห่งหนึ่ง แต่ภายในรั้วสีขาวสะอาดตานี้ มีพื้นที่กว้างสีเขียวสด ต้นไม้สูงใหญ่ร่มครึ้ม ให้ความรู้สึกสดชื่น เย็น และสงบ..



และท่ามกลางแมกไม้สวนสวย มีเรือนญี่ปุ่นหลังไม่เล็กนักตั้งอยู่อย่างสง่างาม มันอาจเคยเป็นบ้านของตระกูลผู้มีอันจะกินแต่ตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นเรือนรับรอง สำหรับนักธุรกิจที่อยากจะเจรจาค้าขายแบบส่วนตัวหรือ และเรื่องอื่นๆที่เป็นความลับ ไม่อยากให้ล่วงรู้ไปถึงหูคู่แข่ง



ตัวเรือนด้านหลังถูกแยกออกจากกันเป็นสัดส่วน ปิดกั้นสายตาจากคนภายนอกด้วยรั้วต้นไม้สูงทึบ แต่จัดวางสลับกับไม้ประดับอื่นๆทำให้ดูแล้วไม่รู้สึกว่าอึดอัด เด็กหนุ่มเดินตามนายฮอนดะไปตาม ทางเดินปูด้วยแผ่นหินเย็นเฉียบ ไปยังเรือนที่ได้จองเอาไว้พลางนึกอิจฉาต้นไม้



ดีจริงนะ...ได้เติบโตอย่างอิสระ ไม่ต้องถูกบังคับให้เป็นต้นไม้รูปร่างบิดเบี้ยวๆตามใจใคร



"เชิญค่ะ"



พนักงานต้อนรับผายมือไปยังห้องด้านใน เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย รูปร่างดี กิริยามารยาทคงจะถูกฝึกฝนมาอย่างดีเสียด้วย เพราะเมื่อนายฮอนดะเดินผ่านไปโดยไม่เอ่ยคำขอบคุณ หรือแม้ถูกคนขับรถของนายฮอนดะมองอย่างหยามหมิ่น หญิงสาวในชุดกิโมโนตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีก็ยังยิ้มได้แบบไม่ฝืน เคย์จึงอดไม่ได้เป็นฝ่ายกล่าวขอบคุณแทน  ทำให้ถูกดุกลับมา



"คุณเคย์ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้พนักงานระดับนี้ก็ได้ครับ ยังไงซะเขาก็ทำงานแลกเงิน เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว"



"ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้จัดอยู่ในระดับเดียวกับคุณหรอก!!"



ยาโอโตเมะ ฮิคารุ ก้าวออกมาจากด้านในห้อง จ้องมองไปที่คนขับรถของนายฮอนดะด้วยสายตาดูแคลน



"ผมจะแนะนำให้รู้จัก นี่คุณยามาดะ ยูคาริ คุณพ่อของเธอเป็นเจ้าของที่นี่ เธอมาเรียนรู้งานเพื่อจะรับเป็นผู้สืบทอดกิจการต่อจากคุณพ่อของเธอ"



พอรู้ว่าใครเป็นใคร คนขับรถก็เปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อมรวดเร็วยิ่งกว่ากิ่งก่าเปลี่ยนสี แม้แต่นายฮอนดะเองก็ทักทายยูคาริอย่างสุภาพ ฮิคารุไม่อาจทนมองความเสแสร้งเช่นนี้ได้ จึงเดินกลับเข้าไปนั่งรออยู่ด้านใน  นายฮอนดะมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นฮิคารุสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ทับด้วยสูทสีเทาสีเดียวกับกางเกง นั่งคุกเข่าเรียบร้อยอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง



"แปลกใจหรือครับ ที่ผมรู้จักมารยาทดีกว่าคนขับรถของคุณ คุณพ่อน่ะเคี่ยวเข็ญผมมาตั้งแต่จำความได้ ถึงไม่อยากจะจำมันก็เข้าหัวอยู่ดีนั่นแหละ"



ฮิคารุเอ่ยเรียบๆ ทำให้คนขับรถที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องชะงักกึก นายฮอนดะจึงรีบหันไปดุคนของตัวเองแล้วไล่ให้ไปรออยู่ด้านนอก



"ที่จริง ผมก็ไม่อยากยุ่งเรื่องการอบรมคนของคนอื่นเท่าไหร่ แต่การให้คนแบบนี้มาคอยติดตาม จะทำให้เสียงานได้นะครับ"



"เอาไว้ผมจะจัดการเอง มาคุยเรื่องธุระของเราดีกว่า ที่นัดผมมาวันนี้มีอะไร?"



อันที่จริงแล้ว ฮิคารุนัดเคย์เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่แปลกใจนักถ้าหากว่าจะมีใครอื่นติดตามมาด้วย



"เคย์ยังไม่คุ้นชินกับสังคมแบบนี้เท่าไหร่ เกรงว่าจะทำอะไรเสียมารยาท"



"กับคู่หมั้นคงไม่ต้องมีมารยาทมากนักหรอกครับ ผมไม่คิดจะหมั้นกับหุ่นยนต์หรอก"



นายฮอนดะหน้าชื่น มองฮิคารุหยิบเอกสารจากแฟ้มข้างตัวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ แต่สีหน้าของนายฮอนดะเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นจำนวนตัวเลขและชื่อของผู้ที่อยู่ในเอกสารนั้น



"นี่ไม่ใช่จำนวนที่เราตกลงกันไว้ และกรรมสิทธิ์ก็จะต้องโอนเป็นชื่อผมต่างหาก"



"ครับ " ฮิคารุยิ้มอย่างใจเย็น "ผมเห็นว่าควรจะโอนให้เพียงครึ่งเดียวก่อน และในเมื่อเป็นของหมั้น ผมโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าตัวก็เหมาะสมดีนี่ครับ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะโอนให้ ..หลังจากที่แต่งงาน"



เสียงไอค่อกแค่กของร่างบางดังขึ้นทันทีที่ฮิคารุพูดจบ เคย์เกิดสำลักน้ำชาที่กำลังจะยกถ้วยขึ้นดื่ม จนถูกนายฮอนดะซึ่งหงุดหงิดเพราะเงื่อนไขไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ดุเอาว่าเสียมารยาท



"แล้วยาโอโตเมะซังว่ายังไงบ้าง"



"คุณพ่อเห็นชอบกับเรื่องนี้แล้ว แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก"



ฮิคารุลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนนายฮอนดะแทบจะรั้งไว้ไม่ทัน รับเอกสารจากมือฮิคารุไปให้เคย์เซ็นโดยไม่ปริปากสักคำ ก่อนจะขอตัวกลับ



"ผมยังมีเรื่องจะต้องคุยกับเคย์ เป็นการส่วนตัว"



เน้นประโยคหลังเป็นเชิงไล่ แต่นายฮอนดะก็ยังนั่งเฉย ดื่มน้ำชาสบายอารมณ์



"ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไรหรอกครับ แค่คิดว่าผู้ใหญ่อาจจะรับไม่ได้กับบางเรื่องของหนุ่มๆ ก็เท่านั้น แต่ถ้าอยากจะอยู่ฟังผมไม่ว่าอะไร"



ฮิคารุยิ้มเย็น เคย์รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด ถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างฮิคารุกับยูยะ คนตรงหน้านี่แหละที่เดาใจยากที่สุด และเขาก็ไม่อยากจะเดา



"ผมแค่อยากจะถามว่า ระหว่างผมกับเคย์ ใครจะเป็นฝ่ายรับ?"









"ไอ้เด็กบ้า!!! อยู่ๆมาพูดเรื่องแบบนี้จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกัน!!"



นายฮอนดะเอะอะอยู่ในรถมาตลอดทาง มือก็ปัดๆเช็ดๆสูทราคาแพงที่แต่งไปเต็มยศ แต่กลับต้องมาเปื้อนน้ำชาร้อนๆเสียเกือบครึ่งตัว เพราะทำถ้วยน้ำชาหลุดมือ  อย่าว่านายฮอนดะจะตกใจเลย เคย์เองก็พูดอะไรไม่ออก ตั้งแต่ตอนที่พูดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว



นี่คงไม่คิดจะแต่งงานกับฉันจริงๆใช่ไหม? ฮิคารุ



"ไอ้เด็กนั่น!! มันเหลี่ยมจัดนัก โอนหุ้นให้เป็นชื่อเคย์เพื่อเป็นของหมั้น อีกครึ่งที่เหลือจะโอนให้ตอนแต่งงาน นึกว่าฉันโง่หรือไง แบบนี้หุ้นที่ได้มาทั้งหมดก็จะกลายเป็นสินสมรส เท่ากับว่าฉันไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ!! เวรเอ๊ยยย!!!"



บางที เคย์ก็คิดว่านายฮอนดะคนนี้เป็นนักธุรกิจที่ไม่ได้เก่งกาจอะไร เพราะสร้างตนจากการยึดกิจการของคนอื่น จึงไม่ได้รู้จักเล่ห์เหลี่ยมในวงการธุรกิจเท่าที่ควร  ฮิคารุนั้นถึงจะไร้ประสบการณ์ในวงการนี้ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังฮิคารุนั้นล้วนแต่เป็นมือระดับพระกาฬ ผ่านสมรภูมิการช่วงชิงโอกาสและผลประโยชน์มานับครั้งไม่ถ้วน มีหรือจะยอมให้ฮิคารุเอาหุ้นของโรงแรมมาเป็นของหมั้นตามข้อเสนอของนายฮอนดะได้ง่ายๆ



หุ้นจำนวนที่จะทำให้นายฮอนดะเปลี่ยนสถานะจากผู้ถือหุ้นอันดับสาม ขึ้นมามีสิทธิ์ในการบริหารเป็นอันกับสองเท่ากับพ่อของฮิคารุ



แล้ววันนี้นายฮอนดะก็ถูกฮิคารุหักหน้าถึงสองครั้งสองหน เรื่องหุ้นก็หนึ่งล่ะ เรื่องที่ตกใจจนทำน้ำชาหกรดตัวเองนั่นก็อีก เขาก็ไม่นึกจริงๆว่าฮิคารุจะถามเรื่องนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย



นายนี่บ้าไม่เคยเปลี่ยนจริงๆนะ... ฮิคารุ







ฮิคารุนอนขำกลิ้งอยู่บนเสื่อทาทามิ หมดมาดคุณชายสุขุมเยือกเย็น อยู่ในเรือนรับรอง หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวด้วยความสะใจ



"ได้แกล้งคนนี่มันสะใจจริงๆโว้ย!!"



สีหน้าของนายฮอนดะตอนที่เขาถามเคย์ว่าใครจะเป็นฝ่ายรับนั่นน่ะ ตลกสุดๆ หน้าตาเหมือนลิงตกต้นไม้  เสียดายน่าจะเอากล้องวิดีโอติดมือมาด้วย จะได้ถ่ายไปอวดคนที่โรงแรม



แต่พอนึกถึงหน้าตาของอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆนายฮอนดะแล้ว ความรู้สึกอยากจะหัวเราะก็เหือดหายไป



ถึงจะพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่มองตาฉันอย่างจับผิดสงสัยแบบนั้นน่ะ นายอยากจะรู้ใช่ไหมว่าฉันจะแต่งกับนายจริงๆรึเปล่า..



นายคิดว่าคำตอบคืออะไรล่ะ..เคย์



เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลายสายคือยูยะที่โทรฯมาเรียกฮิคารุให้กลับไปช่วยงานที่โรงแรม



"คร๊าบบบบ!! ไปเดี๋ยวนี้แล้วไอ้คุณชาย!!"








เสียงฝีเท้าวิ่งตึ๊กตั๊กจากไปแล้ว ในเรือนรับรองมีเพียงความว่างเปล่าและเงียบสงัด...



"นี่นาย!! จะเบียดอะไรนักหนาเนี่ย ร้อน!!"



"ก็ที่มันแคบนี่หว่า อย่าบ่นมากได้มั๊ย"



"รู้งี้ฉันไม่มาหรอก หลงนึกว่าจะพามาเลี้ยงข้าว ที่ไหนได้ดันพามายัดอยู่ในตู้แคบๆแอบฟังความลับของชาวบ้าน"



ความลับเหรอ..



"แล้วเราควรจะทำยังไงกับความลับนี้ดีล่ะ ริวทาโร"



เด็กหนุ่มอีกคนเงียบไป แสงสลัวๆที่ลอดผ่านประตูกระดาษเข้ามาจางๆ ทั้งสองคนถอนหายใจพร้อมกัน  จะให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ได้อยู่หรอก หากว่าทั้งสองคนไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับฮิคารุและเคย์ล่ะก็



ยิ่งไปกว่านั้น.. ไดกิรู้เรื่องนี้หรือยัง ถ้าหากว่ารู้แล้ว.. จะรู้สึกอย่างไร  ที่เพื่อนรักและคนรักกลายเป็นคู่หมั้นกันไปแล้ว



"อย่าเพิ่งถามได้มั๊ย ออกไปจากตู้นี่ก่อนเถอะ ฉันหายใจไม่ออก จะตายอยู่แล้ว!!"



กรอบประตูไม้กรุด้วยกระดาษสาบางๆเลื่อนเปิดออก ทั้งสองคนล้มแผละออกมาพร้อมกัน ขายังพาดอยู่กับขอบประตู  นอนแผ่กางแขนกางขาอยู่บนเสื่อ ก่อนหน้านั้นทั้งยามาดะวิ่งหนีพี่สาวตัวเองมาหลบในเรือนนี้เพราะคิดว่าไม่มีใครใช้ แต่พอชะโงกหน้าออกไปดูอีกทีก็เห็นยูคาริเดินนำฮิคารุพามุ่งตรงมาทางนี้  ยามาดะก็ลากริวทาโรเข้าไปหลบในตู้เก็บของ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่หลบพี่สาวได้ แต่กลับต้องมารับรู้เรื่องนี้



แต่ยังไม่ทันสูดหายใจให้เต็มปอด เสียงเดินก็ดังแว่วมา ยามาดะลุกพรวดคนข้างๆเลยพลอยตกใจไปด้วย แต่ไม่มีเวลาได้ถามยามาดะก็ดึงอีกคนให้ตามไปด้วย ทั้งสองคนไปหลบอยู่หลังประตูอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเปิดกว้างออกไปสู่สวนเล็กๆเขียวขจี ที่ผู้ออกแบบให้สวนนี้สามารถบดบังผู้มาเยือนจากสายตาคนภายนอกได้อย่างแยบยล



"นายหลบพี่สาวตัวเองทำไมเนี่ย"



ริวทาโรถาม หลังจากที่ยามาดะ ยูคาริ เข้ามาสำรวจภายในห้องไม่พบใคร และเดินจากไปแล้ว



"ฉันเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันรวมญาติน่ะสิ ขืนถูกเจอโดนลากเข้าไปร่วมงานด้วยแน่ๆ"



"อ๋อ~ นายไม่ชอบงานแบบนี้สินะ"



ริวทาโรทำเสียงล้อเลียน ไม่อยากถูกเอาไปเปรียบเทียบกับพวกญาติๆที่เรียนเก่งกว่า หัวดีกว่าล่ะสิ



"นายชอบหรือไง พาลูกหลานมาอวดความสามารถ อวดถ้วยรางวัล เหมือนจูงหมามาเดินประกวด"



ริวทาโรส่ายหน้า พอได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของอีกคนแล้ว ความคิดที่อยากจะตะโกนดังๆให้ยูคาริรู้ว่าน้องชายอยู่ตรงนี้ก็หายไป  เพราะเขาเองก็ไม่ชอบ ถึงที่บ้านจะไม่ได้เข้มงวดเรื่องมารยาทหรือผลการเรียน แต่เวลาไปอยู่ร่วมกับญาติแล้วเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นส่วนเกินเหมือนกัน










แล้วสุดท้าย..ข้าวที่ยามาดะบอกว่าจะเลี้ยงก็คือ แฮมเบอร์เกอร์เนื้อกับน้ำอัดลม ณ บรรยากาศทางลาดสนามหญ้าริมแม่น้ำยามค่ำ เป็นที่เดียวที่ทางบ้านไม่สามารถตามตัว ยามาดะ เรียวสุเกะได้   ริวทาโรนั่งชันเข่าลงบนพื้นหญ้า วางศอกบนหัวเข่าเท้าคางนั่งมองแสงสีส้มอ่อนที่กำลังจางหายไปจากฟ้า คิดอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างที่รอยามาดะ



แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องไปร้านหรูๆ ไม่ต้องรักษามารยาท..



"แล้วทำไมฉันต้องหลบๆซ่อนๆตามหมอนั่นด้วยล่ะ!!"



บ้าเอ๊ย!! ไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นซักหน่อย!!  ริวทาโรคิดอย่างขุ่นเคือง ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า



"กลับไปกินข้าวที่บ้านก็ได้นี่นา เรื่องอะไรจะต้องรอกินพร้อมหมอนั่น กะอีแค่แฮมเบอร์เกอร์"



แต่ว่า..ที่หมอนั่นบอกว่าจะเลี้ยงก็เพราะเขาบ่นกรอกหูยามาดะบ่อยๆว่าชอบมาแย่งข้าวนี่นา ถ้ากลับมาไม่เจอคง...



"อยู่ก็ได้ นี่เพราะไม่อยากให้นายหาเรื่องมาทะเลาะกับฉันหรอกนะ"



"บ่นอะไรของนาย"



ยามาดะเดินเข้ามา ในมือถือโคล่าแก้วใหญ่สองแก้ว แต่ถุงกระดาษใบใหญ่ที่หอบมาในอ้อมแขน ทำให้ริวทาโรสงสัยว่าแฮมเบอร์เกอร์ที่ยามาดะซื้อมา น่าจะเป็นปริมาณสำหรับคนสิบคนแน่ๆ



"ซื้อเผื่อคนที่บ้านเหรอ?"



"พูดมาก!! จะกินมั๊ย!! อุตส่าห์ไปยืนรอตั้งนานกว่าจะได้"



รอนานเพราะซื้อเยอะมากกว่าคนเยอะละมั้ง ริวทาโรรับแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่งมาแกะด้วยความหิวจัด แต่คนข้างๆไวกว่า ยัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากไปแล้วครึ่งชิ้น พอริวทาโรกัดคำที่สองยามาดะก็เริ่มแกะแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นที่สองแล้วเหมือนกัน



"ชีวิตนี้ไม่คิดจะกินอย่างอื่นนอกจากเนื้อใช่มั๊ยเนี่ยนาย ระวังเถอะ! กินมากๆเดี๋ยวก็กลายเป็นวัว"



ไม่มีเสียงตอบ อาจเป็นเพราะมีเนื้ออยู่เต็มปากก็เป็นได้ แต่คนอย่างยามาดะมีหรือจะยอมแพ้ ไอ้ที่เคี้ยวๆจนเต็มแก้มก็กลืนลงไปแบบเร่งด่วนเพราะกลัวเถียงไม่ทัน สุดท้ายไม่ทันจะได้พูดซักแอะก็สำลักจนพูดไม่ออก ริวทาโรหัวเราะก๊ากด้วยความสะใจ แต่ยังมีน้ำใจยื่นแก้วโคล่าให้คนข้างๆ



"สมน้ำหน้า ตอนนี้ไม่เหมือนวัวแล้วแต่เหมือนหมาที่บ้านตอนกระดูกติดคอมากกว่า"



ยามาดะสำลักยิ่งกว่าเดิม ริวทาโรยิ่งได้ทีหัวเราะเสียงใส มื้อค่ำวันนี้อร่อยสุดๆไปเลยน๊า~










"ทำอารายยย กานนอยู่"



เช้าวันนี้ยูยะเดินละเมอเข้ามาในห้องครัว ไม่หรอก..ที่จริงยูยะตื่นแล้วแต่เดินหลับตาต่างหาก แต่ด้วยความสามารถอันหายากยิ่ง ขนาดว่าเดินหลับตายังเดินไปหายาบุที่กำลังเคาะกระทะก๊องแก๊งอยู่หน้าเตาได้ พอไปถึงก็เอาคางไปเกยแหมะอยู่ตรงไหล่ผอมๆแบบไม่สนใจว่าใครจะมอง



"หอม"



ฮิคารุอยากประเคนรางวัล "จอมเนียนดีเด่น" ให้เพื่อนซี้ด้วยลูกถีบหนักๆสักสองสามที  อยากรู้นัก ไอ้ที่ว่าหอมน่ะ ของกินในกระทะหรือคนกันแน่!! แต่ตัวฮิคารุเองก็มีสภาพไม่ต่างจากยูยะ เมื่อคืนมีงานเลี้ยงต้อนรับกลุ่มสัมนาจากต่างประเทศ แขกทุกคนดื่มกินกันเต็มที่ พอเมาแล้วก็ไม่อยากจะกลับห้อง พนักงานหลายคนก็ต้องอยู่รอส่งแขกจนคนสุดท้าย รวมทั้งตัวเขากับยูยะด้วย



เขาออกจะชื่นชมเพื่อนอยู่ไม่น้อยว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอนตั้งตีสาม ยูยะยังสามารถขุดตัวเองออกจากเตียงได้ตอนแปดโมงเช้า  ส่วนตัวเขา ถ้าไม่ได้ยาบุคอยสะกิดด้วยปลายเท้าทุกห้านาทีละก็ป่านนี้คงยังมุดอยู่ในกองผ้าห่มนั่นแหละ



"หิว"



"หิวก็ไปนั่งรอกับฮิคารุโน่น อย่ามายืนตรงนี้ เกะกะ"



ยูยะเบี่ยงตัวหลบตะหลิวร้อนๆในมือยาบุ มานั่งตรงโต๊ะเล็กๆในมุมหนึ่งของห้องครัว ที่แยกส่วนไว้สำหรับพนักงานโดยเฉพาะ



"ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้ด้วยวะ? แค่เรื่องอาหารเช้าปล่อยให้คนอื่นดูแลไปก็ได้"



"ไม่ได้ว่ะ กรุ๊ปนี้เป็นกรุ๊ปใหญ่มาก แขกจะทยอยเข้าตลอดเดือนนี้ทั้งเดือน ถ้าทำได้ดี ปีหน้าคนจัดงานก็อาจจะเลือกที่นี่อีก ฉันไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด"



ตั้งแต่ทำงาน ยูยะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ไม่เหมือนฮิคารุที่วันๆเอาแต่เที่ยวเล่นสนุกสนาน ทั้งยาบุและไดกิก็ด้วย ฮิคารุก็เลยไม่อยากยอมแพ้



อย่างน้อย...สักวันหนึ่งพ่อก็คงจะมองเขาด้วยสายตาชื่นชมบ้าง



"ยาบุ~ทำอะไรกิน ฉันหิวแล้ว"



ยาบุสวมผ้ากันเปื้อนสีขาว หันหลังละสายตาจากกระทะ เท้าสะเอว มองกลับมาด้วยอารมณ์ประมาณว่า ถ้าถามมากไปกว่านี้อาจจะมีกระทะแถมมาด้วย ยูยะเลยต้องหุบปากนั่งรอเงียบๆ



รอจนกระทั่งยาบุถือจานใบใหญ่ รองด้วยกระดาษไขสำหรับซับน้ำมันฉลุลายลูกไม้ มีของทอดหน้าตาแปลกๆวางจนพูนจาน



"แซนวิชจากงานเมื่อคืน เหลืออยู่เยอะ อุ่นไมโครเวฟแล้วไม่อร่อยเลยเอามาชุบไข่แล้วทอดดู ลองกินดูซิ"



"อร่อยดี ถ้าทำให้ดูน่ากินอีกหน่อย น่าจะเอามาจัดเป็นค็อกเทลได้นะ"



ยูยะออกความเห็นไปด้วยเคี้ยวไปด้วย  เดิมไปอีกมุมหนึ่งของครัว หยิบแซนด์วิชที่เหลือกับแม่พิมพ์อันเล็กๆไปทำอะไรซักอย่าง แล้วก็หันกลับมาอวดผลงานด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่งบานพอๆกับจานในมือ



ฮิคารุชะโงกหน้าเข้าไปดูแซนวิชรูปหัวใจที่กองอยู่เต็มจานแล้วเกิดอาการจุกพูดไม่ออก ไม่รู้อะไรดลใจให้ยูยะใช้แม่พิมพ์รูปนั้น แถมยังเอาไม้อันเล็กๆเสียบหัวใจทั้งสองดวงซ้อนกันไว้เป็นคู่ๆ เหมือนรูปหัวใจคู่มีลูกศรปัก จากนั้นก็หันไปมองหน้ายาบุที่กำลังอึ้ง  ฮิคารุอยากรู้ว่ายาบุเจอไม้นี้แล้วจะทำยังไง



เขาไม่เชื่อหรอกว่ายาบุจะไม่รู้ความในใจของยูยะ ขนาดพนักงานยังรู้กันทั้งโรงแรม แล้วทำไมยาบุถึงยังเฉยอยู่ได้อีก



"ก็เข้าท่าดีนะ เอาไปใช้ในวันวาเลนไทน์น่าจะดี"



ยาบุรับจานไปแล้วเทแซนวิชรูปหัวใจทั้งหมดลงไปในชามไข่ที่ตีเอาไว้ก่อนหน้า ก่อนจะหยิบลงไปทอดในน้ำมันที่กำลังร้อนได้ที่ ยูยะเองก็กลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบแซนด์วิชที่เหลือเข้าปากเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ



บรรยากาศในห้องครัวเล็กๆเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงตะหลิวกับกระทะ ฮิคารุเลยต้องหาเรื่องคุยเพื่อทำลายความรู้สึกอึดอัดแปลกๆนี่



"มีใครรู้บ้างว่าไดจังอยู่ไหน?"








คนที่ฮิคารุถามถึง กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาในห้องพักห้องหนึ่งภายในโรงแรมเดียวกัน และในห้องนั้นมีใครอีกคนที่กำลังนั่งมองใบหน้ายามหลับด้วยความรุ้สึกขุ่นใจนิดๆ



เรารึอุตส่าห์เป็นห่วง ไม่อยากให้นอนพักในห้องทึบๆแคบๆให้เสียสุขภาพ ทั้งเคี่ยวเข็ญบังคับกว่าจะยอมมานอนในห้องนี้ได้ กลับหนีไปนอนที่โซฟาแทนที่จะเป็นเตียงที่อุ่นสบายกว่า



ดื้อจริงๆ...



นี่ถ้าไม่ขู่ว่าจะไปอุ้มมา  ก็คงไม่ยอมมาใช่ไหม



เคย์โตะเลื่อนตัวลงจากเตียง มองร่างบางนอนเอามือซุกอยู่ระหว่างอก ตัวงอเพราะหนาวแรงลมจากเครื่องปรับอากาศ ผ้าห่มที่ให้ถูกเอามาห่มคืนให้ตัวเขาแล้วตัวเองก็ทนหนาวห่มผ้าห่มผืนบางๆ ทั้งๆเสื้อผ้าของตัวเองก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเลย



ร่างสูงสอดแขนเข้าไปใต้ร่างบาง สัมผัสได้ถึงผิวกายเย็นๆ แล้วยิ่งนึกโมโหในความดื้อดึงของอีกฝ่าย



"จะทำอะไรน่ะ"



ไดกิลืมตาตื่นทันที ตกใจที่อยู่ๆตัวเองก็ถูกอุ้ม พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ดิ้นสุดกำลัง แต่คนอุ้มไม่ใช่แค่ตัวสูงกว่าเขา แต่ยังแข็งแรงกว่ามากด้วย ถ้าเทียบกับกล้ามเนื้อของเคย์โตะที่เขาเห็นบ่อยๆตอนที่หมอนี่เดินออกจากห้องน้ำแล้วพันตัวด้วยผ้าเช้ดตัวผืนเดียวละก็  กล้ามที่ไดกิเคยภูมิใจหนักหนาก็กลายเป็นไม้จิ้มฟันไปเลย



"โอ๊ย!!"



ร่างบางร้องออกมา ไม่ใช่ว่าเจ็บ แต่ตกใจมากกว่าที่อยู่ๆก็ถูกโยนลงบนเตียง



"ทำไมถึงดื้อนัก! บอกให้มานอนบนเตียง ก็หนีไปนอนบนโซฟา ให้ห่มผ้าก็เอามาคืน อยากจะเป็นหวัดมากนักรึไง!"



น้ำเสียงเรียบๆแต่แฝงความจริงจังทำให้ไดกิไม่กล้าแม้แต่จะโวยวายที่ถูกแกล้ง มีแต่จะหลบตาอ้อมแอ้มตอบกลับไปว่ากลัวจะรบกวนเจ้าของห้องเท่านั้น



"นายเป็นแฟนฉันนะ! นอนเตียงเดียวกันจะต้องกลัวอะไร ฉันไม่ได้คิดจะปล้ำนายซักหน่อย"



ประโยคหลังทำคนฟังสะดุ้ง แล้วแก้มป่องๆก็เริ่มแดงเหมือนถูกแดดเผา ร่างสูงงงกับอาการเขินจนแทบจะกัดหมอนของแฟนตัวเองอยู่ชั่วครู่ แล้วก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา



"ฉันไม่คิด แต่นายคิดใช่ไหม? ลามกนี่นาไดจัง"



ไดกิทำตาเขียวใส่น้ำเสียงล้อเลียนของเคย์โตะ แต่แล้วก็ต้องตาเหลือกเพราะร่างสูงล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมๆกับที่รวบตัวร่างบางลงนอนเคียงข้างกันด้วย ไดกิหลับตาแน่น รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆรินรดพวงแก้ม



"ไดจัง"



น้ำเสียงทุ้ม ลุ่มลึกนั้นกระซิบอยู่ข้างหู หัวใจของไดกิเต้นระรัว ร่างบางสูดหายใจลึก พลางนึกในใจว่าจูบครั้งนี้จะยาวนานจนเขาขาดใจตายหรือเปล่า



"อาทิตย์หน้าไปเดทกันนะ"



หา? ไดกิร้องถามตัวเองอยู่ในความมืดอย่างไม่แน่ใจ เขายังคงหลับตาแน่นสนิท แต่ในเมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นอีกนอกจากคำถามเมื่อครู่ เขาจึงลืมตาขึ้นมองใบหน้าของร่างสูงที่นอนหนุนหมอนใบเดียวกัน และกอดเขาเอาไว้



เห็นแววขำขันที่ปิดไม่มิดในดวงตาเรียวคู่นั้นแล้วก็ทำให้โมโหตัวเองขึ้นมา  นี่คิดไปได้ไงว่าอีกฝ่ายจะจูบ? บ้าจริง!!!



"นายยังไม่ตอบฉันเลย"



"ไม่ว่าง!! ฉันไม่ได้รวยแบบนายนะจะได้มีเวลาไปเที่ยวเล่น"



"อาทิตย์หน้านายหยุดไม่ใช่เหรอ?"



ไดกิมองคนข้างๆด้วยความประหลาดใจ



"รู้ได้ไง?"



"ก็ดูจากโทรศัพท์ของนาย"




โทรศัพท์มือถือของไดกิใช่ว่าจะเป็นรุ่นใหม่นำสมัย หรือตามสมัยอย่างคนอื่นๆ ก็แค่โทรศัพท์มือถือธรรมดา ราคาไม่แพงมาก ที่ตัวเจ้าของโทรศัพท์เองก็ใช้ฟังก์ชั่นเสริมอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่มีออร์แกไนซ์เซอร์ ดังนั้นตารางการทำงานของไดกิ ทั้งเวลาเข้างาน เลิกงาน รวมทั้งวันหยุด อัดแน่นอยู่ในฟังก์ชั่นปฏิทิน




วูบหนึ่งไดกินึกโกรธที่อีกฝ่ายแอบดูเรื่องส่วนตัวของเขาโดยไม่บอกกล่าว  แต่พอนึกไปว่าในโทรศัพท์ ยังมีบางสิ่งที่เขายังอยากจะเก็บไว้ แต่ไม่อยากให้เคย์โตะได้เห็น




ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ ยังคงเป็นรูปไดกิ..กับใครอีกคนที่จากไปนานแล้ว  ไดกิไม่เคยคิดจะเปลี่ยน เหมือนหัวใจตัวเอง ที่ไม่เคยเปลี่ยน




ความโกรธจึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิด และเห็นใจร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆ  ถึงเคย์โตะจะทำเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไร แต่รอยยิ้มเมื่อครู่ก็เลือนหายไปแล้ว




"เคย์โตะ"




"ไม่เป็นไรนี่ ฉันเข้าใจว่ามันคงจะลืมยาก พวกนายคบกันมาตั้งนาน บอกแล้วนี่ว่ายังไงฉันก็รอได้"




ไดกิยังคงมีสีหน้าไม่สบายใจ  ร่างสูงจึงเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือจากข้างเตียง แขนอีกข้างสอดเข้าไปใต้แผ่นหลังรั้งร่างบางเข้ามาใกล้ๆ




"จะทำอะไรน่ะ?"




"ถ่ายรูปไง เอ้า! ยิ้มหน่อย"




ไดกิยิ้มใส่กล้องอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าอยู่ๆเคย์โตะนึกสนุกอะไรขึ้นมา




"เป็นแฟนกันแล้วก็ต้องมีรูปคู่บ้างสิ เก็บไว้ในนี้ ไว้วันไหนที่นายอยากจะเปลี่ยนรูป ก็ใช้รูปนี้ก็แล้วกัน"




ความรู้สึกเสียใจ ดีใจ และซาบซึ้งแล่นขึ้นมาจนร้อนผ่าวในอก มันสับสนปนเปจนไดกิไม่อาจจะเอ่ยคำใดออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นคำว่าขอโทษ หรือขอบคุณ  เคย์โตะยิ้มอ่อนโยนให้กับดวงตาใสๆรื้นน้ำของคนข้างกาย ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากสั่นระริก คลอเคลียแผ่วเบาอยู่ไม่นานก่อนจะถอนริมฝีปาก และยิ้มให้อีกครั้ง




ความรู้สึกเมื่อครู่ ทั้งน้ำตาหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความเขินอายจนแก้มแทบไหม้ ไดกิไม่อยากมองตาคู่นั้น ยิ่งมองหัวใจยิ่งเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้ เขารู้ว่าร่างสูงจะไม่พอใจกับจูบเพียงแค่นี้  เพราะแขนแข็งแรงนั้นกอดเขาแน่นขึ้น ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ชิดใกล้ลงมาอีกแล้ว




"ไหน-ไหนบอกว่าจะรอไงล่ะ"




"ก็จะรอ แต่ระหว่างที่รอ ก็ขอกำลังใจบ้าง คงไม่มากเกินไปใช่ไหม"




ฟังแล้วต่อให้ใจแข็งแค่ไหนก็ไม่อาจจะทนได้  ไดกิหลับตาลงอย่างสับสน เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่กอดเขาอยู่นี้ เป็นสุภาพบุรุษแสนดี หรือปีศาจเจ้าเล่ห์จอมขโมยจูบกันแน่









ยามาดะเคาะนิ้วกับโต๊ะเรียนอย่างกังวลใจ  ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง เพื่อนๆเกือบทั้งห้องยกขโยงกันลงไปที่โรงอาหาร เหลือเพียงเขา ยูริและยูโตะ...




กับบรรดาแฟนคลับสาวๆที่แสนจะหนวกหูวุ่นวายซะจนยามาดะอยากจะโทรฯเรียกไดกิมาจัดการซะให้รู้แล้วรู้รอด  เขาอยากคุยกับยูริ แต่ก็รู้ดีว่าถ้ายูโตะได้รู้เรื่องนี้ด้วยเรื่องต้องไปถึงหูไดกิแน่ๆ ถึงยูโตะไม่ใช่คนปากพล่อย แต่ก็ไม่เคยเก็บความลับได้นาน ยูริเองก็พอจะเดาออกว่ายามาดะคงมีธุระสำคัญ แต่ติดที่อุปสรรคร่างสูง คนข้างกายยูริเองนี่แหละ




"ยูริ~อ้ามมมม~"




ยูริจำเป็นต้องอ้าปากรับชิ้นปลาที่ยูโตะป้อนให้  ทั้งๆที่อายแสนอายกับสายตาของบรรดาแฟนคลับสาวๆของยามาดะ แต่คนอย่างยูโตะ ไม่เคยคิดถึงใครให้เปลืองเนื้อที่สมอง เพราะพื้นที่ในหัวและหัวใจของยูโตะมีแต่ยูริคนเดียว




เพราะรู้แบบนี้แหละ ยามาดะถึงไม่อาจเอ่ยปากได้สะดวก ขืนเดินเข้าไปบอกว่าเขามีธุระจะคุยกับยูริเป็นการส่วนตัว ยูโตะคงโวยวายว่าเขาคิดจะแย่งแฟนมัน ไม่พอมันคงก้านคอให้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลมาเป็นของแถม




"ยามาดะคุง ไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวแล้วล่ะ"




หิวก็ไปกินสิแม่คุณ!! ท้องติดกันหรือไงวะ!! ยามาดะคิดอย่างหงุดหงิด นี่ก็ตามอะไรกันนักหนา ลองเป็นแบบนี้เขาจะได้คุยกับยูริเมื่อไหร่กัน!!




"ยามาดะ!!!!"




ประตูห้องเปิดผางเสียงดังสนั่น  ทุกคนหันไปมองผู้มาเยือนเป็นตาเดียว ริวทาโรทำหน้าถมึงทึง เดินตึงๆมุ่งตรงไปยังโต๊ะของยามาดะ ก่อนจะกระชากคอเสื้อเจ้าของโต๊ะ




"ทำไมนายถึงไม่รับโทรศัพท์ฉันห๊า!!!!"




ยามาดะทำตาปริบๆ แม้แต่บรรดาแฟนคลับที่เคยยืนรายล้อมโต๊ะก็ถอยกรูดออกไปให้พ้นระยะมือของริวทาโร




"โทรศัพท์? อ๋อ ในชั่วโมงเรียนฉันปิดเสียงไว้น่ะ"




"งั้นเรอะ!!! ไม่ใช่เพราะมัวแต่คุยกับยายพวกนี้จนไม่สนใจจะรับสายหรือไง?"




"ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วจะทำไมล่ะ?"




ยามาดะถามหน้าซื่อๆ วิธีนี้ได้ผลทุกครั้งเวลาที่นึกอยากจะยั่วให้อีกฝ่ายโกรธเล่นๆ แต่วันนี้ยามาดะคงยังไม่รู้ตัวว่าชะตาอาจถึงฆาต เพราะตอนนี้ริวทาโรกำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว




"แล้วจะทำไม..จะทำไมงั้นเหรอ?"




ริวทาโรเข่นเขี้ยวถามเสียงเย็น กระชากยามาดะลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วลากร่างหนาที่ยังไม่รู้ว่าตัวทำอะไรผิดออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว











"ริวทาโร! ฉันไปทำอะไรให้นายโกรธเนี่ย!!!!"




กว่าจะรู้ตัวว่าถูกโกรธเข้าจริงๆ ยามาดะก็ถูกลากมาจนถึงสวนหลังโรงเรียน แล้วก็เกือบจะถูกหมัดเหวี่ยงใส่หน้าหล่อๆถึงสามครั้งสามหน ยังดีว่าไหวตัวทัน รวบข้อมือบางเอาไว้ได้




"อย่ามาตีหน้าซื่อ!! นายกล้าดียังไงถึงมาขู่ฉัน ตายซะ!!"




มือจะไม่เป็นอิสระ แต่ขายังว่าง แต่ลูกเตะของริวทาโรก็วืดผ่านอากาศอย่างน่าผิดหวัง ยามาดะกระโดดหลบไปได้ และหลังจากเล่นกระต่ายขาเดียวอยู่ไม่ถึงนาที ยามาดะก็รวบกอดร่างบางไว้ได้




"ปล่อยฉัน!!!"




"ปล่อยให้โง่สิ!! ฉันยังไม่อยากตายนี่หว่า"




ริวทาโรดิ้นจนหอบ แต่ก็ดิ้นไม่หลุด ยามาดะปล่อยให้ร่างบางดิ้นจนหมดแรงก่อน จึงค่อยๆถามหาต้นสายปลายเหตุ




"เหนื่อยแล้วล่ะสิ ทีนี้ก็บอกมาซิ ว่านายโกรธเรื่องอะไร"




ริวทาโรพยายามหันไปเล่นงานคนที่กอดอยู่ด้านหลัง แต่อ้อมแขนก็รัดแน่นขึ้นอีกจนต้องยอมแพ้เป็นหนที่สอง




"นายส่งเมลล์นั่นมาแกล้งฉันทำไม!?"




"เมลล์อะไร"




"อย่ามาโกหก วันนั้นที่นายบอกว่าจะเลี้ยงข้าว ที่แท้ก็หาเรื่องแกล้งฉันใช่มั๊ย?"




ยามาดะงุนงงกับความเกรี้ยวกราดของริวทาโร เขาเคยส่งเมลล์ไปแกล้งร่างบางให้โกรธเล่นๆวันละหนสองหนก็จริง แต่วันนี้เขาครุ่นคิดแต่เรื่องที่จะหาทางคุยกับยูริได้ยังไงจนลืมเรื่องนี้เสียสนิท




ริวทาโรโกรธจนอยากจะร้องไห้




"ก็ไม่รู้เรื่องจริงๆนี่โว้ย!! คนไม่ได้ทำจะให้ยอมรับได้ยังไง เอามาดูซิ!!"




โทรศัพท์มือถือแทบจะถูกปาใส่หน้ายามาดะทันทีที่ร่างบางหลุดจากอ้อมกอด ยามาดะรับมาเปิดข้อความดู แล้วสีหน้าขุ่นใจก็กลายเป็นตกใจจนอ้าปากค้าง




เมลล์ฉบับนั้นมีรูปของเขาที่กำลังสำลักแฮมเบอร์เกอร์กับริวทาโรที่ยื่นแก้วน้ำให้เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นสุข กับข้อความสั้นๆ




ยังอยากให้เรื่องนี้เป็นความลับอยู่มั๊ย?




"นายยังอยากจะแก้ตัวอะไรอีกมั๊ย"




"ฉัน-ฉันไม่รู้เรื่อง!!!"




"ยังจะปากแข็ง วันนั้นเราไปกันแค่สองคน ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะเป็นฝีมือใคร"





ริวทาโรถามเสียงเย็น แต่เป็นเสียงชวนสยองที่สุดเท่าที่ยามาดะเคยได้ยินมา ในวินาทีเฉียดตายนั้นเอง เสียงใสๆของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นเหมือนเป็นระฆังช่วยชีวิต





"พวกนายไปไหนกันสองคนเหรอ?"













ยูริตามเพื่อนสองคนมาถึงสวนหลังโรงเรียนด้วยความเป็นห่วง เขามาทันได้ยินทั้งคู่ทะเลาะกันตั้งแต่ต้น ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังแต่ก็ไม่รู้จะแทรกตรงไหน พอได้ยินว่ายามาดะเลี้ยงข้าวริวทาโรเท่านั้นก็ตาโต ยิ่งรู้ว่าไปกันสองคนไม่มีชินทาโรไปด้วยยิ่งสงสัย




"พวกนายไปเดทกันมาเหรอ?"




ริวทาโรตกใจกับคำถามตรงๆของยูริจนลืมความโกรธ หันไปสบตากับยามาดะราวกับจะขอความช่วยเหลือ แต่ยามาดะยังอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ริวทาโรเลยเรียกสติให้ด้วยการเหยียบเท้าร่างหนาแรงๆหนึ่งที




"โอ๊ย!! เอ๊ย!! คือไม่ใช่ เรื่องนี้แหละที่ฉันอยากจะคุยกับนาย มะ-ไม่ใช่เรื่องเดทนะ อย่าเข้าใจผิด เราแค่บังเอิญไปเจอกัน"




ยูริขมวดคิ้วเข้าหากัน มองทั้งคู่อย่างจับผิด ริวทาโรพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของยามาดะอย่างหนักแน่น ส่วนยามาดะก็ค่อยๆหย่อนโทรศัพท์มือถือของริวทาโรลงกระเป๋ากางเกงอย่างเงียบๆ  จากนั้นเรื่องราวที่ทั้งสองคนได้ไปแอบฟัง เอ๊ย!! รับรู้มาก็พรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว




"อะไรนะ? พี่ฮิคารุหมั้นกับเคย์จัง!!!"




ยูริร้องด้วยความตกใจ ทั้งริวทาโรทั้งยามาดะต้องคอยจุ๊ปากให้เงียบเป็นระยะๆ กว่าจะเล่าจบ คิ้วสวยๆของยูริก็พันกันยุ่งยิ่งกว่าตอนสอบแก้โจทย์คณิตศาสตร์




"ตอนแรกเราสองคนก็ไม่เชื่อเหมือนกันแหละ แต่มันก็เป็นไปแล้ว"




"แล้วเราจะทำยังไงกันดี"




"ไม่รู้สิ"




ตอบได้เท่านั้นจริงๆ สำหรับยูริตอนนี้ ให้ไปทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยสุดหินยังจะง่ายซะกว่า




"ยูริจ๋าาาาาาาาา!!!"




ยูโตะวิ่งเข้ามาด้วยสภาพสะบักสะบอม เพราะถูกยูริใช้ให้คอยกันบรรดาแฟนคลับของยามาดะไว้ในห้อง สงสัยว่าความสูงของยูโตะคงไม่ช่วยอะไรได้มากถึงได้วิ่งมานี่




"ยูริใจร้าย!! ปล่อยให้ฉันโดนสาวๆพวกนั้นรุมทึ้งได้ยังไง ดูสิหมดหล่อเลย~ ถ้าคืนนี้ไม่ได้กอดยูริต้องนอนฝันร้ายแน่ๆเลย"




ยามาดะกับริวทาโรทำท่าเหมือนอยากจะอ้วก แต่ยูริหันมาเห็นซะก่อนเลยเสมองไปทางอื่นเสีย




"เรื่องนี้น่ะเหรอที่ทำให้นายสองคนทะเลาะกันเมื่อกี๊"




"อื้อๆๆ ก็ยามาดะไม่มีโอกาสบอกนายซะที ก็เลยต้องหาเรื่องให้ยูริวิ่งตามมานี่ไง ใช่ไหม? ยามาดะ"




ยูริเอือมระอาเล็กๆกับอาการแถแต่ไม่เนียนของริวทาโร กับยามาดะที่พยักหน้ารัวๆสนับสนุนเหมือนกิ้งก่า




ยามะจัง ริวจัง แผนนายก็เข้าท่าดีหรอกนะ แต่นายสองคนคิดกันบ้างไหม ว่าทำแบบนี้  จะทำให้ชีวิตในรั้วโรงเรียนที่แสนจะเงียบสงบของพวกนายไม่สงบอีกต่อไป...




Tuesday 1 November 2011

[SF] In Your Eyes


Title  -:-                In Your Eyes



Writer  -:-             Nalikakeaw



Pairing   -:-           Taka x Inoo





ฟิคเรื่องนี้เป็นภาคต่อจากเรื่อง [SF] Sweet Dreams และ [SF] Night of the star~☆★~ ถ้าใครงงให้กลับไปอ่านสองตอนนี้ก่อนละกันค่า






เสียงตึงตังโครมครามที่เกิดขึ้นทุกเช้า เป็นเรื่องปกติที่ทีมงานหลายๆคนคุ้นตาและเคยชินไปเสียแล้ว ยิ่งเป็นทีมงานของกลุ่มนักร้องที่ได้ชื่อว่าเป็นกรุ๊ปที่มีจำนวนศิลปินมากที่สุดในค่าย แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็บอกได้เลยว่าวันนี้ใครจะเป็นผู้โชคดีมาสาย ถูกพี่ใหญ่ที่สุดในวงดุเอา




แต่วันนี้ .. ไม่ต้องฟังเสียงฝีเท้าก็รู้ว่าใคร เพราะเจ้าตัวตะโกนโหวกแหวกมาตั้งแต่ชั้นหนึ่งโน่นแน่ะ




"แย่แล้ว!! สายแล้ว!!! ถูกดุแน่เลย เคย์โตะวิ่งเร็วๆซี่!!!"




ต่อให้คนถูกเรียกไม่อยากวิ่ง ก็ต้องวิ่งอยู่ดีเพราะมือข้างหนึ่งของยูโตะกำแขนเสื้อเคย์โตะเอาไว้แน่น ลองไม่วิ่งสิ ยูโตะจะได้ทำให้ร่างหนาแปลงร่างเป็นไม้ถูพื้นช่วยคุณแม่บ้านแน่ๆ




พอถึงหน้าห้องซ้อม ยูโตะก็เปิดประตู แล้วเหวี่ยงตัวคนที่ลากมาด้วยให้เข้าไปเป็นด่านหน้าทันที!




และด้วยสกิลการทรงตัวบาลานซ์ดีเยี่ยม .. ด้วยน้ำหนักของกีตาร์ที่แบกอยู่ข้างหลัง  บวกกับแรงส่งของเพื่อนซี้ที่มีดีกรีเป็นมือกลองประจำวง  เจ้าชายเม่นสุดหล่อจากอังกฤษจึงเซถลากางแขนรับลมลงไปซบพื้นแทบเท้าของยาบุได้อย่างพอดิบพอดี




"มาสายนะเคย์โตะ"




"ขอโทษนะ"




"ช่างเถอะ ไปเตรียมตัวซ้อมสิ"




ยูโตะยื้นอึ้งอยู่ที่ประตู พอๆกับเคย์โตะที่ขมวดคิ้วน้อยๆด้วยความสงสัย พอยืนขึ้นได้มั่นคงเคย์โตะก็ถูกลากไปรวมกลุ่มกับเซเวนเมมเบอร์ทันที




"ทำไมอ่ะ? เกิดอะไรขึ้น? ปกติแล้วฉันต้องถูกบ่นเป็นชุดแล้วนี่นา? นี่ๆๆๆทุกคน ทำไมไม่ตอบฉันล่ะ?"




"ไม่รู้!! ดูเอาเองสิ"




ยูริตอบอย่างหงุดหงิด พลางมองไปทางยามาดะที่เอาแต่สนใจการ์ตูนในมือของไดกิจนแทบไม่เงยหน้ามองใคร ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสองคนนี้ แต่ปกติแล้วข้างๆไดกิจะมีใครอีกคนหนึ่งคอยถามโน่นถามนี่ จุ๊กจิ๊กกวนใจอยู่นี่นา




"ทำไมวันนี้ ไดจังอยู่กับยามะจังได้ล่ะ อิโนะจังไปไหน"




"ดูเอาสิ"




ทำไมวันนี้ไม่ค่อยมีคนตอบคำถามนะเนี่ย ยูโตะย่นจมูกใส่เคย์โตะ มองตามยาบุที่เดินไปกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆทาคาคิ ทอดสายตามองไปทางอีกมุมหนึ่งของห้อง ตรงนั้นริวทาโรนั่งทำการบ้านของตัวเองอยู่เงียบๆ และที่นั่งห่างออกไปอีกเล็กน้อย คือฮิคารุและอิโนะโอะ ที่ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน ถึงได้เอาแต่หัวเราะแล้วก็ยิ้มให้กันไม่หยุด




"ทำไมอิโนะจังถึงได้เอาหัวโขกกับฮิคารุคุงแบบนั้นล่ะ"




"ไปถามเอาเองสิ!!"




แง้~ ! วันนี้ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด










อิโนะจัง ... ทำไมนายทำอย่างนี้?..




ยาบุคิดอย่างปวดใจ ระหว่างที่มองดูเพื่อนกับแฟนทำตัวสนิทสนมจนเกินหน้า มีเรื่องอะไรต้องคุยกันหนักหนาหรือไงถึงได้ตัวติดกันทั้งวันแบบนี้ ส่วนแฟนอย่างเขากลับได้คุยกับฮิคารุแบบนับคำได้




"คิดมากไปมั๊ยนาย ฮิคารุกับอิโนะจังก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่"




"คิดอย่างนั้นเหรอ?"




ยาบุถามกลับน้ำเสียงเย็นชา ยูยะเลยทำเป็นสนใจข้าวของตัวเองต่อ ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิด แต่ก็คิดไม่ออกว่าทำไมวันนี้เคย์ถึงยอมปล่อยคู่ซี้อย่างไดกิให้ไปเดินช็อปปิ้งกับเคย์โตะได้ง่ายๆ แล้วมาเกาะแกะอยู่กับฮิคารุจนทำให้ยาบุเริ่มคิดมากแบบนี้




"เวลาเรามากินข้าวกัน ปกตินายนั่งตรงนี้รึเปล่า ทาคาคิ"




ยูยะคีบข้าวใส่ปากแทนการตอบคำถาม ถ้ามากินข้าวด้วยกันห้าคน ฮิคารุจะนั่งข้างยาบุ เคย์จะนั่งกับไดจัง ส่วนคนที่ต้องนั่งโดดเดี่ยวอยู่ตรงหัวโต๊ะนั้นมักจะเป็นยูยะเสมอ ถ้าไดกิไม่มาด้วยเขาถึงจะขยับไปนั่งข้างๆเคย์  แต่วันนี้เคย์กลับตัดหน้าแย่งที่ที่ว่างข้างๆฮิคารุไปแบบหน้าตาเฉย ทำให้ยาบุต้องมานั่งข้างๆยูยะแทน




จริงๆแล้วยาบุก็คงจะไม่คิดมาก ... ถ้าสองคนนั่นจะไม่ทำตัวติดกันแม้กระทั่งเวลาไปเข้าห้องน้ำ!




"ยาบุ ไม่หิวเหรอ?"




ฮิคารุถามตอนที่กลับมาจากห้องน้ำแล้วเห็นข้าวตรงหน้ายาบุยังเหลือเท่าเดิม ในขณะที่ของยูยะหมดไปกว่าครึ่งแล้ว




"ยังไม่หิวหรอก"




ฮิคารุทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ยังช้ากว่ามือขาวเรียวของคนข้างๆ ที่เอื้อมไปคว้าชามข้าวของยาบุมากินอย่างรวดเร็ว




"นายไม่กิน งั้นฉันขอละกัน"




"อืม แค่ข้าวน่ะให้ได้อยู่แล้วล่ะ อิโนะจัง"




ยูยะคิ้วกระตุกกับน้ำเสียงเย็นๆของยาบุ กับรอยยิ้มใสซื่อของตัวต้นเหตุร้าวฉาน ที่ดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย




แกล้งโง่รึเปล่าวะเนี่ย?...














"นี่ ฮิคารุ เราไปเดินดูของกันเถอะ"




ไม่รู้ทำไม ยูยะรู้สึกว่าเสียงใสๆ รอยยิ้มหวานๆ และท่าทางซื่อๆเกาะแขนอ้อนฮิคารุของเคย์ถึงได้เหมือนนางร้ายในละครเข้าไปทุกที  มันยิ่งทำให้คนข้างๆเขาใกล้จะแปลงร่างเป็นจอมมารขึ้นมาทุกทีแล้วเหมือนกัน




"ไม่ได้หรอกอิโนะจัง ฉันนัดกับยาบุไว้ว่าจะไปดูหนังกัน"




"งั้นฉันไปด้วยสิ ดูหนังเสร็จแล้วค่อยไปช็อปปิ้งก็ได้"




ยูยะอยากจะเอาหัวโขกอะไรสักอย่างแถวนี้ให้สลบคาที่ เผื่อว่าพระเจ้าจะเห็นใจ เลิกเขียนบทเด็กดื้อตาใสให้เคย์เล่นเสียที ตอนนี้ยูยะอยากจะกลับบ้านไปนอน ไม่อยากเอาตัวไปกั้นกลางระหว่างระเบิดเวลาอีกแล้ว ถ้าเคย์ไปด้วย รับรองว่ายาบุต้องลากยูยะไปด้วยแน่ๆ




"นี่~ ไปได้ใช่มั๊ยล่ะ เนอะ ยาบุคุง"




พอฮิคารุทำท่าอึดอัดใจ ก็หันไปคาดคั้นเอาคำตอบกับยาบุด้วยดวงตาใสแบ๊ว น่ารัก แต่ยูยะมองตายาบุแล้วรู้สึกว่ายาบุคงนึกอยากจะบีบคอคนตรงหน้านี้มากกว่า




"ไม่ได้!!!"




"อะไรกันน่ะ ฉันไม่ได้ถามทาคาคิคุงนะ ฉัน-"




"สองคนนี้เขาจะไปเดทกัน นายจะไปเป็นก้างขวางคอทำซากอะไรห๊ะ!! อิโนะจัง!!"




"แหม~ ก็ฉันอยากได้คนไปเป็นเพื่อนซื้อของนี่นา"




แล้วตอนที่ไดกิชวนไปช็อปปิ้ง ใครกันที่บอกว่าอยากจะกลับบ้านไปอ่านหนังสือ!? ให้ตายเถอะ!! นี่เขาต้องทำตัวเป็นเพื่อนพระเอกแสนดี ดึงก้างชิ้นโตนี่ออกจากคอเพื่อนใช่ไหม?




"ฉันจะไปเป็นเพื่อนนายก็แล้วกัน ไปกันเถอะ!"




ยูยะไม่รอฟังคำตอบว่าร่างบางจะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ แต่เขาคว้ามือเรียวของเคย์ไว้แล้วพาเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ทิ้งฮิคารุไว้กับยาบุที่กำลังเกิดความรู้สึกสงสัยกับอะไรบางอย่างแทนที่ความหงุดหงิดใจเมื่อครู่




ทำไมถึงยอมให้ทาคาคิพาไปง่ายๆอย่างนั้นล่ะอิโนะจัง  แล้วรอยยิ้มแบบนั้นน่ะ  นายจะให้ฉันเข้าใจว่ายังไง?  จุดประสงค์ที่แท้จริงของนาย .. ไม่ใช่ฮิคารุ  แต่เป็นคนที่จูงมือนายอยู่อย่างนั้นใช่ไหม?










"นายอยากซื้ออะไรเหรออิโนะจัง"




"ไม่รู้สิ"




ยูยะหันไปจ้องหน้าคนที่ลอยหน้าลอยตาตอบว่าไม่รู้ แล้วนึกอยากกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้  คนอะไร! เอาใจยากดีแท้




"ก็อยากมาเดิน แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี"




คนฟังส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด เดินจ้ำเอาๆจนร่างบางเกือบวิ่งตามไม่ทัน




"ทาคาคิคุง นายโกรธเหรอ?"




ยูยะอยากจะตอกกลับแรงๆให้สมกับที่ร่างบางทำให้เขาต้องเสียเวลามาเดินเตร่อยู่แถวนี้ แทนที่จะได้กลับบ้านไปนอนอย่างใจอยาก แต่พอหันมาเห็นแววตาหงอยๆแล้วก็เปลี่ยนใจ




"ถ้านายไม่ซื้ออะไร ฉันจะกลับล่ะ"




ยูยะเดินหนีมาตั้งแต่ยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ เขาไม่อยากมองสบตาคู่นั้นให้ใจอ่อน ไม่รู้ว่าพักนี้ตัวเองเป็นบ้าอะไร มองตาคู่นั้นของเคย์แล้วรู้สึกแปลกจนไม่อยากจะอยู่ใกล้




แต่พอเดินห่างมาได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็อดเป็นห่วงไม่ได้  ทิ้งไว้แบบนั้นจะเป็นไรไหมนะ ..




ลังเลอยู่ชั่วอึดใจ  และแล้วความเหงาในดวงตาคู่นั้นก็ทำให้ร่างหนาต้องหันหลังกลับ เดินไปยังที่ที่เขาเพิ่งเดินจากมา  ตรงนั้น ... ร่างบางยังยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองอะไรสักอย่างบนฟ้า  แต่สิ่งที่ทำให้ยูยะใจหาย คือหยดน้ำเล็กๆที่หล่นร่วงจากดวงตาคู่นั้น




ร่างสูงก้าวเร็วๆเข้าไปหา ยกมืออุ่นขึ้นประคองแก้มนิ่ม เช็ดน้ำตาให้ด้วยความห่วงใย




เหงาจริงๆสินะ..




"อิโนะจัง ฉัน-"




"อยากดูจังเลย"




ยูยะขมวดคิ้ว ความรู้สึกผิดที่ปั่นป่วนในอกจนทำให้พูดอะไรไม่ออกชั่วครู่หายวับไปทันที




"นายพูดว่าไงนะ?"




"ก็หนังเรื่องนั้นไง"




ร่างหนามองตามสายตาของร่างบางไปยังตึกสูงที่ไม่ไกลออกไปนัก บนตึกนั้นมีบิ๊กสกรีนที่กำลังฉายภาพยนต์ดรามาน้ำตาท่วมจอที่ทำรายได้ถล่มทลายไปเมื่อสามเดือนก่อน




"ตอนที่เข้าฉายฉันไม่ว่างเลยไม่ได้ไปดู เดี๋ยวเราซื้อดีวีดีไปดูด้วยกันที่บ้านนะ ทาคาคิคุง"




ร่างบางพูดเองเออเองเสร็จสรรพ ก่อนจะลากแขนร่างหนาที่ยังยืนงงอยู่ให้ออกเดินไปด้วยกัน













คราวนี้เขาหนีมาจริงๆ ..




ยูยะยอมตามร่างบางไปที่ร้านขายดีวีดี แล้วก็ชิ่งออกมาตอนที่อีกฝ่ายกำลังเพลินกับการเลือกดูหนัง แต่ก็แอบซุ่มรออยู่หน้าร้าน รอจนร่างบางเดินตามหาเขาจนถอดใจ ยอมขึ้นรถไฟกลับบ้านไป ตัวเองถึงได้กลับห้องบ้าง




แต่ยูยะก็แทบจะช็อคตาย เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วพบว่าคนที่เขาเพิ่งจะคิดว่าหนีได้พ้น มานั่งดูหนังสบายใจอยู่บนโซฟาตัวโปรด  ในห้องของเขาเอง!!!




"อ-อิโนะจัง น-นายมาได้ไง นายเข้าห้องฉันได้ยังไง!"




"ก็นั่งรถไฟมาน่ะสิถามได้ ที่เข้ามาในห้องได้ก็.. นี่ไง"




มือขาวๆหยิบพวงกุญแจที่วางบนโต๊ะขึ้นมาเขย่ากรุ๊งกริ๊ง กุญแจสำรองห้องของยูยะ ที่เขาเคยให้ไปด้วยความไม่เต็มใจเมื่อก่อนหน้านี้




นี่ยังไม่ได้คืนอีกเรอะ!!!




"ฉันอยากดูหนังเร็วๆ ห้องนายใกล้กว่าก็เลยมาที่นี่ มาดูด้วยกันนะทาคาคิคุง"




"ไม่ล่ะ! ฉันว่านายกลับบ้านไปดีกว่า ฉันเหนื่อยแล้วอยากจะนอน!"




ยูยะเหวี่ยงกระเป๋าลงไปบนโซฟาอย่างไม่พอใจ ยิ่งเห็นว่าร่างบางยังไม่ยอมขยับตัวไปไหนเขาก็ยิ่งหงุดหงิด




"วันนี้นายเป็นอะไรไปอิโนะจัง ทำไมถึงได้คอยหาเรื่องกวนใจคนอื่นอยู่เรื่อย ว่างนักหรือไง!?"




บางครั้งคนเราก็พูดอะไรออกไปโดยไม่ได้คิดคิดถึงหัวใจคนอื่น ยูยะเองก็เป็นคนแบบนั้น ถึงได้พูดออกไปโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของคนฟังเลยแม้แต่น้อย ว่ารอยยิ้มหวานๆค่อยๆจืดจางลงไปทุกที




จนกระทั่งร่างบางลุกขึ้นจากโซฟาอย่างเงียบๆ เก็บของใส่กระเป๋า เดินผ่านยูยะไปจนถึงประตูห้อง หยิบรองเท้ามาใส่ โดยที่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว




ประโยคแรกที่ร่างบางเอ่ยขึ้นมา หลังจากความเงียบงันอันแสนยาวนาน แม้ว่าที่จริงแล้วเข็มของนาฬิกายังไม่ทันกระดิกไปถึงไหนก็ตาม คือสิ่งที่ยูยะไม่ได้คาดคิดและก็ทำให้ร่างหนาตกใจจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ




"นายเกลียดฉันเหรอ? ทาคาคิคุง"




กว่ายูยะจะคิดได้ว่าควรจะรั้งเอาไว้ ร่างบางก็เกือบจะพ้นประตูห้องไปแล้ว แต่พอประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ร่างบางก็ทำเหมือนไม่อยากจะมองหน้าเขาอีกต่อไป ถึงจะยอมให้รั้งไว้ แต่ก็หันหลังให้ไม่ยอมมองหน้ากัน




"ฉันอยู่ก็กวนใจนาย แล้วทำไมไม่ยอมให้ฉันกลับไปล่ะ"




โดนประชดเข้าอีกดอก ยูยะถึงกับจุก แต่ก็ยังจับมือบางเอาไว้ พยายามรั้งให้ร่างบางหันมาสบตากันตรงๆแต่ก็ไม่สำเร็จ ยูยะก็ไม่รู้จะทำยังไง คนที่ปากเคยตรงกับหัวใจมากที่สุดอย่างเขา ในเวลาอย่างนี้กลับปากหนักเสียจนน่าโมโหตัวเอง




แค่คำว่าขอโทษคำเดียว..





"ฉันไม่ได้เกลียดนาย"




"นายโกหก"




พอร่างบางหันกลับมา ยูยะก็เสมองไปทางอื่น ทำให้เคย์จ้องอย่างจับผิด ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ยูยะก็ยิ่งถอยหนี




"เห็นมั๊ยล่ะ นายไม่ยอมมองตาฉัน แสดงว่าโกหก!!"




"เปล่านี่"




ยอมโดนด่าว่าแถหน้าด้านๆเสียยังจะดีกว่าถูกบังคับจ้องตาระยะประชิดแบบนี้  เพียงแค่มือเรียวคู่นั้นยกขึ้นประคองแก้มเขา บังคับให้มองตา จากที่ถอยๆจนพาตัวเองกลับเข้ามาอยู่ในห้องนั่งเล่น ร่างหนากลับยืนนิ่งราวกับต้องมนต์ในดวงตาคู่นั้น มือที่พยายามปัดป้อง ก็วางทาบอยู่บนมือเรียวเหมือนจะหมดแรงไปซะเฉยๆ




"ทาคาคิคุง มองตาฉันแล้วพูดอีกครั้งสิ ว่าไม่ได้เกลียด"




"อิโนะจัง ฉันไม่ได้เกลียดนาย"




พอถึงเวลาจะพูด ก็พูดออกมาง่ายๆ ถึงตอนที่พูดสติจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเพราะถูกตาคู่สวยจ้องเอาก็ตาม และหลังจากที่พูดออกไปทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว มือเรียวที่แนบแก้มของยูยะถูกดึงกลับไปแล้ว สายตาที่จิกจ้องคาดคั้นก็ฉายประกายอีกครั้ง ยูยะมองตาคู่นั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด




มันดู...มีอะไรบางอย่างแอบแฝง




แต่ร่างบางคงไม่อยากเล่นเกมจ้องตากับเขา เพราะตอนนี้เจ้าตัวเดินกลับไปนั่งบนโซฟา หยิบรีโมทขึ้นมากดอีกครั้ง หันมาชวนเจ้าของห้องตัวจริงด้วยรอยยิ้มหวานสุดหัวใจ




"มาดูหนังด้วยกันนะ ทาคาคิคุง~"










ดูหนัง .. แต่ก็เหมือนไม่ได้ดู ยูยะเอาแต่เหลียวไปมองคนข้างๆแทนที่จะดูจอโทรทัศน์ แต่พอร่างบางหันมามองก็ทำเป็นสนใจหนังแทน แม้ความจริงทั้งภาพและเสียงไม่ได้ทะลุเข้าไปในสมองเลยก็ตาม




"สงสัยอะไรเหรอ? ทาคาคิคุง"




"เปล่า"




"โกหกไม่ดีเลยน๊า~"




ยูยะหันกลับไปจ้องอย่างเอาเรื่อง แต่พอดวงตาสวยๆคู่นั้นมองกลับมา ยูยะก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง เลยถูกร่างบางแซวเสียนี่




"นั่นไง~ ไม่ยอมมองตากันแสดงว่าโกหก บอกมาตรงๆดีกว่า อยากรู้เรื่องวันนี้ใช่มั๊ยล่ะ ถ้านายถามฉันก็จะตอบนายตรงๆนะ"




"เรื่องนั้นไม่ต้องถามฉันก็รู้ นายจงใจแกล้งยาบุ! ไม่ต้องมามองแบบนั้น ฉันไม่ได้โง่สักหน่อย"




อิโนะโอะ เคย์ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยที่ถูกรู้ทัน และไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่สักนิดด้วย มีแต่ความรู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่า ตัวเองไม่ได้ถูกเมินอย่างที่กังวลอยู่เป็นเดือนๆ




ที่รู้...เป็นเพราะว่ามองฉันอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ




"ไม่อยากรู้ต่อเหรอ ว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น"




ไม่ถามเปล่าร่างบางเขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆ ยูยะส่ายหัวดิก จะมีเหตุผลอะไรมากไปกว่าเจ้าตัวนึกอยากแกล้งคนแก้เซ็ง แล้วคนที่แกล้งได้สนุกที่สุดก็คือยาบุนี่แหละ หมอนั่นน่ะ ถ้าเป็นเรื่องของฮิคารุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหนก็ถูกคนอื่นเอามาปั่นหัวได้เสมอ




"ไม่ใช่หรอก เพราะนายต่างหากล่ะ ทาคาคิคุง"




"เห?"




"ใช่ เพราะนายไม่คุยกับฉัน ไม่มองหน้าฉัน  พอจะคุยด้วยก็เดินหนี เป็นแบบนี้มาเป็นเดือนๆแล้ว ฉันก็เลยไปกวนยาบุไงล่ะ เพราะรู้ว่ายังไงซะ นายก็ต้องยื่นมือมาช่วยอยู่แล้ว"




คนพูดยิ้มระรื่น แต่คนฟังมึนสุดขีด อะไรวะ!! เป็นเพื่อนพระเอกอยู่ดีๆ ไหงกลายเป็นตัวก่อปัญหาไปได้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับได้รู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าจังเบ้อเร่อ ( อีกแล้ว )




ปัญหาหนักคือจะตะกายออกจากหลุมกับดักได้ยังไง




"พูดอะไรของนาย ไม่เกี่ยวกับฉันเลยนะ"




"เกี่ยวสิ ถ้านายไม่หนีหน้าฉันก็คงไม่ต้องหาเรื่องไปแกล้งยาบุหรอก เวลาหมอนั่นโกรธน่ากลัวจะตาย "




"ฉันเปล่า ไม่ได้หลบหน้า ไม่ได้หนีไปไหนทั้งนั้นแหละ"




ต่อให้เสียงดังหนักแน่นกว่านี้อีกสิบเท่า คนที่ถือไพ่เหนือกว่าก็ยังคงเป็นพรานคนสวยที่ยูยะคอยแต่จะหลบตาอยู่เรื่อย อาจเป็นเพราะสมองที่สั่งการ หรือสัญชาตญาณ ที่บอกให้รู้ว่า ถ้าเผลอสบตาเมื่อไหร่ จะต้องพูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นแน่




"งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันโทรฯหาฮิคารุดีกว่า ป่านนี้จะทำอะไรอยู่น๊า~ น่าจะดูหนังจบแล้ว คงจะไปกินข้าวกันต่อ อ๊ะ!"




ร่างบางขยับหนีมือที่ยื่นเข้ามาหา เอาโทรศัพท์ซ่อนไว้ข้างหลังพลางยิ้มยั่ว ยูยะเริ่มลมออกหู ฉวยโอกาสตอนที่ร่างบางเผลอ อ้อมแขนไปข้างหลัง ยื้อยุดกันอยู่สักพักก็คว้าโทรศัพท์ออกมาได้ แต่ก่อนจะได้ยิ้มอย่างมีชัย สองแขนของยูยะก็ถูกมือเรียวคว้าหมับ




ยูยะถึงได้รู้ตัวว่าหลงกลคนเจ้าเล่ห์เข้าอีกแล้ว ระยะห่างระหว่างกันตอนนี้น้อยยิ่งกว่าคืบ ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน และดวงตาคู่นั้น ก็สะกดยูยะเอาไว้ในที่สุด  ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มหวาน...




"จับได้แล้วนะ .. ทาคาคิคุง"










"ทีนี้จะบอกได้รึยัง ว่าทำไมต้องคอยหลบหน้ากันด้วย"




"ก-ก็ เป็นเพราะแบบนี้ไง"




แบบนี้... แบบตอนนี้ที่โดนจ้องตา จนทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด เหมือนกับทุกครั้ง ยูยะไม่รู้จริงๆว่าตัวเองเป็นอะไรไป รู้แต่ว่าเวลาที่เคย์ยิ้ม หรือหัวเราะแล้วบังเอิญได้สบตากัน เขาจะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ต้องคอยอยู่ห่างๆเอาไว้ จะได้ไม่แสดงอาการให้คนอื่นมาล้อเอาได้




พักนี้ยิ่งถูกเซเวนเมมเบอร์คอยจับผิดอยู่ด้วย




"พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ จะบอกว่าฉันเป็นต้นเหตุให้นายทำแบบนี้เหรอ?"




ยูยะพยักหน้าหงึกๆแทนคำตอบ แต่คนฟังกลับไม่เชื่อ หาว่ายูยะแกล้งซะอย่างนั้น




"นี่นายตั้งใจจะเอาคืนที่โดนแกล้งใช่ไหมทาคาคิคุง"




"เอ้า!! พอพูดความจริงก็ไม่เชื่อ เฮ้ย!! นายจะทำอะไรน่ะ"




ยูยะร้องเสียงหลง เพราะมือเรียวนั้นเอื้อมมาจับแก้มเขาบังคับให้จ้องตากันอีกแล้ว




"ก็จะพิสูจน์ ว่านายจ้องตาฉันแล้วใจเต้นแรงจริงรึเปล่า"




ฟังร่างบางว่าอย่างนั้นแล้วยูยะก็แทบตะกายหนีจากโซฟา แต่ก็ถูกขู่ไว้ว่าจะโกรธเลยต้องนั่งนิ่งๆ  ตอนนี้ยูยะไม่กลัวจะถูกมองตาอีกแล้ว เพราะแก้มนิ่มๆที่แนบกับอกเขามันน่ากลัวกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า ตอนนี้หัวใจของยูยะทำงานหนักจวนเจียนจะระเบิดอยู่แล้ว




"อิโนะจัง- นายคิดจะทำอะไร"




"ว่ากันว่าหัวใจของคนเราปกติเต้นเจ็ดสิบสองครั้งต่อนาที ฉันจะนับดูว่าหัวใจนายเต้นเร็วผิดปกติรึเปล่า"




เล่นกันอย่างงี้เลยเรอะ!!!  แล้วคิดมั่งมั๊ยว่ากว่าจะครบหนึ่งนาที ยูยะอาจจะหัวใจวายตายไปก่อนแล้วก็ได้




"อิโนะจัง"




"เงียบๆน่ะ ฉันฟังเสียงหัวใจนายไม่ถนัด"




โกหกชัดๆ!!! ขนาดยูยะยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังกระหึ่ม เซอร์ราวด์รอบทิศขนาดนี้ แล้วคนที่แนบหูฟังอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจแป๊ะๆจะไม่ได้ยินได้ยังไง




"คือ-อิโนะจัง ฉัน-ฉันว่า"




"บอกให้หยุดพูดไง เอ๊ะ!! นับได้เท่าไหร่แล้วนะ แย่จังลืมไปแล้ว"




ลืม!!! ลืมก็ต้องนับใหม่ โอยยย!!! พ่อแก้วแม่แก้วววววววววว




ยูยะอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า แต่ความจริงแล้วต้องพยายามอยู่นิ่งๆ ควบคุมลมหายใจและหัวใจของตัวเองอย่างหนัก ให้เวลาหนึ่งนาทีแสนยาวนานผ่านพ้นไปเสียที




แต่ว่า..นี่มันเลยมาตั้งหลายนาทีแล้วนี่หว่า?




"อิโนะจัง"




"....."




มีเพียงเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอดังแทนคำตอบ ยูยะค่อยๆก้มลงมองร่างบาง ที่ไม่รู้ว่าเผลอกอดไปตั้งแต่ตอนไหน  แก้มเนียนที่แนบกับอก ลมหายใจอุ่นๆ เปลือกตาสีม่วงอมชมพูอ่อนๆ ขนตาเรียงเป็นแพปิดสนิท ริมฝีปากระบายยิ้ม..




หลับ!!! หลับทั้งๆที่ทำให้เขาหัวใจจะวายตายเนี่ยนะ!!!




"อิโนะจัง! เฮ้! อิโนะจัง!"




ยูยะเขย่าร่างบางแรงๆด้วยความโมโห แต่พอได้เห็นสีหน้าง่วงงุนกับดวงตาปรือๆของอีกฝ่ายก็คิดได้ว่า เคย์คงจะง่วงจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ น้ำเสียงจึงอ่อนลงกว่าตอนแรก




"ถ้าง่วงก็ไปนอนในห้องสิ"




"ไม่เอา!! จะนอนตรงนี้"




ล้มตัวลงนอนบนโซฟา เบียดจนเจ้าของห้องลงไปนั่งทำตาปริบๆบนพื้น ยูยะนั่งจ้องใบหน้าขาวๆนั้นอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะลุกเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง











ลมหายใจอุ่นๆของใครบางคน ... ปลุกใครอีกคนขึ้นจากฝัน




ร่างบางกระพริบตางงๆกับโครงร่างเงาของใครบางคน ที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน




"เตียงในห้องตัวเองก็มี  มานอนเบียดฉันทำไมกันนะ ทาคาคิคุง"




แกล้งจิ้มนิ้วลงบนแก้มของร่างหนาเบาๆ  ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ ให้แก้มชิดกับอกหนาอีกครั้ง  ให้ไออุ่นและเสียงหัวใจของอีกฝ่ายกล่อมนอนอีกครั้ง




นายรู้มั๊ย..ทาคาคิคุง   ฉันก็เป็นเหมือนกันล่ะ




ที่มองตานาย แล้วหัวใจก็เต้นแรงไปซะทุกครั้ง ตั้งแต่วันที่นายแกล้งกอดเอวฉันในคอนเสิร์ตซัมมารีนั่นแหละ




แต่ว่า..ฉันจะไม่บอกนายหรอก เพราะนายน่ะ แกล้งเมินฉันจนทำให้ฉันคิดมากอยู่ตั้งนาน




ต่อไปฉันจะแกล้งนายบ้าง ขอเอาคืนจนกว่าจะพอใจก็แล้วกันนะ ทาคาคิคุง...








END+++




จบแล้วจ๊ะ  ทาคาอิโนะแบบใสๆ

[SF] Night of the star~☆★~

Title -:-  [SF] Night of the star  ~☆★~

 

Writer -:- Nalikakeaw

 

Pairing -:- Takainoo

 

 

 

 

ค่ำคืนแห่งเทศกาลทานาบาตะ  เทศกาลแห่งการขอพรจากดวงดาว และดูเหมือนจะเป็นเทศกาลของหนุ่มสาวในชุดยูกาตะหลากสี ที่ตอนนี้เดินสวนกันไปมาให้วุ่นวาย แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลาเกือบๆสี่ทุ่มแล้วก็ตาม

 

เด็กหนุ่มร่างสูงสองคน ชะเง้อคอยืดยาวมองหากลุ่มเพื่อนที่ได้นัดกันไว้ว่าจะมาเจอกันหลังเลิกงาน แต่ก็ทำได้ยากยิ่งเพราะดูเหมือนยิ่งดึก คนก็ยิ่งทยอยกันมามากขึ้น

 

"อุตส่าห์เลือกมาเที่ยวแถวๆนอกเมืองแล้ว คนก็ยังเยอะได้อีก"

 

"ก็ช่วยไม่ได้นี่นา เทศกาลทานาบาตะที่นี่น่ะ จะจุดดอกไม้ไฟหลังเที่ยงคืนด้วย คนก็เลยมาดูกันเยอะ"

 

ทาคาคิ ยูยะ  และยาบุ โคตะ เดินฝ่าฝูงชนไปเรื่อยๆพลางมองหาเพื่อน ทั้งสองคนอยู่ในชุดยูกาตะสีพื้นเรียบๆ ธรรมดา แต่กลับกลายเป็นจุดเด่นท่ามกลางผู้คน ให้สาวๆหลายคน หลายกลุ่ม เหลียวหลังมองตามจนคอแทบเคล็ด

 

"คนเยอะแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเน้อ~"

 

ยาบุเปรยพลางส่งยิ้มหวานให้สาวๆที่เดินสวนผ่านไป  พวกเธอแก้มแดงไปจนถึงหูแล้วก็รีบเดินจากไปพร้อมเสียงวี๊ดว้าย

 

"ระวังจะโดนฆ่าหมกป่า"

 

"ถ้าบอกว่าสาวๆพวกนั้นเป็นแฟนเพลงของเรา ฮิคารุไม่ว่าหรอก"

 

ทั้งสองคนเดินผ่านเด็กสาวอีกกลุ่มหนึ่ง หน้าตาน่ารัก แต่กลับประโคมโปะเครื่องสำอางลงบนใบหน้าเสียจนดูแก่เกินวัย พวกเธอสวมชุดที่ดูเหมือนจะเป็นกิโมโนสีฉูดฉาดที่ดัดแปลงตรงนั้นนิด ตัดตรงนี้หน่อยจนไม่เหลือเค้าของชุดเดิม  โดยเฉพาะรอยแหวกช่วงขาที่ขึ้นมาเกือบถึงสะโพก อวดผิวขาวเนียนที่ประดับด้วยรอยสักรูปอะไรสักอย่างที่มองเห็นได้ไม่ถนัดนัก

 

แต่เหตุผลที่สองหนุ่มรีบจ้ำผ่านสาวๆกลุ่มนั้นมาไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าหรือรอยสัก แต่เป็นสายตาที่พวกเธอทั้งหลายมองมา มันสื่อความหมายชัดเจนว่า สาวๆทั้งกลุ่มนั้น อยากจะแปลงกายเป็นเจ้าหญิงทอผ้าของทั้งสองคนในค่ำคืนนี้

 

"ไม่สนหน่อยเหรอ"

 

"ไม่อยากเป็นคนเลี้ยงวัวว่ะ"

 

ความจริงแล้วกลิ่นเครื่องสำอางที่ลอยมานั่น มันทำให้ยูยะนึกถึงแก้มเนียนใส กับกลิ่นกายหอมอ่อนๆที่เขาเคยได้มีโอกาสชิดใกล้เมื่อเดือนก่อน  แต่ไม่รู้ทำไม กลิ่นหอมนั้นยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกทั้งๆที่เวลาผ่านมาหลายวันแล้ว

 

"ไม่อยากเป็นคนเลี้ยงวัว แต่ตอนนี้เราก็เหมือนคนดูแลสัตว์นะ"

 

ยาบุบุ้ยใบ้ไปทางด้านหลัง วันนี้พวกเขาไม่ได้มากันแค่สองคน แต่พกเด็กๆกลุ่มหนึ่งที่หน้าตาน่ารัก แต่เสียงดังที่สุด วุ่นวายที่สุดมาด้วยกลุ่มหนึ่ง ยูยะกับยาบุต้องคอยดูแลไม่ให้แตกกลุ่มมาตลอดทางตั้งแต่สถานีรถไฟจนถึงที่นี่  บ่นไม่ทันไรแฮมสเตอร์น้อยที่เดี๋ยวนี้ตัวสูงเกือบเท่ายาบุแล้วก็กระโดดเกาะหลัง

 

"ยาบุคุงงงงงงงงงงงงง อยากกินสายไหม"

 

หลังจากนั้นอีกหนึ่งวินาที กระรอกน้อยแสนสวยก็วิ่งมาเกาะแขน

 

"ยาบุคุง ฉันอยากได้ปลาทองตรงนั้นน่ะ ไปช้อนปลาให้หน่อยสิ"

 

ยาบุถอนหายใจ ไม่ใช่เพราะเบื่อกับการต้องดูแลน้อง แต่เบื่อตัวเองที่เห็นสายตาอ้อนๆแบบนี้แล้วต้องยอมแพ้ทุกที

 

ส่วนสองมือของยูยะก็ต้องคอยรั้งคอเสื้อของคู่หูนากายามะที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใคร วิ่งไปทางโน้นทางนี้ ดูโน่นดูนี่จนเขาเวียนหัว นึกภาวนาให้เจอผู้ดูแลสัตว์ตัวจริงไวๆ เขาจะได้ปล่อยมือจากภาระจอมโวยวายคู่นี้เสียที

 

แต่คนเยอะแบบนี้จะเจอกันได้ยังไง..

 

ปีที่แล้ว ยูยะมาที่นี่กับครอบครัว ตอนนั้นคนไม่เยอะ ต้นไผ่ที่จัดไว้สำหรับผูกกระดาษขอพรหลากสีมีอยู่ตรงหน้าวัดเพียงจุดเดียว ยูยะถึงได้นัดเจอคืนอื่นๆที่นั่น แต่ปีนี้เขามองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไผ่ และโคมไฟหลากหลายรูปแบบ ดูเหมือนว่าพื้นที่จัดงานจะถูกขยายให้กว้างขึ้นจากบริเวณวัดเพื่อรองรับจำนวนคนมาเที่ยวที่มีมากขึ้น

 

"โทรฯหาพวกนั้นหน่อยซิ ยาบุ"

 

"มือไม่ว่างว่ะ"

 

ยูยะหันกลับไปมอง แล้วก็พบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะมือซ้ายของยาบุกำลังถือขนมสายไหมสีชมพูฟูฟ่องให้ริวทาโรที่เกาะหลังอยู่ มือขวาก็หิ้วถุงปลาทองที่เพิ่งไปตักมาได้ให้ยูริที่ยิ้มกว้าง

 

"ยาบุคุงเก่งจังเลย ช้อนแป๊บเดียวก็ได้ปลามาตั้งหลายตัวแน่ะ"

 

ยูริบอกพลางยิ้มกว้างขึ้นไปอีก พอมีความสุข รอยยิ้มก็เปล่งประกายเจิดจ้า  ทั้งยูริ ริวทาโร ยูโตะ และยามาดะ ทั้งสี่คนกำลังมีความสุขจนตอนนี้เหมือนว่าพวกเขากำลังถูกห้อมล้อมด้วยออร่าของดวงดาว มันทำให้ยูยะนึกถึงรอยยิ้มหวานๆของใครอีกคน..

 

"นั่นอิโนะจังนี่!"

 

ยูโตะร้อง ชี้มือไปที่ต้นไผ่กอใหญ่ที่อยู่ทางซ้าย ยามาดะยืดคอมองตาม

 

"ไหนล่ะ ไม่เห็นเลย"

 

"โน่นไง"

 

ที่ต้นไผ่ ยูยะมองเห็นมือขาวเรียวที่เขาจำได้ดีว่าเป็นมือของใคร กำลังเอื้อมจนสุดแขนเพื่อคว้าปลายของกิ่งไผ่  ยูยะลากคู่หูนากายะมะมุ่งหน้าไปทางนั้นทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ยูยะบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนที่เขาเดินไปถึงต้นไผ่ อาจเป็นเพราะแสงจากโคมไฟบริเวณนั้นที่ขับผิวขาวของร่างโปร่งในชุดยูกาตะสีกรมท่าและทุกอย่างให้กลายเป็นสีนวลสบายตา

 

เขายืนมองภาพนั้นนิ่งนานจนกระทั่งสังเกตเห็นร่างเล็กๆที่อยู่ข้างกันนั้นกำลังพยายามกระโดดเพื่อเอื้อมให้ถึงกิ่งไผ่ที่อยู่สูงกว่าตัวเองมาก จนเกือบจะล้มเสียเอง

 

"เลือกกิ่งอื่นก็ได้นี่ไดจัง"

 

ไดกิยิ้มโชว์ฟันขาวเป็นประกาย ยูยะคิดว่าถ้าปีหน้าได้มาเที่ยวเทศกาลทานาบาตะด้วยกันอีกเขาควรจะพกแว่นกันแดดมาด้วย

 

"ไม่เอาหรอก เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หมดสิว่าขออะไร"

 

"ไม่ใช่เพราะอยากให้กระดาษขอพรอยู่สูงๆ เผื่อว่าเทพเจ้าจะลัดคิวให้พรก่อนใครหรอกเหรอ?"

 

ยูยะหัวเราะหึๆ ในขณะที่ไดกิและเคย์ส่งค้อนวงใหญ่ให้เด็กหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหา เคย์โตะสวมชุดยูกาตะสีน้ำตาลอ่อน แต่ด้วยหน้าตาและรูปร่างสมส่วนก็ทำให้ดูโดดเด่นไม่แพ้ใคร  เคย์โตะเอื้อมมือขึ้นไปดึงกิ่งไผ่ที่อยู่เหลือขึ้นไปและยังไม่มีกระดาษขอพรผูกไว้ลงมาอย่างง่ายดาย

 

"จะขอพรทั้งทียังขี้โกงอีกนะไดจัง"

 

"พูดมากน่ะ จับกิ่งไผ่เอาไว้ดีๆล่ะ"

 

ไดกิผูกกระดาษขอพรเอาไว้กับกิ่งไผ่ ดึงกระดาษจากมือเคย์โตะมากผูกไว้ด้วยกัน ก่อนที่กิ่งไผ่จะถูกปล่อยให้กลับคืนสู่ที่เดิม  สองคนยิ้มให้กัน แบ่งบันออร่าสีชมพูให้คนรอบข้างอิจฉาเล่น

 

"ดึงกิ่งไผ่ให้อิโนะจังด้วยสิ"

 

"อิโนะจังเดินไปหาต้นไผ่ต้นอื่นแล้วล่ะ บอกว่าไม่อยากเป็นก้าง"

 

"งั้นทาคาคิคุงมายืนทำอะไรอยู่แถวนี้ล่ะ"

 

ไดกิหัวเราะคิก ยูยะทำคิ้วขมวด เห็นเงียบๆ เป็นสุภาพบุรษแบบนี้แต่ก็แอบปากร้ายใช่ย่อยนะเคย์โตะ

 

"ก็แค่จะบอกให้ช่วยดูแลลิงสองตัว ไม่สิ สามตัวข้างหลังนั่นให้หน่อยแน่ะ"

 

ไดกิมองข้ามไหล่ยูยะไป เห็นยูโตะ ยามะดะ และฮิคารุที่เพิ่งมาถึง กำลังวิ่งวุ่นหาของเล่นของกินกันอย่างสนุกสนาน แล้วหันมามองหน้าเคย์โตะที่ได้แต่ยักไหล่

 

"งานหนักนะเนี่ย"

 

 

 

 

 

 

ร่างบางยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะผูกกระดาษขอพรไว้กับกิ่งไผ่สูงๆ เลยเดินเลี่ยงเข้ามาบริเวณด้านหลังของวัด ที่นี่มีต้นไผ่ที่ถูกตัดออกไปบางส่วนเพื่อนำไปจัดไว้ที่ด้านหน้า กิ่งไผ่ที่เหลือจึงอยู่สูงเกินจะเอื้อมถึง ต่อให้เขากระโดดจนสุดแรงก็ตาม

 

"โอ๊ย!!"

 

ผลจากการกระโดดครั้งที่สองคือเสียหลักล้มกระแทกพื้น ร่างบางทำหน้านิ่วเพราะความเจ็บ

 

"ถ้ามันลำบากขนาดนี้แล้วจะทำทำไม"

 

ยูยะประคองร่างบางขึ้นยืน เขาเดินตามเคย์มาจนถึงที่นี่ ตอนแรกคิดว่าจะยืนดูอยู่เฉยๆ แต่เห็นความดื้อของเจ้าตัวแล้วก็อดใจไม่ได้ พอเห็นว่าร่างบางยืนได้มั่นคงแล้ว ก็กระโดดขึ้นคว้ากิ่งไผ่โน้มมันลงมาให้

 

"เอ้า รีบผูกซะ จะได้รีบไป เดี๋ยวคนอื่นๆจะเป็นห่วง"

 

ร่างบางเอ่ยขอบคุณแล้วหันหลังให้ยูยะ ท่าทางดูมีลับลมคมในจนยูยะต้องชะโงกหน้าข้ามไหล่บางเข้าไปดู

 

"โหย! นี่มันกระดาษขอพรหรืองูอนาคอนดากันแน่ ขออะไรมากมายขนาดนี้"

 

ยูยะหัวเราะก๊าก ที่จริงกระดาษขอพรในมือบางนั้นก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย เพียงแต่มันยาวกว่ากระดาษขอพรทั่วไปที่เขาเคยเห็น บนกระดาษใบนั้นยังมีตัวหนังสือเล็กๆที่อัดกันแน่นจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างเลย

 

เคย์ก้มหน้าผูกกระดาษขอพรกับกิ่งไผ่ต่อไป ซ่อนแก้มแดงๆเอาไว้ไม่ให้ยูยะเห็น จนกระทั่งยูยะชะโงกหน้าเข้ามาอีกหน

 

"ไหนดูซิขออะไร"

 

"ห้ามดูนะ!"

 

มือบางตีเพียะเข้าไปที่ท่อนแขนของคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แม้ไม่แรงนักแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายตกใจเผลอปล่อยมือ กิ่งไผ่ที่ถูกโน้มลงมาดีดกลับคืนสู่ที่เดิมอย่างรวดเร็ว ใบไผ่คมๆฟาดผ่านแก้มใสจนเกิดเป็นรอยแดงชัด

 

"อิโนะจัง!"

 

ยูยะร้องด้วยความตกใจ เหมือนตอนที่ร่างบางเป็นลมล้มจนเกือบตกบันได หรือตอนที่เวียนหัวจนยืนไม่อยู่  มือหนาเชยคางให้ใบหน้าน่ารักเงยขึ้น แต่แสงสลัวก็ทำให้มองไม่ชัดจนต้องก้มหน้าลงไปใกล้ ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดลงบนแก้มใสให้ใจสั่น

 

"ทาคาคิคุง ฉันไม่เป็นไรหรอกแผลนิดเดียว"

 

"ขอโทษทีนะ ฉันไม่ทันระวัง"

 

ร่างบางส่ายหน้า มองสายตาที่บ่งบอกว่ารู้สึกผิดของร่างสูงแล้วก็แอบรู้สึกดีที่ทาคาคิห่วงเขา ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเคย์ที่มองมาทำให้ยูยะรู้สึกเขินจนต้องหาเรื่องคุย

 

"เมื่อกี๊น่ะ..นายขออะไรเหรอ"

 

"ไม่ใช่เรื่องของนายซักหน่อย"

 

"ไม่เกี่ยวได้ไง เมื่อกี๊ฉันเห็นนะ กระดาษขอพรของนายมีชื่อฉันเขียนบนนั้นด้วย"

 

บรรยากาศอบอุ่นนุ่มนวลเมื่อครู่หายไปทันที ร่างบางทำตาโตใส่ยูยะก่อนจะก้าวถอย ปากก็ปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะรู้ทันเขาเสียแล้ว ยูยะยิ้มเจ้าเล่ห์

 

"ไม่บอกฉันดูเองก็ได้"

 

"ไม่ได้นะ!!!"

 

เคย์กอดร่างสูงที่เตรียมจะกระโดดไปคว้ากิ่งไผ่ไว้แน่น ยูยะเกือบล้มเสียหลักแต่ก็ยังตั้งตัวทัน ยามนี้ความอยากรู้กระเด็นหายไปจากความคิด เพราะกลิ่นหอมอ่อนๆและไออุ่นจากอ้อมแขนเรียวบางที่โอบรอบตัวเขา

 

อยากอยู่อย่างนี้ไปนานๆ...

 

 

 

 

 

 

 

เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ  ร่างบางบ่นกระปอดกระแปดเมื่อพบว่าเพื่อนๆหนีกลับบ้านไปหมดแล้ว

 

"ก็ช่วยไม่ได้นี่ ได้เที่ยวแค่นี้ก็ดีแล้วน่า"

 

"แต่ฉันอยากดูดอกไม้ไฟนี่"

 

"ถ้าอยู่ดูก็ไม่ได้กลับบ้านน่ะสิ พรุ่งนี้นายไม่มีเรียนรึไง"

 

ยูยะรู้สึกแปลกๆนิดๆ ปกติแล้วคนที่มักจะถูกเคี่ยวเข็ญเรื่องความรับผิดชอบมันควรจะเป็นเขามากกว่าเคย์ไม่ใช่หรือไง

 

"ไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน"

 

ยูยะออกเดินนำร่างบางที่เดินตามมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก พอมาถึงหน้าสถานีเคย์ก็ยังทำหน้างอเหมือนเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ขัดใจ

 

"นายไม่อยากดูดอกไม้ไฟมั่งเหรอทาคาคิคุง"

 

"ก็อยาก แต่พรุ่งนี้มีงาน"

 

คำตอบที่ได้รับทำเอาร่างบางหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม  ตั้งแต่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เขาแทบไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน ยิ่งได้เดบิวต์บวกกับการที่ต้องเรียนหนัก ทำให้เวลาว่างแทบจะไม่มี วันนี้ได้ออกมาเที่ยวทั้งทีก็เหมือนไม่ได้เที่ยวซะอีก

 

"น่าเบื่อชะมัด"

 

ยูยะมองหน้าตาที่กลายเป็นม้าหมากรุกแล้วก็ถอนใจ ถ้าหากคนข้างๆนี่เป็นน้องชายเขาล่ะก็ จะจับตีก้นเสียให้หายดื้อ แต่ที่เขาทำได้ตอนนี้...

 

"ที่ริมแม่น้ำใกล้ๆกับตึกที่ฉันอยู่ ก็มีจัดงานเทศกาลทานาบาตะเหมือนกันนะ แต่ว่าคนไปที่นั่นเยอะ ฉันก็เลยไม่ชวนพวกเราไป"

 

"แล้วยังไงล่ะ?"

 

ร่างบางถามกลับอย่างหงุดหงิด ขณะที่ซื้อตั๋วรถไฟ

 

"หลังเที่ยงคืนที่นั่นจะมีการจุดดอกไม้ไฟด้วยนะ"

 

"แล้วมาบอกฉันทำไม ไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว กว่าจะนั่งรถไฟ กว่าจะนั่งรถข้ามแม่น้ำไปอีก ไปถึงคงไม่เหลืออะไรให้ดูแล้วล่ะ"

 

"ที่ห้องฉันน่ะ มองเห็นวิวตรงแม่น้ำ"

 

ยูยะหยุดพูดนิดหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาจากคนข้างๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ใบหน้าหงิกงอเมื่อครู่เปล่งประกายขึ้นมาทันที มันทำให้คนมองนึกถึงดวงดาวสักดวงที่อยู่บนฟากฟ้า

 

"นายอยากไปมั๊ยล่ะ ไปถึงห้องก็คงทันตอนเริ่มพอดี"

 

แทบไม่ต้องรอฟังคำตอบ ยูยะยิ้มกว้างเมื่อมือเรียวคว้าแขนเขาพาเดินเข้าไปที่ชานชาลาอย่างรวดเร็ว  และเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้เขียนคำขอพรลงบนกระดาษเลยสักใบ

 

แต่ว่า..คืนนี้ เขาจะมีดวงดาวแสนสวยอยู่ข้างกาย  คงไม่ต้องขอพรอะไรอีกแล้วละมั้ง..

 

 

++++++++++++E+N+D+++++++++++++






 
 
Special Part++++++

 

 

 

"ทำไมนายยังกลับไม่ถึงบ้านอีกห๊ะ!!!!"

 

พี่ใหญ่ของวงแผดเสียงผ่านหูโทรศัพท์มาแบบดัง ชัด ใส แบบไม่ต้องกดปุ่มเร่งเสียง แล้วยังเผื่อแผ่เสียงมาให้อีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันได้ยินอีกต่างหาก

 

"ก็-ฉันอยากดูดอกไม้ไฟ"

 

"แล้วยังไง ดูดอกไม้ไฟเสร็จแล้วจะไปนอนที่ไหน รถก็ไม่มีกลับ อยากจะนอนข้างทางหรือไง?"

 

ยาบุยังคงตะเบ็งเสียงต่อไปอย่างไม่ลดละ  แค่คิดว่าคืนนี้น้องจะอยู่ยังไง ความโกรธก็พุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเขาที่ต้องมาคอยตามดูแลคนที่อายุห่างจากเขาแค่ไม่กี่ปี  ส่วนคนที่อยู่อีกฝั่ง ต้องยื่นโทรศัพท์ออกไปให้ห่างหู แก้ตัวกลับไปด้วยเสียงอ่อยๆเหมือนกลัวใครจะได้ยิน

 

"ไม่ใช่นะ ฉัน-ฉันจะไปดูดอกไม้ไฟที่ห้องทาคาคิคุงน่ะ"

 

"ห๊ะ!!! เจ้านั่นชวนนายไปที่ห้องเรอะ!"

 

"ก็ไม่เชิงหรอก ทาคาคิคุงแค่ถามว่าอยากจะมามั๊ย แล้วฉันก็ตอบตกลง.."

 

บังเกิดความเงียบอันน่ากลัวขึ้น เสียงยาบุเงียบหายไปจนเคย์ต้องกดโทรศัพท์มือถือแนบหู ยูยะเองก็แนบหูกับโทรศัพท์เครื่องเดียวกันด้วยความอยากรู้

 

"อิโนะจังงงงง ไปทำอะไรที่ห้องทาคาคิคุงน่ะ!!!"

 

กลายเป็นเสียงฮิคารุที่ตะโกนผ่านโทรศัพท์มาด้วยความตื่นเต้น  แต่หนนี้ยูยะคว้าโทรศัพท์จากมือบางแล้วกรอกเสียงลงไปแทน

 

"ก็บอกไปแล้วไงว่าจะไปดูดอกไม้ไฟน่ะ ถามอะไรนักหนา แค่นี้นะ ราตรีสวัสดิ์"

 

กดวางสายไปซะดื้อๆแล้วเร่งเดินนำไปตามถนนที่ผู้คนบางตาเพื่อให้ไปถึงห้องก่อนเวลาที่จะเริ่มจุดดอกไม้ไฟ แต่เคย์กลับเดินช้าลงด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

 

"อะไรอีกล่ะ"

 

"คือ..ฉันเพิ่งนึกได้ว่าฉันไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน"

 

พอคิดว่าจะได้ดูดอกไม้ไฟ เรื่องอื่นๆก็ถูกลืมไปหมด ไม่ได้นึกถึงเรื่องที่ต้องมานอนค้างที่ห้องของอีกฝ่ายเลยซักนิด แล้วตอนนี้..เขาก็มาตัวเปล่า

 

"งั้นก็ไปซื้อของจำเป็นที่ร้านสะดวกซื้อแถวนี้ก็แล้วกัน เสื้อผ้าก็ใช้ของฉัน ชุดนอนที่นายใส่คราวก่อนก็อยู่ในตู้น่ะ ฉันไม่ได้ใช้"

 

"เอ๋?"

 

ร่างบางร้องออกมาอย่างแปลกใจ แต่ที่ทำให้แปลกใจยิ่งกว่าคือเมื่อตอนที่มาถึงห้อง แล้วพบว่า ชุดนอนของยูยะที่เขาเคยสวมมันนั้น ถูกซักรีดและพับเก็บไว้อย่างดี ราวกับว่าเจ้าของตัวจริงไม่เคยได้หยิบมันมาใช้อีกเลย

 

นี่รังเกียจเขาขนาดนี้เลยหรือ?

 

"ก็..ฉันไม่ชอบใส่เสื้อผ้าซ้ำกับใคร เลยเก็บไว้เผื่อว่านายจะมาค้างอีก"

 

เพราะสีหน้าหมองๆของร่างบางในตอนแรกเลยทำให้ยูยะพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิด  คนฟังก็เลยทำตาโตขึ้นมาอย่างจับผิด แต่ก็เหมือนโชคช่วย เมื่อแสงหลากสีที่สว่างวาบเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ร่างบางทิ้งทุกสิ่ง วิ่งไปเกาะขอบหน้าต่างทันที

 

"ทำตื่นเต้นเป็นเด็กๆไปได้"

 

แม้จะยินดีที่เห็นร่างบางได้ยิ้มอย่างมีความสุข แต่ก็อดปากไม่ได้ตามความเคยชิน โชคดีที่ร่างบางนั้นอารมณ์ดีเกินกว่าจะโต้เถียงด้วย

 

"แล้วนายไม่ตื่นเต้นหรือไง"

 

"ไม่หรอก ที่ตรงนั้นน่ะ จัดงานอะไรก็ไม่รู้อยู่บ่อยๆ มีงานทีไรก็เห็นมีดอกไม้ไฟทุกทีแหละ  เพียงแต่วันนี้...ดอกไม้ไฟ..ดูสวยกว่าทุกวัน"

 

ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาเหมือนรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่า แต่คนข้างๆก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน

 

"ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว  วันนี้มีเทศกาลทานาบาตะนี่"

 

"เพราะมีนายอยู่ด้วยต่างหาก"

 

นิสัยปากตรงกับใจแก้ไม่เคยหาย นี่เขาเพ้ออะไรน้ำเน่าออกไปเนี่ย   พูดออกไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเองซักร้อยที จะได้ไม่ต้องร้อนรนแก้ตัวทีหลังจนลิ้นแทบพันกันแบบนี้

 

"ค-คือ ฉันหมายความว่า ดูดอกไม้ไฟคนเดียวมันเหงา ถ-ถ้ามีเพื่อนดูด้วยก็น่าจะดี คือ..เอ่อ  ฉัน..ฉันไปเอาน้ำมาให้ดีกว่า"

 

ยิ่งพูดก็ยิ่งลนลาน สุดท้ายแล้วก็ต้องหาข้ออ้างเพื่อหลบสายตาจากคนช่างสงสัย หากแต่ยังไปได้ไม่ถึงก้าว แรงกระตุกเบาๆที่แขนเสื้อก็ทำให้ยูยะต้องหันกลับมาพบกับบางสิ่ง..ที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว

 

ร่างบางตรงหน้ากำลังยิ้ม..ยิ้มทั้งตาและปาก น่าแปลกนักที่รอยยิ้มที่เขาเคยได้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน  ครั้งนี้กลับสะกดให้ยูยะรู้สึกว่า...อยากจะยอมให้ทุกอย่าง ไม่ว่าร่างบางตรงหน้านี้จะเอ่ยปากขออะไรก็ตาม..

 

"อยู่ดูด้วยกันจนจบ...นะ   ทาคาคิคุง"

 

 

 

 

 

 

ไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต

 

ช่วงเวลาที่เหมือนกับอยู่ในห้วงฝัน ลอยละล่องท่ามกลางปุยเมฆขาวทอประกายสีรุ้ง ห้อมล้อมด้วยบรรยากาศอ่อนหวาน ที่ทำให้เขาหลงละเมอจ้องมองแต่คนตรงหน้า แม้ว่าแสงสีวูบวาบจากฟากฟ้านั้นจะจางหายไปแล้วก็ตาม

 

อยากจะบ้าตาย...

 

รู้ตัวอีกที..คนที่ยืนข้างๆก็บอกราตรีสวัสดิ์แล้วก็ดันตัวเขาเข้าไปในห้องน้ำ  เมื่อออกจากห้องน้ำ ยูยะก็พบว่าร่างบางหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาตัวโปรดของเขาเสียแล้ว

 

"ทำไมไม่ไปนอนในห้องนะ"

 

ยูยะบ่น ก้าวเข้าไปหาเคย์ แต่พอได้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังหลับสนิทแล้ว เขากลับไม่อยากจะปลุกซะอย่างนั้น ยืนสับสนว่าจะปลุกหรือไม่ปลุกอยู่นาน สุดท้ายยูยะก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง   แล้วก็กลับออกมาอีกครั้งพร้อมยาแก้อักเสบในมือ

 

"อยากรู้จริงๆว่านายเขียนอะไรบนกระดาษใบนั้น"

 

อยู่ๆความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา ระหว่างที่เขาค่อยๆทาเนื้อครีมบางเบาลงบนแก้มใส  รอยที่ถูกใบไผ่คมๆฟาดเอานั้นแม้จะเป็นรอยเล็กๆแต่ตอนนี้มันก็เริ่มแดงจนเห็นชัด

 

"ความลับ"

 

ยูยะไถลตกจากโซฟาด้วยความตกใจ พอๆกับร่างบางที่เห็นยูยะออกอาการขนาดนั้น ทันทีที่ตะกายลุกจากพื้นได้เสียงโวยวายก็ตามมาทันที

 

"นายแกล้งหลับ!!"

 

"ฉันเปล่านะ ฉันเพิ่งตื่นเมื่อกี๊นี้เอง ตอนที่นายทายาให้"

 

ใช่ว่ายูยะจะเขินอยู่ฝ่ายเดียว ร่างบางก็เอาแต่ก้มหน้าพูดกับพื้น แต่อีกฝ่ายกลับเดินหนีกลับเข้าห้องไปซะเฉยๆ เคย์ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากจะเดินตามไปเท่านั้น

 

"นายโกรธฉันเหรอทาคาคิคุง"

 

"เปล่า"

 

ตอบแค่นั้นแล้วก็หันหลังให้ ล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่พูดอะไรอีกเลย

 

"ฉันบอกไม่ได้จริงๆว่าเขียนอะไร ถ้าบอกไปคำขอก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็จะไม่เป็นจริง แล้วเมื่อกี๊ฉันก็ไม่ได้แกล้งหลับด้วย"

 

พูดไม่ทันจบร่างบางก็ถูกดึงให้ลงมานอนบนเตียง  ยูยะพลิกตัวนอนหงาย พูดกับเพดานแทนที่จะหันหน้ามองคนที่นอนอยู่ข้างๆ

 

"ฉันไม่ได้โกรธ แค่แปลกใจที่นายใส่ใจฉันก็เท่านั้น"

 

"เอ๋?"

 

"ก็คำอธิษฐานนะ มันต้องเป็นเรื่องสำคัญนี่นะ ฉันก็เลยแปลกใจว่าทำไมมีชื่อฉันบนกระดาษใบนั้นด้วย ก็แค่นั้นแหละ"

 

ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาห่มให้ถึงหน้าอก ร่างบางพลิกตัวตะแคงพร้อมกับที่ยูยะพลิกตัวหันไปอีกทางเช่นกัน แสงไฟจากโคมข้างเตียงดับลง

 

ในความมืดนั้นร่างบางได้เอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ทั้งสองคนยิ้ม และหัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

"ทาคาคิคุง"

 

"หืมม์?"

 

"ฉันน่ะ .. ไม่เคยคิดว่านายไม่สำคัญหรอกนะ"

 

 
 
 
 
 
 
 
 
End+++++++++

Monday 17 October 2011

[SF] Sweet Dreams


Title -:- Sweet Dreams



Writer -:- Nalikakeaw



Pairing -:- Taka x inoo










วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ แสงแดดสดใส อากาศอบอุ่นเป็นใจราวกับจะอวยพรให้เด็กน้อยที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากบ้านอย่างร่าเริง


ให้วันนี้ เป็นวันดีตลอดทั้งวัน...


สิบนาทีต่อมา เด็กน้อยหน้าแป้นแล้น เดินยิ้มแฉ่งเข้าไปในโรงเรียนอย่างอารมณ์ดี เดินไปจนถึงหน้าห้อง ได้ยินเสียงเซ็งแซ่อันเป็นเสียงประจำในยามเช้าก่อนเข้าเรียน เมื่อเข้าไปในห้อง ทุกคนในห้องก็หันมาทักทายเหมือนเคย


วันนี้เด็กน้อยมาโรงเรียนเร็วกว่าปกติ แต่ก็ยังช้ากว่าเพื่อนๆในห้อง


"ก็วันนี้คุณครูจะบอกผลสอบนี่นา ตื่นเต้นอ่ะ"


"นี่ๆ อิโนะจังว่าคราวนี้ใครจะสอบได้ที่หนึ่ง"


"ถามอะไรอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอิโนะจังแหงๆอยู่แล้วนี่นาใช่ม๊า~"


เด็กน้อยเพียงแต่ยิ้มรับ ทั้งๆที่ในใจก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เรื่องการเรียน เด็กชายอิโนะโอะ เคย์ คนนี้ก็ไม่อยากแพ้ใคร  แต่ว่าเพื่อนๆในห้องน่ะ ก็เก่งๆกันทั้งนั้นเลย ...แล้วก็ตั้งใจเรียนกันมากๆด้วย


อีกอย่างคราวนี้เขาก็ไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไหร่ เพราะงั้น...ขอแค่ไม่สอบตกก็พอใจแล้วล่ะ....


เสียงประตูเปิด จากที่คุยจ้อ หรือบ้างก็วิ่งเล่นกัน พริบตาเดียวเด็กๆก็กลับไปนั่งประจำที่ ทำตาแป๋วมองคุณครูประจำชั้นที่เดินเข้ามา หอบกระดาษข้อสอบที่ตรวจแล้วมาด้วย


"เดี๋ยวครูจะเรียกชื่อทีละคนนะจ๊ะ แล้วออกมารับผลสอบจากครู"


คุณครูยิ้มหวาน ขานชื่อนักเรียนออกไปรับผลสอบทีละคน  เด็กน้อยเคยสงสัยว่าทำไมคุณครูไม่แจกข้อสอบที่โต๊ะนักเรียนแต่ละคนไปเลยนะ  ออกไปรับข้อสอบหน้าห้องแบบนี้ ไม่ต้องดูกระดาษคำตอบแค่เห็นสีหน้าของเพื่อนๆแต่ละคนก็รู้แล้วว่าผลสอบเป็นยังไง


ไม่ชอบเลย...


"เด็กชาย อิโนะโอะ  เคย์"


เด็กชายลุกขึ้นเดินไปหน้าห้องช้าๆ รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่สายตาของทุกคนในห้องมองตามทุกก้าวที่เดิน แต่ยิ่งเดินก็เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกดทับลงมา ยิ่งก้าวไปข้างหน้าความมั่นใจยิ่งหดหาย แต่เด็กชายไม่ได้เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร คิดแค่ว่าตัวเองคงจะตื่นเต้นมากกว่าปกติไปหน่อยเท่านั้น  มือถึงได้สั่นตอนที่รับเอากระดาษคำตอบมา


แต่เอ๊ะ!!!


เด็กชายพลิกกระดาษในมือกลับไปกลับมา สงสัยคุณครูจะหยิบมาผิดละมั้ง กระดาษใบนี้ไม่มีอะไรเลยนี่นา


"นี่มันกระดาษเปล่านี่ครับคุณครู คุณครูหยิบผิด"


"ไม่ผิดหรอกจ๊ะ ลองดูให้ดีสิ"


ราวกับมีเวทมนต์  เมื่อเด็กน้อยก้มลงมองกระดาษเปล่าในมืออีกครั้ง  รอยหมึกสีแดงก็ปรากฏกลางหน้ากระดาษ  เหมือนใครสักคนลากปากกาเป็นเส้นโค้งยาว เด็กน้อยมองตามรอยหมึกจนกระทั่งปลายเส้นทั้งสองโค้งลงมาบรรจบกัน  กลายเป็นรูปวงรีสีแดงวงใหญ่ๆเด่นชัดบนกระดาษขาว


"เสียใจด้วยนะจ๊ะ"


คุณครูยิ้มให้ แต่สำหรับเด็กชาย รอยยิ้มนี้มันช่างโหดร้ายนัก ในเมื่อคำพูดของคุณครูที่ประกาศก้องต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง ไม่ได้มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย


"เธอสอบตก!!!"


ไม่นะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



..................................


................



.......


..



"ไม่!!!!!!"


ร่างบางสะดุ้ง ดีดตัวลุกขึ้นจากโต๊ะอ่านหนังสือสุดแรงจนเสียหลัก ล้มหงายหลังลงไปกระแทกพื้นทั้งเก้าอี้ เท่านั้นไม่พอหนังสือเล่มหนาๆยังพากันร่วงลงมาใส่ตัวจนแทบจุก ปล่อยให้ตัวเองนอนมึนงงอยู่ชั่วครู่  ถึงได้รู้สึกตัวว่าเหตุการณ์เมื่อกี๊เป็นเพียงความฝัน


เมื่อคืนอ่านหนังสือจนดึก  ไม่รู้เลยว่าหลับคาโต๊ะไปตั้งแต่เมื่อไหร่  ตื่นขึ้นมาเลยปวดหลังปวดไหล่ไปหมด แถมยังฝันอีกต่างหาก


แต่ฝันว่าสอบตกในวันสอบ.... ฝันแบบนี้เป็นลางร้ายชัดๆ!!!


เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะร่างบางที่กำลังจะงีบหลับคาพื้นอีกรอบ  ให้ต้องลุกขึ้นมาคว้าโทรศัพท์มากดดูว่าใครกันหนอที่ส่งข้อความมาให้โทรศัพท์คู่ชีพสั่นเตือนเป็นว่าเล่นแต่เช้า


"โชคดีนะ"  จาก ยาบุ


"โย่ว อย่าลืมกินข้าวก่อนไปสอบ สมองจะได้มีแรง"  จาก ฮิคารุ


"ถ้าสอบผ่าน จะเลี้ยงหนังเรื่องที่นายอยากดูนะ"  จาก ไดจัง


จากนั้นก็เป็นข้อความจากเมมเบอร์เซเว่นที่ส่งตามกันมาแบบวินาทีต่อวินาที เหมือนนัดกันส่งมายังไงยังงั้น  แต่ละข้อความทำเอาคนอ่านข้อความยิ้มแป้น  ความรู้สึกแย่ๆที่เกิดจากฝันร้ายก่อนหน้าหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น


มีกำลังใจดีๆมากมายแบบนี้  ถ้ายังสอบตกอีก   อิโนะโอะ เคย์ คนนี้ คงเป็นคนที่แย่ที่สุดในโลก  เดี๋ยวสอบเสร็จแล้วจะซื้อขนมเจ้าอร่อยหน้ามหาวิทยาลัยไปฝากนะทุกคน


เสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ร่างบางต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความอีกครั้ง  แล้วก็ต้องย่นคิ้วน้อยๆกับไอคอนแสดงอารมณ์รูปสิงโตกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา โดยไม่มีข้อความใดๆเลยแม้แต่คำเดียว


แต่นั่นแหละ  ข้อความนี้จะมาจากใครได้ ถ้าไม่ใช่คนปากร้ายนิสัยเด็กที่สุดในบรรดาเมมเบอร์


"เจ้าบ้า!! คุยกันดีๆซักวันมันจะตายรึไง"


บ่นกับโทรศัพท์แล้วโยนมันส่งๆลงไปอยู่ในกระเป๋าซะอย่างนั้น  ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับนาฬิกาเรือนเล็กที่เอียงผิดตำแหน่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ  ทำให้ดูเวลาปัจจุบันได้ลำบากไปหน่อย


อืม.. เข็มสั้นชี้เลขแปด  เข็มยาวชี้เลขสิบสอง...


เอ...เข็มสั้นชี้เลขแปด  เข็มยาวชี้เลขสิบสอง...


เข็มสั้นชี้เลขแปด  เข็มยาวชี้เลขสิบสอง...?


"อ๊า!!!!!! สายแล้วววววววววววว!!!!!"







++++++++++++++++++++++++++









บ่ายวันเดียวกัน  ร่างบางเดินหมดเรี่ยวแรงเข้าไปในห้องแต่งตัว หอบหนังสือกองโตติดกระเป๋ามาด้วย  แต่เดินยังไม่ทันจะถึงโต๊ะ ก็เข่าอ่อนสะดุดล้ม ข้าวของที่หอบมากระจายเต็มพื้น ทำเอาเพื่อนร่วมวงใจหายใจคว่ำ ถลาลุกจากที่นั่งมาช่วยประคอง


"ซุ่มซ่ามเซ่อซ่า"


ใครบางคนที่ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาช่วยแล้วยังนั่งทำผมสบายใจอยู่หน้ากระจก พูดลอยๆมาให้คนฟังเจ็บใจเล่น แต่วันนี้ร่างบางเหนื่อยเกินกว่าจะต่อปากต่อคำด้วยอย่างทุกวัน เมื่อคืนเผลอหลับคากองหนังสือ ทำให้ฝันร้าย หลับไม่สนิทปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไหนจะต้องวิ่งหน้าตั้งไปให้ทันเข้าห้องสอบ แล้วยังจะต้องเค้นมันสมองไปสู้รบกับข้อสอบมหาโหดสุดหิน  เท่านี้ก็เสียพลังงานไปเกือบหมดตัว เลยทำได้เพียงกัดฟันบอกกับเพื่อนร่วมวงไปว่า


"ไม่เป็นไรหรอก แค่นอนไม่พอน่ะ"


"สภาพแบบนี้ไปสอบมันจะสอบผ่านเร้อ  ฉันว่าคงทำผิดตั้งแต่ข้อแรกแล้วล่ะ สอบตกชัวร์"


นัยน์ตาที่ดูเหนื่อยล้าเมื่อตอนที่เดินเข้าห้องมาวาววับขึ้นทันที เรื่องอื่นเขาไม่ถือ แต่ถ้ามาแช่งให้สอบตกละยอมไม่ได้ !!!


ยาบุปล่อยมือที่ประคองเพื่อน ลากฮิคารุและไดกิที่ช่วยกันหอบทั้งหนังสือ ขนม เต็มสองมือให้ห่างจากสมรภูมิรบที่กำลังจะเปิดศึกในไม่ช้า


"ทาคาคิ ยูยะ!! ไอ้คนปากเสีย!! ตายซะเถอะ!!"


ร่างบางกระโจนเข้าใส่คนตัวหนากว่าที่ยังนั่งอยู่หน้ากระจก สองมือเรียวขยี้ผมที่ใช้เวลาจัดทรงสามชั่วโมงของทาคาคิ ยูยะ อย่างไร้ความปราณี  จากทรงผมที่ไดร์ให้พองฟูดูดีอย่างราชสีห์ตอนนี้เหลือแค่ทรงรังนกถูกทอร์นาโดโจมตีจนไม่เหลือซาก ยูยะร้องห้ามลั่นห้อง


"หยุดนะเว้ยเฮ้ยยย!!!"


ฮิคารุมองมวยคู่เอกประจำวง แล้วก็หันไปมองหน้ายาบุที่รับหน้าที่กรรมการจำเป็นที่ต้องคอยห้ามทุกยก แต่วันนี้กรรมการกลับกอดอกยืนดูเฉยๆ ปล่อยให้นักมวยวัดดวงกันเองซะงั้น


"ปล่อยให้ทะเลาะกันไปก่อน เดี๋ยวเหนื่อยแล้วก็คงหยุดเองแหละ  ทะเลาะกันอยู่ได้ทุกวัน ขี้เกียจห้าม"


ฮิคารุพยักหน้าเออออ เดินตามยาบุไปสมทบกับไดกิที่นั่งกินขนมแบบไม่ทุกข์ร้อนกับเสียงโครมคราม เสียงโวยวาย ที่ดังมาเป็นระยะๆ  ไปๆมาๆฮิคารุก็เริ่มเอือมระอาบ้างแล้วเหมือนกัน  คนหนึ่งก็ช่างหาเรื่องใส่ตัวอยู่ได้ทุกวัน  อีกคนก็ขี้โมโห อารมณ์เสียอยู่ได้ทุกครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าทาคาคิน่ะปากร้ายก็ยังใส่ใจให้เป็นเรื่องอยู่ได้


ทะเลาะกันได้ไม่เบื่อเลยนะ...สองคนนี้



..................................


................



.......


..


"หยุดนะ!  อิโนะจัง! พอได้แล้ว!"


ร้องห้ามมาตั้งแต่ห้านาทีก่อน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเคย์จะยอมหยุด ตอนนี้มือบางเปลี่ยนเป้าหมายจากทึ้งผมของยูยะ มาเป็นฟาดมือใส่ร่างหนาแทน แต่ฟาดได้แค่สองสามทีมือทั้งสองข้างก็ถูกรวบเข้าไปกุมไว้โดยคนปากร้ายที่หาเรื่องใส่ตัวมาตั้งแต่แรก แม้ยูยะจะไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่คนที่เพิ่งใช้แรงกายแรงใจหมดไปกับการสอบก็ไม่มีแรงพอจะดิ้นให้หลุด ร่างบางจึงขยับริมฝีปากต่อว่าแทน


"นายมันใจร้ายที่สุด! ไม่ให้กำลังใจกันก็ไม่ว่า แต่ยังมาพูดแบบนี้อีก รู้ไหมว่าฉันทั้งกังวลแล้วก็กลัวแค่ไหนว่าจะทำข้อสอบได้ไม่ดี  เมื่อเช้านี้ก็ฝันร้ายฝันว่าสอบตกด้วย!"


"อิโนะจัง"


เรียกเสียงอ่อยๆ เพราะรู้ว่าทำให้คนตรงหน้าโกรธขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว  ไม่อย่างนั้นคนที่ในหัวมีแต่เรื่องงานและเรื่องเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง คงไม่มาอาละวาดเอากับเขาทั้งๆที่มีงานรออยู่ตรงหน้าเป็นแน่


"อิโนะจัง ฉันขอ-"


"ทาคาคิคุงจะทำอะไรอิโนะจังน่ะ?"


คู่วิวาทหยุดชะงักหันหน้าไปหาคนถามที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก เซเว่นเมมเบอร์แต่ละคนที่เพิ่งมาถึงกำลังหยุดยืนมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าต่างกันไป  ยามาดะกับยูริยืนเคียงกันด้วยสีหน้าเอาเรื่องเหมือนทุกครั้งที่เห็นยูยะหาเรื่องรังแกเมมเบอร์คนเก่งประจำวง  แล้วหลังจากนั้นยูยะก็จะถูกค่อนขอดกลับมาทุกครั้งว่าเขาอิจฉาความหัวดีของเคย์ถึงได้หาเรื่องแกล้ง โดยมีเคย์โตะยืนเป็นทัพเสริมสนับสนุนถ้อยคำนั้นด้วยสายตาอยู่ข้างหลัง


จะเว้นก็แต่ยูโตะกับริวทาโร... ที่นอกจากจะไม่ได้แสดงท่าทีว่าเอือมระอาอย่างเมมเบอร์คนอื่นๆแล้ว ยังหัวเราะชอบใจซุบซิบอะไรกันสองคน จนแม้แต่คนที่ไม่ค่อยยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างเคย์โตะยังอดสงสัยไม่ได้


"พวกนายหัวเราะอะไรกัน?"


ยูโตะไม่ตอบหันไปพยักเพยิดกับริวทาโรแล้วทำท่าจะเดินผ่านไป แต่ก็ถูกขวางไว้ ยามาดะกับยูริใช้สายตาขู่เข็ญเอากับยูโตะ


"สนุกนักเหรอ? เห็นคนอื่นทะเลาะกัน"


"เปล่าน๊า~ ยามะจัง มาทางนี้สิ เดี๋ยวจะเล่าอะไรให้ฟัง"


ยูโตะยิ้มร่า วาดสองแขนซ้ายขวาโอบคนตัวเล็กกว่าไว้ข้างละคน พาเดินไปสุมหัวกันที่มุมห้อง ริวทาโรล็อกคอพี่เม่นเดินตามไปด้วย ทั้งยูยะและเคย์มองตามไปอย่างสงสัย จนลืมไปว่าก่อนหน้านี้สองคนทะเลาะกันแทบตาย และดูเหมือนจะลืม...


ลืมไปว่า...มือของยูยะ ยังกุมมือเรียวคู่หนึ่งเอาไว้


หลังจากที่กระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ครู่หนึ่ง  ยามาดะกับยูริก็อุทานออกมาเสียงดังมากพอที่จะทำให้สองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่คนละฟากห้องได้หูกระดิก


"ทฤษฎีอะไรของนายน่ะยูโตะ? ฉันไม่เคยได้ยิน"


"นั่นสิยูโตะคุง อะไรคือยิ่งชอบยิ่งแกล้ง? ถูกแกล้งนี่มันเป็นเรื่องสนุกเหรอ? ลองใครมาแกล้งฉันแบบนี้ฉันจะเกลียดไปสิบชาติเลย"


ผิดกับพ่อหนุ่มหัวเม่นที่ดูจะเข้าใจอะไรๆขึ้นมาทันตา หัวเราะออกมาน้อยๆตามสไตล์อิงลิชบอย และแม้ว่าเคย์โตะจะไม่ได้พูดอะไรแต่สายตาที่มองไปที่ยูยะและเคย์นั้นมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนถูกมองร้อนตัวขึ้นมาซะอย่างนั้น


"อะไรน่ะ เจ้าพวกนั้นพูดถึงอะไรกัน อิโนะจัง  นายรู้รึเปล่า?"


"ฉัน-" กำลังจะจิกคนตรงหน้าว่าเขาจะรู้ได้ยังไงในเมื่อยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้  แต่สายตาของเซเว่นเมมเบอร์ที่มองมาก็ทำให้ร่างบางเข้าใจสิ่งที่ยูโตะพยายามจะบอกกับยามาดะและยูริทันที


เคย์มองมือของตัวเองที่ถูกกุมไว้แนบอกหนา แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าที่บ่งบอกถึงความงุนงงของยูยะ สลับกันไปมา


แล้วหัวใจทั้งสี่ห้องก็แข่งกันทำงานหนักสูบฉีดเลือดขึ้นไปอยู่ตรงสองแก้มจนร้อนไปหมด ร่างบางสะบัดมือออกแล้วหันหลังซ่อนพวงแก้มแดงๆให้พ้นจากสายตาของยูยะ


แต่ไม่พ้นสายตาของสองโตะและเมมเบอร์จัมพ์คนอื่นๆที่มองมาตั้งแต่ต้น


"ฮิ้ววววววววววววววววว!!!!!"


เคย์เหวี่ยงสายตาเขียวปัดไปทางต้นเสียง หวังให้ยูโตะกับเมมเบอร์คนอื่นๆเงียบเสียงไปซะ แต่ยิ่งทำก็ยิ่งถูกล้อมากขึ้นจนต้องเป็นฝ่ายเดินปึงปังหนีออกไปจากห้องอย่างขัดใจ ทิ้งร่างหนาไว้กับสถานการณ์ที่คนไร้ความอ่อนไหวอย่างยูยะยากจะเข้าใจ และทรงผมรังนกบ้านแตกที่คาดว่าอีกสามชั่วโมงก็ยังไม่น่าจะแก้ให้กลับไปเป็นทรงเดิมได้









++++++++++++++++++++++++++









เพิ่งตีกันให้ทีมงานเห็นอยู่หยกๆ แต่วันนี้ช่างภาพก็จัดสองคนให้มาถ่ายภาพคู่กัน  ร่างบางต้องบังคับใจอย่างหนักไม่ให้ตัวเองเผลอผลักหัวฟูๆของคนที่ซบตักอยู่ตอนนี้ให้ลงไปกองกับพื้นแล้วเตะซ้ำ  ทำใจอยู่นานกว่าจะยิ้มออกมาได้  แต่พอก้มลงมองใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มสบายแล้ววมันน่า..


"หน้าตาตอนหลับก็น่ารักดีหรอก แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นฝันร้ายชัดๆ"


"ฉันได้ยินนะ อิโนะจัง"


ก็อยากให้ได้ยินน่ะสิ! ร่างบางคิดอย่างขุ่นเคือง ไม่อยากใส่ใจแต่ก็ทำใจไม่ได้ นึกแล้วอยากให้หัวฟูๆนี่กลายเป็นรังนกอีกรอบนัก


"ขอโทษ"


เอ๊ะ!! ได้ยินเหมือนเสียงอะไรแว่วๆ มันรวดเร็วมากเกินไปจนต้องตั้งสติถามตัวเองว่าที่ได้ยินเมื่อกี๊ เขาไม่ได้คิดไปเอง


"ฉันขอโทษ ที่จริงฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งให้นายโมโหเหมือนทุกทีหรอก แค่พูดตรงไปหน่อย ไม่นึกว่านายจะโกรธจริงๆ"


เป็นคำขอโทษที่สมควรได้รับการให้อภัย จริงใจเสียจนคนฟังอยากจะบีบคอคนพูดให้ลิ้นจุกปาก พูดแบบนี้ก็หมายความว่าเขาผิดที่โกรธตอนที่ยูยะแช่งว่าเขาจะสอบตกน่ะสิ


"ฉันไม่ได้แช่ง แค่พูดความจริง"


ยูยะยังคงหลับตาพูดแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งๆที่ร่างบางเริ่มโกรธจนตัวสั่น ไม่ได้แช่ง  แต่จะบอกว่ายังไงๆเด็กมหา'ลัยอย่างเขาก็ต้องสอบตกงั้นสิ!


"นายนี่ซื่อบื้อจัง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คนจะไปสอบน่ะ มันต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจไม่ใช่หรือไง  อิโนะจังน่ะ ทำงานหนักอยู่แล้ว ไหนจะต้องอ่านหนังสือ เวลาพักผ่อนก็แทบจะไม่มี แล้วแบบนี้นายจะเอาแรง เอาสมองที่ไหนไปสอบเล่า ให้ฉันเดานะ  เมื่อคืนคงหลับคากองหนังสือล่ะสิ"


เดาแม่นเหมือนตาเห็น มือเรียวที่กำลังจะฟาดลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลทองของยูยะชะงักกลางอากาศ เคย์ค่อยๆวางมือลงบนผมของยูยะ ลูบเบาๆระหว่างที่คิดตามสิ่งที่ร่างหนาเพิ่งพูดไป


จะว่าไปก็จริง เมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้  หลับคาโต๊ะหนังสือทำให้หลับไม่สบายนัก ตอนเช้าก็ตื่นสาย อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์พ่อแม่ไปเที่ยวก็เลยไม่มีคนเตรียมอาหารเช้าให้ กว่าจะได้กินข้าวก็คือตอนออกจากห้องสอบช่วงบ่ายแล้ว แต่ก็ต้องรีบมาทำงานต่อเลยกินแค่ขนมปังไปสองสามแผ่นเท่านั้น


"ฉันพูดถูกใช่มั๊ย เป็นแบบนี้บ่อยๆเข้าสักวันนายก็ต้องสอบตกแน่ๆ"


มือเรียวเผลอกระตุกผมของคนที่ซบตักอยู่จนเจ้าตัวต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตา


ทาคาคิ ยูยะ! ถ้าวันนี้นายไม่หยุดพูดคำว่าสอบตก อย่าหวังเลยว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปกินข้าวที่บ้าน!!




..................................


................



.......


..



"ฉันว่า ไอ้ทฤษฎียิ่งชอบยิ่งแกล้ง ยิ่งเกลียดยิ่งรัก ยิ่งทะเลาะกันยิ่งเข้าใจอะไรของนายนั่นน่ะ มันจะไม่ได้ผลนะยูโตะ"


"รอดูไปเหอะน่ายามะจัง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา"


ยูโตะตอบกลับมาแบบอารมณ์ดีสุดๆ  พลางเปิดหนังสือของเคย์ ที่ปกด้านในมีรูปวาดประหลาดที่ดูไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร มันกลมๆฟูๆ ดูยุ่งเหยิง มีสี่ขาแล้วก็มีหาง ใต้รูปภาพมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆว่า


"ไฟท์โตะ โอ้!!!!!!"


อย่าถามเลยว่าชะตาชีวิตของคนที่ฝากรอยเอาไว้บนหนังสือเรียนอันล้ำค่าของอิโนะโอะ เคย์ จะเป็นยังไงต่อไป เพราะตอนนี้เจ้าของหนังสือวิ่งออกจากห้องไปแล้วพร้อมเสียงคำรามที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังโกรธสุดชีวิต


ตัวใครตัวมันนะ..ทาคาคิคุง...









++++++++++++++++++++++++++










เสียงกุกกักจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ สัมผัสนุ่มๆเย็นๆที่ใบหน้า ลำคอ และแขน ปลุกคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้น ดวงตาเรียวค่อยเปิดรับภาพช้าๆ แต่แล้วก็ต้องหลับตาลงอีก เพราะทุกสิ่งรอบตัวดูจะหมุนติ้วจนตาพร่าไปหมด


"ที่นี่มัน-"


"ห้องของฉันเอง"


น้ำเสียงคุ้นหูตอบกลับมา แต่เคย์ก็ไม่อยากจะเชื่อประสาทรับรู้ของตัวเองเท่าใดนัก  แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนอย่างทาคาคิ  ยูยะ  จะพาเขามาที่ห้อง คอยดูแลเช็ดตัวให้  แล้วน้ำเสียงอ่อนโยนที่พูดกับเขานี่อีก


ฝันร้ายอีกแล้ว....


"นายเป็นลมจนเกือบตกบันได หมอบอกว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย พักสักคืนก็จะดีขึ้น นายหิวรึเปล่า"


เคย์ส่ายหน้า แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้เวียนหัวมากขึ้นจนเกือบจะอาเจียน ต้องพยายามสูดหายใจลึกๆเพื่อให้อาการเวียนหัวบรรเทาลงบ้าง


"พรุ่งนี้มีสอบ"


รำพึงกับตัวเองเบาๆแต่ก็ไม่วายถูกดุกลับมา ถึงจะได้ยินไม่ชัดนักแต่ก็พอจะจับใจความได้คำว่า "ไม่รู้จักดูแลตัวเอง" แล้วก็เสียงถอนใจอยู่ใกล้ๆ


"คืนนี้พักให้เต็มอิ่มก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาอ่านหนังสือก็ยังทัน"


ถึงไม่ห้าม เขาก็ไม่มีแรงจะลุกจากเตียงอยู่แล้ว ตอนนี้ทั้งตัวมันหนักไปหมด ถ้าไม่มีมืออุ่นๆกับผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นที่เช็ดตัวให้เขาคงจะคิดว่าตัวเองกลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว


"ขอบคุณนะ..แล้วก็ขอโทษ.."


พูดได้เพียงเท่านั้นจริงๆ แต่ละคำที่พูดนั้นช่างยากลำบากเหลือเกินกว่าจะเอ่ยออกมาได้  ได้แต่หวังว่าคนฟังจะรับรู้ความหมายว่าเขาซาบซึ้งใจและละอายเพียงใดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบาก


"ไม่เป็นไร แต่อย่าฝืนตัวเองอีกนะรู้ไหม ฉันเป็นห่วง"


ร่างบางตอบรับน้ำเสียงอบอุ่นเจือความห่วงใยนั้นด้วยการแนบแก้มตัวเองกับมือหนา ผ่อนลมหายใจช้าๆ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปในห้วงฝันอันแสนหวานที่เมื่อลืมตาตื่นในวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่มีอีก..


ขอฝันดีๆแบบนี้ตลอดไปจะได้ไหมนะ...




..................................


................



.......


..





แสงแดดอุ่นๆ สายลมอ่อนๆ พัดพลิ้วผ่านผ้าม่านสีครีมอ่อนเข้ามาในห้อง  ร่างบางบนเตียงพลิกตัวหันหลังให้หน้าต่าง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัว ใจนึกอยากจะฝันดีต่ออีกหน่อย  แต่...


"จะนอนไปถึงไหน! วันนี้นายมีสอบตอนบ่ายไม่ใช่รึไง ตื่นได้แล้ว!!!"


เคย์พลิกตัวม้วนอยู่ในผ้าห่มหนีเสียงห้าวๆ กับมือหนาที่พยายามจะดึงผ้าห่มออกจากตัวเขาอย่างดื้อดึงอยู่พักใหญ่ สุดท้ายมือคู่นั้นก็ยอมแพ้ปล่อยมือจากร่างบางที่กลายร่างเป็นหนอนยักษ์อยู่บนเตียง


"ไม่ตื่นก็ตามใจ แต่ถ้าวันนี้ไปสอบไม่ทันละก็-"


"ตื่นแล้ว!!!"


ลุกขึ้นนั่งพร้อมๆกับเหวี่ยงผ้าห่มออกจากตัวอย่างหงุดหงิด มองคนตรงหน้าแล้วนึกสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมหนอ ไอ้คนที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่นี่ถึงไม่ใช่ ทาคาคิ ยูยะ คนที่เจอในฝัน


ฝันก็เป็นได้แค่ฝันสินะ...


"จะมองหน้าอีกนานมั๊ย? ไปอาบน้ำ! แล้วมากินข้าว!"


อยากกลับไปฝันต่อ แต่เห็นหน้าตากวนประสาทของยูยะแล้วคงจะหลับไม่ลงแน่ๆ ร่างบางลุกจากเตียงด้วยอารมณ์เซ็งสุดขีด  แต่เดินไปไม่ถึงห้องน้ำก็ต้องมีอันสะดุดล้ม  ทำไมวันนี้ชุดนอนมันแปลกๆ เสื้อก็ตัวใหญ่ เอวกางเกงก็หลวมด้วย


"ก็นั่นมันเสื้อของฉัน กางเกงก็ใช่ มันจะพอดีกับตัวนายได้ยังไงเล่า!"


"พูดเป็นเล่น  ทำไมฉันจะต้องไปใส่เสื้อนายด้วย! ก็นี่มัน-"


ห้องของเขา เสื้อผ้านี่มันก็ต้องเป็นของเขาสิ.....


ไม่ใช่นี่หว่า! ห้องของเขาไม่ได้ติดวอลเปเปอร์สีนี้ ทั้งผ้าม่าน เฟอร์นิเจอร์  ชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดานก็หายไป มีแต่ชั้นวางแผ่นเกม การ์ตูน ที่ร่างบางไม่รู้จักและไม่เคยคิดจะซื้อมาอ่านเลย  ห้องที่จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว ทำไมมันรกเป็นรังหมาอย่างงี้


แล้วชุดนอนนี่...


"ฝันค้างหรือไงนาย ถ้าฝันอยู่ก็ตื่นซะ!"


เคย์มองหน้ายูยะอย่างสับสน เริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อคืนนั้นเป็นความฝันหรือเป็นความจริงกันแน่ สมองถูกใช้งานอย่างหนักกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่เช้า...


"อิโนะจัง!!!!"


ยูยะถลาเข้าไปประคองร่างบางที่เริ่มโงนเงนยืนไม่อยู่ไว้ในอ้อมแขน  เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆที่ปลุกคนป่วยขึ้นมาแต่เช้า แต่เคย์กลับโบกมือปฏิเสธไม่ยอมกลับไปนอนต่อ บอกว่ายิ่งนอนก็ยิ่งเวียนหัว ถ้าได้ล้างหน้าคงจะดีขึ้น  ยูยะเลยยอมตามใจพาร่างบางไปส่งถึงหน้าประตูห้องน้ำ แล้วก็ไม่ยอมขยับไปไหนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยความเป็นห่วง






..................................


................



.......


..







เมื่อเคย์เปิดประตูออกจากห้องน้ำ ก็พบยูยะยืนค้างอยู่ในท่าทางที่เหมือนว่ากำลังจะเคาะประตู


"ห้องน้ำนะไม่ใช่ห้องนอน เข้าไปทำอะไรอยู่ในนั้นหนักหนาห๊ะ!!"


ยูยะบอกอย่างหงุดหงิด หันหลังให้ร่างบางที่ลอบยิ้มน้อยๆ ห่วงฉันสินะทาคาคิคุง


"ฉันกลัวนายมาล้มหัวฟาดพื้นตายในห้องฉันต่างหาก ฉันกลัวผี ขนาดไม่ตายยังเฮี้ยนขนาดนี้ ถ้าตายแล้วจะขนาดไหน"


ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนที่จะได้เป็นผีเฝ้าห้องคงไม่พ้นยูยะเป็นแน่  แต่ตอนที่อยู่ในห้องน้ำ ร่างบางก็คิดอะไรได้หลายอย่าง เมื่อวานตอนที่เป็นลมไปเคย์จำได้เพียงว่าเขาวิ่งตามยูยะไปจนถึงบันไดเท่านั้น แต่เมื่อกี๊ที่ยูยะกอดเขาไว้ ก็ทำให้จำอะไรได้อีกเล็กน้อย


"นี่ทาคาคิคุง.. เมื่อวานตอนที่ฉันเป็นลม นายช่วยฉันไว้สินะ"


"ไม่ได้ตั้งใจช่วยหรอก แค่ฉันยืนอยู่ตรงนั้นแล้วนายก็ล้มลงมาทับฉันต่างหาก"


"แล้วฉันยังรบกวนมานอนที่ห้องนายอีก"


"อันนี้ก็ไม่ได้เต็มใจอีกเหมือนกัน  ยาบุกับฮิคารุบังคับให้ฉันพานายมา บอกว่าฉันต้องรับผิดชอบที่ทำให้นายตกบันได ชิ! ฉันไม่ได้ผลักนายซักหน่อย"


ร่างบางแอบปิดปากหัวเราะคนที่หันหลังเถียงเขาข้างๆคูๆ ทำเป็นสาละวนยุ่งอยู่กับการชงกาแฟแก้วเดียวอยู่เป็นนานสองนาน ไม่ยอมหันกลับมามองหน้ากันตรงๆเสียที


"เมื่อคืนนายเช็ดตัวให้ฉันด้วยสินะ"


ไหล่หนาสะดุ้งน้อยๆ ตกใจที่เคย์รู้แม้กระทั่งเรื่องนั้น แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้  นึกแช่งตัวเองที่ลืมเก็บกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูที่วางไว้ตรงโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่เมื่อคืน


"กะ- ก็นายไม่ได้อาบน้ำ เรื่องอะไรฉันจะปล่อยให้นายมานอนบนเตียงทั้งที่ตัวเหม็นๆเล่า!!"


"อุตส่าห์นอนเฝ้าทั้งคืนด้วยสินะ"


"ห้องก็ห้องฉัน เตียงก็ของฉัน แล้วทำไมฉันต้องเสียสละให้นายแล้วระเห็จออกมานอนที่โซฟาด้วย"


ถูกต้อนจนเกือบจนแต้ม แต่ก็ยังแถไปได้อีกหน่อย ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อคืน ร่างบางจับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย จากที่ตั้งใจจะหอบหมอนออกมานอนที่โซฟาหน้าทีวี ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยจนถึงเช้า  สัมผัสจากแก้มขาวเนียนยังคงหลงเหลืออยู่บนมือของเขา ยิ่งนึกถึงใบหน้ายามหลับไหลของร่างบาง หัวใจก็เต้นแรงจนห้ามไม่อยู่ ต้องทำหงุดหงิดกวนประสาทกลบเกลื่อนอาการ แต่วันนี้เคย์ดูจะอารมณ์ดีจนไม่ถือสาหาความกับคำพูดแรงๆของเขาเอาเสียเลย


"นี่ทาคาคิคุง"


"อะไรอีกเล่า! เรียกอยู่ได้ เหวอ!!!"


ทีแรกตั้งใจจะโวยวายใส่ แต่พอหันกลับมาเห็นใบหน้าขาวใสในระยะประชิด ตกใจจนเกือบทำแก้วกาแฟหลุดมือ หัวใจเต้นโครมครามยามที่ได้สบตากับอีกฝ่าย อะไรที่คิดไว้ก่อนหน้านี้กระเจิงหายไปเรียบร้อย ได้แต่ภาวนาให้เคย์ไม่เข้ามาใกล้กว่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหัวใจวายตายแน่ๆ


"ทาคาคิคุง นายจะว่าอะไรไหม? ถ้าฉันจะขอมาค้างที่นี่อีกซักคืนสองคืน"


"ห๊ะ!!!!"


"ก็..ฉันยังไม่หายดีนี่นา แล้วที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่ด้วย  ถึงนายไม่ได้เป็นคนทำให้ฉันเกือบตกบันไดก็จริง แต่นายก็เป็นต้นเหตุนั่นแหละ เพราะฉะนั้นนายก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลจนกว่าฉันจะหายดีสิ เอาตามนี้แหละ เดี๋ยวบ่ายนี้สอบเสร็จแล้วฉันจะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วจะกลับมานะ อ้อ แล้วเอากุญแจสำรองมาด้วย เผื่อนายไม่อยู่ฉันจะได้เปิดประตูเข้ามาเอง"


หลังจากที่เอาตัวรอดมาจนสีข้างถลอกปอกเปิก สุดท้าย.. สิงโตก็ตกหลุมกับดักของพรานคนสวยแสนฉลาดที่ดักทางหนีไว้รอบด้านจนแถไปทางไหนไม่ได้อีกต่อไป


ถึงคราวต้องชำระหนี้ที่ไปรังแกเค้าเอาไว้แล้วนะ...พ่อหนุ่มหัวสิงโต..


ส่วนวิธีชำระหนี้  ก็แค่...ทำให้พรานคนสวยฝันหวาน ฝันดี..นับจากวันนี้ไปก็พอแล้ว...







+++++++++E+N+D+++++++++++++++




ตัดจบมันแค่นี้แหละ เพราะยิ่งเขียนยิ่งออกทะเล ( อีกแล้ว ) เมื่อก่อนไม่ค่อยจะจิ้นคู่นี้เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าใครเป่าหูให้เขียนคู่นี้


อวยพรชายซักนิด ปกติจะจะเรียกอิโนะจัง ว่าชายเคย์ เพราะมาดเธอเป็นคุณชายมากกกก แต่หลังๆจะโดนจิกกัดบ่อยๆเรื่องความแรด ชายเวิลด์ทัวร์บ่อยเหลือเกิน  ยิ่งมีคนจับคู่ชายกับลูกรักอย่างเม่นแล้ว ชายก็จะโดนจิกเพิ่มขึ้นอีก


แต่ยังไงก็ชอบชายน๊า~  แค่จิกกัดตบตีชายมากไปหน่อยเท่านั้นเอง


ขอให้ชายเคย์มีสุขภาพแข็งแรง สวยวันสวยคืน  เล่นเปียโนได้เก่งๆ ร้องเพลงเพราะๆ แล้วก็ขอให้เรียนจบไวๆนะ




+++S+p+e+c+i+a+l+++++P+a+r+t+++++++++



"นายยังมั่นใจทฤษฎีของนายอยู่เหรอยูโตะ"


"แน่นอนสิ  ทำไมอ่ะ ยามะจัง?"


"ก็ไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะรักกันอย่างนายว่านี่ มีแต่จะทะเลาะกันหนักขึ้น"


ตอนนี้เซเวนเมมเบอร์กำลังซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะกินข้าวที่ถูกจัดให้วางตะแคงเพื่อใช้มันเป็นบังเกอร์ชั่วคราวสำหรับหลบกระสุนข้าวของที่ลอยข้ามหัวไปมาจากคู่วิวาทขาประจำของวงที่ยังทะเลาะกันไม่เลิก


"ไม่จริงหรอก ยามะจังดูดีๆสิ สองคนนั่นยิ้มอยู่นะ เห็นป่ะ"


ทั้งห้าคนโผล่หน้าออกจากที่กำบังได้ไม่ถึงนาที แล้วก็ต้องก้มหลบหมอนใบใหญ่ที่ใครไม่รู้ปามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทันได้เห็นว่า ทั้งยูยะและเคย์กำลังยิ้มอยู่จริงๆ


ยิ้มทั้งๆที่กำลังปาของใส่กันนี่นะ?


"เค้ามีความสุขที่ได้หาเรื่องทะเลาะกันน่ะ พวกนายอย่าใส่ใจเลย"


ยาบุบอกหลังจากที่สามารถหลบข้าวของที่บินว่อนเข้ามาสมทบกับน้องๆได้อย่างปลอดภัย ผิดกับฮิคารุที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาไม่ดูสถานการณ์ เลยโดนสันหนังสือเข้าไปที่หน้าผากเหม่งๆแบบเต็มๆ


"โอ๊ยยยยย!!!! อิโนะจังงงงงงงงง"


สงครามกลางห้องหยุดลงทันที  เคย์รีบเข้ามาดูเพื่อนพลางขอโทษขอโพยยกใหญ่


"จะฆ่าฉันฉลองวันเกิดนายหรือไง ถ้าอยากให้ยกโทษให้วันนี้ต้องพาฉันไปเลี้ยงข้าวด้วย พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะไปกินสุกี้หม้อร้อนที่ห้องทาคาคิ"


"เลี้ยงวันเกิดฉันแล้วทำไมต้องไปที่ห้องทาคาคิคุงด้วยล่ะ"


ร่างบางถามขึ้นมาทันทีตามประสาคนฉลาด ปกติแล้วเวลาที่จะพาเมมเบอร์สักคนไปเลี้ยงข้าวในวันเกิด ทุกคนจะลงมติว่าจะไปหาอะไรกินกันตามร้านอาหารไม่ใช่หรือไง เหตุผลคือ อร่อย ง่าย และไม่ต้องล้างจาน แล้วทำไมวันนี้ทุกคนถึงอยากลำบากกัน


"ก็ฉันอยากไป"


คำตอบของไดกิทำเอาร่างบางหมดคำถาม หันกลับไปมองหน้าตาเอ๋อๆของเจ้าของห้อง ที่ดูจะไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา แล้วหันกลับมามองอีกสามคนที่เหลือ...


หน้าตาแบบนี้แสดงว่าต้องมีแผนอะไรสักอย่างแน่ๆ!!



..................................


................



.......


..




หรือว่าเขาจะคิดมากไปเอง?..


พอมาถึงห้องของทาคาคิ ทั้งยาบุ ฮิคารุ และไดกิ ต่างกุลีกุจอช่วยกันเตรียมของสดและน้ำซุปกันเองสามคน ทิ้งให้เจ้าของห้องและเจ้าของวันเกิดนั่งมองหน้ากันเองอยู่สองคน


"เจ้าของวันเกิดก็นั่งเฉยๆไปเหอะน่า นายก็เหมือนกันทาคาคิคุงแค่พวกฉันมากินกันที่ห้องนายก็เกรงใจจะแย่แล้ว"


"พวกนายสามคนรู้จักคำว่าเกรงใจด้วยเหรอ"


โพล่งออกมาแบบหน้าตาเฉย ให้คนถูกถามแยกเขี้ยวกลับมาให้แทนคำตอบ


ปาร์ตี้เล็กๆผ่านไปอย่างสนุกสนาน  ถ้าไม่นับเรื่องที่เจ้าของวันเกิดกับเจ้าของห้องปะทะคารมแย่งชิงเนื้อในหม้อละก็ วันเกิดปีนี้ของเคย์คงน่าประทับใจมากกว่านี้อีกโข  และเมื่อปาร์ตี้จบลงในเวลาที่ไม่ดึกนัก ทั้งยูยะและเคย์ก็ได้แต่นั่งสบายๆปล่อยให้เพื่อนๆเก็บกวาดห้อง รอจนกระทั่งเพื่อนๆอาบน้ำเข้านอนกันแล้วถึงได้คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำทำธุระของตัวเองบ้าง ตั้งใจว่าก่อนนอนจะอ่านหนังสือทบทวนอีกสักหน่อย


พรึ่บ!!!!


ไฟทั้งห้องดับลง ด้วยฝีมือเจ้าของห้องที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ เดินตรงมาทางโซฟาหน้าทีวีที่เคย์นั่งอยู่โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเตะหรือชนถูกอะไรแม้อยู่ในความมืด  ร่างบางปิดหนังสือลงอย่างอารมณ์เสีย


"นายปิดไฟทำไมเนี่ย"


"ฉันจะนอนแล้ว"


ตอบห้วนๆพร้อมกับลงมือปรับพนักพิงของโซฟาที่ร่างบางนั่งอยู่ให้เอนลงเป็นเตียงนอนชั่วคราวสำหรับคืนนี้


"ก็ไปนอนข้างในห้องซิ"


"สมองเสื่อมหรือไง? ลืมไปแล้วเหรอว่าสามคนนั่นนอนอยู่ในห้อง"


ออกปากไล่เหมือนตัวเองเป็นเจ้าของห้อง จนเจ้าของห้องตัวจริงตอกกลับมาอย่างหงุดหงิดพอกัน ยูยะล้มตัวลงนอนบนอีกข้างของโซฟาพลางดึงหมอน ผ้าห่ม ที่ร่างบางหอบออกมาจากห้องไปใช้


"ไปเอาของตัวเองมาสิ"


พูดไปแล้วก็เหมือนจะนึกได้ว่าทั้งหมอนทั้งผ้าห่มคงไม่มีเหลืออีกแล้วในเมื่อวันนี้มีคนมาค้างอยู่ตั้งสี่คน  ร่างบางจึงล้มตัวนอนหนุนหมอนใบเดียวกัน ห่มผ้าห่มผืนเดียวกันกับยูยะอย่างขัดใจ และผล็อยหลับไปทั้งคู่


ทิ้งความงุนงงสงสัยไว้ให้เจ้าของดวงตาอีกสามคู่ที่พยายามเขม้นมองลอดผ่านประตูห้องนอนมาที่โซฟา


"อะไรฟะ นึกว่าจะมีอะไรดีๆให้ดู ไหงหลับไปง่ายๆแบบนี้อะ"


"สงสัยว่าคู่นี้จะไม่ได้แอบกิ๊กกันอย่างที่เราคิดละมั้ง ขนาดก่อนจะนอน ยังหาเรื่องทะเลาะกันได้อีก"


"เสียเวลาชะมัด!"


ไดกิเดินกลับไปล้มตัวลงนอนที่เตียงเป็นคนแรก ยาบุกับฮิคารุ ตามมาติดๆแล้วทั้งสามคนก็หลับปุ๋ยไปแทบจะพร้อมกัน


ส่วนคนที่นอนบนโซฟาท่ามกลางความมืดสนิทและอากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศที่ปรับอุณหภูมิไว้พอดี คนขี้หนาวเริ่มซุกกายเบียดเข้าหาร่างหนาที่ตอบรับด้วยการสอดแขนใต้แผ่นหลังคนตัวบาง โอบร่างนั้นเข้ามาใกล้มอบไออุ่นจากกายให้คืนนี้หลับฝันดีตลอดทั้งคืน








+++++++++E+N+D+++++++++++++++