Title : Rabbit the moon [ A little penguin part ]
Writer : Nalikakeaw
Paring : Okadai
โลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์มากมาย
สำหรับชีวิตนักศึกษามหาวิยาลัยปีแรกอย่างผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่ไกลจากบ้าน การที่พ่อแม่ยอมปล่อยให้ผมมาเรียนถึงอังกฤษ
ให้มาใช้ชีวิตตัวคนเดียวท่ามกลางคนต่างเชื้อชาตินั่นก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่งล่ะ
แต่ผมก็รู้ว่าผมจะได้เจออะไรอย่างอื่นที่มหัศจรรย์มากกว่าทุกครั้งที่ตื่นนอน
วี๊ด~ วี๊ด~
เสียงนาฬิกาปลุกของผม ดังเหมือนที่มันเคยเป็นทุกเช้า แต่ทุกครั้งที่มันปลุก ผมจะพลิกตัวนอนคว่ำ ซุกหัวเข้าไปอยู่ใต้หมอนอย่างอารมณ์ดี
วี๊ดๆๆๆๆๆ~
นาฬิกาปลุกของผมร้องอย่างอารมณ์เสีย
เสียงโทนสูงต่ำไม่เป็นเพลงทำให้ผมต้องเหวี่ยงหมอนออกไป พลิกตัวนอนตะแคง มองนาฬิกาปลุกสีขาวดำแกมเทาเด้งดึ๋งๆอยู่ข้างเตียง มองผ่านๆ
คุณจะคิดว่าเป็นลูกหมาตัวน้อยๆกำลังจะตะกายขึ้นมาอยู่บนเตียงเดียวกับผม แต่ลูกหมาไม่ร้องวี๊ดๆ ด้วยเสียงแหบๆแบบนี้ และลูกหมาก็ไม่มีปีกเล็กๆที่บินไม่ได้ ไม่มีจงอยปากและเท้าแบนๆสีดำซะด้วย
“อรุณสวัสดิ์ ไดจัง~”
ผมเอื้อมไปคว้านาฬิกาปลุกแสนรักของผมขึ้นมา โดยจับตรงใต้ปีกแบนๆทั้งสองข้าง
เหมือนกำลังอุ้มเด็ก
แล้วก็จับมาวางบนหน้าท้องของผม
เจ้าตัวเล็กกระโดดอยู่บนตัวผมสองสามทีแล้วก็ล้มลงนอน
ใช้ปีกเล็กๆตีหน้าอกผมแปะๆเหมือนจะเรียกให้ผมตื่น แต่ผมกลับกอดมันไว้แน่น แล้วทำท่าเหมือนจะหลับต่อ คราวนี้ปีกเล็กๆนั่นเลยย้ายที่มาตีหน้าผมแทน
“โอเคๆๆ ตื่นแล้ว”
ผมยอมลุกขึ้น แล้วนาฬิกาปลุกของผมก็กระโดดลงจากเตียง แต่ด้วยความขาสั้น ( ? ) ทำให้เวลาลงถึงพื้นทีไรมักจะเกิดอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆทุกที วันนี้เจ้าตัวเล็กเอาหัวโหม่งพื้นเฉยเลย
“ไดจัง~ โธ่เอ๊ย
“ ผมร้องระหว่างที่เข้าไปจับเจ้าตัวเล็กไม่ให้กลิ้งหลุนๆไปชนอะไรต่อมิอะไร
“กระโดดท่าไม่สวยสักวันเลย”
เจ้าตัวเล็กเหมือนจะไม่เจ็บตรงไหน พอลงยืนได้ก็เดินเตาะแตะไปทางห้องครัว
คุณสงสัยล่ะสิว่านี่มันนาฬิกาปลุกหรืออะไรกันแน่
??
จริงๆแล้วไดจังคือสัตว์เลี้ยงของผมนั่นแหละครับ ที่ไดจังปลุกผมทุกเช้าก็เพราะว่าไดจังหิว และผมก็ตื่นสายทำให้ไดจังต้องแขวนท้องรอบ่อยๆ
สัตว์เลี้ยงของผมตัวเล็ก แต่ไม่มาก
ความสูงที่วัดเมื่อวานคือเจ็ดสิบเซ็นต์
ตัวกลมๆป้อมๆ
มีขนอ่อนๆสีเทาฟูฟ่องรอบตัวจนแทบจะมองไม่เห็นเท้า
มีปีกเล็กๆแนบกับลำตัวซึ่งช่วยให้ว่ายน้ำได้ดีมากกว่าบิน มีใบหน้าสีขาว จงอยปากและหัวสีดำ
นกเพนกวิน..
ครับ...เจ้าตัวเล็กของผมคือนกเพนกวิน
ตามที่ผมเสิร์ชหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้ว ลักษณะแบบนี้คือลูกเพนกวินจักรพรรดิที่ยังไม่โตเต็มที่
แล้วผมกับเจ้าเพนกวินมาเจอกันได้ยังไงน่ะเหรอ??
เรื่องมันยาว...คุณอยากฟังมั๊ยล่ะ??
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อืมม์...ดูเหมือนไม่มีใครอยากฟังซักเท่าไหร่
แต่ผมก็อยากเล่านะ...เพราะฉะนั้นคุณทนๆฟังไปหน่อยก็แล้วกัน
ก็เรื่องนี้น่ะ..มันมหัศจรรย์เกินกว่าจะไปเล่าให้ใครฟังได้น่ะสิ
เรื่องมันเริ่มจากลิซซี่ แฟนสาวของผม
อยากเห็นปลาวาฬตัวเป็นๆสักครั้งในชีวิต
หลังจากการสอบสุดโหดที่ทำให้สูญสิ้นพลังงานไปหมดทั้งตัว เราก็เลือกพักผ่อนด้วยการล่องทะเลไปดูปลาวาฬกัน
ทัวร์ใช้เวลาสองวันกับหนึ่งคืน ไม่นับรวมเวลาเดินทางที่ต้องต่อรถ ข้ามแม่น้ำ
ลงเรืออีกหลายทอดกว่าจะถึงที่หมาย
เพราะงั้นผมจะข้ามส่วนนี้ไปก็แล้วกัน
เรือโดยสารของเราเป็นเรือสำราญ
ลำไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีห้องพักและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
พอดีกับจำนวนลูกทัวร์ไม่ถึงยี่สิบคน
มีดาดฟ้าเรือสองสามชั้น
ซึ่งชั้นบนสุดเป็นที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาดูปลาวาฬกัน
มันเป็นภาพที่น่ามหัศจรรย์มากที่ได้เห็นปลาวาฬเพชรฆาต
น้ำหนักเกือบๆพันตันโผขึ้นจากน้ำสู่อากาศแล้วตกลงกระแทกผืนน้ำ
น้ำที่กระจายคงสูงเท่าตึกสามชั้นหรืออาจจะมากกว่านั้น
ผมตื่นเต้นและประทับใจจนลืมอาการเมาเรือไปเลยทั้งวัน
พอตกกลางคืนอาการเมาเรือก็กลับมาเล่นงานผมอีก
ผมไม่สามารถนอนได้เลยเพราะรู้สึกว่าเรือมันโคลงเคลงจนผมเวียนหัว ผมคิดว่าห้องแคบๆคงไม่ดีต่อสุขภาพของผมเท่าไหร่
เลยตัดสินใจออกไปสูดไอทะเลยามค่ำคืนที่ดาดฟ้าเรือชั้นสอง เพราะผมขี้เกียจตะกายขึ้นไปชั้นบนสุดน่ะ
อากาศบริสุทธิ์ช่วยผมได้เยอะจริงๆ
และทะเลตอนกลางคืนกับพระจันทร์ดวงโตสีเงินก็เข้ากันอย่างเหมาะเจาะ ผมยืนมองมันอยู่นาน จนกระทั่งเห็นอะไรบางอย่างโผขึ้นเหนือคลื่นและตกลงไปในทะเลครั้งแล้วครั้งเล่า
สิ่งมีชีวิตนั้นเล็กมาก
แต่มันว่ายอยู่ไม่ไกลจากเรือ ถึงพอมองเห็นได้
ผมวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือชั้นบนสุด
คว้ากล้องส่องทางไกลๆเพื่อจะได้เห็นชัดๆ
ในคลื่นน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ ที่ไล่ตามหลังสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ
มีเพียงครีบรูปสามเหลี่ยมที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำ
เห็นแค่นั้นผมก็รู้แล้วว่ามันคือฉลาม
และที่กำลังว่ายน้ำอย่างสุดชีวิตอยู่ข้างหน้าคือเพนกวิน
ถ้าเทียบความเร็ว ใครก็ดูออกว่าเจ้าเพนกวินจะไม่มีทางหนีพ้น
แต่มันก็ฉลาดพอที่จะว่ายน้ำฉวัดเฉวียนไม่ใหเจ้าฉลามจับทางได้
แต่ครั้งหรือสองครั้งที่เจ้าเพนกวินเกือบจะพาตัวไปเข้าปากฉลามเสียเอง หัวใจผมแทบกระดอนตกทะเลเพราะความตกใจ ผมรู้ว่ามันคือกฎ
ธรรมชาติสร้างนักล่าขึ้นมาเพื่อให้ทุกสิ่งมีความสมดุล ผมไม่สามารถกระโจนลงน้ำเข้าไปช่วยเจ้าเพนกวินได้ แต่ในใจก็สวดภาวนา ...
ขอให้มันปลอดภัย .... ขอให้มันหนีพ้น ทั้งๆที่เห็นอยู่กับตาว่าเจ้าเพนกวินอ่อนแรงลงทุกทีก็ตาม
แล้วผมก็ตาพร่า
วินาทีต่อมาผมกะพริบตาไล่แสงสีเงินที่วิบวับอยู่ในดวงตาให้หายไป ผมไม่รู้ว่าเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น
รู้แต่ว่าตอนนี้สองแขนของผมกำลังโอบประคองตัวอะไรสักอย่างกลมๆนุ่มๆ
“เฮ้ย!!!”
ผมแทบจะโยนเจ้าสิ่งนั้นลงทะเล
แต่ทันทีที่เห็นว่ามันคือนกเพนกวินที่เปียกโชกและหนาวสั่น ผมก็ชะงัก
“นายมาอยู่ตรงนี้ได้ไง????”
เพนกวินน้อยก็ดูจะงงพอๆกับผม ให้ตาย ! นี่ผมควรจะทำยังไงดี
จะปล่อยลงทะเลก็เหมือนส่งเพนกวินเข้าปากฉลาม
แต่คนบนเรือจะว่ายังไงล่ะถ้าเห็นเพนกวินตัวนี้อยู่กับผม
“เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยให้เจ้าหน้าที่มาดูละกันเนอะ
เค้าคงจะพานายไปอยู่ในสวนสัตว์อะไรประมาณนั้นน่ะแหละ ตอนนี้ก็หลับพักผ่อนซะ”
เจ้าเพนกวินเอียงคอมองผม
ตอนที่ผมจับมันเข้ามาอยู่ในเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนาที่ผมใส่
และหลังจากนั้นมันก็ไม่คลาดสายตาไปจากผมอีกเลย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สุดท้ายแล้วผมก็พาไดจังกลับมาที่อพาร์ทเมนท์โดยไม่บอกใคร แม้กระทั่งแฟนสาวของผม
เธอไม่รู้เลยจนกระทั่งมาถึงห้องแล้วไดจังโผล่มาจากกระเป๋าเดินทางใบเล็กของผมเอง ลิซซี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อผมยืนยันว่าจะเลี้ยงเพนกวิน
“เคย์โตะ แน่ใจนะ?”
โฉะอง
เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งถามเหมือนจะลองใจ
“เพนกวินนะโว้ย! ไม่ใช่หมาแมว
นายต้องดูแลใส่ใจยิ่งกว่าลูกอีก
เอาไปให้เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดูแลไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นแหละ” ผมอุ้มไดจังขึ้นมาวางบนตัก
จับให้หันหน้าไปทางโฉะอง “แต่นายดูนี่สิ”
เจ้าเพนกวินน้อยกะพริบตาใส่เพื่อนผม เอียงหัวซ้ายทีขวาทีเหมือนเจอของแปลก
จากนั้นก็กระโดดจากตักผมไปอยู่บนตักโฉะองอย่างร่าเริง ทั้งหนึ่งคนกับหนึ่งตัวเล่นเกมจ้องตากันอยู่ห้านาที
จากนั้นผมก็รู้เลยว่าเพื่อนผมตกหลุมใจอ่อนกันตาใสๆของไดจังไปแล้วเรียบร้อย
เพราะหลังจากนั้น กรงสำหรับเพนกวิน อาหาร
และอะไรต่อมิอะไรก็ถูกขนมาไว้ในห้องของผม
เพื่อนๆของผมพร้อมใจกันปิดเรื่องของไดจังเป็นความลับ
แต่เวลามาห้องผมทีไรมักจะมีปลามาฝากไดจังเสมอๆ จนผมแทบไม่ต้องควักเงินซื้อเลย
นอกจากความน่ารัก ไดจังยังฉลาดด้วย ผมสอนเรื่องเข้าห้องน้ำ
ไดจังก็จำได้ทันทีและไม่ทำอะไรเลอะเทอะอีกเลย
ตอนที่ผมจับไดจังใส่กระเป๋าแล้วพากลับมา
ไดจังก็ไม่โวยวายสักนิด ยอมอยู่นิ่งๆในกระเป๋าจนถึงอพาร์ทเมนท์
โฉะองบอกว่าธรรมชาติของพนกวินอยู่รวมกันเป็นฝูงแต่ไดจังอยู่ตัวเดียวได้เวลาที่ผมไปเรียน แต่ถ้าวันไหนผมกลับดึกไดจังจะงอนจนไม่ยอมออกจากกรงมาเจอหน้าผมเลย ซึ่งผมต้องง้อด้วยของโปรดของไดจังถึงจะหาย จนเพื่อนๆแซวว่ามีแฟนเป็นเพนกวินไปแล้ว
แต่แฟนสาวของผมกลับไม่คิดอย่างนั้น เพราะผมใช้เวลาอยู่กับไดจังมากกว่าเธอ
เธอเคยยื่นคำขาดให้ผมเลือกระหว่างเธอกับไดจัง
ซึ่งผมทำให้เธอกรี๊ดหูแทบดับเพราะผมเลือกเพนกวิน..
ลิซซี่น่ะ ถึงไม่มีผมเธอก็อยู่ได้แน่ๆอยู่แล้ว แต่ถ้าไดจังไม่มีคนดูแลจะทำยังไงล่ะ
เจ้าหน้าที่ในสวนสัตว์จะรักไดจังเท่าที่ผมรักมั๊ย ถ้าไดจังงอนจะมีคนคอยง้อรึเปล่า
แล้วถ้าไปอยู่รวมกับฝูงเพนกวินตัวอื่นๆจะรังแกไดจังไหม?
หนึ่งเดือนที่อยู่ด้วยกัน ความผูกพันมีมากเกินจะทิ้งกันไปได้
แต่ลิซซี่ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เหมือนที่เธอตามตื๊อขอผมเป็นแฟนนั่นแหละ เธอขู่ว่าถ้าไม่พาไดจังไปส่งที่สวนสัตว์ เธอจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มารับไดจังไป
“เฮ้อ~”
ผมถอนหายใจ ไดจังมองหน้าผม เดินเหยียบหลังเท้าผมไปมา เท้าเล็กๆที่สัมผัสโดนเท้าของผม มันทำให้รู้สึกสบายใจ
“ไดจัง
บอกแล้วไงว่าอย่ามาเดินตรงนี้
เดี๋ยวก็ถูกเหยียบหรอก”
ครั้งหนึ่งไดจังไปเดินใกล้ๆลิซซี่ตอนที่เธอกำลังล้างจาน โดนเตะเข้าเต็มแรง ลิซซี่บอกว่าเธอไม่ทันมองว่าไดจังอยู่ตรงนั้น
ส่วนไดจัง...ก็งอนผมมุดเข้ากรงไปตามระเบียบ ผมไม่เชื่อลิซซี่แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง หลังจากนั้นไดจังก็ไม่ยอมเข้าใกล้แฟนผมอีก วันไหนที่ลิซซี่มาหา ไดจังจะงอนหนีเข้ากรง ผมเลยแก้ปัญหานัดเจอแฟนที่อื่นแทน แต่ผมยังมีปัญหาว่าจะขอกุญแจห้องคืนจากเธอยังไง
เสียงวี๊ดๆของไดจังเตือนว่า
ผมควรจะหั่นปลาให้เสร็จแล้วให้อาหารไดจังได้แล้ว
ผมป้อนชิ้นปลาที่หั่นพอดีคำให้ไดจังก็กลืนลงคอไปเลย พอไดจังอิ่มก็อยากว่ายน้ำเล่น ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำใส่อ่างแล้วอุ้มไดจังลงไปในนั้น เพนกวินน้อยดำผุดดำว่ายสบายใจไม่ต้องให้ผมคอยห่วงเหมือนตอนแรกๆที่ว่ายน้ำเร็วจนเอาหัวโหม่งอ่างน้ำ
พูดจริงๆนะ ผมมีความสุขที่ได้อยู่อย่างนี้ อยู่กับเพนกวินของผม
แต่อีกใจผมก็คิดว่าไดจังสมควรได้มีชีวิตอยู่ในธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่ว่ายน้ำอยู่ในอ่างแบบนี้
“เฮ้อ~ เอ้ย!!”
ไดจังใช้ปีกตีน้ำในอ่างกระเด็นใส่ผมจนเปียกโชก ส่งเสียงร้องวี๊ดๆ
เหมือนหัวเราะชอบใจแล้วก็มุดน้ำหนี
ผมหัวเราะ
อาจจะเห็นแก่ตัว แต่ผมอยากให้เราอยู่กันแบบนี้ตลอดไปจริงๆนะ..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันต่อมา
ผมตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่ามีอะไรหนักๆทับตัวอยู่ ผมคิดว่าเป็นไดจัง อืม~ สงสัยต้องลดอาหารซักหน่อยแล้วมั้ง ไดจังทำไมตัวหนัก
“ขอนอนต่ออีกนิดนะไดจัง”
ผมรวบตัวเพนกวินเข้ามากอดเหมือนเคย แต่แทนที่จะได้สัมผัสกับขนฟูๆนุ่มๆ กลับสัมผัสถูกผิวเนียนเรียบลื่น ผมลืมตาอย่างรวดเร็ว แล้วพบว่า..
ผมกำลังกอดเด็กผู้ชาย!!!
“นายเป็นใคร?!!!”
ผมร้องลั่น
ไม่ถามอย่างเดียวถีบร่างที่คร่อมทับผมอยู่ตกเตียงไปด้วย หัวใจของผมหายไปอยู่ตรงไหนแล้วก็ไม่รู้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!!! ไอ้หมอนี่มันเป็นใครมาจากไหน ?!! เข้ามาได้ยังไง
??? เข้ามาทำอะไรในห้องผม??
ร่างเล็กเปลือยเปล่าที่นั่งกองอยู่บนพื้น ทำหน้าตาตื่นไม่แพ้ผม พอผมโวยวายหนักเข้า เจ้าตัวก็ส่งเสียงฮึดฮัด สะบัดหน้าแล้วมุดกรงเพนกวิน
“อย่าไปทางนั้น!!!”
ผมเหวี่ยงร่างนั้นไปให้พ้นทาง สอดมือเข้าไปในกรง อุ้มไดจังออกมา
แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
สมองของผมปะติดปะต่อเรื่องราวอย่างรวดเร็ว
หันกลับไปมองหน้าร่างเล็กที่ยังทำหน้าตาเหมือนตกใจที่ถูกเหวี่ยง
“นาย!! เอาไดจังไปไว้ที่ไหน คืนมาเดี๋ยวนี้!!!”
ผมเขย่าร่างเล็กจนหัวสั่นหัวคลอนด้วยความโกรธ หมอนี่จะเป็นใครผมไม่สน ผมต้องการไดจังของผมคืน
แต่แล้วผมก็ได้สบตาคู่นั้น
ดวงตาใสๆที่ทำให้ผมนึกถึงคืนแรกที่ได้เจอเพนกวินน้อย แววตาตื่นกลัวน่าสงสารที่ทำให้ผมทิ้งมันไม่ลง
ไม่!! ไม่จริงน่ะ!!!
“แง้!!!!!”
ดวงตาคู่นั้นมีแต่หยาดน้ำใสๆร่วงลงมาไม่ยอมหยุด แต่ผมยืนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ผมอยากเอาหัวโหม่งพื้นแต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้ฝันแน่ๆ
ผมพยายามตั้งสติ
บอกตัวเองว่าอะไรๆที่ผมคิดมันคงจะเป็นไปไม่ได้แน่
ระหว่างนั้นร่างเล็กๆที่นั่งอยู่บนพื้นก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด พอผมไม่สนใจก็ลากผ้าห่มของผมลงจากเตียง มุดผ้าห่มแล้วเงียบไปเลย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่พยายามตั้งสติหลายต่อหลายครั้ง
ผมก็บอกตัวเองว่าจะมัวมานั่งนิ่งๆอย่างนี้ไม่ได้ คนตัวเล็กที่มุดอยู่ในผ้าห่มเงียบไปแล้ว แต่ผมคิดว่าคงจะไม่หลับ เพราะพอผมดึงผ้าห่มออก คนข้างในก็กลิ้งทับผ้าห่มไว้แน่น
“ไดจัง” ผมเรียกอย่างไม่แน่ใจนัก
สิ่งที่อยู่ในหัวผมน่ะ
มันเป็นไปไม่ได้หรอก
แต่แค่อยากพิสูจน์เท่านั้น “ไดจัง”
เงียบ..
ผมคิดไว้แล้วล่ะ
ต่อให้คนข้างในไม่ใช่เพนกวินของผมจริงๆก็ต้องโกรธอยู่ดี ทั้งโดนถีบ โดนเหวี่ยง
“ไดจัง กินข้าวกัน”
ผมพยายามทำเสียงให้ร่าเริงเหมือนทุกเช้า
แต่มันก็ติดๆขัดๆเพราะความไม่แน่ใจ
ไดจังของผมเป็นเพนกวินแน่ๆ
แต่คนตัวเล็กที่ขดตัวเป็นเต่าอยู่ในผ้าห่ม มีแววตาเหมือนไดจังคือใครกันล่ะ? แล้วเพนกวินของผมหายไปไหน
เสียงท้องร้องที่ไม่ใช่ของผมดังขึ้น
วันนี้ไดจังยังไม่ได้กินข้าวเช้า เพราะผมตื่นสายเป็นปกติ ผมเดินเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นหยิบปลาออกมาหั่นใส่จาน แล้วเอามาวางข้างกองผ้าห่ม คอยลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ
ห้านาทีแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นผ้าห่มก็เริ่มขยับ ผมนั่งมองใบหน้าน่ารักค่อยๆโผล่ออกจากผ้า
ดวงตากลมโตใสแป๋วแบบนั้น จมูกกับปากเล็กๆนั่น
ผมสีดำอย่างนั้น
ยังไงก็ไม่ใช่หน้าตาของเพนกวินไปได้
“อะไรเหรอ?”
ผมถามเมื่อคนตัวเล็กยังมัวแต่จดจ้องๆปลาในจาน สลับกับมองหน้าผม เออใช่
ปกติแล้วผมจะป้อนปลาให้ไดจังนี่นะ
พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเหมือนกันก็เลยลืม
ถ้าไม่พูดถึงร่างกายที่เป็นคน
ผมคิดว่าร่างเล็กตรงหน้านี้คือไดจังจริงๆ
ตั้งแต่ท่าทางตอนกิน
ตอนว่ายน้ำในอ่าง
หรือแม้กระทั่งสายตาที่มองผม
“ไดจังจริงๆสินะนี่”
ผมเอ่ย “ไดจัง”
“ได~”
พอเป็นคนเสียงร้องวี๊ดๆเหมือนเสียงผิวปากก็เปลี่ยนไป
แต่เหมือนเจ้าตัวจะพูดอย่างอื่นไม่ได้นอกจากร้องไดๆอย่างเดียว
“เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตวะเรา”
ผมพูดเบาๆ
ล้มตัวลงนอนกับพื้น
ไดจังเดินมาล้มตัวนอนบนตัวผมอย่างที่เคยทำ
ร่างเล็กตัวสั่น
ทำให้ผมนึกได้ว่าไดจังเพิ่งขึ้นจากน้ำ
ยังไม่ได้เช็ดตัว
ผมคว้าผ้าขนหนูมาคลุมตัวไดจังผืนหนึ่ง
คว้าอีกผืนที่เล็กกว่าโปะลงบนหัวแล้วขยี้เบาๆ ผมของไดจังเป็นสีดำสนิท ร่างเล็กมองผมตาแป๋วแล้วก็ยิ้มเหมือนเด็กตัวเล็กๆกำลังดีใจ ตอนเป็นเพนกวินผมไม่เคยเห็นไดจังยิ้ม (
ถ้าเห็นก็แปลกล่ะ ) แต่เวลาที่มีความสุขไดจังจะตีปีกสั้นๆของตัวเองเร็วๆส่งเสียงร้องวี๊ดๆแหลมๆ แค่นั้นก็ทำให้ผมยิ้มได้แล้ว
แต่พอมาเห็นรอยยิ้มเต็มแก้มแบบนี้
มันทำให้ผมหลงลืมความทุกข์
ความกังวลใจไปเลย
ผมตัดสินใจหยุดเรียนหนึ่งวัน
เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับร่างเล็กดี
ไดจังเองก็ดูจะงงๆกับร่างกายที่เปลี่ยนไปของตัวเอง
ผมพยายามอยู่ตั้งนานกว่าจะจับไดจังใส่เสื้อผ้าได้ แต่ทำได้แค่ใส่เสื้อ โชคดีที่ไดจังตัวเล็กกว่าผมเยอะ ชายเสื้อเชิ้ตเลยยาวลงมาเกือบถึงหัวเข่า
“ข้าวเช้าก็กินแล้ว น้ำก็อาบแล้ว
เราทำอะไรกันต่อดีไดจัง”
ร่างเล็กยังนั่งอยู่บนพื้น เพราะยืนขึ้นทีไรไดจังจะตกใจตัวเองทุกที สงสัยจะไม่ชินกับความสูงที่เพิ่มขึ้น เพราะแบบนี้แหละผมถึงทิ้งไปไม่ได้ ไดจังทั้งฉลาดทั้งซน
อีกไม่นานไดจังจะต้องเปิดประตูห้องเองได้แน่ๆ ถ้าเกิดเปิดประตูออกไปทั้งๆอย่างนั้นละก็ เกิดอะไรขึ้นผมไม่อยากจะคิด
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมเลือกดูหนังฆ่าเวลา
แต่ผมดันเลือกหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับฉลาม ไดจังร้องลั่น ยกมือขึ้นปิดตา
ตอนที่ฉลามโผล่จากน้ำพร้อมกับอ้าปากกว้างเห็นฟันคมๆเต็มปาก
“โอ๋ๆๆ
ไดจัง ไม่เป็นไรเนอะ เดี๋ยวเปลี่ยนไปดูอย่างอื่นก็ได้”
ปลอบอยู่ตั้งนานกว่าไดจังจะยอมเปิดตา คราวนี้ผมเลยเปิดการ์ตูนแทน ไดจังจ้องโทรทัศน์ตาไม่กะพริบ
นานๆก็หันกลับมามองหน้าผมเหมือนมีอะไรสงสัย แล้วก็หันกลับไปดูต่อ เป็นอย่างนี้จนผมเผลอหลับไป จนกระทั่งถูกปลุก
“หือ??
อะไรเหรอไดจัง”
ร่างเล็กทำตาปรือ แต่ก็ไม่วายอ้อนผมให้พาไปนอน ปกติแล้วไดจังนอนในกรง
แต่ตอนนี้เป็นคนแล้วจะมุดเข้ากรงเหมือนเดิมก็ทำไม่ได้ ผมเลยให้ไดจังไปนอนบนเตียงของผมแทน
พอไดจังหลับแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะทำ นึกถึงตอนที่ผมออกไปเรียนแล้วทิ้งไดจังไว้ในห้องแค่ตัวเดียวแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ผมอยู่ข้างนอกมีอะไรให้ทำตั้งมากมาย
วันหนึ่งผ่านไปเร็วเสียจนผมคิดว่าเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงยังไม่พอ แต่สำหรับไดจัง เวลาที่ต้องทนรอให้ผมกลับมา มันคงจะยาวนานมากเลย
“ต่อไปนี้จะไม่กลับบ้านดึกแล้วล่ะไดจัง”
ผมกระซิบ แต่ไดจังก็ยังลืมตาขึ้นมองผม ขยับตัวขึ้นมาซบอกแล้วก็หลับต่อ
“น่ารักจริงๆน๊า~
ไดจัง~”
ผมเผลอหลับไป
รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ได้ยินเสียงใครพูดคุยกัน และเสียงประตูห้องนอนเปิด ผมลืมตามองเห็นลิซซี่ยืนทำตาโตอยู่ที่ประตู
ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก
“ค-เคย์โตะ”
แฟนสาวเรียกชื่อผม แล้วเธอก็หน้าแดง
ชี้หน้าผมด้วยความโกรธซึ่งผมยังนึกไม่ออกว่าผมไปทำอะไรให้เธอโกรธตอนไหน
ข้างหลังเธอมีผู้ชายสวมชุดหมียืนอยู่สองสามคน ทั้งหมดอ้าปากค้างเหมือนผมเป็นตัวประหลาด
ผมหันไปมองไดจัง ร่างเล็กตื่นแล้ว
ยังคงทำตาแป๋วไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ
แต่พอไดจังเห็นลิซซี่ก็ยกมือขึ้นปิดหู
ซึ่งผมเข้าใจทันทีว่าทำไม
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!”
ผมตาสว่างทันที
หันไปกอดไดจังเอาไว้ทันทีที่แฟนสาวกระโจนเข้ามาเหมือนแม่เสือ นั่นทำให้ลิซซี่โมโหหนัก
เธอกรี๊ดจนสุดเสียงแล้วก็วิ่งร้องไห้ออกจากห้องไป ทิ้งผมไว้กับความงุนงงและชายในชุดหมี
“เอ่อ” ชายในชุดหมีเพิ่งหายจากอาการหูอื้อเอ่ยขึ้น
มองผมด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก “ขอโทษที่รบกวนนะครับ” แล้วพวกเขาก็ออกจากห้องไป
ทำให้ผมเข้าใจอะไรๆได้ทันที
ผู้ชายในชุดหมีนั่นเป็นเจ้าหน้าที่จากสวนสัตว์ ผมเห็นชื่อหน่วยงานปักอยู่ที่เสื้อด้านหลัง ลิซซี่เป็นคนพาพวกเขามา แต่กลับมาเจอผม...นอนกอดเด็กผู้ชาย
มิน่าถึงไดกรี๊ดขนาดนั้น เธอไม่รู้ว่าคนที่นอนบนเตียงเดียวกับผมคือเพนกวินน้อยไดจัง แต่ถึงเธอรู้
เธอก็จะไม่เชื่ออยู่ดี
แล้วผมก็ยังปกป้องไดจังต่อหน้าเธอด้วยสิ
ผมมีความรู้สึกว่าลิซซี่คงจะไปจากชีวิตผมตลอดกาลแน่คราวนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้เสียใจนัก
คือผมหมายถึงว่าผมก็ชอบเธอนะ แต่นิสัยบางอย่างของเธอทำให้ความชอบนั้นลดลงไป
“ต่อไปลิซซี่จะไม่มาที่นี่แล้วล่ะ ดีใจมั๊ยไดจัง”
“ได~”
ผมกอดไดจังเอาไว้เหมือนที่ไดจังกอดผม
เหมือนยกภูเขาออกจากอก ชีวิตของผมนี่ช่างโชคดีจริงๆ ผมควรจะขอบคุณใครดีที่ทำให้ผมมีความสุขแบบนี้
“ขอบคุณนะไดจัง
เฮ้ย!!!!!!”
ผมร้องลั่น แสงสีเงินสว่างจ้าขึ้นจนตาพร่า แล้วร่างเล็กในอ้อมกอดของผมก็กลับกลายเป็นเพนกวิน
ไดจังนั่งมองผมตาแป๋วอยู่บนเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่ให้เมื่อเช้า
ผมมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา
ไดจังไม่ได้รู้สึกอะไรที่กลับไปเป็นเพนกวินเหมือนเดิม แต่ผมสิ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!!!!!!!!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ระหว่างที่มนุษย์คนหนึ่งกำลังสติแตกอยู่บนโลก บนดวงจันทร์
เหล่าพี่เลี้ยงก็กำลังวุ่นวายกับเด็กๆที่ล้มฟุบไปข้างบ่อน้ำแห่งความสมหวังเหมือนกัน
ทุกครั้งที่ใช้เวทมนตร์ช่วยเหลือผู้คนและสัตว์บนโลกมนุษย์ เด็กๆจะเหนื่อยจนหลับไปทั้งอย่างนั้น
พี่เลี้ยงที่คอยดูอยู่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ไปเสียทุกครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าหลังจากที่ได้นอนเต็มอิ่ม
เด็กๆทั้งห้าคนจะลุกขึ้นมาวิ่งซนได้เหมือนเดิม
ที่น่าห่วงคือมนุษย์ที่เป็นเจ้านายของเพนกวินตัวนั้นต่างหาก
“นายว่ามนุษย์ที่ชื่อเคย์โตะนั่นจะทำยังไง
ฮารุ”
“ไม่รู้สิ” ฮารุตอบ
ก้มลงสำรวจเด็กๆที่หลับแน่นิ่งอยู่บนผืนหญ้าสีเงินสว่าง เคนโตะ ฟูมะ ยูมะ โฮคุโตะ ยูโกะ หลับตาพริ้มสบาย และเริ่มดิ้น
“แต่อย่างน้อยก็คงจะได้อยู่ด้วยกันไปอีกพักใหญ่ๆล่ะ”
“อืมม์” ยูยะมองลงไปในบ่อน้ำ แต่ก็เห็นแค่น้ำน้ำสีเงินสงบนิ่ง ถ้าไม่มีเวทมนตร์ของเด็กๆ
เขาก็ไม่อาจเห็นภาพจากโลกเบื้องล่างได้
“เราพาเด็กๆเข้าไปนอนในบ้านเถอะ”
ฮารุบอก เขาได้ยินเสียงโครมครามดังอยู่ไม่ไกล “โชริ มาริ กับโซ ต้องวิ่งอยู่แถวๆนี้แน่”
ฮารุกับยูยะกลายเป็นพี่เลี้ยงประจำตัวของเด็กๆกระต่ายครึ่งแมวไปซะแล้ว ยิ่งโต
ความซนของเด็กๆก็ลดน้อยลงตามวัย
ถึงจะมีเรื่องป่วนๆไม่เว้นวันก็ยังพอจัดการได้
แต่พี่น้องอีกสามตัวที่ยังเด็กกว่ามากนักยังซนได้ไม่หยุดหย่อน
พี่เลี้ยงสี่คนยังวิ่งตามแทบไม่ทัน
“นั่นสิ” ยูยะจัดการแบกเด็กขึ้นหลังฮารุมะ
ส่วนตัวเองก็อุ้มที่เหลือพาดบ่าเดินตามกันเข้าบ้านไปแบบสบายๆ ซึ่งเป็นความโชคดีอย่างมาก เพราะหลังจากที่พวกเขาเข้าบ้าน
น้ำแข็งจากภูเขาอีกฟากฝั่งของทะเลสาบบนดวงจันทร์ก้อนเบ้อเร่อก็ตกลงตรงที่เด็กๆเคยนอนพอดี
ถึงบนโลกจะวุ่นวายขนาดไหน แต่บนดวงจันทร์นี่วุ่นวายกว่าเยอะทีเดียว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จบแล้ววววว
เป็นฟิคเรื่องหนึ่งที่เขียนแล้วไม่เคยจะเครียด กลับสนุกที่ได้จับเด็กๆมาแปลงร่าง ทั้งที่ตั้งใจจะเขียนแค่พาร์ทของโคยาชิเงะ แต่เขียนเพลินจนมีพาร์ทของเด็กๆตามมาด้วย ยังไงก็ฝากด้วยนะคนอ่านทุกท่าน คิดว่าฟิคเรื่องนี้คงมีตอนต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าคนเขียนจะหมดมุกละค่า
สาระนิดนึง
เพนกวินในเรื่องคือลักษณะของลูกเพนกวินจักรพรรดินะคะ ปกติลูกเพนกวินที่ยังไม่โตเต็มที
พ่อแม่จะไม่ปล่อยให้ลงน้ำ เพราะยังว่ายน้ำไม่แข็งพอ
แต่คนเขียนจับเอามาเป็นตัวละครเพราะลูกเพนกวินขนฟูมันน่ารักกว่าตัวโตเต็มวัยที่ผลัดขนแล้วเท่านั้นเอง ใครอยากเห็นรูปลูกเพนกวิน
เสิร์ชหาดูได้ในกูเกิล
แนะนำให้ไปเช่าแผ่นการ์ตุนเรื่อง Happy Feet มาดูด้วยนะ แล้วจะอินกับความน่ารักของน้องเพนกวิน