Monday 19 September 2011

[Fiction] Once Upon a time...Five


Title -:- Once Upon a time...Five

Writer -:- Nalikakeaw

Rate -:- Not Sure

Pairing -:- HaruYuya


ในฟิคเรื่องนี้มีตัวละครชื่อยูยะสองคนนะคะ  ถ้าใครงง ให้ย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้านั้น เพราะว่ามันมีที่มาที่ไปค่ะ


[Fiction] Once Upon a time...Intro

[Fiction] Once Upon a time...One

[Fiction] Once Upon a time...Two

[Fiction] Once Upon a time...T้hree

[Fiction] Once Upon a time...Four








เมื่อละครเปิดกล้อง ฮารุมะก็ไม่ต้องใช้ความพยายามในการห้ามใจมากนัก เพราะตารางงานที่แทบจะถมหัวตายกันทั้งคู่ เร่งถ่ายละครหามรุ่งหามค่ำ ไหนจะงานโปรโมทละครอีก แค่นี้ก็มากพอทำให้ยูยะหลับเป็นตายเมื่อเวลาที่กลับถึงห้อง

แต่ที่จริงแล้ว....ทั้งสองคนไม่ได้กลับห้องมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว

ช่วงนี้เป็นการถ่ายทำในสตูดิโอซะส่วนใหญ่  หามรุ่งหามค่ำเรียกได้ว่าเช้าชนเช้า  เลยต้องอาศัยนอนในโรงแรมใกล้ๆที่ยาบุเป็นคนจัดการเปิดเอาไว้ให้ หนักหน่อยก็นอนในสตูดิโอเหมือนอย่างตอนนี้

"ใช้งานหนักไปมั๊ยห๊ะ!! ไอ้คุณผู้จัดการ "

"ช่วยไม่ได้นี่หว่า ไอ้เรารึอุตส่าห์ไม่พูดถึงเรื่องส่วนตัว พวกนายก็ดันไปประกาศให้โลกรู้ซะเอง กลายเป็นคู่ฮอตแล้วงานมันก็โถมเข้ามาแบบนี้แหละ"

"ไม่ใช่ความผิดของฉันโว้ย!!!"

ถ้าหากว่าไม่ได้มีบางคนที่กำลังหลับสนิทหนุนตักอยู่ ฮารุมะเป็นต้องวาดขายาวๆไปสัมผัสปากผู้จัดการคนเก่งให้เป็นข่าวอีกแน่ๆ

"ตามไปถึงไหนแล้วล่ะ"

"ก็ไม่ถึงไหน  .. แล้วก็คิดว่าจะไม่ตามต่อแล้ว"

ยาบุยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ท่าทางแบบนั้น คนที่ทำงานร่วมกันมาตลอดอย่างฮารุมะ มองปราดเดียวก็รู้ว่า มันต้องมี "อะไร" แน่ๆ

"อีกไม่นานหมอนั่นจะเข้ามาหาฉันเอง"

"ใครจะโง่ขนาดนั้น"

ยอมเดินเข้ามาหาคนที่กำลังตามตัวเองง่ายๆ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นน่ะนะ

"ไม่โง่ แต่เพื่อภาพเด็ดๆทำเงินแล้วฉันว่าหมอนั่นก็ยอมเสี่ยงละวะ"

"นี่หมอนั่นยังไม่เลิกตามฉันกับยูยะ? ทำไม?"

คำตอบมันอยู่ในสีหน้าและสายตาของยาบุอย่างชัดเจนจนไม่ต้องพูดออกมา

เพราะข่าวสินะ ... ข่าวที่บอกว่าเขากับยูยะไม่ได้รักกันจริงๆ

"นายเชื่อข่าวนั่นรึเปล่า"

ฮารุเอ่ยถามเพราะความอยากรู้  ถ้าไม่พูดถึงพี่น้องของยูยะ ยาบุก็นับได้ว่าเป็นคนใกล้ชิดพวกเขาสองคนมากที่สุด เรื่องที่ไม่รู้ก็มีแต่อดีตความเป็นมา และ...เรื่องที่ มนุษย์ธรรมดาไม่ควรจะได้รู้

"ก็บางที  เพราะฉันไม่เคยเห็นนายสองคนทำตัวเหมือนที่คนรักกันเขาทำ  แต่ว่า.. ฉันก็ไม่เคยเห็นใครหวงยูยะเป็นหมาบ้าอย่างที่นายเป็น แล้วก็ไม่เห็นว่าใครจะทนนายได้อย่างยูยะ ฉันก็เลยหาเหตุผลไม่ได้ว่าถ้าไม่รักแล้วจะหวงไปทำบ้าอะไร  และถ้าไม่รัก..จะทนทำไมให้โง่ เฮ้ย!!! ฟังอยู่รึเปล่า"

แน่นอนว่าฮารุมะไม่ได้ฟัง  เพราะสายตาของนักแสดงหนุ่มจับจ้องอยู่ที่ช่อกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาในห้อง  นี่ก็ตื๊อไม่เลิก และไม่ยอมเปิดเผยตัวสักที  ยาบุไม่อยากยุ่งนัก แต่ก็กลัวว่าความซวยจะไปตกกับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างยูยะ เพราะมือที่เคยวางเฉยๆอยู่บนต้นแขนกลับออกแรงบีบแน่นจนคนที่นอนตะแคงหลับสนิทอยู่ขยับตัวด้วยความหงุดหงิด เจ้าของมือถึงได้รู้สึกตัวคลายมือออก

นี่ก็แปลกคน   ยาบุไม่เคยเห็นยูยะหลับสนิทได้อย่างนี้ในที่ที่ไม่ใช่บ้านหรือที่ส่วนตัว จะมีก็แค่งีบหลับสักห้าหรือสิบนาที พอมีใครเดินผ่านก็จะลืมตามองบ้างแล้วก็หลับต่อเหมือนระแวงคนรอบข้าง  ยกเว้นก็แต่เวลาที่อยู่กับฮารุมะเท่านั้น

หลับสนิทราวกับ...รู้ว่าจะมีคนคอยดูแลให้ปลอดภัยอยู่เสมออย่างนั้นแหละ

พนักงานส่งดอกไม้ยกดอกไม้ช่อใหญ่ขึ้นมาบังหน้า ไม่กล้าสบสายตาที่มองมาราวกับจะฉีกให้เป็นชิ้นๆของฮารุมะ พอยาบุรับดอกไม้ไว้แล้วก็รีบถอยออกไปทันที

"ยาบุ ปกติแล้วร้านดอกไม้เปิดถึงกี่โมง?"

"สี่ทุ่มก็ปิดแล้วมั้ง แต่มันก็มีบริการส่งดอกไม้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนกันนะ จะเอาดอกไม้มาส่งตอนตีสามก็ไม่แปลกหรอก"









........................................................................







"ฮ๊าววววววว~"

ฮารุมะอ้าปากกว้างหาวอย่างไม่ปิดบังอยู่ในห้องแต่งตัวของสตูดิโออีกแห่งหนึ่ง  คิวงานของเขาวันนี้คือให้สัมภาษณ์ในรายการสดตอนเช้า  เลยต้องย้ายตัวเองจากกองถ่ายละครมาอยู่ในสตูดิโออีกแห่งหนึ่งในตึกเดียวกัน

ตอนแรกยาบุก็จะตามมาดูแลด้วย แต่ฮารุมะเห็นว่ายาบุควรจะอยู่ดูแลยูยะมากกว่า

"ฉันห่วงว่าพิธีกรจะชวนออกนอกเรื่องเหมือนคราวที่แล้วน่ะสิ"

"มันก็เป็นแบบนั้นทุกทีอยู่แล้วนี่ สัมภาษณ์ฉันแต่ถามถึงยูยะ สัมภาษณ์ยูยะแต่ถามถึงฉัน ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกน่าฉันจัดการได้"

สุดท้ายแล้วยาบุก็ไม่ได้ตามมา  ไม่ใช่เพราะเลิกห่วง แต่ฮารุมะขู่เอาไว้ว่าถ้าหากเขารู้ว่ามีใครมาเกาะแกะยูยะแม้แต่น้อย เขาจะทิ้งงานมาจัดการทันที

ผู้จัดการคนเก่งเลยถีบส่งฮารุมะออกจากสตูดิโอละครด้วยความหมั่นไส้

ตัวเขานั้นไม่มีอะไรให้ห่วง  จะมีก็แต่ยูยะ ...    ลองว่ามนุษย์หมาป่าอย่างเขายังอดนอนจนทนไม่ได้ หาวแล้วหาวอีก มนุษย์ธรรมดาอย่างยูยะจะทนได้ยังไง

"งานหนักเหรอจ๊ะช่วงนี้"

นักแสดงสาวรุ่นพี่ที่ฮารุมะเคยเจอในงานแถลงข่าวทักขึ้นมา  เขาลืมไปเลยว่าเธอเป็นหนึ่งในพิธีกรที่จะสัมภาษณ์เขาในวันนี้ด้วย

"นิดหน่อยครับ"

"แย่จังน๊า~ ไม่มีเวลาพักผ่อนแบบนี้ระวังจะป่วยนะจ๊ะ"

ฮารุมะขยับเก้าอี้ถอยหลังโดยอัตโนมัติ  เพราะใบหน้าที่โปะเครื่องสำอางหนาเตอะกำลังก้มลงมาใกล้  ขนตาปลอมที่ติดไว้ด้วยกาวแทบจะทิ่มตาเขาบอด  ยิ่งนักแสดงสาวก้มลงมาหาเขามากเท่าไหร่ ยิ่งเปิดเผยผิวกายที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อรัดรูปสีดำคอกว้างให้เห้นได้มากขึ้นเท่านั้น

แต่นั่นไม่สำคัญ...

ฮารุมะเป็นมนุษย์หมาป่า ประสาทรับกลิ่นจึงทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปแม้ในยามที่ไม่ได้แปลงร่าง โดยเฉพาะกลิ่นเครื่องสำอางหรือน้ำหอมแบบนี้ ฮารุมะได้กลิ่นแค่นิดเดียวก็แยกออกเลยว่ามีส่วนผสมของอะไรบ้าง

และยิ่งไปกว่านั้น....

"ฮัดเช้ย!!!!!"







........................................................................










วันแรกที่เขาตามสามพี่น้องออกจากป่ามาอยู่ในเมืองใหญ่  ฮารุมะก็รู้ทันทีว่าเขาไม่ชอบกลิ่นเมืองแบบนี้ เพราะมันเต็มไปด้วยกลิ่นสังเคราะห์ที่เขาไม่คุ้นเคย และก็ไม่ชินกับมันเสียที

แต่ก็ไม่นึกว่าตัวเองจะแพ้กลิ่นน้ำหอมจนจามแหลกน้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้ ออกจากห้องแต่งตัวมาถึงห้องส่งแล้วยังหยุดจามไม่ได้เลย

"ไหวมั๊ยฮารุมะคุง?"

โปรดิวเซอร์รายการเดินมาถามด้วยความเป็นห่วง ใจนึกไปถึงสีหน้าของผู้จัดการสุดเฮี๊ยบของนักแสดงหนุ่มที่อยู่ในสตูดิโออีกแห่งใกล้ๆกัน ถึงฝ่ายนั้นจะอายุน้อยกว่าเขาหลายรอบ แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเขี้ยวแบบไม่ไว้หน้าใครหน้าไหน และอีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มการถ่ายทอดสดแล้ว เลยทำให้อดกังวลไม่ได้

"ไม่เป็นไรครับ ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เป็นห่วง"

นักแสดงสาวรุ่นพี่ตัวต้นเหตุทำเสียงจึ๊กจั๊กไม่พอใจอยู่ข้างๆ  หล่อนถูกบังคับให้ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพราะโปรดิวเซอร์กลัวว่ากลิ่นน้ำหอมจะทำให้ฮารุมะเกิดจามไม่หยุดขึ้นมาระหว่างถ่ายทอดสด เสื้อตัวโปรดที่ฉีดน้ำหอมเอาไว้เต็มที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นเสื้อผ้าแบบเรียบๆที่ฝ่ายเสื้อผ้าคว้ามาได้จากแถวนั้นเพราะไปหาที่อื่นก็ไม่ทันแล้ว  หน้าตาก็เพียงทาเครื่องสำอางลงไปบางๆซึ่งไม่พอจะกลบริ้วรอยใดๆ

ฮารุมะได้แต่ยิ้มแห้งๆเป็นเชิงขอโทษ  แต่เจ้าหล่อนสะบัดหน้าเชิดใส่ซะงั้น

ก็ในป่ามันไม่มีอะไรแบบนี้นี่หว่า!!

โปรดิวเซอร์ยกมือเป็นสัญญาณให้เตรียมพร้อม ฮารุมะสูดหายใจลึกพยายามห้ามอาการจามของตัวเอง รอฟังเสียงนับถอยหลังก่อนออกอากาศ สิ้นเสียงสัญญาณพิธีกรชายก็นั่งอยู่ข้างๆฮารุมะก็กล่าวเปิดรายการ ทักทายพิธีกรสาวเล็กน้อยก่อนจะหันมาทักทายฮารุมะ

การสนทนาเป็นไปตามหัวข้อที่ทางรายการส่งมาให้เขา แต่ด้วยประสบการณ์สองปีที่ทำงานอยู่ในวงการนี้ ทำให้ฮารุมะรู้ว่าอีกเดี๋ยวหัวข้อจะต้องวกมาถามในสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ตอนนี้แน่ๆ

"เอาล่ะ คำถามต่อไปนี้ไม่มีในสคริปต์ แต่ผมอยากรู้เป็นการส่วนตัวว่า ได้ร่วมงานกับทาคาคิคุงแล้วเป็นยังไงบ้าง"

"ก็ดีครับ ทำงานด้วยกันได้อยู่ใกล้กัน มาทำงานพร้อมกัน กลับบ้านพร้อมกัน สบายใจดี"

ผู้ชมในห้องส่งหัวเราะครืน พิธีกรชายทำท่าเหมือนอยากจะเขกหัวฮารุมะให้สักทีด้วยอารมณ์ประมาณว่ากึ่งเคืองกึ่งเอ็นดูกับคำตอบแบบตรงๆซื่อๆแบบนี้

"ไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ ผมหมายถึงฝีมือในการแสดงต่างหาก"

นักแสดงหนุ่มเผยรอยยิ้มกว้างเป็นเชิงขออภัย รอยยิ้มสดใสเจิดจ้าอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของฮารุมะ ที่ทำให้ยาบุทาบทามเข้ามาเป็นนักแสดงในสังกัด บุคลิกที่ตรงข้ามกับยูยะอย่างสิ้นเชิงนั้นทำให้ทุกคนไม่ถือสา ไม่มีใครว่าอะไรซักคำเมื่อฮารุมะเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องยูยะด้วยการยิ้มให้คนดู  ถ้าหากว่าทุกคนจะคิดว่าฮารุมะเขินอายเกินกว่าที่จะพูดถึงคนรักได้เขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก

"แหมๆ ท่านผู้ชมดูสิคะ เอาแต่ยิ้มอย่างเดียวเลย  อยากรู้จริงๆนะคะว่านักแสดงหนุ่มที่เขาร่ำลือว่าแสนจะเย็นชาอย่างทาคาคิคุงเนี่ยมีอะไรดีหนักหนา ทำให้แขกรับเชิญของเราเป็นได้มากถึงขนาดนี้ หรือเป็นเพราะความสวยที่ทำให้เข้าใจผิด พอรู้ความจริงว่าเป็นผู้ชายก็ถอนตัวไม่ทันซะแล้ว ประมาณนี้รึเปล่าคะ"

พิธีกรสาวส่งเสียงหัวเราะดังลั่นห้องส่ง แต่คนอื่นที่เหลือกลับเงียบลง บรรยากาศยามเช้าสดใสเมื่อครู่กลับกลายเป็นเหมือนช่วงเวลาที่สายลมเงียบสงัด ก่อนที่พายุจะเริ่มก่อตัว

ทุกคนรู้    รู้ว่าฮารุมะหวงยูยะแค่ไหน  บางคนก็รับรู้มาจากข่าว  แต่บางคนก็เคยเห็นกับตา  ว่าฮารุมะสามารถกราดเกรี้ยวได้เพียงใดสำหรับคนที่บังอาจมาแตะต้องคนของเขา

"ผิดแล้วครับ"

ยิ่งยิ้ม .... ทุกคนในห้องก็ยิ่งกลั้นหายใจ  โปรดิวเซอร์รายการถึงกับปาดเหงื่อด้วยเกรงว่าฮารุมะอาจจะลุกขึ้นอาละวาดใส่พิธีกรกลางรายการสด  เสียงหัวเราะของพิธีกรสาวนั้นหายไปแล้วเมื่อได้สบตากับนักแสดงหนุ่ม  เพราะถึงเจ้าตัวจะยังคงยิ้ม แต่ด้วงตาของฮารุมะก้ไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย

"ยูยะน่ะ  สวยมากก็จริง แต่ไม่มีอะไรเลยที่เหมือนผู้หญิง  ผมรู้.....ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันแล้ว"

ภาพที่อยู่ในส่วนลึกที่สุด แต่กลับชัดเจนที่สุดในความทรงจำนั้น  วินาทีที่เขาได้เห็นยูยะเป็นครั้งแรก

ดวงตาที่เป็นเหมือนผลึกแก้วสีอำพัน คิ้วเรียวโค้ง จมูกโด่ง โครงหน้าเรียวและริมฝีปากอิ่ม  กลุ่มผมสีอ่อนถูกรวบเก็บเป็นมวยสูง เผยช่วงลำคอระหง  กิโมโนสีแดงเลื่อนหลุดจากเรือนกายสีน้ำผึ้งลงไปกองที่ปลายเท้า  ร่างเพรียวเปลือยเปล่าก้าวลงไปในในธารน้ำใส ค่อยๆย่อตัวลงจนน้ำเย็นท่วมถึงระดับไหล่

วินาทีนั้น...

ฮารุมะหลงลืมทุกสิ่ง  ราวกับในโลกนี้มีเพียงร่างที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเย็นฉ่ำ  และเขาผู้เฝ้ามองจากความมืดมิดใต้ร่มเงาไม้ของผืนป่า  เสียงน้ำตกที่เคยดังสนั่นหวั่นไหว เสียงสรรพสัตว์ใดๆ ก็ไม่อาจทำให้ฮารุมะหลุดออกจากภวังค์แห่งความลุ่มหลงนั้นได้เลย

และนับตั้งแต่วินาทีนั้น...

"ตั้งแต่ตอนนั้น.. ผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องการใครอีกนอกจากยูยะ"











........................................................................












ยูมะสำลักโกโก้ร้อน  คุณหมอยูยะวางถ้วยกาแฟของตัวเองลงแล้วส่งกระดาษทิชชูให้น้อง จัดการกับคราบโกโก้ที่หกรดโซฟาและเสื้อผ้าของยูมะด้วยเวทมนต์  เช้านี้สองพี่น้องทานอาหารเช้าด้วยกันอยู่ในห้อง คุยกันเรื่องสัพเพเหระที่ได้ยินจากรายการในโทรทัศน์ แต่พอหน้าของฮารุมะโผล่ออกมาบทสนทนาก็จบลงโดยไม่รู้ตัว

"น้องควรจะชื่นชมที่พี่ฮารุเล่นละครได้เก่งใช่มั๊ยเนี่ย"

ยูมะบ่นทั้งๆที่ยังไอค่อกแค่ก  ตอนแรกก็ลุ้นอยู่ว่าฮารุมะจะลุกขึ้นมาฉีกร่างพิธีกรสาวออกเป็นสองท่อนต่อหน้าคนดูทั่วประเทศหรือเปล่า  แต่กลับกลายเป็นว่าฮารุมะบอกรักพี่ชายเขาซะอย่างนั้น  แต่ไม่รู้ทำไม ยูมะถึงรู้สึกว่าคำพูดประโยคสุดท้ายที่ฮารุมะพูดนั้นมันจริงจังเสียจนเขาไม่คิดว่ามันเป็นการแสดง

"พี่ก็รู้สึกเหมือนกัน"

ช่วงเวลาที่ผ่านมา  เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่านะ  เขารังเกียจฮารุมะจนมองข้ามบางสิ่งไปใช่ไหม  บางสิ่งที่ผูกพันน้องชายเขาไว้กับปีศาจมนุษย์หมาป่าตนนั้น

บางสิ่ง..... ที่นอกเหนือจากคำสาบาน

"ยูมะ  น้องเคยสงสัยรึเปล่าว่าทำไมฮารุถึงได้ยอมสาบานว่าจะปกป้องน้อง"

คนถูกถามนั่งทำตาปริบๆ ตั้งแต่จำความได้  ยูมะก็มีฮารุมะคอยเป็นพี่เลี้ยงแล้ว พี่ชายทั้งสองไม่เคยบอกเรื่องคำสาบานที่ฮารุมะและยูยะมีต่อกันกับเขาจนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน  ก่อนที่จะย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองนี้

"ก็เพราะอยากได้พี่ยูยะ"

จะใช่อย่างนั้นจริงๆรึเปล่านะ  ยูมะเองก็ไม่แน่ใจ  เขาเจ็บปวดเมื่อได้รับรู้ความจริง แต่ความรัก ความเอาใจใส่ดูแลที่ฮารุมะมีให้เขามาตั้งแต่เล็กก็ทำให้ยูมะเกลียดฮารุมะไม่ลง

พี่ชายคนกลางพูดถูก  ฮารุมะรักยูมะเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆร่วมสายเลือด บางครั้งก็ตามใจยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆทั้งสองคน เวลาที่ถูกดุ ฮารุมะจะคอยปกป้องเขาเสมอ  จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป

"นั่นน่ะ เป็นคำสาบานที่จะผูกพันไปจนวันตายนะ พี่หมายถึงว่า ถ้ายูยะเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างมากก็อยู่ด้วยกันไปอีกสักสี่สิบห้าสิบปีเท่านั้น  แต่เราเป็นพ่อมด เวทมนต์ทำให้เราอายุยืนยาวหลายร้อยปี บางทีอาจจะอยู่ได้นานพอๆกับปีศาจด้วยนะ น้องคิดว่าหมอนั่นตั้งใจจะอยู่กับยูยะไปจนวันตายรึเปล่า?"

อยู่ด้วยกันจนกว่าจะพรากจากกันด้วยความตายงั้นเหรอ?

ความคิดถูกขัดจังหวะด้วยรสขมจัดจนยูมะสำลักอีกรอบ  แย่จัง ... ดันเผลอไปหยิบถ้วยกาแฟของพี่ชายมาซะได้

"ขม!!! พี่กินเข้าไปได้ยังไงเนี่ย แหวะ!!!"

คุณหมอจัดการใช้เวทมนต์ทำความสะอาดอีกรอบ ที่จริงเขาไม่ชอบกาแฟขมๆ แต่ก็ชอบดื่มกาแฟดำใส่น้ำตาล  เพราะความหวานจะช่วยปรับให้ลิ้นของเขาคุ้นเคยกับรสขมของกาแฟ

แล้วในความขื่นขมที่น้องชายคนกลางของเขาต้องทนรับ  มันจะมีความหวานซ่อนไว้ตรงไหนรึเปล่าหนอ...








........................................................................








เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสต๊าฟสาวๆในกองถ่ายดังขึ้นเมื่อรายการจบ แต่พวกเธอยังคงวี๊ดว๊ายอยู่เป็นครึ่งชั่วโมงด้วยความชื่นชมระคนอิจฉา

"โอยยย อิจฉาทาคาคิคุงจังเลย นอกจากจะสวยแล้วยังมีแฟนหล่อแสนดีขนาดนี้ เกิดกี่ชาติฉันถึงจะได้แบบนี้บ้างงงง"

"ฝันไปเถอะย่ะ ต่อให้หล่อนไปศัลย์ให้ออกมาเหมือนทาคาคิคุงเป๊ะๆ ฮารุมะคุงก็ไม่แลหรอก"

สาวช่างแต่งหน้าร่างอวบหันมาแขวะสาวเทียมเพื่อนร่วมอาชีพให้กรี๊ดใส่แก้วหูแทบร้าว

"หมายความว่าไงยะ พูดดีๆนะ ไม่งั้นล่ะก็-"

สาวเทียมร่างหนาหักข้อนิ้วตัวเองเป็นเชิงขู่เพื่อน  ถึงจะทีเล่นทีจริง แต่ก็น่ากลัวไม่น้อย

"ก็ฮารุมะคุงไม่ได้ชอบทาคาคิคุงที่ความสวยน่ะสิ"

เมื่อเดือนก่อน น้องสาวหล่อนพาแม่ไปตรวจสุขภาพ แล้วก็กลับมาบ้านด้วยอาการเพ้อ ถามได้ใจความแค่ว่าเกิดไปเห็นรอยยิ้มอันแสนจะหายากของนักแสดงหนุ่ม ทาคาคิ ยูยะ เข้า

"ยิ้มหวานมากกกกกก ไม่เคยเห็นใครยิ้มสวยเท่านั้มาก่อน แล้วเวลายิ้มนะ ฮารุมะคุงก็จะยิ้มแล้วมองตามจนไม่เหลียวแลนางพยาบาลสาวๆที่อ่อยเหยื่ออยู่แถวนั้นเลย"

น้องสาวของหล่อนบอกอย่างนั้น แล้วก็กลายเป็นแฟนคลับของทั้งสองคนตั้งแต่นั้นมา

"ทาคาคิคุง ปกติถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่เวลาอยู่กับพี่น้องแล้วก็เหมือนเป็นคนละคนเลย น้องสาวฉันเพ้อถึงขนาดที่จะไปสมัครงานเป็นแม่บ้านที่โรงพยาบาลแล้ว"

ทุกเสียงเงียบลงเมื่อฮารุมะก้าวเข้ามาในสตูดิโอ  ร่างสูงเพียงก้มหัวทักทายทีมงานตามมารยาท แต่แทนที่จะเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเข้าฉาก  ฮารุมะกลับมุ่งไปหาร่างเพรียวที่ยืนอยู่กับผู้จัดการส่วนตัวของเขาเอง และเมื่อถึงตัวก็คว้าร่างนั้นมากอด กดปลายจมูกโด่งลงบนกลุ่มผมสีอ่อนสูดหายใจแรงๆสองสามที เขาทำอย่างนี้ทุกครั้งเพื่อลบกลิ่นฉุนของน้ำหอมให้หมดไปจากความรู้สึก แต่ยาบุกลับเอาบทที่ยูยะถืออยู่มาฟาดใส่หัวเขาเต็มแรง

"น้อยๆหน่อยเว้ย!!! เกรงใจคนอื่นเค้าบ้าง"

"ไหนๆก็มีผู้หวังดีเปิดเผยเรื่องของฉันกับยูยะไปแล้ว  ฉันยังต้องแคร์สื่อที่ไหนอีกล่ะ  ใครอยากมองก็มองไปสิ"

ก่อนที่ยาบุจะได้ฟาดอะไรใส่หัวนักแสดงในสังกัดตัวเองอีกรอบ คนกลางก็ตัดบทบอกให้ฮารุมะรีบไปเตรียมตัวสำหรับถ่ายฉากต่อไปเสีย ทุกคนจะได้ไม่ต้องรอนาน

ฮารุมะยอมทำตามเพราะเห็นว่ายูยะเหนื่อยเต็มทน อยากถ่ายละครให้เสร็จเร็วๆจะได้กลับไปพัก แต่ทุกคนกลับคิดว่าเขารักยูยะมากเสียจนยอมให้หมดทุกอย่าง

ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจ  แต่ทำไมทุกคนถึงคิดไปอย่างนั้นได้นะ...









........................................................................










"ก็เพราะว่านายแสดงออกแบบนั้นน่ะสิเจ้าโง่"

ยาบุตะโกนด่ามาจากหลังพวงมาลัย  นอกจากจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้นักแสดงสองคนนี่แล้ว บางทีหน้าที่ยังพ่วงตำแหน่งคนขับรถมาให้ด้วย วันนี้นักแสดงทั้งคนเหนื่อยมามาก โดยเฉพาะยูยะ ตอนนี้แทบจะหลับได้ทั้งยืนแล้วและฮารุมะก็แทบจะไม่ยอมปล่อยให้ยูยะได้เดินเอง  ให้ถ้าเขาปล่อยให้กลับบ้านกันเอง พรุ่งนี้คงได้เป็นข่าวอีกแน่ๆ

"แสดงออกแบบไหน ปกติฉันก็ทำแบบนี้แหละ"

หมายถึงที่อุ้มยูยะต่อหน้าประชาชีนั่นด้วยสินะ ยาบุขี้คร้านจะเถียง เลยเงียบเสีย เขาไม่อยากให้ฮารุมะกลายเป็นหมาบ้า ถ้าได้รู้ว่าตอนที่ไปสัมภาษณ์ ยูยะเจออะไรบ้างละก็...

ยิ่งแสดงออกว่าเอาใจใส่ดูแล หรือรักมากแค่ไหน ยิ่งก่อให้เกิดความอิจฉาในกลุ่มแฟนคลับที่ไม่ชอบยูยะมากเท่านั้น

ตะปูในรองเท้า ... ใบมีดโกนที่คอปกเสื้อ  การกลั่นแกล้งแบบเด็กๆแต่ฝ่ายเสื้อผ้าของกองละครยังพลาดให้ใครก็ไม่รู้เอามาใส่ได้ ดีที่เขาเห็นเสียก่อน และสั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบไว้ ไม่อย่างนั้น ฮารุมะอาจจะโกรธถึงขั้นถอนตัวออกจากละครเรื่องนี้ได้

เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายคนโตของยูยะถึงได้เรียกฮารุมะว่าหมาบ้า  เวลาโกรธขึ้นมากัดได้ไม่เลือกจริงๆ

"ถึงแล้ว"

ฮารุมะก้าวลงจากรถก่อน แล้วช้อนอุ้มร่างที่ยังหลับไว้ในอ้อมแขน ยูยะขยับตัวเล็กน้อย

"ฮารุ...ฉันเดินเองได้"

"เงียบเถอะ"

ร่างบางจึงเงียบเสียแล้วก็หลับไปในที่สุด  ยาบุมองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ  ไอ้ตอนที่ไม่เปิดตัวก็ไม่เห็นว่าจะทำอะไรอย่างนี้เล้ย!!!

ถ้าขืนปล่อยให้กลับบ้านกันเอง ฮารุมะคงอุ้มยูยะขึ้นรถไฟฟ้ามาตลอดทางแน่ๆ










........................................................................








ฮารุมะวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงช้าๆ ยูยะหลับสนิทไปแล้ว แม้ว่าเขาจะจูบริมฝีปากอิ่มนั่นสักเท่าไหร่ก็ไม่ตอบสนอง

คราวนี้คงเหนื่อยมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่หลับไปทั้งๆที่น้ำท่ายังไม่ได้อาบ นิสัยยูยะเป็นคนรักสะอาดต่อให้ผ่านค่ำคืนที่แสนหนักหน่วงจากเขาแค่ไหน ก็ต้องอาบน้ำเสียก่อนถึงจะหลับสนิท  แต่ตอนนี้ แม้ว่าฮารุมะจะกลับออกมาจากห้องน้ำแล้วยูยะก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย

มือหนาเริ่มปลดกระดุมเสื้อของคนที่หลับอยู่ทีละเม็ด ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างนั้นอย่างแผ่วเบา จนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า ก่อนจะอุ้มยูยะเข้าไปในห้องน้ำ ก้าวขาลงไปในอ่างที่รองน้ำไว้จนเต็ม

ยูยะชอบอาบน้ำเย็นเสมอ อาจเป็นเพราะมันทำให้นึกถึงกระแสน้ำเย็นฉ่ำในสายธารที่บ้านเดิม  หรือเป็นนิสัยของยูยะก็ไม่รู้ได้ ที่เขารู้คือยูยะชอบน้ำเย็นเท่านั้น

ฮารุมะจัดร่างบางให้เอนพิงแนบอก วักน้ำรดไหล่ให้เบามือ ยูยะขยับตัวซบกับไหล่เขาทั้งที่ยังหลับ  ลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดต้นคอเขานั้นทำให้ฮารุมะใจเต้นอย่างทุกครั้ง ... และเมื่อเขาจูบ ...ริมฝีปากนั้นก็ขยับตอบรับ

"ใจคอจะไม่ปล่อยให้น้องฉันได้พักสบายๆบ้างรึไง ไอ้หมาหื่น"

ฮารุมะถอนริมฝีปาก แล้วก็ถอนใจ  ต่อให้มนุษย์หมาป่าอย่างเขามีประสาทรับรู้ดีแค่ไหน แต่ก็มีข้อยกเว้นกับร่างเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจกนี่แหละ

"หัดมีมารยาทซะหน่อยดีไหม? ไม่ใช่พอมีเวทมนต์แล้วนึกอยากจะเข้าห้องใครก็ได้ตามใจนะ"

"ฉันก็แค่มาเยี่ยมน้องหรอกน่ะ เผื่อว่านายจะเกิดบ้าอาละวาดขึ้นมาอีกจะได้ช่วยทัน น้องฉันจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว แล้วนี่อะไรพายูยะมาแช่น้ำเย็น เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"

"แป๊บเดียวหรอกน่า พอยูยะรู้สึกว่าตัวสะอาดแล้วก็จะพาไปนอน หมดธุระแล้วก็รีบกลับไปซักทีสิ"

ฮารุมะไม่ชอบให้ใครมองยูยะ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นพี่ชายแท้ๆเขาก็ยังหวงอยู่ดี

"อาทิตย์หน้าให้ยูยะไปอยู่เป็นเพื่อนน้องที่โรงพยาบาลด้วย"

"ทำไม!!!"

ฮารุมะถามเสียงห้วน สั้น  เขามียูยะอยู่ข้างกายมานานแสนนานเสียจนไม่อาจจะขาดได้

แม้สักวินาที...

"ฉันไม่แน่ใจว่ายามันจะได้ผลแค่ไหน เพราะฉะนั้นต้องป้องกันไว้ก่อน!"

วันที่พระจันทร์จะเต็มดวงใกล้เข้ามาอีกแล้วสินะ

"ก็ได้!! แต่ถ้ายาได้ผลยูยะต้องกลับมาอยู่กับฉัน"

"ไม่รับปาก เพราะถ้ายูมะบอกว่าอยากให้พี่ชายไปอยู่เป็นเพื่อน ยูยะก็ต้องตามใจน้อง"

"จะทำอะไรก็ตามใจเถอะ!!!"

ฮารุมะตอบแบบไม่สบอารมณ์  เอาน้องมาอ้างเพราะรู้อยู่ว่ายังไงเสียเขาก็ต้องตามใจยูมะ เสียงที่ค่อนข้างดังนั้นทำให้คนในอ้อมแขนสะดุ้งเหมือนจะรู้สึกตัวตื่น   ฮารุมะเลยต้องรีบไล่พี่ชายคนโตของบ้านออกไป  แต่ฝ่ายนั้นก็เหมือนยังอยากจะพูดอะไรอีก

"อะไรอีกล่ะ"

"ฉันเห็นปาปารัสซีคนหนึ่งมาป้วนเปี้ยนแถวๆนี้น่ะ หมอนั่นทำอะไรกวนใจยูยะบ้างหรือเปล่า ฉันจะได้สั่งสอน"

"ถ้าเป็นคนผมทองล่ะก็ ไม่ต้องถึงมือนายหรอก เดี๋ยวยาบุจะจัดการเอง"

"ยาบุต้องลงมือเองเชียวเหรอ แสดงว่าฝีมือพอตัวสินะ"

"ก็ไม่เชิงละมั้ง  สงสัยว่าคงจะเบื่องานผู้จัดการ เลยหาเกมจับกระต่ายมาเล่นแก้เซ็งมากกว่า"








........................................................................







เด็กหนุ่มผมทองที่ถูกพูดถึงนั้นกำลังก้าวลงจากบันไดหนีไฟของตึกข้างๆอย่างสบายอารมณ์  วันนี้ก็ไม่ได้ภาพเด็ดๆอีกแล้ว แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีอยู่ได้ เพราะตอนที่เป็นปาปารัสซีใหม่ๆเขาต้องอดทนอยู่เป็นเดือนๆกว่าจะได้ข่าวทำเงินมาซักครั้ง เพราะฉะนั้น แค่นี้สบายมาก

"ทำไมยังไม่เลิกตามสองคนนี้อีก"

ฮิคารุเกือบจะตกบันได  ตากลมๆมองไปรอบๆ  ในแสงสลัวจากไฟถนน เขาพบว่ามีร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนพิงรถยนต์คันเล็กๆที่เขาจอดหลบไว้ในมุมมืดเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น

เขาจำใบหน้านั้นได้แม้ว่าจะไม่เคยพบกันตรงๆ  แต่ในเมื่อคนคนนั้นเป็นผู้จัดการของนักแสดงชื่อดังสองคนที่เขากำลังตามอยู่ ถึงสมองจะไร้ประสิทธิภาพแค่ไหนก็จำได้อยู่ดี

"ก็ไม่ทำไม แค่อยากจะตาม"

ยาบุเพียงแต่ยิ้ม เพราะรู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้ความจริงจากปากคนๆนี้แน่ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากยุ่งกับพวกปาปารัสซีเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าเขามองเห็นอะไรบางอย่างในตัวฮิคารุ เหมือนกับที่เห็นจากฮารุมะและยูยะ

คนคนนี้มีความสามารถมากเกินกว่าจะมาเสียเวลาอยู่กับอาชีพปาปารัสซีนี้แน่ๆ

"มีธุระอะไรล่ะ"

ฮิคารุถามสบายๆ ถึงจะได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับยาบุ โคตะ คนนี้มาบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้หวาดหวั่น ตราบใดที่เขาไม่ได้ล้ำเส้นจนทำให้ใครเดือดร้อน ก็ไม่มีใครจะมาทำอะไรได้

"ก็แค่มาคุยเรื่องเดิมๆ หวังว่านายคงจะเปลี่ยนใจ"

"ฉันก็ยังยืนยันคำตอบเดิมว่า ไม่!!! ต่อให้นายถามกี่ครั้งคำตอบก็เหมือนเดิม"

ยาบุหัวเราะหึๆ เฝ้ามองเด็กหนุ่มผมทองก้าวเข้าไปในรถแล้วขับออกไปจนลับตา

ฉันก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ ยาโอโตะเมะ ฮิคารุ  ถ้าขอดีๆไม่ได้  ก็คงต้องบังคับกันล่ะ











........................................................................







เมื่อพระจันทร์ใกล้จะเต็มดวง ฮารุมะก็เก็บตัวเป็นเวลาสามวันตามปกติ ยูยะไม่รู้ว่ายาบุใช้ข้ออ้างอะไรกับทีมงาน แต่ก็รู้ว่าครั้งต่อไปทั้งผู้กำกับและทีมงานคนอื่นๆคงไม่ยอมให้ เพราะได้ยินพวกเขาเถียงกันและวันนี้ยาบุก็หัวเสียมากด้วย

ยังดีหน่อยที่ยูยะยังสามารถมาทำงานได้ จึงไม่มีใครว่าอะไรนัก

กองถ่ายเลิกดึกเหมือนเคย  และยูยะก็ต้องกลับไปที่โรงพยาบาลคนเดียวเพราะยาบุมีธุระด่วน  แต่เขาก็รู้ว่าธุระที่ว่านั่นก็คงคงเกี่ยวกับปาปารัสซี่หน้าตาดีผมทอง คนนั้นนั่นแหละ

ซึ่งก็ไม่ได้ไกลจากตัวเขาเลยซักนิด

ยูยะรู้ว่ามีคนคอยตาม ก็เลยทำให้ใช้เวทมนต์ได้ไม่สะดวกนัก จึงเลือกทางกลับแบบมนุษย์ปกติ  แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว แท็กซี่ก็หายาก เขาคงต้องเสี่ยงใช้เวทมนต์หายตัวกลับไปที่โรงพยาบาลอยู่ดี

เงาวูบวาบเบื้องหน้าทำให้ยูยะชะงักฝีเท้า  อากาศที่เย็นยะเยือกทำให้ในใจเริ่มหวาดระแวงว่าผู้ที่คอยตามหลังมานั้นอาจจะไม่ใช่มนุษย์  แต่นั่นก็สายไป...

กรงเล็บคมๆจิกเข้าที่ไหล่ ร่างบางล้มลงไปบนพื้นคอนกรีตด้วยแรงสะบัดเพียงครั้งเดียว การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วเสียจนยูยะไม่อาจตอบโต้ได้ทัน เมื่อมือเมือกๆเย็นๆน่าสะอิดสะเอียนเลื่อนเข้ามาบีบคอเขาได้ จึงได้เห็นว่ามันเป็นปีศาจชั้นต่ำที่เคยไร้รูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างของมนุษย์ที่แย่งชิงมาได้ และกินเนื้อมนุษย์สดๆเป็นอาหาร

"ร่างใกล้จะเน่าแล้วล่ะสิ ถึงได้ออกมาหาร่างใหม่น่ะ"

"ช่ายยยยยยย แล้วถ้าเป็นร่างของแกฉันคงหาเหยื่อดีๆเนื้อหวานๆได้ง่ายแน่-"

ปีศาจชั้นต่ำสำลักลมหายใจของตัวเอง มันมองยูยะด้วยความหวาดหวั่นอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ตัวสั่น จากนั้นมันก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ยูยะลุกจากพื้น  งุนงงเสียจนลืมความเจ็บปวดที่ไหล่ แล้วร่างของยูยะก็วับหายไปในราตรี











........................................................................









คุณหมอแทบบ้าทันทีที่ได้เห็นรอยแผลบนต้นแขนของน้องชาย  พอรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์หมาป่าก็ค่อยเบาใจ แต่ก็อดปากบ่นไม่ได้ว่าเกิดเป็นพ่อมดทั้งทีไม่รู้จักใช้มนต์ป้องกันตัวเสียบ้าง

"ไม่อยากให้ถูกใครจับได้ว่ามีเวทมนต์น่ะสิ"

สองพี่น้องคุยกันระหว่างที่ทำแผล พี่ชายคนโตของบ้านมีฝีมือทางด้านการรักษาเป็นพิเศษ แค่ใส่ยาและเสกคาถาอีกนิดหน่อยแผลก็หายสนิท

"ทำไมอยู่ดีๆ ปีศาจนั่นก็หนีไปล่ะ"

"ไม่รู้สิพี่ ดูเหมือนมันจะกลัวฉันด้วยนะ แปลก? ปกติแล้วปีศาจมักจะไม่กลัวพ่อมดอย่างเราไม่ใช่เหรอ"

"น้องว่าไม่แปลกหรอก"

ยูมะตอบมาจากห้องที่สร้างด้วยเวทมนต์ในกำแพง ทำให้พี่ชายสองคนมองหน้ากันด้วยความฉงน

"มันไม่ได้กลัวพี่ยูยะ แต่กลัวพี่ฮารุต่างหาก"

"ฮารุไม่ได้อยู่แถวนั้นนะ"

"ไม่อยู่ก็เหมือนอยู่นั่นแหละ  เจ้านั่นคงได้กลิ่นพี่ฮารุจากตัวพี่ ถึงได้กลัวจนหนีไปไงล่ะ"

ยูยะคนพี่ทำสีหน้าเข้าใจในทันที แต่อีกคนนั้นยังคงสงสัยจนต้องถามต่อ

"พี่ฮารุเคยสอนน้อง ว่าปีศาจนอกจะมีกลิ่นอายเฉพาะตัวให้รู้ว่าเป็นปีศาจแบบไหนแล้ว ยังทำให้รู้ว่าปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหนด้วย ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งกลบเกลื่อนร่องรอยพวกนี้ได้เก่งมากขึ้นจนเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดา ขนาดที่ว่าเดินผ่านปีศาจด้วยกันเองก็จะไม่รู้ ตอนที่เราจะย้ายเข้ามาในเมืองน่ะพี่ฮารุก็บอกว่าดี เพราะเมืองนี้มีพวกปีศาจชั้นต่ำอยู่เยอะ และพวกมันก็กลบร่องรอยของตัวเองไม่ค่อยได้ กลิ่นปีศาจก็เลยเต็มไปหมด ถ้าซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ก็คงไม่มีใครตามเจอได้ง่ายๆ"

"แต่ฮารุไม่ใช่พวกปีศาจชั้นต่ำนี่ อยู่มาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้วทำไมยังมีร่องรอยพวกนี้อยู่ล่ะ"

"ก็วันนี้พระจันทร์เต็มดวงนี่นา พลังอำนาจของมนุษย์หมาป่าก็ต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งนะ เมื่อเช้าก่อนไปทำงานพี่แวะไปหาพี่ฮารุใช่มั๊ยล่ะ กลิ่นมันก็ติดตัวมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ"

ยูยะหัวเราะเก้อๆที่น้องรู้ทัน หลบสายตาพี่ชายที่จ้องมาอย่างจับผิด เสมองออกไปนอกหน้าต่าง  ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงบางคนที่กำลังกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่างในค่ำคืนนี้

ต้องให้นายช่วยอยู่เสมอเลยนะ  .... ฮารุ















........................................................................








To be con.....

Thursday 8 September 2011

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Two


Fiction

Title : The day we kissed..Two

Pairing : _ _ _ x _ _ _

Rate : ---?---







ฝัน..?





เวลานี้ไดกิต้องฝันไปแน่ๆ....



ทั้งรสจูบที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก....ทั้งไออุ่นที่โอบล้อมกาย.....ทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน



"ถ้ายังไม่ยอมลืมตา  จะจูบนะ"



ไม่ใช่ความฝัน..?



ไดกิเบิกตากว้าง ตะลึงค้างจ้องมองใบหน้าที่กำลังก้มลงมาหา กระทั่งริมฝีปากเกือบจะแตะกัน ถึงได้สติผลักอีกฝ่ายจนหน้าหงาย แต่เป็นเพราะตัวยังอยู่ในอ้อมแขนของร่างสูง พอดิ้นมากเข้าคนอุ้มก็อุ้มไม่ไหว ทิ้งร่างบางลงบนเตียงซะดื้อๆ



"โอ๊ย!!!!"



ถึงเตียงไม่ได้แข็งอย่างหิน แต่รอยช้ำจากเหตุการณ์ในคืนก่อนยังไม่หายดีถึงร้องลั่น ยามที่แผ่นหลังกระแทกลงบนฟูกหนา  เจ็บตัว..แต่ก็ยังตะกายพาตัวเองหนีจนร่วงลงตกจากอีกฟากเตียง ก่อนจะลุกขึ้นมาขู่ฟ่อใส่ร่างสูงที่ยืนนิ่งๆอยู่ฝั่งตรงข้าม



"ไอ้คนโรคจิต!  ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!"



ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ แต่ก็ไม่ขยับไปไหน เอาแต่ยืนนิ่งๆจนไดกินึกอยากจะเป็นฝ่ายวิ่งออกจากห้องไปเสียเอง ติดที่ว่าอีกฝ่ายยืนขวางอยู่ตรงประตูพอดีนี่สิ...



สงสัย?...ต้องหาอาวุธซะละมั้ง



"เฮ้ย!!!!!"



ร่างสูงกระโดดหลบอย่างว่องไวตอนที่อะไรต่อมิอะไรลอยมาใส่เขา  แล้วก็ยังไวมากพอที่จะคว้าคนตัวบางแต่ฤทธิ์เยอะเอาไว้ก่อนที่จะฉวยโอกาสหนีออกจากห้องได้ด้วย



"ปล่อย!-อุ๊บ"



เป็นเพราะไดกิป่วยหรืออีกฝ่ายแข็งแรงเกินไป ถึงสามารถกอดไดกิไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว มืออีกข้างถึงได้ว่างมาปิดปากเขาไว้จนดิ้นไม่หลุดอย่างนี้



"ฉันจะปล่อยนาย ถ้านายสัญญาว่าจะไม่หนี แล้วก็ไม่ต่อยฉัน ไม่งั้นก็ดิ้นต่อไป หมดแรงเมื่อไหร่แล้วค่อยมาคุยกัน"



เรื่องอะไรจะยอมให้เป็นแบบนั้น ไดกิพยักหน้าเร็วๆแทนคำตอบ ทำตัวนิ่งๆกลั้นใจรอให้สัมผัสหนักๆอยู่ตรงเอวกับริมฝีปากหายไป ถึงค่อยก้าวออกมาข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะก้าวพรวดๆไปจนมุมอยู่ตรงมุมห้อง ร่างสูงมองตามอากัปกิริยานั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ กึ่งขำกึ่งเคือง



แล้วจะคุยกันรู้เรื่องหรือนี่?



"อย่าเข้ามานะ! ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ มีธุระอะไรก็ว่ามาพูดให้มันจบๆแล้วก็ไปซะ!"



"เอางั้นก็ได้  ถ้าอยากให้คนที่อยู่ข้างนอกได้ยิน  งั้นเราตะโกนคุยกันก็ได้"



ไดกิกัดริมฝีปากแน่นด้วยความหงุดหงิด มองตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งยั่วให้โมโห แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่ายาบุจะคอยฟังอยู่ข้างนอกจริงๆ  ยิ่งตัวเขาถูกอุ้มเข้าห้องมาอย่างนี้ มีหรือยาบุจะไม่ห่วง  แต่ยิ่งเป็นอย่างนั้นเขายิ่งไม่อยากเล่าอะไรให้รู้ เพราะถ้ายาบุรู้ ยังไงวันหนึ่งเรื่องก็คงไปเข้าหูทาคาคิ แบบนี้เรื่องก็จะยิ่งไปกันใหญ่ แค่นี้ก็อับอายขายขี้หน้าจะแย่แล้ว



ไม่ชอบเลยจริงๆ แต่ร่างบางก็ฝืนใจชี้นิ้วไปที่ปลายเตียงเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงนั้น  ส่วนตัวเองก็ย่องๆไปนั่งตรงโซฟาข้างเตียง สองตาก็สอดส่ายมองหาอะไรในห้องที่พอจะใช้ป้องกันตัวเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน



"ฉันมาขอโทษ..เรื่องวันนั้น"



"........"



เหมือนอะไรซักอย่างวิ่งเข้าหูซ้าย แล้วทะลุออกหูขวาอย่างรวดเร็ว  สมองเลยไม่ทันแปลสัญญาณใดๆได้ชัด



"คุณ..ว่าอะไรนะ?"



"ฉันขอโทษ  ที่วันนั้นเข้าใจผิด"



"............"



ถ้าทั้งสองคนไม่ได้นั่งตรงข้ามกัน ไดกิคงไม่ได้เห็นแววตาของอีกฝ่าย ว่ามันจริงจังแค่ไหน  และถ้าหากว่าไม่ได้มองสบตาคู่นั้นตรงๆ  คงไม่ได้รู้ว่าคำขอโทษนั้น ออกมาจากหัวใจจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ



ทั้งๆที่ตอนแรก ทั้งโกรธ..ทั้งอาย  จนอยากจะโยนคนๆนี้ออกจากบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แถมยังจะต่อยให้ด้วย



แต่พอถูกจูบ...ก็คิดอะไรไม่ออก เรี่ยวแรงหายไปซะดื้อๆ  แล้วสุดท้าย...ก็เหมือนจะใจอ่อน ยอมยกโทษง่ายดายเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียว



นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?



เพียงแค่นิ่งไปไม่กี่นาที ก็ทำให้อีกฝ่ายกังวลได้ ร่างสูงจึงลุกขึ้นโค้งคำนับ กล่าวคำขอโทษซ้ำอีกเป็นครั้งที่สาม  ร่างบางนั่งงง นานมากแล้วที่ไม่เคยมีใครมาโค้งคำนับเขา นับตั้งแต่ทำงานไดกิเองต้องเป็นฝ่ายโค้งคำนับให้ลูกค้า  นับพัน...นับหมื่นครั้ง...



พอมีใครสักคนที่ให้เกียรติกันขนาดนี้ก็ทำอะไรไม่ถูก  แค่จะบอกว่าไม่โกรธแล้ว  ไม่เป็นไร ยังพูดออกมาไม่เป็นคำ จนร่างสูงไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินมันถูกต้องไหม ไดกิเลยต้องพยักหน้าเร็วๆเป็นการยืนยัน



เห็นอย่างนั้น ร่างสูงถึงได้ถอนหายใจโล่งอก ทิ้งตัวนั่งลงตามเดิม



"ขอบคุณนะ"



ร่างบางพยักหน้าหงึกหงัก กดใบหน้าลงกับหมอนที่ไม่รู้ว่าไปคว้ามากอดตั้งแต่ตอนไหน รู้แต่ว่าตอนนี้แก้มมันร้อนวูบวาบ ยามที่ได้สบตา เห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นนุ่มนวลของคนตรงหน้า คนที่ไดกิไม่รู้จัก.. คนที่จูบเขา  คนที่ฝากรอยจูบไว้ที่ต้นคอนี่..



"ทำไมเมื่อกี๊คุณต้องจูบผม?"



ดูเอาเถอะ  เป็นแมวน้อยขี้อายให้ชื่นชมไม่ถึงนาที ตอนนี้ลุกขึ้นมาขู่ฟ่อใส่อีกแล้ว ร่างสูงปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน ก่อนหน้านั้น ลองว่าเขาไม่จูบปิดปาก มีหวังเจ้าตัวคงโวยวายจนเขาโดนทุ่มออกจากบ้านแน่ๆน่ะสิ  วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพที่สุดและได้ผลรวดเร็วที่สุด



เฉพาะกับร่างบางคนนี้รึเปล่านะ?



"ไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว!"



คนบ้า! ถามไม่ตอบ แล้วยังจ้องหน้าอีก  ตอนนี้ไดกิแก้มร้อนจนจะละลายอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นร่างสูงหัวเราะเบาๆแล้วยิ่งโมโห  ไม่มีอะไรน่าขำเลยซักนิด



แต่ร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน ทั้งที่ยังหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเดินไปหาร่างบางที่ยังนั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงโซฟา ก้มลงสัมผัสริมฝีปากนุ่มๆอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวคำอำลาว่า



"ฉันขอโทษ ที่เข้าใจนายผิด แต่เรื่องจูบน่ะ ไม่ขอโทษหรอกนะ"



ไม่ได้คิดจะแกล้งเลยจริงๆ แต่คนน่ารักแบบนี้จะอดใจไม่แกล้งยังไงไหวล่ะ



++++++++++++++++++++++++



 "ไดจังเลิกกับแฟนแล้วเหรอ?"



เพราะตอนที่กลับถึงบ้าน ยูโตะกับยูริ ทันได้เห็นไดกิอาละวาดหน้าดำหน้าแดงใส่ใครคนหนึ่ง แม้ว่าเคยพบกันแค่ครั้งเดียวทั้งสองคนก็จำได้ดี  แต่ก็เพียงได้ทักทายและบอกลากันในคราวเดียว ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปโดยมีเสียงโวยวายดังไล่หลัง



ทิ้งสมาชิกร่วมบ้านไว้กับไดกิเวอร์ชั่นซุปเปอร์ไซย่าขั้นสามที่พร้อมจะระเบิดบ้านได้ทุกเมื่อ..



บรรยากาศในบ้านทึมทะมึนตั้งแต่บ่ายถึงค่ำ  หลังมื้อเย็น ทุกคนนั่งกินของว่าง ตาก็มองโทรทัศน์ หูก็คอยฟังเสียงโครมครามจากในครัวเผื่อว่ามีอะไรแตก โชคร้ายที่วันนี้ไดกิเป็นเวรล้างจาน  แต่ยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นคนทำกับข้าวด้วย ไม่งั้นคงเจอเศษเขียงในซุปหรือผัดผักด้วยแหงๆ



"ไม่รู้สิ" ยาบุกระซิบตอบ ก็ตอนไดกิถูกพาเข้าห้องไป กับตอนทีออกมา ยังกับหนังคนละม้วน จนถึงตอนนี้ไดกิยังหน้าหงิกไม่หาย แล้วใครล่ะจะกล้าเอ่ยปากถาม



ถ้าให้เดาก็คงจะเลิกกันแล้วละมั้ง เพราะได้ยินใครคนนั้นบอกกับไดกิที่กำลังโมโหสุดขีดว่า "ลาก่อน" นี่นะ ไม่ได้พูดว่า "แล้วเจอกัน"หรือ"แล้วจะโทรหา" อะไรแบบนี้  พูดเหมือนกับว่าจะไม่มาเจอกันแล้วงั้นแหละ



"แต่คนนั้นน่ะ แฟนไดจังแน่เหรอ" กระซิบถามต่อเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไดกิเคยมีคนรัก ไม่สิ.. ต้องบอกว่าเคยมีความรัก แต่มันก็จบลงหลังจากที่คนๆนั้นตัดสินใจเลือกที่จะทิ้งที่นี่ เดินออกจากบ้านหลังนี้ไป  สำหรับน้องสองคนอาจจะมองว่าไดกิตัดใจลืมได้แล้ว  แต่ยาบุรู้.. ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไดกิก็ยังรออยู่เสมอ



รอ..แม้ว่าจะไม่มีความหวัง



เพราะไดกิไม่เคยมีใคร หรือมองใครอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น แล้วจู่ๆมีแฟนโผล่มา มันก็เชื่อยากหน่อยล่ะ



"ใช่ ชัวร์100% ! " ยูโตะตอบอย่างมั่นใจ มียูริพยักหน้าสนับสนุนอย่างแข็งขัน "ถ้าไม่ใช่แฟนกันจะมาตามถึงบ้าน จะยอมเจ็บตัวปกป้องไดจัง จะจูบกัน จะกอดกันทั้งคืนเหรอ"



"ห๊ะ!!!!!"



"จริงๆนะยาบุคุง คืนนั้น ตอนที่ฉันรับโทรศัพท์น่ะ นึกว่าไดจังโทรมาตามกลับบ้าน กลัวโดนด่าแทบตาย ที่ไหนได้เป็นแฟนไดจังโทรฯ มา  บอกว่าไดจังลืมโทรศัพท์ไว้ บ้านอยู่ที่ไหนจะเอาไปคืน แล้วก็บลาๆๆๆๆๆๆ" ยูโตะเล่าเรื่องราวเป็นฉากๆประหนึ่งว่าได้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ไม่สนใจมือเล็กที่สะกิดไหล่ยิกๆจนกระทั่งนาทีต่อมา



"มีอะไรเหรอยูริ เหวออออออออออ!!!!!!!!!!!! "



ลืมตัวกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักยาบุด้วยความตกใจ ทันทีที่เห็นว่าไดกินั่งอยู่ตรงโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างๆ



"ไดจัง~ มาตั้งแต่เมื่อไหร่"



"นี่ยูโตะ"



"อะไรเหรอ"  ขานรับแบบเหงื่อแตกพลั่กๆ ไดกิโหมดนิ่งน่ากลัวกว่าโหมดโหดเป็นไหนๆ แง้~ พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วยยยย



"เล่าเรื่องเมื่อกี๊ให้ฟังอีกทีได้ไหม"







+++++++++++++++++++







สองวัน...



สองวันแล้วที่ได้ฟังเรื่องทุกอย่างจากยูโตะ  หลังจากนั้น ไดกิก้กลับเข้าห้องโดยไม่พูดอะไร ไม่ตอบคำถามใครซักคำ



สองวัน...



ที่ต้องมานั่งกลุ้ม ว่าควรจะทำยังไงดี ที่จริงไดกิจะปล่อยให้มันผ่านไป ถือซะว่าความช่วยเหลือในวันนั้นลบล้างหายกันกับที่เขาเกือบจะถูกทำมิดีมิร้ายเพราะความเข้าใจผิด แต่ในใจส่วนลึกกลับบอกว่าอย่างน้อยเขาก็ควรจะขอบคุณ ที่ฝ่ายนั้นยอมเจ็บตัวเพื่อช่วยเขา



ก็เลยต้องพาตัวเองมาอยู่หน้าห้องเดิม  หน้าบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ติดหมายเลข 1412 เป็นตัวอักษรสีทอง แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ ไดกิไม่กล้าเคาะประตูเรียกคนข้างใน สองวันมานี่พาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องซักยี่สิบหนได้ แต่พอตัดสินใจจะเคาะประตู  ขาเจ้ากรรมดันพาเดินหนีมาซะเฉยๆ



ทำไมไอ้คนที่อยู่ข้างในถึงไม่รู้จักโผล่หน้าออกมาจากห้องบ้างนะ!



"มีอะไรรึเปล่า?"



ร่างบางกลับหลังหันด้วยความเร็วแสง พอเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใครก็ตกใจก้าวถอยหลังชนประตูเสียงดังสนั่น



"โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!"



น้ำตาแทบร่วง  เจ็บหลังไม่พอยังเอาหัวโขกประตูอีก  ร่างสูงรีบประคองอีกคนเอาไว้ไม่ให้ล้ม



"เจ็บมากรึเปล่า"



"เพราะคุณนั่นแหละ โผล่มาเงียบๆทำไม"



"ไหนขอดูหน่อย หัวแตกรึเปล่า อยู่นิ่งๆซิ"



ฮึดฮัดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะก้มหัวให้อีกฝ่ายดู แต่ก็สะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ปลายนิ้วอุ่นกดลงตรงบริเวณที่ถูกกระแทก  ขยับนิ้วกดหนักเบาสลับกันไปช้าๆ  จากที่เจ็บก็คลาย สบายจนอยากจะหลับมันซะตรงนี้เลยจริงๆ



"สงสัยต้องหาอะไรประคบด้วย"



เงียบ...



ร่างสูงละสายตาจากกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน เอียงคอมองใบหน้าที่ยังก้มต่ำด้วยความกังวล แล้วก็ต้องอมยิ้ม เพราะคนที่เพิ่งโวยวายว่าเจ็บนักหนากำลังหลับตาพริ้มสบาย  เหมือนลูกแมวเวลามีใครมาเกาคางให้ยังไงยังงั้น



"มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ"



เสียงแหบๆต่ำๆ อย่างคนสูงวัย ทำให้ไดกิต้องลืมตาพรึ่บ ตัวแข็งไม่กล้าขยับไปไหน



ทำไมหนอ ..ทำไม ต้องมาเจอตาแก่ผู้จัดการจอมเคร่ง หัวงู เอาตอนนี้ด้วย  คราวก่อนแค่คุยกับลูกค้าไม่กี่คำก็โดนเรียกพบ หาว่าทำตัวไม่เหมาะสม เล่นหัวกับลูกค้า ถูกดุก็ไม่เท่าไหร่ แต่ต้องไปอยู่กันสองต่อสองในห้องทำงานของตาแก่ลามกนั่นต่างหากที่น่ากลัว คราวที่แล้วรอดมาได้เพราะมียูยะ แต่คราวนี้คงไม่รอดแหง..



ทำไงดี?...



ไม่มีทางเลือก  มือบางคว้าคอเสื้อคนตรงหน้า ดึงเข้าหาตัว หวังใช้แผงอกหนากับไหล่กว้างเป็นที่กำบัง



"ช่วยบังผมไว้ที"



"หืมม์?"



เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าพูดอยู่กับอกเขา เสียงที่ได้ยินจึงเป็นแค่เสียงงึมงำจับใจความไม่ได้ ร่างสูงจึงต้องก้มหน้าลงไปจนชิดแก้มใส เพื่อฟังให้ชัดๆ



"อย่าให้ตาแก่นั่นเห็นหน้าผมนะ  ช่วยที  ขอร้องล่ะ"



ถึงยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ร่างสูงก็ยอมให้ความร่วมมือโดยโอบกอดร่างเล็กไว้ ให้ใบหน้าน่ารักซ่อนอยู่ในวงแขนแกร่ง และไดกิก็ซบใบหน้าลงกับอกอุ่นเป็นการตอบรับ



แล้วหลังจากนั้น...



ทุกอย่างก็ดูจะเบลอไปชั่วขณะ ร่างบางรับรู้ได้เพียงไออุ่นที่โอบล้อมกาย กับพิษไข้ที่ดูจะไม่หายขาดสักที เสียงสนทนาของร่างสูงกับเสียงอึกอักของใครอีกคนก็เป็นเหมือนเสียงวิทยุที่สัญญาณขาดๆหายๆ แว่วเสียงสัญญาณปลดล็อคจากคีย์การ์ด ก่อนที่ทุกอย่าง จะค่อยๆเลือนหายไป....









+++++++++++++++++++++










"ไม่สบายขนาดนี้แล้วยังจะมาทำงานอีก"



นี่เป็นเสียงแรกที่ได้ยินชัดเจนหลังจากที่เข้ามาอยู่ในห้องแล้ว ร่างบางยอมถูกตำหนิโดยไม่ปริปากซักคำ ขอให้คนอื่นช่วย แต่เกือบจะทำเสียเรื่องซะเอง  อยู่ดีๆก็ไข้กลับเกือบจะเป็นลมไปซะอย่างนั้น ทำให้ร่างสูงพลอยตกใจไปด้วย พอประคองกันเข้ามาในห้องได้ ก็กุลีกุจอหาผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้เช็ดหน้า



ซึ่งไดกิก็ไม่มีอะไรจะพูดนอกไปจากคำว่าขอบคุณ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



"เอ้านี่"



ร่างสูงยื่นขวดน้ำเย็นให้ เปิดฝาให้พร้อม ไดกิรับมาดื่มอย่างว่าง่าย  ปกติแล้วไดกิแทบจะไม่แตะอะไรในตู้เย็นของห้องพักในโรงแรมถึงแม้ว่าแขกที่มาพักจะเต็มใจและอนุญาตก็ตาม เพราะรู้ว่าราคาของพวกนี้บวกกับเซอร์วิซชาร์จแล้วมันแพงแค่ไหน  แต่ครั้งนี้สายตาที่เป็นกังวลและห่วงใยของอีกฝ่ายสามารถเอาชนะความดื้อดึงของร่างบางได้ดียิ่งกว่าคำขู่เสียอีก



"ขอบคุณ"



"คำนั้นน่ะพูดแค่ครั้งเดียวก็พอแล้วล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว"



น้ำเสียงที่ติดจะหงุดหงิดนิดๆทำให้ร่างบางต้องเงียบไปอีก แล้วต่างฝ่ายก็เงียบกันไปจนกระทั่งร่างสูงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นก่อน



"น่ากลัวมากเลยเหรอ ผู้จัดการคนนั้น"



"ก็..ไม่เชิงหรอก แต่มายืนคุยกับลูกค้าแบบนี้มันไม่ค่อยจะเหมาะ"



นัยน์ตาคมหรี่มองอย่างสงสัย  คนที่เขาได้พบเมื่อครู่ ไม่มีคุณสมบัติใดๆที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้จัดการโรงแรมหรูแบบนี้ได้เลย ทั้งการแต่งตัว ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อสูทเก่าๆดูก็รู้ว่าผ่านการซักรีดมาแบบไร้การเอาใจใส่ บุคลิกภาพ แม้ไม่ถึงขั้นเดินหลังค่อมถือไม้เท้า แต่ไหล่ก็งองุ้ม ไม่น่ามอง พนักงานต้อนรับหน้าประตูยังดูมีสง่าราศีกว่าซะอีก  รักษามารยาทต่อหน้าลูกค้าก็ทำไม่เป็น  ขนาดว่าไดกิอยู่ในอ้อมกอดของเขา ยังพยายามจะชะโงกหน้าเข้ามามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น



และที่สำคัญ....



พูดภาษาอังกฤษไม่ได้.. เป็นไปไม่ได้ว่าคนที่มีตำแหน่งระดับนี้จะพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น  เมื่อกี๊ลองพูดขอยาแก้ปวดเป็นภาษาอังกฤษ  นอกจากจะฟังเขาไม่รู้เรื่องแล้ว  ยังเดินหนีอีกต่างหาก



มีผู้จัดการแบบนี้  ถ้าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมคงปวดหัวตาย



ไดกินั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง นั่งมองอีกฝ่ายที่กำลังขมวดคิ้วยุ่ง ด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบ ถึงตอนนี้ก็สองครั้งแล้วที่ได้รับความช่วยเหลือ คนๆนี้ก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก



ถ้าไม่นับเรื่องที่ซื้อบริการจนเข้าใจผิดเกือบจะปล้ำเขา!



"ทำไมคุณถึงคิดว่าผมขายตัว?"



"มีคนโทรมาเสนอ ฉันตอบตกลง แล้วนายก็มาเคาะประตูห้องฉันน่ะสิ"



ไม่รู้อะไรดลใจให้ไดกิถามทะลุความเงียบขึ้นมาแบบนั้น ซึ่งเป็นการทำพลาดอย่างยิ่ง  เพราะคำตอบที่ได้รับ ทำให้ความรู้สึกดีๆที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหายวับไปเกือบหมด พ่อคุณเล่นตอบหน้าตาเฉย เหมือนเคยทำเป็นเรื่องปกติ



"อย่าทำหน้าแบบนั้นน่า เพื่อนฉันเคยมาพักที่นี่แล้วก็มีโทรศัพท์แบบนี้เหมือนกัน ฉันเลยอยากรู้ว่ามันจริงรึเปล่า ก็แค่นั้น"



ไดกิหัวเราะหึๆแบบไม่เชื่อสุดฤทธิ์ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระของเขาที่จะต้องรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เขามาที่นี่เพื่อขอบคุณและก็ได้ทำไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องไปเสียที



"ผมต้องไปแล้ว "



ร่างสูงเดินมาส่งจนถึงประตู คอยดูข้างนอกก่อนที่ร่างบางจะออกจากห้องเผื่อมีใครเดินผ่านมาเห็น แต่ก่อนหน้านั้น...



"เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม?"



ร่างบางอึ้งไปกับคำขอที่ไม่คาดว่าจะได้ยิน  ความคิดแรกที่แวบขึ้นมาคือ  คนๆนี้ไว้ใจได้แค่ไหน? ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้าผุดขึ้นมาตีกันให้วุ่นวาย ถ้าเป็นแค่คนรู้จัก ไดกิอาจจะตอบรับได้โดยไม่ต้องคิดอะไร  แต่ความเป็นเพื่อนสำหรับเขา  มันมีความหมายมากเกินกว่าจะมอบให้ใครง่ายๆ



แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ไดกิก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกับมือหนาที่ยื่นออกมารออยู่ก่อนแล้ว



มือนั้นอุ่น...อุ่นจนแก้มร้อนขึ้นมาอีกแล้ว...



"ฉันชื่อเคย์โตะ ยินดีที่ได้รู้จัก"



ตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก้มหน้ามองพื้นโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ทำไม แต่พอเห็นรอยยิ้มของร่างสูงที่มอบให้แล้วมันเขิน  ยิ่งได้สบตาคู่นั้นแล้วก็ต้องหลบสายตา เหมือนกลัวว่าสายตาคมๆนั่นจะมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจ ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรซ่อนไว้ซักหน่อย



"ถ้างั้น  ไว้เจอกันใหม่นะ"



ร่างสูงเปิดประตูให้ ผายมือไปด้านข้าง ทำท่าเหมือนพนักงานต้อนรับที่ประตูหน้า คอยเปิดประตูให้แขกที่มาพัก กล่าวกล่าวคำต้อนรับว่า  "เชิญครับคุณผู้หญิง"  ไม่มีผิดเพี้ยน



ร่างบางขมวดคิ้วฉับ รู้สึกขุ่นใจขึ้นมาซะเฉยๆ ก้าวพ้นประตูไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งท้ายคำพูดให้ร่างสูงได้ย้อนกลับมาว่า



"ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยนะ ผมจะถือซะว่าหายกันกับที่คุณเข้าใจผิด  แต่เรื่องจูบน่ะ  ไม่ยกโทษให้หรอกนะ!"



"ฉันก็ยืนยันคำเดิมเหมือนกัน  ว่าไม่ขอโทษ"



ร่างสูงแกล้งยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แล้วก็หัวเราะน้อยๆ ตอนที่แก้มใสเริ่มพองด้วยความโกรธ  ก่อนจะแก้วหูสะเทือนเพราะเสียงปิดประตูโครมใหญ่



น่ารักจริงๆน๊า~








++++++++++++++++++++++++++++





To be con............

Monday 5 September 2011

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) One


Fiction

Title  :  The day  we  kissed   One...

Writer  :  Nalikakeaw

Pairing  : _ _ _ x _ _ _

Rate  : ---?---







เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลือนหายราวกับเป็นความฝัน  ไดกิมองแสงจ้าลอดผ่านรอยแยกผ้าม่าน กระพริบตาให้ชินกับแสงอยู่ชั่วครู่  แล้วใบหน้าของใครบางคนก็ผ่านเข้ามา พร้อมๆกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน


"ยูริ!!!!!"



ไดกิพรวดพราดลุกขึ้นมากอดน้องเล็กไว้แน่นทั้งๆที่ยังเจ็บไปทั้งตัว  กอดจะดันร่างนั้นออก มองหาสิ่งผิดปกติที่อาจจะมีมากกว่าที่เห็น และก็ไปหยุดอยู่ตรงที่เดิม......



ความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมาอย่าห้ามไม่อยู่ เจ้าพวกนั้น!!!! คราวนี้อย่าหวังว่าจะว่าจะยอมลงให้  เขาต้องเอาเรื่องพวกมันให้ได้


"ยังมีไข้อยู่เลยนะไดจัง"


ยูริรีบห้าม แต่ไดกิไม่สนใจจะฟัง พยายามจะลุกจากเตียงให้ได้ เดือดร้อนถึงใครอีกคนต้องเข้ามาประคองกึ่งบังคับให้กลับไปนอนที่เตียง แต่ก็ต้องถอยฉากออกมาแทบไม่ทันเมื่อเจอเข้ากับสายตาดุๆของคนป่วย


"เมื่อวานนายหายไปไหนมา ทำไมถึงปล่อยให้ยูริอยู่บ้านคนเดียว!"


"ไดจัง ฉั-"


ถึงตอนอยู่ที่โรงเรียนจะภูมิใจหนักหนาว่าตัวสูงกว่าใคร  แต่เมื่อยามอยู่บ้าน ...


"ว่าไงล่ะ ยูโตะ!"


"ก-ก็ ไปซ้อมดนตรีมา"


"เมื่อวานวันเสาร์นะ นายไปซ้อมดนตรีถึงที่ไหนกัน ถึงได้กลับบ้านดึกดื่นขนาดนี้"


ยูริมองคนป่วยที่กำลังโมโหจนแก้มพอง ดูแล้วอาจจะพองลมถึงขั้นท้องแตกตายได้ ผิดกับคนตัวสูงที่ถูกจ้องด้วยสายตาเอาเรื่องจนตัวหด  ถึงจะโกรธยูโตะแอบหนีออกไปซ้อมดนตรีทิ้งยูริให้อยู่คนเดียวตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่เขาก็ไม่อยากให้ยูโตะแบนแต๊ดแต๋เป็นจิ้งจกแปะฝาบ้านเหมือนกัน


"ฉันบอกให้ยูโตะไปเองแหละไดจัง ก็-" ข้อแก้ตัวที่คิดไว้วิ่งหายไปชั่วครู่ เมื่อไดกิตวัดสายตามามองเขา " ก็ยูโตะน่ะซ้อมดนตรีที่บ้านแล้วเสียงดัง ฉันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง"


เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ว่ายามที่ยูโตะอยู่  บ้านที่เคยเงียบสงบเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน  ยามปกติก็ช่างโวยวายอยู่แล้ว  ยามร้องเพลงยิ่งหนัก ไหนจะเสียงถ้วยถัง กะละมัง หม้อ ที่เจ้าตัวเอามาใช้แทนกลองอีก


คิดแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้  พอไดกิยิ้มคนมองก็พลอยใจชื้น


"งั้นก็ควรจะกลับบ้านก่อนค่ำสิ เมื่อวานนายกลับถึงบ้านกี่โมงกัน"


แต่ก็ไม่วายดุเข้าให้อีกรอบ ยูโตะหุบยิ้มฉับ พร้อมๆกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปทางยูริทันที


"หลังจากที่ไดจังกลับมาแป๊บบบ เดียวเอง "


"ใช่ๆ พอกลับมาถึงพวกมันก็ไปกันหมดแล้ว ยูริก็ปลอดภัยแล้วด้วย"


ยูริปลอดภัย แต่ถ้ายูโตะไม่พูดอะไร ชีวิตอาจจะปลอดภัยมากกว่านี้ เพราะคำพูดเมื่อครู่ ดันไปจี้ต่อมโมโหของไดกิให้เดือดขึ้นมาอีกจนได้


"งั้นเหรอ นายเห็นรอยนี่แล้วยังบอกว่าปลอดภัยอีกงั้นสิ"


ปลายนิ้วจิ้มจึ้กลงบนคอขาวๆ บนรอยแต้มสีแดงที่ทำให้ตัวเองสติแตกจนต้องเจ็บตัวแบบนี้ ยูริหน้าแดงก่ำ แทบจะมุดหนีลงไปในกองผ้าห่มให้มันรู้แล้วรู้รอด  แต่ติดที่ว่ามันจะไม่รอดเพราะไอ้รอยยิ้มของคนตรงหน้านี่แหละ


"มีอะไรน่าดีใจหรือไง?"


ไดกิทั้งงุนงงทั้งขุ่นเคืองใจ คิดอยู่สิบตลบก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะมีอะไรดีหนักหนา ยูโตะถึงได้ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหู แถมยังทำตาเป็นประกายวิบวับจนคนมองลืมความโกรธไปชั่วขณะ


"ไดจังอยากรู้จริงๆเหรอ" ถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เดินเข้าไปหายูริ ดึงร่างเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน " รอยนี่น่ะ ฉันเป็นคนทำเองล่ะ!"


ยูริตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ


คราวนี้ตายแน่แล้วยูโตะ...



...........................................


...................



..............


.........



ยูริค่อยเดินออกจากห้อง ปิดงับประตูให้เบาที่สุด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ ให้สมกับที่เหนื่อยมาทั้งวัน ดูแลคนป่วยขี้โมโหว่าเหนื่อยแล้ว แต่การต้องคอยรับมือคนที่คอยจุ๊กจิ๊กกวนใจอยู่ข้างๆยิ่งเหนื่อยกว่า ยังดีที่ไดกิโมโหจนไข้กลับ ยูโตะเลยรอดมาได้แบบหวุดหวิด


"ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา ยูริไม่เห็นว่าอะไรเลยตอนที่ฉันจูบน่ะ"


"พูดมากน่ะยูโตะ"


ยูริหน้าแดงอีกรอบ   ก็เล่นทีเผลอมาจูบตอนหลับนี่นา  แล้วยังมาทำรอยไว้ที่คอนี่อีก   ไดกิคงคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น


ก็เราน่ะ...เป็นพี่น้องกันมาตั้งนาน


"ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆซักหน่อย"  ยูโตะยังหาเรื่องบ่นได้ไม่จบ "รอยแบบนี้ไดจังก็มีเหมือนกันนี่ แถมเมื่อคืนก็-"


ยูโตะลดเสียงลง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ในเมื่อตอนนี้อยู่กันแค่สองคน


"เมื่อคืนน่ะไดจังก็นอนกอดแฟนตัวเองทั้งคืนเลยด้วย"


แล้วจะกระซิบเพื่อ..?  เมื่อคืนยูริก็เห็นเหมือนกัน  สิ่งที่ยูริเห็น มันมากกว่าที่ยูโตะรู้ซะอีก เห็นตั้งแต่ตอนที่ใครคนนั้นก้าวเข้ามาในบ้าน ตอนที่เจ้าพวกนั้นถูกซัดลงไปกองกับพื้น ตอนที่ไดกิถูกอุ้มขึ้นมาบนห้อง หรือแม้กระทั่งตอนที่....


....จูบ.....



แม้แต่คนที่ยืนมองอย่างยูริยังสัมผัสได้ ว่ามันช่างอบอุ่น อ่อนหวาน สักแค่ไหน ในยามนั้นไดกิไม่ได้เป็นพี่ชายรองของบ้านอย่างที่เคยรู้จัก แต่กลายเป็นเจ้าหญิงที่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าชายรูปงามให้พ้นจากเงื้อมมือของปีศาจร้าย แล้วเจ้าชายยังคอยปลอบขวัญ มอบไออุ่นให้ตลอดทั้งคืน


คนที่เข้าบ้านทีหลังอย่างยูโตะน่ะ ไม่รู้หรอกว่ามันน่าอิจฉาแค่ไหน


................


........


...


..


หลังจากที่ประตูปิดลง คนป่วยกลับลืมตาขึ้นในความมืด อาจเป็นเพราะวันนี้นอนมาแล้วทั้งวัน หรือเพราะมีหลายเรื่องให้ต้องคิดกังวล ไดกิถึงนอนไม่หลับ


เรื่องยูโตะกับยูริ..  ไดกิไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่  ถึงยาบุกับไดกิจะกลับบ้านดึกๆแทบทุกวัน  แต่ตอนเช้าก็ต้องกินข้าวกันพร้อมหน้า และไดกิไม่เคยเห็นวี่แววว่าทั้งคู่จะมีความรู้สึกต่อกันนอกเหนือจากความเป็นพี่น้องเลยซักนิด


แล้วความรู้สึกนี้.........มันเกินเลยไปถึงไหนแล้วนะ....



รอยจูบบนต้นคอยูรินั่น...


.....

..
..

ไม่ๆๆๆๆๆ!!!!  ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด  เห็นเป็นเด็กบ้าบ๊องแบบนั้น ยูโตะก็เป็นเด็กมีหัวคิด



 มั้ง? .....



เหอะ! ถึงอย่างนั้นเขาก็คงจะไว้ใจยูริได้น่า..


ร่างบางพลิกตัวตะแคง  ใจคิดไปถึงเหตุการณ์ในคืนก่อน ถ้าหากว่าไดกิมาถึงช้ากว่านั้นสักนาที ใครจะบอกได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับยูริ!


คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงตาปิดแน่น ปวดหัวจนต้องพลิกตัวคว่ำ กดใบหน้าลงกับหมอน


คราวนี้คงต้องทำอะไรให้เด็ดขาดเสียที!


พลิกตัวนอนหงาย  ถอนหายใจเฮือกยาว  พยายามข่มตาให้หลับจะได้มีแรงเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันต่อไป แต่ก็ทำไม่ได้



นิ้วเรียวยกขึ้นแตะลงบนริมฝีปากนุ่มอย่างครุ่นคิด  สัมผัสอุ่นๆจากปลายนิ้วบอกว่ายังมีความทรงจำอีกส่วนที่เขาลืมนึกถึงมัน


คืออะไรกันนะ...


...........



....



...


..


เสียงโครมคราม ปลุกให้คนเพิ่งสร่างไข้ตื่นจากความฝันอันสับสน กระโจนจากเตียงพรวดเดียวถึงบันได


เพื่อมาพบกับสภาพอันไม่น่าดูของสองสมาชิกร่วมบ้าน


ยูรินอนฟุบอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย  พยายามดิ้นรนให้หลุดจากการโดนเสาไฟฟ้าล้มทับเสี่ยงต่อการทำให้กระดูกหักอย่างยิ่ง


"ยูโตะ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ!!!" แหวแว้ดใส่คนทำเนียนไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนซักที อยากให้ยูริแบนเป็นกล้วยตากหรือยังไง


"ก็เจ็บนี่นาจะให้ลุกได้ยังไง ยูริอย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวไดจังก็ตื่นหรอก"


ไม่ทันแล้วมั๊ย ถ้ายูโตะจะเงยหน้าขึ้นมาสักหน่อยก็จะเห็นว่าไดกิอยู่ตรงนี้ แต่นี่ยังออดอ้อนหงุงหงิงใส่ยูริจนน่าหมั่นไส้  มันน่าแกล้งนักเชียว


"พวกนายทำอะไรกันอยู่!"


ได้ผล  ยูโตะกระเด้งตัวจากพื้นประหนึ่งว่าติดสปริง ดึงยูริตัวปลิวขึ้นมาด้วยอย่างง่ายดาย


"ม-ไม่ ไม่ได้ทำอะไรนะ พอดีว่าเราสะดุดล้ม"


"มัวแต่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ล่ะสิ ถึงได้ตกบันได"


ยูโตะอ้าปากจะเถียง แต่ถูกสายตาคมๆจิกจ้อง เลยต้องทำหูตูบเป็นหมาหงอย ไปยืนอยู่ข้างๆยูริ


 กอดในความหมายของไดกิ คือกอดเป้าหมายแล้วเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาเหมือนหมาน้อยได้ของเล่นตามแบบฉบับของยูโตะ ที่เคยทำให้ยาบุหรือตัวเขาเองเกือบต้องตกบันไดมาแล้ว


แต่ดูเหมือนว่ายูริคงจะตีความเป็นอย่างอื่น หัวหูถึงได้แดงขนาดนั้น


เฮ้อ.. แล้วจะไว้ใจได้ซักคนมั๊ยเนี่ย



"ไดจังดีขึ้นแล้วเหรอ"


ยูริถามหวั่นๆ เดาไม่ถูกว่าภายใต้ใบหน้านิ่งๆนั้นไดกิกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน นึกถึงเมื่อวานแล้วยังขยาดไม่หาย ถ้าเกิดว่าไดกิไม่ได้ไข้กลับหน้ามืดไปซะก่อน ทั้งยูริและยูโตะคงถูกอบรมจนหูหลุดไปตามๆกัน เรื่องเก่ายังเคลียร์ไม่จบ มีเรื่องใหม่ให้เห็นคาตาอีกแล้ว


กลัวนิวเคลียร์ระเบิดบ้านซ้ำสอง


"ก็ดีขึ้นน่ะ วันนี้ฉันจะไปทำงาน นายสองคนก็ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวจะสาย"


ปฏิกิริยาตอบกลับผิดคาด  คนฟังเลยเอ๋อ..อึ้ง..  ตะลึงงันไปชั่วขณะ  และไม่ต้องรอให้บอกซ้ำยูริจัดการลากร่างสูงออกจากบ้านไปแบบไม่เหลียวหลัง



ไดกิถอนใจยาว....



ถ้าไม่ได้ทำอะไรเกินเลย...แล้วจะกลัวทำไมเนี่ย


.........


....


...

....
...



สวนสาธารณะในยามสาย แทบจะเรียกได้ว่าไร้ผู้คน วันธรรมดาเช่นนี้ ทั้งเด็กๆวัยเรียน หรือหนุ่มสาววัยทำงาน ต่างก็มีภาระหน้าที่ของตน จึงมีแต่คุณปู่คุณย่าในวัยเกษียนที่มีเวลาว่างออกมาเดินพักผ่อนชื่นชมบรรยากาศอบอุ่นภายใต้ร่มเงาไม้ และผืนหญ้าสีเขียวสด


แต่ผู้สูงวัยไม่ได้ชื่นชมกับความสงบอันแสนสวยงามนั้นได้นานนัก เมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามา


เด็กหนุ่มผู้นั้นมีรูปร่างสูง แต่ค่อนข้างผอม สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำ กับกางเกงยีนส์สีดำสนิท คาดเข็มขัดหนังเล่นลวดลายด้วยการตอกหมุดสีเงิน และรองเท้าผ้าใบ


มองเผินๆ ก็เป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง


เพียงแต่รอยสักบนท่อนแขน.....กลับบ่งบอกถึงสถานะ  สร้างความหวาดหวั่นแก่ผู้พบเห็น


ผู้สูงวัยกว่าย่นคิ้วเป็นเชิงไม่พอใจเมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่าน อีกคนนั้นหวาดหวั่น รีบเร่งออกจากที่ตรงนั้นไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาวัยชราจะพาไปได้


เด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่เดินห่างออกมา  ชินชาเสียแล้วกับสายตาและกิริยาเช่นนี้


คนเรามักตัดสินทุกสิ่งด้วยสายตา  ใช่มองหาเนื้อแท้ในหัวใจ


มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่มองเห็นตัวตนของเขาอย่างที่เป็นจริงๆ และหนึ่งในไม่กี่คนนั้นก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว


"ฮิคารุ"


เด็กหนุ่มยิ้มรับผู้มาใหม่ ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างยินดี นานแล้วสินะที่ไม่ได้เจอกัน


"ไง สบายดีอยู่นะนายน่ะ ยังทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำอยู่เหมือนเดิมล่ะสิ มิน่าถึงไม่โตซักที"


ทักทายตามสไตล์ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบลูกเตะที่พุ่งมาหมายชายโครงไปได้อย่างหวุดหวิด


"นานๆจะเจอกันที ทักกันแบบนี้เรอะ"


"ก็จริงนี่หว่า นายมันผอมเกินไปแล้ว หัดสะสมไขมันไว้ซะบ้างเวลาจำศีลหน้าหนาวจะได้ไม่ลำบาก"


ว่าแล้วก็ก้าวถอยหลบลูกเตะอีกหน แต่คราวนี้พลาด เพราะอีกฝ่ายเล็งต่ำลูกเตะเลยฟาดเข้าที่หน้าแข้งแบบเต็มๆ ฮิคารุร้องจ๊าก กุมขาข้างที่โดนเตะกระโดดเหย็งๆ มีเสียงหัวเราะด้วยความสะใจของอีกฝ่ายเป็นซาวด์แทร็ก


หากเป็นคนอื่นทำแบบนี้ อาจจะมีเรื่องเดือดร้อนตามมาในภายหลัง แต่สำหรับไดกิ ฮิคารุยกเว้นให้ได้ทุกกรณี ต่อให้ถูกแกล้งหนักกว่านี้ เขาก็จะไม่ให้ใครหน้าไหนแตะคนๆนี้ได้เป็นอันขาด


"หน้าตาก็น่ารักดี แต่มือหนักตีนหนักชิบ-"


"สมน้ำหน้า"


ว่าพลางทรุดตัวลงนั่งบนผืนหญ้าริมสระ รอให้อีกฝ่ายนั่งตามถึงเอ่ยถามทักทายบ้าง


"นายสบายดีไหม"


"ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิม"


แสดงว่ายังมีปัญหากับที่บ้านอยู่สินะ  แววตานายมันบอกแบบนั้น


ฮิคารุเป็นเด็กมีปัญหาตามแบบฉบับของลูกคนรวยที่เห็นได้เกลื่อนกลาดในสังคม ที่พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยเงินมากกว่าความรัก ขาดความอบอุ่น ติดเพื่อน ตั้งแก๊งค์กวนเมือง เป็นอันธพาล


ไม่มีความดีให้น่าคบหา..ไม่มีคุณค่าให้ชื่นชม ในสายตาคนอื่น


รวมทั้งพ่อที่เป็นนักธุรกิจใหญ่


แต่สำหรับไดกิแล้ว  ฮิคารุเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เมื่อใดที่ต้องการความช่วยเหลือ ฮิคารุจะมาทันทีไม่เคยมีเหตุผลบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงอนแม้ซักครั้ง


เหมือนวันนี้  เพียงแค่ไดกิบอกว่าอยากเจอเท่านั้น


"วันนี้เรียกฉันมามีอะไรรึเปล่า" น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเหมือนทุกครั้งที่ได้พบ ไดกิหยิบซองสีน้ำตาลที่ประคองมาตลอดทางยัดใส่มือเพื่อนด้วยความรวดเร็ว


"ไม่มีอะไร ฉันแค่เอาเงินมาคืนนาย ติดหนี้มานานแล้ว"


เงินที่ยืมไปเมื่อครั้งที่ยูริป่วยหนัก ต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษา เพราะไม่มีใคร หรือที่ไหนจะให้พึ่งพาถึงต้องเอ่ยปากขอยืมเงินทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำซักครั้ง


และตั้งแต่วันนั้น ฮิคารุไม่เคยทวงถามอีกเลย


"ฉันบอกแล้วว่าฉันให้นาย ยังจะเอามาคืน อีกฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงนายน่ะ"


"รับไปเถอะ ฉันไม่อยากเป็นหนี้ใคร แล้ววันนั้นฉันก็บอกว่าฉันขอยืมไม่ได้ขอเงิน นายฟังภาษาคนรู้เรื่องรึเปล่าล่ะ"


ฮิคารุส่ายหน้าระอาเอือมในความยโสและดื้อรั้นของไดกิ แต่พอเห็นเงินในซองแล้วก็ต้องชะงัก แม้ไม่ครบตามจำนวนที่ให้ไป แต่มันก็มากพอดู


เขารู้.. เงินจำนวนนี้ คงเป็นเงินเก็บของเจ้าตัวแน่


"ไดจัง  เกิดอะไรขึ้น"


การที่ไดกิส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่มีอะไรนั้นยิ่งทำให้ฮิคารุรู้ว่ามันจะต้องมี อะไร แน่ๆ เหตุผลที่ต้องเอาเงินเก็บทั้งหมดมาใช้หนี้เขา ที่ไดกิไม่ยอมบอก และมันทำให้คนเลือดร้อนอย่างฮิคารุเดือดขึ้นมาทันที


"แล้วฉันจะรีบหาส่วนที่เหลือมาคืนให้"


"นายจะหาจากไหน จะไปขอจากหมอนั่นงั้นเหรอ มันคงให้หรอก คนเห็นแก่ตัวพรรค์นั้น"


แววตาหม่นหมองของเพื่อนรักทำให้อารมณ์ดุเดือดคลายลง แต่ในไม่กี่วินาทีนั้นความโกรธก็พุ่งพล่านขึ้นใหม่ ทันทีที่สังเกตเห็นร่องรอยบนผิวขาวจัดใต้ผ้าพันคอที่เจ้าตัวไม่ยอมถอดออกทั้งที่ตอนแรกวิ่งมาจนเหงื่อแตกพลั่ก


ฮิคารุจ้องมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่บัดนี้เผยความยุ่งยากใจออกมาอย่างชัดเจน


"ไดจัง ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกัน บอกฉันมาให้หมดเดี๋ยวนี้"


...



.....



...



....



...


"ไอ้พวกลูกหมา!!!! ฉันจะฆ่ามัน!!!!!!! "


โพล่งออกมาลั่นสวนสาธารณะด้วยความโกรธสุดขีด นักศึกษาสองคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้นรีบเก็บข้าวของเดินจากไปด้วยความตกใจ   ฮิคารุไม่สนใจ ฉวยมือบางที่ยังหลงเหลือรอยช้ำ ออกแรงดึงให้เดินไปด้วยกัน


"นายจะพาฉันไปไหน?"


"ไปจัดการไอ้พวกบ้านั่น นายจำหน้ามันได้ บอกฉัน แล้วมันจะไม่ได้โผล่หน้าไปเจอใครได้อีก"


"ไม่ไป!"


ขืนตัวยื้อไว้สุดฤทธิ์  เพราะนิสัยคนอย่างฮิคารุ  กับคนที่รักก็ดีสุดหัวใจ แต่ถ้าเกลียดใครแล้วก็ร้ายได้สุดขั้ว เกิดฆ่าคนได้จริงอย่างปากว่าแล้วจะทำยังไง


"ไม่ได้! มันไปทวงเงินจากนายทั้งๆที่ฉันสั่งห้าม ปล่อยไว้ไม่ได้!!"


"แต่...นั่นเพื่อนนาย"


"นายไม่เข้าใจรึไง พวกนั้นน่ะก็แค่เห็นแก่เงินกับอำนาจของพ่อฉัน ที่มันไปทวงหนี้กับนายก็กะจะเนียนหาเงินใช้  เพราะพวกมันรู้ว่ายังไงฉันก็จะไม่มีวันทวงกับนาย  แบบนี้ยังเรียกว่าเพื่อนได้อีกไหม  ไอ้พวกสารเลว!!!"


แม้ถ้อยคำนั้นเกรี้ยวกราดด้วยโทสะ แต่คนฟังกลับรู้สึกปวดหนึบในอก


ชีวิตฮิคารุแวดล้อมด้วยทรัพย์สิน อำนาจ  และผู้คนมากมาย  แต่กลับเดียวดายยิ่งกว่าคนที่ต้องดิ้นรนทุกเช้าค่ำอย่างไดกิซะอีก


....เจ็บปวดสินะ....



"เพราะแบบนี้ฉันถึงต้องรีบเอาเงินมาคืนนายไง พวกนั้นจะได้ไม่มีข้ออ้างมาที่บ้านอีก"


ฮิคารุกุมขมับ ความโกรธเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง เพื่อนรักช่างมองโลกในแง่ดีเสียนี่กระไร  ใครจะบอกได้ว่าคืนเงินแล้วจะไม่ถูกระรานอีก  คนมันจะหาเรื่องซะอย่างเหตุผลไม่จำเป็นต้องมี


เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะบทสนทนา ร่างสูงรับโทรศัพท์เดินออกไปเพียงไม่กี่นาที  ก่อนจะเดินกลับมาด้วยสีหน้างุนงงและประหลาดใจ


"ฉันว่าเจ้าพวกนั้นคงไม่มีโอกาสไปรังแกใครได้อีกแล้วล่ะ"



..........


.......


...

...



"นายหมายความว่าไง?"


"ก็มีคนโยนเจ้าพวกนั้นเข้าคุกไปตั้งแต่คืนนั้นแล้วน่ะสิ  นายน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ?"


"ไม่รู้"  ก็ดันวูบไปก่อน แถมหลับข้ามคืน ตื่นขึ้นมาก็เป็นไข้ ใครจะมีกะใจถามถึงคนพวกนั้นกัน


"ฝีมือยูโตะ? หรือยาบุ?"


"เป็นไปไม่ได้ ยูโตะบอกว่าตอนที่กลับมาถึงบ้านพวกนั้นก็ไปกันหมดแล้ว ยาบุก็ทำงานกะดึกต่อจากฉันคืนนั้นไม่ได้กลับบ้าน"


"เฮ้ย!!! ถ้างั้นใคร?"


"ไม่รู้"


คิ้วสองคู่ขมวดใส่กัน  ตาสองคู่มองสบกันด้วยความงุนงงสุดขีด


ตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป ทั้งบ้านก็เหลือกันอยู่แค่สี่คน ไม่มีญาติมิตรให้พึ่งพา สองคนถึงต้องทำงานหนัก เพื่ออีกสองคนที่ยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย  วันๆทำแต่งานจนไม่มีเวลาไปสมาคมกับใครที่ไหน


แล้วอัศวินในคืนนั้นมันใครกันวะ?..


"ไปกันเถอะ"


พยักหน้าเดินตามคนตัวสูงกว่าไปอย่างว่าง่าย  ไม่ถามอะไรเลยสักคำ พอคนข้างหน้าหยุดเดินก็หยุดบ้าง แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองซักนิดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ได้ยินแต่ว่าฮิคารุจะแวะทำธุระ โดยที่หยิบบซองเงินหนาไปจากมือเขาด้วย


ผ่านไปครู่ใหญ่ ไดกิก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดยืนอยู่ที่เดิม


นิสัยอย่างหนึ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นนิสัยเสียของไดกิคือ ยามที่มีเรื่องให้ต้องคิด เจ้าตัวก็จะคิดอยู่อย่างนั้นจนลืมสนใจเรื่องอื่นรอบตัว  แต่วันนี้ฮิคารุจะถือว่ามันเป็นเรื่องดีซักวันก็แล้วกัน  กว่าไดกิจะรู้ตัวว่าเขาฝากเงินคืนใส่ในบัญชีให้ก็คงอีกซักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าวันที่เงินเดือนออกนั่นล่ะ


"กลับบ้านเถอะ"


"ฉันจะไปทำงาน"


เออเว้ย!  อย่างน้อยเรื่องงานก็ยังอยู่ในหัว   แต่ที่ห่วงก็จากนี้แหละ  สภาพนี้จะไปถึงที่ทำงานโดยสวัสดิภาพรึเปล่า


"โอ๊ะ !! ขอโทษครับ"


"ไม่เป็นไรครับ"  นักศึกษาผู้เคราะห์ร้ายถูกเดินชนจนข้าวของกระจายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม  แต่เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนจนคนต้นเหตุนึกอะไรไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อไปดี


แล้วฮิคารุที่เดินตามมาก็ดึงแขนไดกิให้ออกจากที่ตรงนั้นไป พร้อมๆกับเสียงเพื่อนๆของนักศึกษาคนนั้นที่ไล่หลังมาอย่างไม่เบานัก


"ชนแล้วก็เดินหนี  ไม่มีมารยาท!"


"คนพวกนี้ไม่ได้รับการสั่งสองเรื่องมารยาทมาหรอก อย่าสนเลย"


"เขาก็ขอโทษแล้วไงล่ะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน"


เป็นนักศึกษาคนเดิมที่ออกโรงห้ามปรามเพื่อนๆ  ก่อนจะเดินออกไปจากที่ตรงนั้น เหมือนที่ทั้งสองคนกำลังเดินจากมาเช่นกัน




...........


........


....


..



คนพวกนี้?  พวกไหน


คนแบบเขา ในสายตาของนักศึกษาพวกนั้น เป็นคนแบบไหนกันนะ  คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ


แล้วก็ไม่เข้าใจ... สายตารังเกียจเดียดฉันท์ ของคนพวกนั้นด้วย


คิดมาตลอดทั้งๆที่ฮิคารุบอกแล้วว่าไม่ต้องคิดมาก   แต่ก็คิด....  ครุ่นคิดจนลืมทุกสิ่ง


เมื่อกี๊ฮิคารุบอกเขาว่าไงนะ.....


อย่ามัวแต่คิดมากจนเซ่อซ่าเดินไปชนชาวบ้านเค้าล่ะ!


พลั่ก!!!!


"มาพอดี กำลังรออยู่เลย"


ไดกิเงยหน้ามองใครคนหนึ่งที่เขาพึ่งจะเดินชน  ตอนแรกก็นึกว่าเดินชนกำแพงซะอีก ที่ไหนได้กลายเป็นคนร่างสูงบวกหนา  มิน่าเขาถึงได้เป็นฝ่ายลงไปกองอยู่กับพื้นเสียเอง


"ไดจังนี่นะ เมื่อไหร่จะเลิกทำนิสัยแบบนี้ซักที"


อีกหนึ่งร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆกันบ่นเบาๆ พร้อมๆกับช่วยพยุงไดกิให้ลุกขึ้น พลางมองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย


ว่าแต่สองคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?


"นายมาก็ดีแล้ว ไดจัง ช่วยพายาบุกลับบ้านไปทีซิ  ไม่สบายยังไม่หายดีแล้วยังจะฝืนไปทำงานอีก"


"นายไม่สบายเหรอ?"


"โรคเดิมน่ะสิ คราวนี้ถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเลยล่ะ แล้วแทนที่จะกลับบ้านไปพักยังดื้อจะไปทำงานฉันเลยต้องลากมานี่"


บทสนทนานี้ ยาบุไม่ได้อ้าปากพูดเลยสักประโยคเดียว มีแต่ ทาคาคิ ยูยะ เป็นฝ่ายตอบคำถามล้วนๆ และเจ้าตัวก็คงจะหัวเสียกับความดื้อดึงของยาบุอยู่ไม่น้อย


ไดกิเข้าใจความเป็นห่วงของยูยะ  แต่ก็เข้าใจยาบุด้วยว่าทำไมถึงห่วงงานขนาดนั้น  วันหยุดหนึ่งวัน เท่ากับขาดรายได้ ไหนจะโอที ไหนจะทิป เงินทั้งนั้น


"นายก็น่าจะพักซักหน่อยนะ  ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอก ส่วนของนายเดี๋ยวฉันทำแทนให้"


"ไม่ได้นะ! นายก็ยังไม่หายดี ไข้ก็ยังไม่ลดแล้วรอยนี่อีก ไม่ต้องมาเถียงฮิคารุโทรมาเล่าให้ฟังหมดแล้ว"


ประโยคเดียวได้ใจความ ไม่ต้องถามต่อ และเพื่อไม่ให้เกิดการโต้เถียงยืดยาว ยูยะเลยตัดสินใจจับแขนของยาบุและไดกิคนละข้าง พามุ่งตรงไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ลงทุนซื้อตั๋วให้ทั้งสองคนรวมตัวเองด้วย ตามเข้าไปส่งถึงชานชาลา ก่อนจะขึ้นรถยังกำชับว่า


"ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วย"


สายตาคนพูดจำเพาะเจาะจงไปที่ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆไดกิ คล้ายจะบอกว่า ถ้าไม่โทรมาล่ะมีเรื่องแน่ๆ


เจ้าตัวเลยพยักหน้ารับน้อยๆ


แต่หลังจากที่ประตูปิดลง...


"เจ้าบ้านี่เอาแต่ใจไม่เปลี่ยนเลย! หนอย ทำเป็นมาขู่ นึกว่าตัวเองเป็นใคร "


"กลับไปก็ได้นี่ไดจัง"


พูดแล้วก็ต้องยิ้มน้อยๆให้กับใบหน้าย่นยู่ที่ดูจะคล้ายสุนัขพันธุ์บูลด็อกของอีกฝ่าย  ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่พี่ชายคงโตของบ้าน  ไดกิคงกระโดดกัดหูแล้วแหง


ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับไป แต่กลับไม่ได้ต่างหาก.....


สภาพแบบนี้ลองกลับไปสิ มีหวังถูกไล่ออกจากงานจริงๆอย่างที่ยูยะขู่ไว้แน่ๆ


"ชิ! กลัวที่ไหน  กะอิแค่คุณชายจอมเผด็จการหลานเจ้าของโรงแรม"


ยาบุบอกไม่ถูกว่าระหว่างเขากับไดกิใครจะดื้อกว่ากัน  ตัวเขาเองเป็นประเภทดื้อเงียบ ผิดกับไดกิที่ช่างโวยวายไม่พอใจอะไรก็เสียงดังเข้าข่ม  แต่จะดื้อแบบไหน ก็ถูกทาคาคิ ยูยะ คนเมื่อกี๊ ปราบเสียจนอยู่หมัด  ตั้งแต่สมัยที่เรียนด้วยกันแล้ว


"แล้วนายเป็นไงบ้างล่ะ"


หันกลับมาถามทั้งๆที่หน้ายังหงิก ยาบุที่อยากเปลี่ยนเรื่องคุยอยู่แล้วก็เลยเล่าทุกอย่างให้ฟัง ตั้งแต่วันที่ปวดท้องเพราะอาการโรคกระเพาะ เรื่องที่ยูยะพาไปส่งโรงพยาบาล แล้วก็ถูกคุณชายบ่นไปตามระเบียบ ว่าให้หัดดูแลตัวเองซะบ้าง


สองคนคุยกันเรื่องสัพเพเหระ เหมือนไม่ได้เจอกันมานาน เล่าเรื่องราวของกันและกันตลอดทางกลับบ้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องของคนที่ช่วยเหลือไดกิไว้ในคืนนั้น


"ไม่รู้จริงๆเหรอว่าใคร"


ไดกิส่ายหน้า ตอบว่าไม่รู้ไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็สุดจะนับ ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าบ้านพอดี ยาบุถอนหายใจพร้อมๆกับไขกุญแจเข้าบ้าน


เอ๋?.....  ประตูไม่ได้ล็อค....  ยูโตะกับยูริยังไม่เลิกเรียนนี่นา.....


ยาบุก้าวพรวดเข้าไปข้างในทันที ไดกิตามเข้ามาติดๆ แต่ก้าวยังไม่ทันพ้นประตู ร่างสูงที่อยู่ข้างหน้าก็หยุดกระทันหันจนไดกิเกือบชน


"คุณเป็นใคร?"


ร่างสูงถามแม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่บ้านนี้ไม่เคยมีแขกมาเยือนนานแล้วตั้งแต่พ่อกับแม่ตายจากไป คืนก่อนก็เพิ่งเกิดเรื่องร้าย ยาบุจึงไม่อยากไว้ใจใครง่ายๆนัก


ไดกิมองผู้มาเยือนที่กำลังลุกจากโซฟา เดินเข้ามาหาอย่างไม่วางตา รูปร่างแบบนี้ โครงหน้าแบบนี้ ทรงผมแบบนี้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนน้อ?


แล้วจู่ๆ ไดกิก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนวูบวาบ ริมฝีปากอุ่นขึ้นอย่างไร้สาเหตุ และเมื่อมองร่างสูงตรงหน้าให้ชัดอีกครั้ง ภาพโครงร่างของใครบางคน ภายใต้แสงเงาสีส้มทองของพระอาทิตย์ยามเย็นก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ


"คุ- อื้อ~"


ก่อนจะไดกิจะพูดอะไรได้มากไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็ช่วยทบทวนความจำให้ชัดเจนขึ้นด้วยริมฝีปากร้อนๆบดเบียดหนักหน่วงผสมผสานรสจูบอ่อนหวาน มือหนึ่งช้อนศรีษะให้คนตัวเล็กเงยหน้ารับสัมผัสง่ายขึ้น โอบกระชับเอวบางด้วยแขนแข็งแรง  ปิดกั้นทางหนี


ละจากริมฝีปาก ปลายจมูกโด่งจึงไล้ไปตามแก้มขาวเรื่อยลงไปจนถึงต้นคอ ก่อนจะจะย้ำรอยที่เพิ่งเริ่มจางให้ชัดเจนเหมือนเก่า


"ไม่-..อย่า!!"


ตะโกนจนสุดเสียง แต่ไดกิกลับแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง  ดิ้นรนทุบตีสุดแรง แต่อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้าน และเมื่อพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้คล้อยตาม สติกลับยิ่งจมลึกลงไปกับความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต


สุดท้ายจำต้องปล่อยตัวเองไร้แรงอยู่ในอ้อมอกแกร่ง ให้อีกฝ่ายรุกรานจนกว่าจะพอใจ


และเมื่อริมฝีปากและลมหายใจเป็นอิสระ ร่างบางก็หัวใจเต้นแรง ร้อนไปทั้งตัวเหมือนพิษไข้กำเริบซ้ำ ถึงจะรู้สึกตัวและได้ยินว่าใครพูดอะไรอยู่บ้าง  แต่ก็ไม่มีแรงต่อต้านได้เลย...


"ขอให้เรา..อยู่กันตามลำพังได้ไหม?"


ยาบุพยักหน้าอย่างลืมตัว เพราะสติเพิ่งละลายไปกับฉากจูบเมื่อครู่ กว่ามันจะก่อร่างขึ้นมาใหม่ ทั้งสองคนก็ไม่อยู่แล้ว


มันน่าโมโหตัวเองนัก!!!


แต่ไหนแต่ไร พี่ใหญ่อย่างเขาไม่เคยอนุญาตให้น้องออกไปไหนไกลหูไกลตา ถ้ามีแฟนก็ต้องให้พามาที่บ้าน เพราะความห่วงหวงน้อง กลัวอันตราย


แต่ครั้งนี้กลับพลาดครั้งใหญ่ ปล่อยให้ถูกอุ้มเข้าห้องไปแบบนั้นแล้วน้องยังจะปลอดภัยดีอยู่หรือนี่?




+++++++++++++++++++++++++++++++++

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Intro


Title  :  The day  we  kissed   Intro...

Writer  :  Nalikakeaw

Pairing  : _ _ _ x _ _ _

Rate  : ---?---


ขอบคุณรูปประกอบฟิคจากน้องเฟรมค่ะ











ที่นี่ที่ไหน?

ดวงตากลมมองเห็นทุกสิ่งด้านนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ถูกฉาบไล้ด้วยแสงสีส้มทอง ทั้งท้องฟ้ากว้างไร้เมฆบดบัง ตึกสูงเรียตัวเป็นแนวยาวราวกับภูเขา แม่น้ำสายใหญ่พลิ้วละลอกคลื่นเล่นล้อประกายระยับกัยแสงอาทิตย์ยามค่ำ ผ่านข้ามไหล่กว้างของใครบางคน คนที่มอบอ้อมกอดอุ่น โอบรัดแน่นไร้ทางหนี



คนที่เขาไม่รู้จัก!!!!



ริมฝีปากบางถูกบดเบียด มอบความหวาน แต่ช่วงชิงลมหายใจแทบหมดปอด มือแกร่งประคองศรีษะให้แหงนเงยรับรสจูบ ยาวนาน กระทั่งสองมือบางจิกแน่นลงบนแขนแกร่งด้วยความทรมาน ใบหน้าหล่อเหลาจึงยอมผละจาก  แต่แค่เพียงชั่วครู่ ริมฝีปากบางก็ถูกครอบครองอีกครั้ง



ไม่!!!!



ทั้งที่ควรห้าม ทั้งที่ควรหาทางหยุดยั้ง แต่เรี่ยวแรงกลับไม่มีเหลือให้ทำได้ดั่งใจ จูบแสนหวานยิ่งนำพาสติเตลิดลอยไปไกลเกินรั้ง



จนเมื่ออีกฝ่ายยอมให้ริมฝีปากได้เป็นอิสระ  กอบโกยอากาศได้เพียงครู่ สองแก้มก็เริ่มถูกรุกราน ทั้งจมูกโด่งและริมฝีปาก กดย้ำซุกซน ค้นหากลิ่นละมุนชวนหลงไหล เลื่อนไล้ลงตรงซอกคอขาว



"อย่า!!!"



เสียงร้องแผ่วพร่า ไม่นำพาให้อีกฝ่ายหยุดได้ สัมผัสอุ่นชื้นตรงต้นคอทำเอาร่างบางเข่าอ่อน ไร้เรี่ยวแรงจะยืนไหว ปล่อยให้อีกฝ่ายประคองไว้ในอ้อมแขน



ไม่ไหวแล้ว  ใครก็ได้ช่วยหยุดที!!!!!



เสียงลมหายใจของร่างบางดังสะท้อนเข้าไปถึงในอก ร่างสูงจึงยอมละริมฝีปากจากต้นคอขาวอย่างแสนเสียดาย



ภายใต้แสงอาทิตย์ยามค่ำที่กำลังลับหาย ดวงตาคมมองร่างที่อ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขน กอดกระชับแน่นก่อนโน้มใบหน้าลงชิดใกล้



เรือนผมสีอ่อนซอยสั้นรับกับใบหน้าอ่อนใส  ดวงตาไหวระริก แก้มนวลแดงระเรื่อ ริมฝีปากฉ่ำน้ำหวาน กลิ่นกายหอมอ่อนชวนหลงไหล



แต่อ่อนไหวมากเกินไป ราวกับเสแสร้ง



"ถ้านี่เป็นวิธีการยั่วแบบใหม่  ก็ได้ผลดีเชียวล่ะ"



พูดอะไร ?  ยั่วงั้นหรือ?  เขาแค่มาทำงานเท่านั้น



"หรือว่านี่จะเป็นครั้งแรกจริงๆ"



ถ้อยคำร้ายเรียกสติให้คืนมาทีละน้อย  ครั้งแรกอะไร?  หมายความว่ายังไง?



"มิน่า ค่าตัวถึงได้แพงนัก-"



พลั่ก!!!!!



คนปากร้ายถูกหมัดเลยจนหน้าหงาย แต่แรงหมัดก็ทำได้เพียงแค่ทำให้ผละถอย เพราะเจ้าของหมัดไม่มีแรงแม้แต่จะยืน ต้องยึดประตูเอาไว้เป็นที่พึ่ง



"ผมไม่- ไม่ได้- "



ดวงตาใสเจิดจ้า  ตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ ร่างบางสูดลมหายใจช้า บังคับตัวเองไม่ให้เผลอคว้าแจกันประดับห้องฟาดหัวคนตรงหน้า



"ผมไม่เคยทำ  ไม่-เคย-คิด  ทำอะไรไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้ ไม่มีวัน!!!!"



ร่างบางพาตัวเองพ้นจากห้อง  ปิดท้ายด้วยเสียงปิดประตูดังสนั่นหวั่นไหว ทิ้งให้คนในห้องจมอยู่กับความคิดสับสนเพียงลำพัง



.......



.......



.......



.......





ร่างบางพาตัวเองเข้ามาสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องน้ำ  วันนี้มันเป็นวันอะไร มีแต่เรื่องซวยทั้งวัน  ซวยเรื่องไหนไม่ว่า แต่ไอ้เรื่องล่าสุดที่เจอเนี่ย  โคตรซวย!!!!!

มือบางวักน้ำสาดใส่หน้า หวังให้น้ำช่วยลบล้างร่องรอยทุกสัมผัส กระจกเงาบานใหญ่สะท้อนเงาใบหน้าพราวด้วยหยาดน้ำเล่นล้อกับแสงไฟสีนวล  ผิวใสยังเป็นสีชมพูระเรื่อ  ริมฝีปากเจ่อช้ำยังหลงเหลือความอบอุ่นจางๆ. . .

รสจูบจากคนๆนั้น...

สะบัดหน้าพรืดจนผมกระจาย  แต่ภาพของใครคนนั้นยังเด่นชัดอยู่ในความคิด  ทั้งรสสัมผัส ทั้งอ้อมแขน ไออุ่น ยังเหลือทิ้งไว้ให้หวั่นไหว



อ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!!



อยากเอาหัวไปจุ่มส้วมตายให้มันรู้แล้วรู้รอด  ทั้งๆที่ถูกทำแบบนั้น  แทนที่จะนึกรังเกียจ  แต่หัวใจทรยศกลับเต้นโครมครามยิ่งกว่าตอนเจอสาวที่เป็นรักแรก



ไอ้บ้าเอ๊ยยยย!!!!  ไอ้หื่น!!!  ไอ้โรคจิต!!!



ได้แต่ตะโกนด่าอยู่ในใจ  จะโวยวายก็กลัวคนรอบข้างจะหาว่าเป็นบ้า   เดี๋ยวจะซวยซ้ำซ้อนโดนไล่ออกจากงาน



"นี่นายยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ" เพื่อนร่วมงานเดินออกมาทักทายด้วยความประหลาดใจ  "หรือจะขยันเหมางานสามกะรวด"



ไดกิฝืนยิ้มแห้งๆใส่คนตัวสูงที่อยู่ในชุดพนักงานเต็มยศ  ไม่แน่ใจว่าจะเล่าเรื่องที่เจอให้ฟังดีไหม แต่สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจว่าควรปิดปากเงียบจะดีกว่า  เรื่องน่าอายแบบนี้



"ลืมของน่ะ แล้วทำไมนายมาอยู่ที่นี่ล่ะ"



เหมือนจะเป็นคำถามแปลกๆสำหรับคนที่เดินมาเจอกันในห้องน้ำ  แต่สำหรับที่นี่ถือว่าไม่แปลก เพราะโรงแรมนี้มีกฏห้ามไม่ให้พนักงานใช้ห้องน้ำปะปนกับลูกค้า  การที่มีพนักงานมาอยู่แถวๆนี้จึงไม่สมควรอย่างยิ่ง



"มาสายน่ะสิ  กลัวเข้างานไม่ทันเลยต้องมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำเนี่ย"



คนฟังพยักหน้าหงึกหงักไม่ว่าอะไร  เพราะตัวเองก็ทำอยู่บ่อยๆ



"รีบออกไปกันเถอะ เดี๋ยวตาแก่นั่นเดินมาเจอ"



เป็นที่รู้กันว่า"ตาแก่นั่น" หมายถึงผู้จัดการผู้เคร่งในกฏระเบียบเข้าขั้นบ้า ผิดนิดผิดหน่อยตั้งท่าจะไล่ออกสถานเดียว จะยกเว้นก็แต่คนที่หมั่นประจบเอาใจเลียแข้งเลียขา  ซึ่งเขาทำไม่เป็น  และไม่มีวันจะลดตัวลงไปทำแบบนั้นด้วย





.......



.......



......



......



 กลับมาถึงบ้านเมื่อไหร่ไม่รู้  จำได้แค่ว่าเดินไปสถานีแบบมึนๆ  ขึ้นรถแบบเบลอๆ  ก่อนจะละเมอเดินมาถึงบ้าน



เฮ้ออออ...สงสัยจะโหมงานมากไปละมั้งเรา



"กลับมาแล้-"



ประโยคที่เหลือขาดหายไปทันทีเมื่อมองเห็นว่ามีใครอยู่ในห้องรับแขก  ชายร่างสูงใหญ่สามคนเอนกายเหยียดเท้าอยู่บนโซฟาสีเทาตัวเก่า ที่เขารักหนักหนา ยกขาพาดกับโต๊ะไม้ที่วางไว้เข้าชุดกันอย่างไร้มารยาท



แขกไม่ได้รับเชิญ...



ร่างบางถอนหายใจเฮือก.....เกลียดคนพวกนี้เหลือเกิน  ไม่อยากเอาชีวิตเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยถ้าเป็นไปได้ แต่ครั้งนั้นความจำเป็นมันมีมากกว่า



"ไดจัง.."



น้ำเสียงสั่นๆดังมาจากร่างเล็กแสนบอบบางที่มักจะถูกรังแกอยู่เสมอ หนนี้คงถูกบังคับจับให้นั่งตัก  แล้วก่อนหน้าที่เขาจะมาถึงล่ะ...

ดวงตาใสแดงก่ำ แทบจะร้องไห้อยู่แล้ว  ตอนนี้ยาบุกับยูโตะยังไม่กลับ ไอ้เปรตสามตัวนี่ช่างเลือกวันมาขอส่วนบุญได้ถูกนัก



"ปล่อยน้องผม"



พยายามบังคับน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบที่สุด ทั้งๆที่ในใจอยากขย้ำคนพวกนี้ให้ตายคามือ ส่วนคนฟังก็หาได้สะท้านสะเทือนไม่ ยิ่งกอดร่างเล็กนั่นจนหายใจแทบไม่ออก เสียงหัวเราะของคนที่เหลือยิ่งเร่งให้ความโกรธพุ่งขึ้นจนถึงขีด



"บอกว่าให้ปล่อย!!!"



ไม่พูดเปล่าเดินเข้าไปดึงร่างเล็กออกมาด้วย แต่ก็สู้แรงไม่ไหวจึงยื้อกันไปมาอยู่อย่างนั้น



"ไม่เอาน่าคนสวย พวกเราก็แค่แวะมาทักทายเล็กน้อยๆ ใช่ไหมวะ"



ร่างบางรู้สึกถึงแรงโอบหนักๆที่ไหล่ แต่เขาไม่สนใจ เสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจของพวกนั้นก็เพียงทำให้เขาหูอื้อ  แต่เหนือสิ่งอื่นใด รอยแต้มสีจัดที่อยู่บนต้นคอขาวของน้องเล็กต่างหากที่ ทำให้ความอดทนที่เหลือขาดผึง



ถ้าเป็นเขา  เรื่องแค่นี้ก็พอจะทำทานให้หมาจรจัดข้างทางพวกนี้ได้

แต่กับยูริ....



"อ๊ากกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

เสียงใครบางคนดังอยู่ใกล้เสียจนหูแทบดับ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็แทบจะจำไม่ได้ รู้แต่เพียงว่ามือเท้ามันแกว่งซ้ายป่ายขวาไปสุดแรง หมายจะขยี้อีกฝ่ายให้แหลกคามือเท่านั้น

แล้วอยู่ๆเท้าทั้งสองข้างก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น ก่อนทั้งตัวจะถูกเหวี่ยงไปปะทะกับกำแพงเข้าเต็มแรง  ร่างบางรูดไถลลงไปกองกับพื้น  เจ็บจนไม่อาจจะลุกยืนไหว  ร่างกายหนักอึ้ง  ความเจ็บร้าวจากลำคอแล่นไปทั่วร่าง ลมหายใจถดถอย แว่วเสียงกรีดร้องของใครบางคนดังมาจากที่ไกลๆ

ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง.....



.....



......



......



....



"ไดจัง"



ยูริ?...

ที่นี่...?



รู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น เปลือกตาหนักอึ้ง จนไม่อาจเปิดรับภาพใดได้นอกจาก แสงสีนวลอ่อนจางสั่นพร่าชวนเวียนหัว



"โอ๊ย!!!!"



หลุดร้องลั่นยามที่ใครบางคนพยายามจะประคองตัวเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดแล่นร้าวไปทั่วร่าง ราวกับถูกแทงด้วยเข็มนับร้อยนับพัน



"ให้นอนลงไปอย่างเดิมเถอะ"



เสียงใคร....?



ไม่ใช่ยาบุ...     ไม่ใช่ยูโตะ..



ใคร....?



แล้วร่างบางก็ถูกประคองให้เอนลง  ด้วยอ้อมแขนของใครบางคนที่ แข็งแรงกว่า...



ใคร..?



ร่างบางผลักไส  ดิ้นรนออกจากอ้อมแขนที่ไม่คุ้นเคย   ดิ้น...ทั้งๆที่เจ็บ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ  เสียงของยูริที่ร้องห้าม ทั้งๆที่ได้ยิน  แต่ก็ไม่รับรู้   ในความคิดอันพร่าเลือนนั้นเขารับรู้เพียงอย่างเดียวคือ เจ้าของอ้อมกอดนี้คือคนที่เขาไม่รู้จัก



ไม่!!!!  ออกไป!!!!!!!



เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ



คนชั่วช้า!  น่ารังเกียจ!



ร่างบางเหวี่ยงแขนออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัว รับรู้ได้ว่าฝ่ามือกระทบกับอะไรบางอย่าง  แต่เขาไม่สนใจ เงื้อมือขึ้นอีกครั้ง...



"ไม่เป็นไรนะ ปลอดภัยแล้ว"



เสียงทุ้มห้าวกระซิบแผ่วอยู่ข้างใบหู แต่ร่างบางยังคงส่ายหน้าดื้อดึง  ยิ่งดิ้นทั้งตัวยิ่งถูกรัดแน่น ความเจ็บปวดที่เลือนหายไปชั่วครู่เริ่มกลับมาแผลงฤทธิ์จนไม่อาจจะดิ้นรนได้อีกต่อไป



น้ำตาร่วงรินด้วยความเจ็บปวดและขัดเคืองใจสุดแสน เจ็บใจที่ถูกรังแก  เจ็บปวดที่ปกป้องน้องไม่ได้



"อย่าร้อง"



เหมือนเป็นคำสั่ง  แต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความอ่อนโยน มือที่คอยเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้นุ่มนวล อ้อมแขนแกร่งคอยประคอง มอบไออุ่นแผ่ซ่านลึกเข้าไปในหัวใจ



"อื้อ-"



ครางเสียงแผ่วยามที่สัมผัสนุ่มร้อนประทับลงบนริมฝีปาก  ท่ามกลางแสงสีนวลอันพร่าเลือน ร่างบางไม่รับรู้อะไรนอกจากรสสัมผัสอบอุ่นหอมหวานที่ได้รับ  บดเบียดแนบย้ำซ้ำๆราวกับจะปลอบประโลมทุกความรู้สึก ไออุ่นโอบล้อมร่างกายแม้ไม่คุ้นเคย แต่ก็มอบรู้สึกมั่นคง  ปลอดภัย



"นอนซะ"



ร่างบอบบางเอนลงบนฟูกหนาอย่างว่าง่าย มือบางจับท่อนแขนแข็งแรงเอาไว้แน่น เมื่อสัมผัสได้ว่าไออุ่นเริ่มเลือนหายยิ่งไขว่คว้า  ราวกับว่าไม่อาจอยู่ได้หากไม่มีอ้อมแขนนี้



อย่าไปนะ...อย่าไป



เสียงสะอื้นที่เพิ่งจางหายเริ่มสะท้อนขึ้นในอก  กระทั่งสัมผัสนุ่มร้อนประทับลงที่ริมฝีปาก เคล้าคลออ่อนหวานราวกับจะให้คำมั่น



ว่าร่างบางจะได้หลับไหลอย่างปลอดภัยอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่น ....ตลอดค่ำคืนอันยาวนานนี้



......



........



......



...

To be con...

Sunday 4 September 2011

[Fiction] Once Upon a time...Four






Title -:- Once Upon a time...Four

Writer -:- Nalikakeaw

Rate -:- Not Sure

Pairing -:- HaruYuya


ในฟิคเรื่องนี้มีตัวละครชื่อยูยะสองคนนะคะ  ถ้าใครงง ให้ย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้านั้น เพราะว่ามันมีที่มาที่ไปค่ะ

        [Fiction] Once Upon a time...Intro
     
        [Fiction] Once Upon a time...one

        [Fiction] Once Upon a time...Two

        [Fiction] Once Upon a time...Three









เด็กหนุ่มร่างสูงเดินก้าวเข้าสู่โถงทางเดินกว้างด้านหน้าของโรงพยาบาลอย่างคุ้นเคย หากแต่คนอื่นๆที่อยู่ ณ ที่ตรงนั้นด้วยกลับไม่คุ้นชินเท่าไรนัก  ผู้ป่วยที่มานั่งรอรับยาต่างมุ่งความสนใจไปที่เด็กหนุ่มผู้นั้นเพียงคนเดียว

เมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นก้าวเข้ามา เหมือนทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว ความวุ่นวายและเสียงอันสับสนก็เงียบลงราวกับว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นร่ายมนต์สะกดทุกสิ่งเอาไว้  รูปร่างสูงเพรียว ผิวสีแทน ผมสีอ่อนและนัยน์ตาผลึกสีอำพันเย็นชาที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปตาเรียวนั้นดึงดูดความสนใจจากทุกสายตา

ทุกอย่างที่ผสมผสานรวมกันเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น งดงามเสียจนทำให้คนมองลืมหายใจ

เมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นก้าวผ่านที่ตรงนั้นไป บรรยากาศเดิมๆก่อนหน้านั้นก็หวนกลับมา ตามด้วยเสียงถอนหายใจและเสียงชื่นชมจากผู้ที่ได้หลงอยู่ในความงดงามนั้นแม้เพียงชั่วครู่

และในความชื่นชมนั้น....ย่อมก่อให้เกิดแรงริษยา

"ก็สวยดีอยู่หรอกนะ แต่ยังไงซะก็เป็นผู้ชาย แล้วก็เย็นชาเป็นบ้า ไม่รู้ว่าฮารุมะคุงทนอยู่กับคนแบบนั้นได้ยังไง"

นางพยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้นมาแบบไม่คิดจะออมเสียง ไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆที่มองมาด้วยความสมเพช หล่อนมาฝึกงานที่นี่ได้เดือนหนึ่งแล้ว เหตุผลที่อยากมาก็เพราะอยากมาอยู่ใกล้ๆหนุ่มที่เพิ่งเดินออกไปจากที่ตรงนั้น  แต่นอกจากหล่อนจะได้เรียนรู้ว่านักแสดงหนุ่มหน้าสวยที่ชื่อ ทาคาคิ ยูยะ นั้น เป็นคนเย็นชาอย่างร้ายกาจแล้วยังไม่มีสายตาไว้เหลียวแลใครคนอื่นเสียเลย นอกจากพี่น้องและคนข้างกายที่ชื่อฮารุมะคนนั้น

หล่อนจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปหานักแสดงหนุ่มอีกคนที่มีบุคลิกผิดกันลิบลับ มิอุระ ฮารุมะ นักแสดงหนุ่มที่มีรอยยิ้มอบอุ่นเจิดจ้า อ่อนโยนและเป็นมิตรกว่า แต่หล่อนก็ไม่ได้มีโอกาสได้ส่งยิ้มให้เขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะฮารุมะไม่เคยสนใจใครคนไหนนอกจากยูยะ แล้วจะไม่ให้หล่อนนึกเกลียดได้อย่างไร

"อิจฉาที่เขาสวยกว่าหรืออิจฉาที่ทาคาคิซังเค้าได้อยู่ใกล้ฮารุมะซังล่ะ"

เพื่อนนางพยาบาลประชดให้อย่างเอือมระอา วันๆไม่คิดจะหาความรู้ในวิชาชีพ ดีแต่คิดหาวิธียั่วยวนผู้ชายเท่านั้น ใครเตือนใครว่าก็หาได้สนใจไม่ คนรอบข้างก็หมดปัญญาจะทำให้ตาสว่าง ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้เจอดีเข้าสักวัน

"อิจฉาทำไม! ยังไงซะผู้หญิงอย่างฉันก็มีอะไรๆดีกว่าผู้ชายแบบนั้นอยู่แล้ว พนันกันมั๊ยล่ะ ว่าฉันจะใช้เวลาเท่าไหร่ที่จะจับฮารุมะคุงได้อยู่หมัด"

เสียงหัวเราะดังหึๆขึ้นจากด้านหลัง แม้แผ่วเบาแต่ฟังดูราวกับจะเย้ยหยันต่อคำพูดเมื่อครู่ยิ่งนัก เหมือนจะบอกว่าชาตินี้ทั้งชาติรวมทั้งชาติหน้าด้วยแล้วฮารุมะก็จะไม่มีวันสนหล่อน  อยากตบปากเจ้าของเสียงหัวเราะนี้ให้สาแก่ใจนัก

แต่เมื่อหันกลับไป นางพยาบาลสาวสวยกลับได้เผชิญหน้ากับดวงตาสีอำพันเช่นเดียวกับยูยะไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ดวงตาคู่นี้เย็นเยียบลุ่มลึกกว่า มีอำนาจมากกว่า

"ฮารุน่ะ ถึงจะเป็นหมา แต่ก็เป็นหมามีเจ้าของ ไม่ใช่หมาจรจัดที่เที่ยวคุ้ยหาขยะกินไม่เลือกหรอกนะครับ อีกอย่างเจ้าของมันก็เลี้ยงดี มันคงไม่ออกนอกลู่นอกทางมาหาเศษหาเลยแถวนี้หรอก"

ดวงตาสีอำพันเลื่อนมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า  มันหยุดอยู่ตรงสาบคอเสื้อที่เจ้าของจงใจละเลยให้มันแหวกลึกกว่าเครื่องแบบของนางพยาบาลทั่วไป  แล้วริมฝีปากบางก็ผุดรอยยิ้มเหยียดหยาม ก่อนจะสะบัดชายเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดจากไป  ทิ้งนางพยาบาลผู้นั้นให้กรีดร้องเต้นเร่าๆด้วยความแสบร้อนราวกับสุนัขที่ถูกน้ำร้อนลวก

"เจอฤทธิ์ของคุณหมอยูยะเข้าให้แล้วมั๊ยล่ะ เตือนแล้วไม่เชื่อ"








"น้องเป็นยังไงบ้าง"

"ไม่เป็นไร น้องปกติดี"

ยูยะเอ่ยถามกับกำแพงห้องที่ว่างเปล่า  และกำแพงนั้นก็ตอบกลับมาเป็นเสียงของยูมะ ...

ไม่หรอก... ที่จริงแล้วภายในกำแพงนั้น เป็นห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นด้วยอำนาจเวทมนต์ของคุณหมอยูยะ และยูมะก็อยู่ข้างใน  ทั้งภายในและภายนอกห้องมีมนต์ป้องกันทุกประเภทที่คอยกันไม่ให้คนนอกเข้ามาได้   ป้องกันไม่ให้คนในออกมา..

และเขา..ก็มาเพื่อทำให้มนตราเหล่านั้นเพิ่มความแข็งแรงเป็นสองเท่า

"ขอโทษนะ..ยูมะ"

"ไม่ใช่ความผิดพี่ซักหน่อย .. น้องเข้าใจดีกว่ามันจำเป็น"

ยูมะหลับตาพิงกำแพงอยู่ในความมืดมิด  ฟังเสียงพี่ชายร่ายมนต์คาถาอยู่ด้านนอก ....  หากจะมีใครผิด ก็ต้องเป็นตัวเขาเองที่เกิดมาเป็นแบบนี้

"แล้วพี่ฮารุล่ะ"

"อยู่ที่ห้องน่ะ น้องไม่ต้องห่วง เขาอยู่ได้"

อยู่ได้ .... แต่จะเหงารึเปล่านะ  ยูมะน่ะ ถึงจะมีพี่ชายคอยอยู่ข้างๆแต่บางครั้งก็ยังรู้สึกเหงา โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ เวลาที่ต้องแยกออกจากโลกภายนอก ขังตัวอยู่ในห้องมืดๆ ต่อให้รู้ว่ามีใครสักคนคอยเป็นห่วงอยู่ข้างนอก ก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี

"พี่"

"หืมม์"

"ถ้าหากว่าน้องไม่ได้เกิดมา  ทุกอย่างมันจะดีกว่านี้รึเปล่านะ"

"ยูมะ!!!"

"ถ้าไม่มีน้องซักคน พี่ก็ไม่ต้องอยู่กับพี่ฮารุทั้งๆที่ไม่ได้รัก พี่ยูยะก็ไม่ต้องทนอยู่ในเมืองที่แสนเกลียดนี่  จะได้ไม่ต้องมีใครเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องน้องด้วย"

ยูมะได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆผ่านกำแพงมนตราเข้ามา  แม้ว่าพี่ชายทั้งสองจะได้อธิบายเหตุผลที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ให้ฟังแล้ว แต่การที่ได้รู้ว่าตัวเองกลายเป็นภาระให้คนอื่นต้องคอยปกป้องดูแลนั้น   มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจทนรับได้จริงๆ

"พี่เสียใจนะที่น้องคิดอย่างนี้  พี่ยูยะก็คงคิดเหมือนกัน เราไม่ได้ปกป้องและดูแลกันเพราะว่าเราเป็นพี่น้องกันหรอกหรือ?"

"แต่พี่ฮารุ-"

"ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ พี่ยอมรับว่าฮารุปกป้องน้องเพื่อแลกกับสิ่งตอบแทนตามคำสาบาน แต่ตอนนี้น่ะฮารุรักและตามใจน้องยิ่งกว่าพี่แท้ๆซะอีกนะ"

"ก็จริง..."

"พี่ยูยะน่ะ ถึงจะเกลียดสังคมเมือง แต่เขาก็ยอมรับว่าถ้าไม่มาอยู่ในที่แบบนี้ ความรู้ความสามารถที่มีก็คงไร้ประโยชน์ คงไม่มีคนไข้คนไหนลำบากลำบนไปหาหมอในป่าลึกหรอกจริงไหม กว่าจะไปถึงมือหมอคงตายพอดี"

ยูยะนิ่งเงียบไป .... ยูมะรู้ว่าพี่ชายไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าอย่างไร การที่ยูยะมอบร่างกายเป็นสิ่งตอบแทนเพื่อให้น้องปลอดภัยนั้นไม่ใช่เหตุผลที่ใครจะยอมรับได้ แม้แต่ตัวเอง..

"เรื่องระหว่างพี่กับฮารุ ทุกอย่างมันเป็นความผิดที่พี่จะต้องชดใช้ ก็เท่านั้นเอง.."

"แต่พี่ไม่มีความสุข"

"แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานหรอกนะ น้องอย่าห่วงเลย พี่ไม่เป็นไรหรอก"

ยูมะถอนหายใจเงียบๆอยู่ในความมืด  คำสาบานที่ฮารุมะและยูยะมีต่อกันนั้นไม่อาจลบล้าง  หากใครผิดคำสาบานต้องชดใช้ด้วยชีวิต... สิ่งที่พี่ชายเขาต้องแบกรับนั้นมากเกินไป

"พี่น่ะ ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ ก็ยังเป็นน้องชายให้พี่ยูยะคอยบ่นคอยดูแลอยู่ดี เพราะงั้นน้องก็เหมือนกันนั่นแหละ"

เหมือนกัน... ต่อจากนี้ไปอีกร้อยปี มันก็จะต้องเป็นแบบนี้ต่อไปงั้นเหรอ

"พวกเราน่ะ ไม่ได้ดูแลน้องเพื่อให้น้องอ่อนแอตลอดไปหรอกนะ น้องจะต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อที่อนาคตข้างหน้า จะได้ปกป้องคนอื่นได้ไงล่ะ"

"ใครจะอยากให้ปีศาจแบบน้องดูแลกันล่ะ"

"ต้องมีสิ ซักวันหนึ่ง.."













เพราะรู้ว่าน้องคงนอนไม่หลับ ยูยะเลยหาเรื่องคุยไปเรื่อย จนกระทั่งล่วงเลยถึงเวลาหนึ่งนาฬิกาของวันใหม่

"พรุ่งนี้พี่ไม่มีงานเหรอ?"

"วันพักน่ะ  สามวัน"

"งานแทบล้นตาราง ละครก็เร่งถ่ายทำ  ยังมีเวลาพักได้ตั้งสามวัน  ถามจริงเถอะ ยาบุไม่สงสัยบ้างหรือไงที่ต้องงดรับงานในช่วงสามวันนี้ของทุกเดือนน่ะ"

"ไม่สงสัยเลยจนนิดเดียว"

เหตุผลแรก เพราะมันเป็นข้อตกลงที่ยูยะและฮารุมะขอไว้ตั้งแต่ต้น  ประการที่สองยูยะแอบร่ายมนต์ใส่ความทรงจำบางอย่างไว้ในสมองของยาบุ เหมือนตั้งโปรแกรมอัตโนมัติไว้ในคอมพิวเตอร์ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีงานตรงกับเวลาช่วงนี้ ยาบุจะปฏิเสธไปหรือไม่ก็เลื่อนเป็นวันอื่นเสีย

คุณหมอยูยะถอดเสื้อกาวน์ เสื้อนอก หูฟัง และรองเท้าทิ้งไว้รายทางก่อนจะล้มลงบนเตียงของยูมะ ปล่อยให้น้องชายคนกลางจัดการเก็บข้าวของของตัวเองให้เข้าที่เรียบร้อยด้วยเวทมนต์

"คนไข้ด่วนเหรอพี่?"

"เรียกว่าคนตายจะเหมาะกว่านะ"

คุณหมอบ่นอู้อี้อยู่กับหมอน

"ผู้ป่วยจิตเวช ทางโรงพยาบาลรับเข้ามาเมื่อวาน ไม่ทันได้รักษาก็ตายซะก่อน ส่วนสาเหตุการตายก็..ถูกสูบเลือดจนหมดตัว"

เป็นไปดังคาด น้องชายขมวดคิ้วด้วยความกังวลทันที ส่วนยูมะถึงไม่เห็นหน้าเขาก็รู้ว่าน้องก็คงกังวลไม่แพ้กัน

"ก็แค่แวมไพร์ธรรมดาน่ะ ก่อนเราจะมาที่นี่ก็มีเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว  ลำบากหน่อยตรงที่จะใส่สาเหตุการตายไว้ในรายงานนี่แหละ"

"เย็นชาไม่สมกับเป็นคุณหมอเลยนะ"

"พวกนั้นดื่มเลือดเป็นอาหารก็เหมือนกับเรากินหมูกินไก่นั่นแหละน่า"

เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ ยูยะกดรับแล้วพบว่าปลายสายคือผู้ดูแลตึกที่เขากับฮารุมะอยู่

"ครับ ... จะไปเดี๋ยวนี้"

"ไอ้หมาบ้านั่นก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ"

"สงสัยว่าฉันจะลืมร่ายคาถาเก็บเสียงละมั้งพี่ เห็นผู้ดูแลบอกว่าได้ยินเสียงตัวอะไรอาละวาดอยู่ในห้อง ฉันคงต้องไปดูก่อน เดี๋ยวมีใครเปิดห้องเข้าไปแล้วจะตายกันหมด แล้วพี่จะรีบกลับมานะยูมะ"

สิ้นเสียงดีดนิ้ว เด็กหนุ่มร่างสูงก็หายวับไป  คุณหมอยูยะถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ได้ยินเสียงน้องชายคนเล็กบ่นมาจากด้านในกำแพง

"น้องไม่เชื่อหรอกว่าพี่ฮารุจะยอมปล่อยให้พี่ยูยะกลับมา"

"แน่ล่ะ เนื้อเข้าปากหมาไปแล้วมีหรือมันจะคาย จะกินไม่เหลือสิไม่ว่า"












ยูยะทำทีเป็นก้าวลงจากแท็กซี่ จ่ายเงินแล้วถึงจะเดินเข้าในตัวตึกอย่างรีบเร่ง ไม่มีใครสังเกตว่าแท็กซี่ที่แล่นออกไปแล้วนั้นค่อยๆเลือนหายไป เพราะทุกสายตาจ้องมองมาที่ยูยะ

ทั้งผู้ดูแล และคนอื่นๆที่พักอยู่ในชั้นเดียวกันต่างลงมายืนออกันข้างล่างหมด ทุกคนมีสีหน้าขุ่นเคืองและไม่สบายใจ  เด็กหนุ่มรีบเดินตรงไปหาหญิงวัยกลางคนที่รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลตึกทันที แต่อยู่ดีๆกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ก็โผล่เข้ามาตรงหน้า

ส่งดอกกุหลาบมาให้ในเวลานี้น่ะหรือ ยูยะเดินผ่านทั้งช่อดอกไม้และคนส่งอย่างไม่ไยดี แต่คนส่งดอกไม้กลับคว้ามือยูยะเอาไว้ เด็กหนุ่มร่างสูงสะบัดมืออกทันที สายตาเย็นๆแต่เอาเรื่องนั้นทำให้คนส่งดอกไม้หัวหดทันที

"ทาคาคิซัง ได้โปรดรับดอกไม้นี่ไว้ด้วยครับ ไม่อย่างนั้นเจ้านายเล่นงานผมแน่"

ยูยะคว้าช่อกุหลาบนั้นมา แล้วก็โยนมันกลับคืนสู่อ้อมแขนของคนส่ง

"ฝากเอาไปคืนเจ้านายคุณด้วย บอกเขากว่านับจากนี้ไปกรุณาอย่ามายุ่งกับผมอีก"

ทิ้งทั้งคนทั้งดอกไม้ไว้ตรงนั้น แล้วเดินมาหาผู้ดูแลตึกทันที

"เกิดอะไรขึ้นหรือครับ"

"ยังจะมาถาม พวกคุณเอาตัวอะไรมาเลี้ยงกันแน่ มันถึงได้อาละวาดจนคนตกใจกันแบบนี้"

คนตอบกลับเป็นยายแก่จอมสอดรู้ที่อยู่ถัดไปอีกสองห้อง เพิ่งย้ายเข้ามาแต่ก็เลี้ยงหมาแมวไว้เต็มไปหมด เห่าหอนพร้อมกันทีไรก็เดือดร้อนกันไปทั้งตึก  ยูยะแสร้งทำเป็นขมวดคิ้ว

"เราสองคนงานยุ่ง ไม่มีเวลาเอาตัวอะไรมาเลี้ยงอย่างที่คุณว่าหรอกครับ"

"ไม่จริง!!! มันต้องมีสัตว์น่ากลัวอยู่ในห้องนั้นแน่ ไม่อย่างนั้นหมาแมวของฉันจะกลัวจนเห่าหอนอาละวาดจนเดือดร้อนอย่างนี้ทำไม"

ผู้ดูแลเดินเข้ามากระซิบกับยูยะไขความกระจ่าง ว่าคืนนี้หมาแมวที่หล่อนเลี้ยงไว้อยู่ไม่เป็นสุข ทั้งหอน ทั้งร้อง พยายามจะหนีออกจากห้อง  พอผู้ดูแลเข้าไปเตือนหล่อนก็โทษว่ามีบางอย่างทำให้พวกสัตว์กลัว แล้วยังยืนยันให้ค้นดูทุกห้องเพื่อความบริสุทธิ์ใจ

"เหลือแต่ห้องของคุณสองคนนี่แหละค่ะ ดิฉันไปเคาะห้องเรียกฮารุมะคุงก็ไม่ขาน โทรไปที่ห้องก็ไม่มีคนรับ เลยต้องโทรหาทาคาคิคุง ขอโทษด้วยค่ะที่ต้องรบกวน"

"ฮารุไม่สบายน่ะครับ ทานยาแล้วก็หลับไปตั้งแต่เย็นแล้ว"

"ไม่ใช่กำลังพยายามเอาตัวประหลาดไปซ่อนอยู่หรอกนะ"

" เดี๋ยวผมจะขึ้นไปเปิดห้องให้ดูก็แล้วกัน เพื่อความสบายใจของทุกคน"

ยูยะยิ้มน้อยๆให้กับผู้ดูแลและสายตาเชิงขออภัยจากเพื่อนบ้าน เดินผ่านหน้าเชิดๆของหญิงชราตรงไปยังลิฟท์ทันที









ในห้องนั้นเงียบสงัด...และมืด  มีเพียงแสงไฟจากทางเดินที่ลอดผ่านประตูเข้าไป ไม่มีเสียงเห่าด้วยความดีใจต้อนรับเจ้านายของสัตว์เลี้ยงตัวไหนทั้งสิ้น

ยูยะเปิดไฟในห้องให้สว่าง... ปล่อยให้เพื่อนบ้านวัยชราเดินสำรวจภายในห้องจนกว่าจะพอใจ

"แล้วในห้องนอนล่ะ"

เพื่อนบ้านหลายคนแอบจิ๊ปากไม่พอใจในมารยาทอันดีของหญิงชรา

"จะดูก็ได้ครับ แต่กรุณาเงียบเสียงหน่อยก็แล้วกัน เพราะฮารุคงจะหลับอยู่"

"เราคงไม่รบกวนถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แบบนั้นจะเสียมารยาทเกินไป ฮารุมะคุงยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย ทางที่ดีคุณกลับห้องไปแล้วหาวิธีให้สตัว์เลี้ยงของคุณอยู่อย่างสงบจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นดิฉันคงต้องเชิญคุณออกไปหาที่อยู่ให้พวกมันใหม่"

ผู้ดูแลตัดบทแล้วหันไปพูดกับคู่กรณี และหลังจากที่หญิงชราเดินกลับห้องตัวเองไปแล้วเธอก็ขอตัวกลับออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ









ยูยะก้าวเข้าไปในห้องนอนอย่างระมัดระวัง เด็กหนุ่มรู้ว่าผู้ที่อยู่ในห้องคงจะหงุดหงิดไม่น้อยที่ถูกรบกวนในเวลาอย่างนี้

"ฮารุ!!!"

แวบหนึ่งที่ร่างกายถูกกระชากเหวี่ยงลงไปบนเตียงกว้าง ครู่หนึ่งที่มองเห็นดวงตาสีทองสะท้อนอยู่ในความมืด ยูยะก็ยังไม่ตกใจเท่ากับความจริงที่ว่า เมื่อกี๊เขาได้ถือดอกกุหลาบช่อใหญ่และคนส่งนั่นก็แตะต้องตัวเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

เจ้าของปลายจมูกโด่งที่กำลังกดลงบนข้อมือของยูยะนั้นต้องรับรู้ได้แน่!!!!

เสียงคำรามปานฟ้าผ่ากำลังบอกเขาอย่างนั้น

"ฮารุ!! เดี๋ยว-ฟังก่อน!!!"

เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากออกจากตัวอย่างไร้ความปราณี ยิ่งปัดป้องกลับเหมือนยั่วยุให้อีกฝ่ายยิ่งโกรธมากขึ้น ข้อมือสองข้างถูกบีบด้วยแรงมหาศาลจนเจ็บร้าวไปถึงกระดูก   เขี้ยวคมๆกดงับไปทั่วร่างจนแสบร้อน มือหนาขย้ำบีบไปทุกตารางนิ้ว

ยูยะหลุดเสียงกรีดร้องเมื่อร่างกายถูกล่วงล้ำโดยไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆ หมดแรงดิ้นรน ได้แต่หลับตาอดทนจังหวะที่โถมเข้ามารุนแรง รอคอยจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ

"อื้อ!!!"

ยูยะกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้องเมื่อยามที่อีกฝ่ายถอนกายออกอย่างรุนแรง เขาหายใจหอบหนัก ร่างกายระบมช้ำจนขยับไม่ไหว แม้แต่จะลืมตายังทำได้ยากเย็น

ฮารุ....

ในความมืดสลัว .. ยูยะมองเห็นเพียงดวงตาที่เคยเป็นสีเข้มในยามปกติ แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง เสียงคำรามดังก้องสั่นไหวไปทั้งร่าง ร่างของฮารุมะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ จมูกและใบหน้ายืดยาวออก  ใบหูชี้แหลม เขี้ยวและเล็บยาวคมกริบ ยูยะได้ยินเสียงเหมือนผิวเนื้อปริแตกเพราะกล้ามเนื้อของฮารุมะกำลังขยายออก และถึงจะมองไม่เห็นยูยะก็รู้ว่าตอนนี้ ฮารุมะคงไม่เหมือนเดิมแล้ว

"โอ๊ย!!!"

ร่างของยูยะถูกกระชากเข้าสู่อ้อมแขนแกร่งที่ปกคลุมด้วยขนหนา ไม่ใช่แค่ที่แขนเท่านั้น อก แผ่นหลังและขาของฮารุมะก็เช่นกัน  เสียงคำรามดุๆในลำคอเตือนให้รู้ว่าเขาไม่ควรจะขัดขืน จึงเพียงขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ซบหน้าลงกับแผงอก ผ่อนลมหายใจช้าๆบังคับให้ตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อลืมความเจ็บปวดในร่างกายนี้เสียให้สิ้น










"แกกัดน้องฉันอีกแล้วเรอะไอ้หมาบ้า!!!"

เสียงของพี่ชายคนโตของบ้านแผดดังสะท้อนไปทั้งห้อง จนฮารุมะต้องรีบท้วงกลัวว่าคนที่กำลังนอนอยู่จะตื่น วันนี้เป็นวันที่สามที่ได้พัก และฮารุมะก็คืนร่างกลับเป็นมนุษย์เหมือนเดิมแล้ว

ร่างสะท้อนของคุณหมอยูยะที่ส่งมาจากห้องทำงานที่โรงพยาบาลนั้นทำท่าอยากจะสาปฮารุมะให้หายไปจากโลกนี้

"นี่มันกี่ครั้งแล้วที่น้องฉันต้องเจ็บตัว ยามีทำไมไม่กิน"

ยาที่ช่วยระงับความดุร้ายเมื่อกลายร่าง ที่สองพี่น้องจะปรุงมันขึ้นมาเพื่อให้เขาดื่มโดยเฉพาะ แต่ระยะหลังๆนี่มันกลับไม่ได้ผล เมื่อคืนเขาดื่มมันลงไปจนหมดขวดแต่ก็ไม่อาจทำให้เขาระงับอารมณ์กราดเกรี้ยวได้เลย

"หึ ไม่นึกว่ามนุษย์หมาป่าก็ดื้อยาเป็นเหมือนกัน งั้นก็เอานี่ไป"

ขวดคริสตัลบรรจุน้ำยาสีม่วงอ่อนถูกส่งมาจากห้องทำงานของคุณหมอยูยะ มาวางอยู่บนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา ฮารุมะมองสิ่งนั้นอย่างแปลกใจ

"ยาสูตรใหม่รึไง"

"เปล่า นั่นยาพิษ ในเมื่อยาขนานแรงที่สุดยังไม่ได้ผล ก็ต้องใช้ไม้นี้แหละ"

"คิดจะฆ่ากันหรือไง?"

"ถ้าคิดจะทำคงทำไปนานแล้ว ยานี่น่ะแรงมากสำหรับมนุษย์ แค่ถ้วยเดียวก็ทำให้ตายได้ แต่สำหรับหมาบ้าก็คงทำได้แค่ทำให้หมดแรงเท่านั้นละ แล้วนี่"

ขวดยาหลากสีในขวดคริสตัลอีกหลายขวดก็ปรากฏบนโต๊ะ ฮารุมะรู้จักมันดี สีแดงนั่นแก้ฟกช้ำ สีฟ้าแก้ปวด สีเหลืองรักษาแผล

"ทางที่ดี ฉันว่านายควรจะหัดจัดการกับอารมณ์ของตัวเองมากกว่าที่จะพึ่งยา ทั้งความหื่นและความโหดนั่นแหละ บอกตรงๆว่าฉันยอมให้น้องเจ็บมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว แล้วถ้ายูมะรู้ น้องคงจะยอมตายซะดีกว่าที่จะเป็นต้นเหตุให้ยูยะต้องทรมาน"

แล้วร่างเงาของคุณหมอยูยะก็หายวับไป

ฮารุมะถอนใจหนัก หยิบขวดยาทั้งหมดกลับเข้าไปในห้องนอน ยูยะยังคงหลับสนิทเพราะร่างกายที่บอบช้ำและความอ่อนเพลีย ฮารุมะกอดร่างนั้นไว้สองวันเต็มๆ ยูยะเอาแต่หลับไม่ได้กินข้าวหรือน้ำแม้แต่หยดเดียว

ห้ามใจงั้นหรือ... เมื่ออยู่กับยูยะ มันช่างทำได้ยากยิ่ง เขาไม่เชื่อว่าใครคนไหนจะอดใจไหวถ้าได้สัมผัสใกล้ชิดอย่างที่เขาเป็น เพราะรู้  เขาจึงหวงแหนยูยะจนแทบเป็นบ้าอย่างนี้ไงล่ะ

ฮารุมะหยิบขวดน้ำยาสีฟ้าขึ้นมา เทมันลงไปในถ้วย มืออีกข้างช้อนร่างที่หลับอยู่ให้อยู่ในท่านั่ง แต่คนกินยายากอย่างยูยะ แม้จะหลับก็ยังเบือนหน้าหนี ฮารุมะจึงต้องป้อนยาด้วยริมฝีปากของเขาเอง

ทันทีที่ริมฝีปากสัมผัสกัน รสขมจัดของยาก็หวานหอม ยูยะกลืนลงไปแล้วอย่างง่ายดายแต่กว่าที่ฮารุมะจักหักห้ามใจตัวเองถอนริมฝีปากได้นั้นกินเวลาเกือบนาที เขาดึงร่างนั้นมาซบไหล่ หยิบขวดยาสีแดงมาเทลงบนมือ ค่อยลูบไปตามเนื้อตัวคนป่วยแผ่วเบา ฤทธิ์ยาที่ทำให้รู้สึกสบายตัวทำให้ยูยะเบียดร่างเปล่าเปลือยเข้าแนบชิดยิ่งขึ้น ฮารุมะกัดฟันอดทนกับอารมณ์ที่กำลังพวยพุ่งเหมือนเปลวไฟ หลับหูหลับตาทายาให้มันเสร็จๆไปซะ ก่อนที่คนป่วยจะไม่ได้หายป่วย

หากต้องอยู่ใกล้กันแล้วต้องห้ามใจอย่างนี้  ... อีกไม่นานฮารุมะคงเป็นมนุษย์หมาป่าตนแรก ที่ต้องตายเพราะหัวใจวาย..




To Be con