Wednesday 22 June 2011

[SF]Sleepless

Title -:- Sleepless
Writer -:- Nalikakeaw
Pairing -:- Taka x inoo






ท้องฟ้ายามนี้เป็นสีดำสนิท ไร้ดวงดาว มีเพียงแสงไฟจากตึกรามที่ยังส่องสว่างระยิบระยับ  แม้ในยามดึกที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลังหลับไหล


แต่ยังคงมีบางคนที่ยังเหม่อมองแสงสีเบื้องล่าง ผ่านกระจกหน้าต่างภายในห้อง พลางคิดถึงใครบางคนที่อยู่อีกฟากฝั่งของเมือง


ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ บอกให้รู้ว่าตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยก้าวสู่วันใหม่ ดวงตาคมจ้องโทรศัพท์ในมืออย่างลังเลใจ  อยากโทรฯหา อยากได้ยินเสียงใครคนนั้น แต่ก้กลัวว่าจะรบกวนแม้จะรู้ว่าเวลานี้ คนที่เขาคิดถึงจะยังไม่นอนก็ตาม


แต่ในที่สุดก็กดปุ่มโทรออก ถึงเจ้าของหมายเลยที่ตัวเขากดค้างไว้บนหน้าจอมือถือตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว  หลังจากฟังเสียงสัญญาณโทรฯออกเพียงสองครั้ง ก็ได้ยินเสียงตอบรับมา...เร็วเสียจนคนที่เป็นฝ่าโทรฯไปตั้งตัวไม่ทัน


"นาย-ยังไม่นอนเหรอ?"


ถามไปแล้วก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง ..ถามโง่ๆ.. ถ้าอีกฝ่ายเข้านอนไปแล้วคงไม่ได้รับสายเสียงใสแบบนี้


"อือ! อ่านหนังสืออยู่น่ะ แต่อีกเดี๋ยวก็จะนอนแล้ว"


"ถ้างั้นฉันไม่กวนแล้ว  ราตรีสวัสดิ์"


วางสายไปเสียดื้อๆ โยนมือถือไว้บนโต๊ะอย่างอารมณ์ดี กระโจนขึ้นเตียงกอดหมอนแล้วก็หลับไปอย่างรวดเร็ว


ทิ้งให้ร่างบางที่อยู่ปลายสายขมวดคิ้วใส่โทรศัพท์ตัวเองอย่างงงๆอยู่ครู่หนึ่ง  ริมฝีปากบางๆจึงยกยิ้มอย่างรู้ทัน


"คิดถึงฉันจนนอนไม่หลับก็ไม่บอกกันตรงๆล่ะ ยูยะ"






.............................................



.......................



........



....





บ่ายวันต่อมา อิโนะโอะ เคย์ ก็เดินเข้ามาในสตูดิโออย่างอารมณ์ดีสุดๆ จนเพื่อนซี้อย่างไดกิที่เดินตามกันมาติดๆอดปากแซวไม่ได้




"ยิ้มอย่างนี้แสดงว่าสอบได้สินะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนายมันสมองดี หรือว่าเพราะกำลังใจดีกันแน่"



"กำลังใจดีที่ไหนล่ะ ไม่มีแม้แต่คำอวยพรซักคำ"



"อ้าว! ก็เห็นว่าพักนี้ทาคาคิคุง ดูอดหลับอดนอน ฉันนึกว่าเป็นเพราะคอยอยู่เป็นเพื่อนนายอ่านหนังสือซะอีก"



"ไม่ได้อยู่ด้วยกันซักหน่อยนี่นา"



ถ้าให้มาอยู่เป็นเพื่อนจริงๆก็ไม่เอาหรอก เดี๋ยวก็ไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี



"เอ...ถ้าไม่ได้อยู่กับอิโนะจัง งั้นเมื่อคืนทาคาคิคุงไปทำอะไรมาน้อ..ถึงต้องมานอนเอาแรงเวลางานเนี่ย"



"ท่าทางไดจังจะรู้ดีเนอะ ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนไปอยู่ด้วยกันมาหรอกนะ?"



เคย์แกล้งทำตาวาวใส่เพื่อน แต่ก็สมจริงเสียจนไดกิต้องรีบโบกมือปฏิเสธปากคอสั่น เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง



"ยามะจังไม่อยู่แถวนี้ซักหน่อย"



"ใครจะรู้ล่ะ เผื่อมาแอบหลับแถวใต้ตู้ใต้โต๊ะแถวนี้แล้วมาได้ยินเข้าจะทำยังไง อิโนะจังเนี่ย..ฉันแค่แซวเล่นหน่อยเดียวเอง"



บ่นๆพลางก้มลงดูใต้โต๊ะให้แน่ใจว่าแฟนตัวเองไม่ได้มางีบอยู่แถวนั้นจริงๆ เคย์ก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าทำไมไดกิถึงได้กลัวว่ายามาดะจะได้ยิน เพราะคนที่ปากหวาน ช่างเอาอกเอาใจอย่างยามาดะนั้นมีข้อเสียคือนิสัยขี้หึงอย่างร้ายกาจ  ขนาดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทสุดซี้ของไดกิอย่างเขา ยามาดะยังหาเรื่องมาหึงได้บ่อยๆ



เห็นแล้วร่างบางก็นึกอิจฉา อยากให้แฟนตัวเองแสดงออกอย่างยามาดะเสียบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็มีแต่เขาที่แสดงออกว่ารักอยู่ฝ่ายเดียว  อย่างตอนนี้ยูยะก็เอาแต่นอน ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดูซักนิดว่าแฟนตัวเองอยู่ตรงนี้



"จะไม่ถามฉันหน่อยเหรอว่าวันนี้สอบเป็นยังไงบ้าง"



"นายทำได้อยู่แล้วนี่"



ท่าทางจะหวังความโรแมนติกจากนายคนนี้ไม่ได้เลยสินะเนี่ย ถึงจะทำใจมาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มคบกัน แต่บางครั้งเขาก็อยากได้ความห่วงใยใส่ใจแบบที่คนรักเขาทำกันบ้างนี่นา



"เฮ้ย!!!ทำอะไรน่ะอิโนะจัง?"



นิ้วเรียวๆจิ้มเข้าตรงสีข้างของคนที่กำลังนอนอยู่จนสะดุ้งโหยง ตาสว่างลุกขึ้นนั่งมองตามร่างบางที่เดินเชิดหน้าหนีไปนั่งอ่านหนังสือตรงมุมห้องแบบงงๆ ไม่รู้ตัวว่าถูกงอนด้วยสาเหตุใด





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





คืนนี้ยูยะนอนไม่หลับ ความกังวลบางอย่างรบกวนจิตใจจนทำให้คนที่เหนื่อยจากงานมาทั้งวัน ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วก็ข่มตาให้หลับอีกไม่ได้  สาเหตุมาจากร่างบางคนสวยที่วันนี้ทำตัวแปลกๆ แม้ว่าจะได้พูดคุยกันตามปกติ แต่ท่าทีที่แสดงออก สายตาที่มองเขานั้นดูเหินห่างเย็นชา จนเขาต้องเก็บเอามาคิด



"นายคิดไปเองมั้ง ฉันไม่เห็นว่าอิโนะจังจะผิดปกติตรงไหนเลย"



พอถามฮิคารุหรือเมมเบอร์คนอื่นๆก็ได้คำตอบมาแบบนี้  แต่ในสายตาคนรักอย่างเขาย่อมรู้ดีกว่านั้น  ยูยะรู้ว่าอีกฝ่ายงอนเขา  เพียงแต่ไม่รู้ว่างอนเรื่องอะไร  ดวงตาคมจ้องมองโทรศัพท์ราวกับจะคาดคั้นให้มันไปหาคำตอบให้  อยากรู้..แต่ไม่กล้าโทรฯไป  พรุ่งนี้เคย์ยังมีสอบ  ถ้าทะเลาะกันจนเคย์ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือสอบก็คงไม่ดี..



เฮ้อ!!!!!



"คิดถึงฉันอยู่เหรอ? ยูยะ"



ในแสงสลัวภายในห้องที่มีเพียงแสงจากโคมไฟตรงหัวเตียง ที่ประตูห้อง ยูยะมองเห็นร่างบางในชุดนอนของเขา เสื้อบางๆที่แม้จะติดกระดุมครบทุกเม็ด แต่คอเสื้อก็ยังแหวกลงลึกจนคนมองใจสั่น แขนเสื้อและขากางเกงยาวเกินออกมาเล็กน้อย ทำให้คนใส่ดูน่ารักและเย้ายวน 



"มาเมื่อไหร่.."



ยูยะถามเสียงพร่า พยายามข่มอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติที่สุด แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นอีกเมื่อร่างบางเดินมานั่งตักเขา วาดสองแขนเรียวโอบรอบคอ จูบยูยะที่แก้มทั้งสองข้าง เบียดสะโพกเข้าหาส่วนกลางลำตัวที่กำลังตื่นขึ้นอย่างจงใจ กระซิบตอบข้างหูด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่



"มาตั้งนานแล้ว ตอนแรกว่าจะกลับบ้าน แต่เปลี่ยนใจกลางทาง พอมาถึงนายก็หลับไปแล้ว ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วยก็เลยต้องยืมชุดนอนของนายมาใส่ หลวมไปนิดนึงเนอะ"



ถ้านี่เป็นบทลงโทษที่เคย์จะใช้กับยูยะ โทษฐานที่ทำให้โกรธไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ เขายอมตายดีกว่าจะต้องมาทรมานกายทรมานใจแบบนี้  ความห่างเหินนับเดือนที่เขาต้องอดทน กลิ่นสบู่ที่เขาชอบเมื่อยามที่อยู่บนผิวกายเนียนนิ่ม ทำให้ยูยะแทบคลั่ง  เหตุผลเดียวที่ทำให้ทั้งสองต้องห่างเหินคือ เรื่องสอบ ยูยะรู้ความต้องการของตัวเองดีจึงไม่อยากทำให้ร่างบางต้องสับสนและเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป



คนสวยหัวเราะคิกเมื่อจมูกโด่งกับริมฝีปากร้อนๆ กดลงบนลำคอขาวระหงอย่างอดใจไม่ไหว เฝ้าวนเวียนเน้นย้ำแผ่วเบาสลับหนักหน่วงเรียกเสียงครางเบาๆจากริมฝีปากอิ่ม สองมือลูบไล้แผ่นหลังเรื่อยลงไปถึงสะโพก บีบคลึงเนื้อแน่นผ่านผ้าบางที่คนรักสวมไว้เพียงชิ้นเดียว



"ยั่วกันแบบนี้ พรุ่งนี้ไม่อยากไปสอบหรือไง"



เคย์ยิ้มหวานให้คนรัก จูบริมฝีปากแผ่วเบาให้ยูยะคลายความหงุดหงิด



"ที่จริง...วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้วล่ะ"



"หือ?..แต่ตารางสอบ?"



ตารางสอบที่ร่างบางเอามาให้ผู้จัดการเพื่อจัดคิวงานให้ลงตัวนั้น ยูยะจำได้ว่าพรุ่งนี้ เคย์จะมีสอบอีกหนึ่งวิชา  งานที่แพลนเอาไว้ถึงถูกเลื่อนให้ช้าไปอีกหนึ่งวัน



"อาจารย์เลื่อนสอบมาเป็นวันนี้น่ะ มันกะทันหัน ก็เลยไม่ได้บอกผู้จัดการ แล้วก็..ไม่ได้บอกใครด้วย"



"เจ้าเล่ห์นักนะ"



ยูยะงับเข้าที่หัวไหล่ขาวๆอย่างมันเขี้ยว มีอย่างที่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าเขาต้องห้ามใจ กลับมาแกล้งให้เขาทรมานใจจะขาดแบบนี้



"ไม่ชอบเหรอ เจ้าเล่ห์แบบนี้ พรุ่งนี้..ไม่มีสอบ แล้วก็ไม่มีงานด้วย "



ยูยะมอบรางวัลให้คนรักด้วยริมฝีปากร้อนๆ  จูบบดเบียดซับความหอมหวานเนิบช้า ค่อยแตะปลายลิ้น แทรกริมฝีปากอิ่มเข้าไปสัมผัสความนุ่มนวล ชุ่มฉ่ำที่คอยตอบรับอยู่ภายใน  มือหนาละจากสะโพกเลื่อนขึ้นสำรวจหน้าท้องแบนราบเรื่อยขึ้นไปด้านบน แผ่นอกบางแอ่นรับผัสที่วนไล้ตรงยอดอก



จูบร้อนแรงขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งสูง สองกายเบียดแนบชิดเสียดสีร้อนผ่าว ยูยะประคองร่างบางนอนลงบนเตียงนุ่ม ละจูบจากริมฝีปากอิ่ม เริ่มสำรวจผิวกายนุ่มนิ่มที่แสนโหยหา จูบย้ำซ้ำๆตรงกลางอก ให้เจ้าของร่างกายนี้ได้รู้ว่าที่ตรงนี้...หัวใจที่เต้นถี่แรงอยู่ในนี้ เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว



"อ๊ะ!! ยูยะ"



ครางเรียกชื่อคนรักแผ่วๆ และเสียงครางยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ยูยะแตะปลายลิ้นปรนเปรอยอดอกสองข้างผ่านเนื้อผ้าบางสากระคาย  ขบเม้มกระตุ้นอารมณ์ให้ร่างบางบิดกายด้วยความทรมาน กางเกงถูกดึงออกไปอย่างง่ายดายเหลือเพียงเสื้อที่ดูจะไร้ความหมาย  ยามนี้อารมณ์ของทั้งสองใกล้ถึงขีดสุด  มือหนารวบส่วนอ่อนไหวเข้าหากันขยับขึ้นลงช้าๆ... กระทั่งสิ้นสุดปลายทาง..



ยูยะทิ้งกายลงทาบทับร่างข้างใต้อย่างเหนื่อยอ่อน สองร่างกอดก่ายถ่ายทอดอารมณ์ผ่อนคลายให้แก่กันและกัน 


"เหนื่อยแล้วเหรอยูยะ?"



เคย์ถามทั้งๆที่มือหนาเริ่มไม่อยู่นิ่ง  ปลายนิ้วเปรอะคราบขุ่นขาวซุกซนแตะอยู่ตรงร่องสะโพก



แทนคำตอบว่าค่ำคืนนี้ จะไม่จบลงง่ายๆ........








++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






"ตื่นได้แล้วววว"



แสงจ้าบาดตา พร้อมกับเสียงหวานๆกรอกอยู่ข้างหู  ทำได้แค่ทำให้ยูยะคว้าหมอนใบโตมาปิดหูปิดตาหลับต่อ เมื่อคืนเขาถูกปีศาจแสนสวยในคราบลูกแกะน้อยสูบพลังชีวิตไปจนเกือบหมด อยากนอนยาวๆให้เรี่ยวแรงคืนมาเหมือนเดิมเร็วๆ



"ยูยะ ตื่นสิ วันนี้ว่างทั้งวันเลยนะ ออกไปเที่ยวกัน"



ร่างบางเรียกอย่างอารมณ์ดี คว้าหมอนออกจากมือยูยะ ตัวเองเลยถูกคว้าไปกอดแทนหมอน  เคย์ที่อยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำเพียงตัวเดียวก็ยอมให้กอดแต่โดยดี



"ไม่ล่ะ อยากนอน"



"อะไรเนี่ยยย!!! ตามใจกันหน่อยไม่ได้เหรอ เมื่อคืนฉันยังตามใจนายจนปวดเมื่อยทั้งตัวแล้วเนี่ย"



ยูยะหรี่ตามองคนที่บอกว่า "ปวดเมื่อยไปทั้งตัว" แล้วยังมีแรงจะไปเที่ยว ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จะขำก็ขำ เคืองก็เคือง  หมั่นเขี้ยวหอมแก้มนิ่มไปแรงๆสองสามที  ร่างบางดิ้นยุกยิกอยู่ในอ้อมแขนซักพักก็ยอมแพ้ นอนซบกับอกยูยะแต่ก็ยังไม่วายออดอ้อนด้วยริมฝีปากอิ่มกดจูบทักทายคนรักยามเช้า  จูบหวานๆเนิ่นนานเริ่มร้อนแรงเมื่อเรียวลิ้นเล็กแทรกเข้าไปทักทายให้คนรัก "ตื่น" ทั้งใจ และกาย 



มือหนาเริ่มปัดป่ายไปบนร่างบางที่ทาบทับอยู่ช้าๆ



"ไม่อยากนอนแล้วเหรอยูยะ"



คนสวยยิ้มยั่ว จูบเบาๆที่ปลายคางคนรัก นิ้วเรียวไต่ไปตามอกจนถึงหน้าท้องที่ขยับขึ้นลงตามลมหายใจที่รุนแรงขึ้น




ถ้าไม่ออกไปข้างนอก ... ก็จะเอาแต่นอนอยู่เฉยๆไม่ได้หรอกนะ ยูยะ...






+++++++++++++++E+N+D+++++++++++++++++++++

Friday 10 June 2011

[SF] After The Rain☀ ...

Title --- After the Rain

Writer --- Nalikakeaw

Pairing --- Haru x Yuya




วันนี้ฟ้าหม่น  ..


เมฆขาวอมเทาแผ่คลุมทั่วผืนฟ้า  ทั้งๆที่เป็นยามสาย แต่กลับไร้แสงแดดจ้า


ฝนเม็ดหนากระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย


อากาศเย็นจัด..  ลมพัดต้องผิวกายให้ต้องกระชับเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนาเข้ากับตัว


สองมือกุมถ้วยกาแฟร้อนขึ้นจิบคลายหนาว  ฟังเสียงฝน...




ครึ่งชั่วโมงต่อมา............


ฝนเริ่มซา แต่ฟ้ายังครึ้ม เค้กชิ้นหนึ่งเพิ่งถูกวางลงบนโต๊ะ โดยหญิงวัยกลางคนผู้มีรอยยิ้มใจดี เธอสวมเสื้อเชิ๊ตสีครีมอ่อน กับกางเกงผ้าสีคราม ทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาว เพนท์ลายดอกไม้เล็กๆ สีเหลืองนวลเหมือนดอกหญ้า กับใบไม้เรียวยาวสีเขียวอ่อน มองแล้วทำให้นึกถึงดอกไม้ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และสายลม


ท่าทางจะเป็นเจ้าของร้าน..


เหลียวมองบรรยากาศรอบๆ   ร้านนี้ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวครึ้ม ตัวร้านเป็นศาลาทรงกลมเปิดโล่งมองเห็นวิวรอบด้าน มีเคาท์เตอร์สำหรับบริการเครื่องดื่มและของว่างตั้งอยู่ตรงกลาง  ข้างๆกันเป็นชั้นกระจกสำหรับวางเค้กหลากหลายรส  ที่เจ้าของบรรยายสรรพคุณไว้ว่าเป็นเค้กเพื่อสุขภาพ


เหมือนเค้กแครอทที่อยู่บนโต๊ะ  รอให้เขาจัดการเสียที


"ทานให้อร่อยนะคะ"


มอบรอยยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป ร้อยยิ้มของเธอดูอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว  คล้ายกับใครบางคน ...


คนที่เขาคิดถึง...





...............................

..................

.............



หนึ่งชั่วโมงผ่านพ้น  น้ำฝนหยดใหญ่ๆกลับกลายเป็นเพียงแค่ละออง สายลมระเรื่อยพัดพาอากาศเย็นสดชื่นเข้ามาให้สูดจนเต็มปอด  กาแฟถ้วยที่สองถูกวางลงบนโต๊ะ กลิ่นกรุ่นกาแฟเคล้ากับกลิ่นเย็นๆของละอองฝนทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก


"กำลังรอใครอยู่เหรอครับ"


กะพริบตาปริบๆใส่คนถามและคำถาม คนเสิร์ฟกาแฟคนนี้ดูจะมีอายุไล่เลี่ยกับคนเสิร์ฟเค้ก หรืออาจจะอายุมากกว่านิดหน่อย เป็นผู้ชายตัวสูงท่าทางใจดี  มีใบหน้าเรียวคมเข้ม แม้จะมีริ้วรอยเพิ่มขึ้นตามวัย แต่เดาได้เลยว่าสมัยหนุ่มๆคงจะหน้าตาดีไม่ใช่น้อย


คล้าย..


คล้ายกับคนที่เขารออยู่ตอนนี้...


เฮ้ย!! แล้วทำไมเขาถึงมองเห็นหน้าใครๆคล้าย "หมอนั่น"ไปหมดล่ะ?


ผู้สูงวัยกว่าเพียงแต่ยิ้มเมื่อคำถามไม่ได้รับคำตอบ แถมยังถูกจ้องหน้าเสียอีก


"ผมเห็นคุณนั่งอยู่คนเดียวอยู่นาน เหมือนจะมองหาใครสักคน"


"เอ่อ..ก็รอเพื่อนน่ะครับ แต่เขาติดงาน อาจจะมาช้าหน่อย"


"คงเป็นคนสำคัญ"


แค่นึกถึงคนที่นัดเขามารอแก้มมันก็ร้อนวูบขึ้นมาแล้ว ยิ่งได้เห็นสายตารู้ทันของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมามากกว่าแล้วมันทำให้ขัดเขินโดยไม่รู้สาเหตุ


"เราไม่ได้เจอกันนานแล้วเท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไร"


ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะหนักแน่นพิกลๆ เหมือนกลัวถูกจับได้ ว่าเขากำลังโกหก

 
"เมื่อก่อนน่ะ ผมเคยนั่งรอผู้หญิงคนหนึ่งเป็นวันๆ วันละหลายๆชั่วโมง เพียงเพราะอยากจะเห็นหน้าเธอ จนใครๆรอบตัวเอือมระอา แต่คุณรู้ไหมมันมีความสุขนะ ถึงแม้ว่าระหว่างที่รอจะต้องกังวลไปต่างๆนานา ว่าวันนี้เธอจะมามั๊ย ถ้าเธอไม่มาก็ห่วงอีกว่าเธอจะไม่สบาย เกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า  แต่พอได้เห็นหน้าเธอ ผมก็รู้สึกว่าการรอคอยของผมมันคุ้มค่าที่สุดแล้ว"


คนฟังหัวเราะเบาๆกับตัวเอง นั่นสินะ..เขาก็เหมือนกัน เจ้าตัวก็บอกไว้ก่อนแล้วแท้ๆว่าติดงาน แต่เขายังมารอก่อนเวลานัดตั้งหลายชั่วโมง


ถ้าเจ้าเพื่อนซี้รู้เข้าว่าออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อมานั่งรอคนที่นัดเขาไว้ตอนสิบเอ็ดโมงละก็  คงถูกด่าว่าบ้าบอตามเคย  อืม.. แต่ยาบุอาจจะเข้าใจเขาก็ได้มั้ง  เจ้านั่นน่ะเคยไปนั่งรอฮิคารุที่บ้านตั้งแต่เช้าในวันที่สองคนนั่นนัดเดทกันครั้งแรก


แต่เขาไม่ได้มาเดทสักหน่อยนี่หว่า!   แค่หมอนั่นโทรมาว่าอยากเจอ  ก็แค่นั้น...


แค่นั้นจริงๆนะ...


เพราะหมอนั่นบอกว่าอยากเจอ ถึงได้เฝ้าอยู่หน้ากระจกตั้งแต่บ่าย เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่มาวันนี้ หลังจากที่ใส่ๆถอดๆอยู่นานก็ปลงใจได้ว่าไม่มีอะไรจะเหมาะกับเขาเท่ากับ เสื้อยืดสีเรียบๆ  กางเกงยีนส์ขาดๆ  รองเท้าแตะ กับหมวกแก๊บใบโตๆอีกหนึ่งใบ


เพราะแค่นั้น.. เขาถึงกับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พอหลับปุ๊บก็ตื่นปั๊บ แต่งตัวออกจากบ้านมาแต่เช้า


ก็แค่นั้นแหละ..


"ล-แล้วตอนนี้เธอคนนั้นอยู่ที่ไหน ค-ครับ"


อยากเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นจะได้หายจากอาการแก้มร้อนเสียที แล้วทำไมมันถึงได้ร้อนกว่าเก่า แล้วทำไมมือไม้มันพันกันจนเกือบจะปัดถ้วยกาแฟล้มวะ  บ้าเอ๊ยยย!


"เธออยู่ตรงนั้น"


มองตามสายตาคู่นั้นไปก็พบว่า "เธอคนนั้น"  กำลังง่วนกับการตัดเค้กให้ลูกค้าอยู่หลังเคาท์เตอร์  ดูเธอมีความสุขและยิ้มให้ลูกค้าอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย แบบนี้เองสินะที่ทำให้คุณลุงใจดีคนนี้รักเธอ


"หวังว่าคู่ของคุณจะรักกันยืนยาวเหมือนเรานะครับ"


เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง จะแก้ตัวก็ไม่ทันเพราะคุณลุงคนเสิร์ฟกาแฟชิ่งหนีไปชงกาแฟต่อแล้ว


เอร๊ยยยยยยยยยยยยย  ไม่ช่ายยยยยยยยยยยยย!!!!!!!







+++++++++++++++++++++++++++++++




สามชั่วโมงผ่านไป...


ยูยะนั่งหลับตาฟังเสียงลมเสียงฝนเพลินจนไม่รู้เวลา  เมื่อลืมตาขึ้น  ฝนก็หยุดตกแล้ว แสงแดดเริ่มลอดผ่านรอยแหวกม่านเมฆสีเทาลงบนยอดหญ้า สะท้อนหยดน้ำให้กลายเป็นอัญมณีสีเขียวเป็นประกาย


สวยงามจนอยากให้ใครอีกคนมานั่งมองด้วยกันตรงนี้..


"ทาคาคิ!"


ว่ากันว่า ถ้ากำลังพูดถึงใครแล้วคนนั้นโผล่มาพอดี คนที่ถูกพูดถึงจะอายุยืน แต่ถ้าเปลี่ยนจากพูดถึงเป็นคิดถึง คนๆนั้นจะอายุยืนด้วยรึเปล่าหว่า?


คิดถึง?


ใครเค้าจะคิดถึงกันเล่า!


"โทษทีที่มาสาย งานเพิ่งเสร็จน่ะ"


ขอโทษขอโพยพลางปัดหยดน้ำออกจากปอยผมอย่างลวกๆ ฝนน่าจะเพิ่งหยุด แสดงว่าเจ้าตัวคงวิ่งฝ่าละอองฝนมาจากสถานี ระหว่างนั้นยูยะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ปรากฏว่าเข็มสั้นและเข็มยาวยังเคลื่อนมาไม่ถึงเลขสิบเอ็ดด้วยซ้ำ


"ยังไม่ถึงเวลานัดเลย นายไม่ต้องรีบก็ได้ ตากฝนมาแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัด"


"ฉันไม่อยากให้นายรอนาน" ยิ้มกว้างกับอาการบ่นกลายๆ ของอีกฝ่าย ยิ้มแบบนี้แหละที่ทำให้ยูยะต้องแอบเขิน หลบสายตาเสียทุกครั้ง "เอางี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษเดี๋ยวฉันจ่ายค่ากาแฟกับขนมเอง"


"ไม่ต้อ-"


ให้ตาย! ไม่รู้ทำไมถึงปฏิเสธอะไรหมอนี่ไม่เคยได้ซักที อย่างตอนนี้แค่จะบอกว่าไม่ต้อง แต่หมอนั่นก็เดินไปจ่ายเงินตรงเคาท์เตอร์แล้ว  ยูยะเดินตามไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ





............................



......................



...............


.......



"แบล็กฟอเรสท์  ทีรามิสุ  สตรอเบอร์ชีสเค้ก  มองบลังต์ เค้กแครอท  อะไรของนายน่ะทาคาคิ"


"ก็เค้กน่ะสิถามได้"


มือข้างหนึ่งถือใบเสร็จ  อีกข้างหนึ่งต้องยกขึ้นมาเกาหัวแกรก  ก็รู้แล้วว่าเค้ก  แต่คนคนเดียว กินเค้กได้ถึงห้าชิ้นเชียวเหรอ นี่ไม่นับรวมกาแฟสองถ้วย ชาหนึ่งถ้วย นมอีกหนึ่งถ้วยนะ


แล้วตอนนี้เจ้าตัวยังจิ้มเค้กสูตรใหม่ที่เจ้าของร้านสมนาคุณให้เป็นพิเศษเข้าปากแบบสบายใจเฉิบ


ถ้าเขามาช้ากว่านี้ ไม่กินเค้กจนหมดร้านเลยหรือ


"ฉันจะจ่ายเอง เอาบิลมา"


เอื้อมมือหมายจะคว้าใบเสร็จนั้นมา แต่อีกฝ่ายก็ลดเลี้ยวเสียจนน่าโมโห


"บอกว่าจะเลี้ยงไงล่ะ แค่แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงได้กินเยอะขนาดนี้ มิน่าพักนี้ถึงดูบวมๆ อุ๊บ!!!"


ว่าอะไรก็ว่าได้ แต่พูดเรื่องความอ้วนแล้วมันฟังผิดหูทุกที ชิ้นเค้กที่เหลือจึงถูกจิ้มยัดเข้าปากคนพูดมากเสียจนสำลัก แต่ก็ยังไม่ปล่อยให้ยูยะชิงใบเสร็จไปจากมือได้อยู่ดี  เอื้อมจนสุดแขนแต่อีกฝ่ายก็เอนไปข้างหลังสุดตัวเหมือนกัน ยื้อกันไปแย่งกันมา จนผู้สูงวัยสองคนที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ที่มองอยู่นานหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดู


ถึงได้รู้ว่าตัวว่ามืออีกข้างที่ไม่ได้ถืออะไรเนียนมาเกี่ยวอยู่กับเอวเขาเสียนี่


พอเป็นแบบนี้ยูยะก็เลยทั้งดิ้นทั้งโวยวายจนอีกฝ่ายต้องยอมปล่อย แต่ก็ต้องแลกกับการตกเป็นเป้าสายตาของลูกค้าคนอื่นอีกนับสิบคน


"ไม่เห็นเป็นไร ตอนถ่ายหนังฉันกอดนายออกบ่อย ว่าแต่ เอวหนาขึ้นนะนาย เฮ้ยๆๆๆๆๆๆๆ ไม่พูดแล้วว!!!!"


ร้องห้ามพร้อมๆกับปัดมือวุ่นวาย เพราะส้อมในมือยูยะทำท่าจะจิ้มใส่เขาอีกหน แต่คราวนี้เป็นส้อมเปล่าๆไม่มีเค้ก


"อย่าเพิ่งโมโหน่า งั้นวันนี้นายอยากไปไหน อยากกินอะไร ฉันตามใจหมดทุกอย่างเลย เลี้ยงหมดเลยด้วยเอ้า"


"มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว นายเป็นคนนัดฉันออกมานี่ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน ฮารุมะ"


ว่าแล้วก็กระฟัดกระเฟียดเดินหนีสายตาลูกค้าคนอื่นๆออกมายืนชมนกชมไม้ให้ใจเย็นอยู่ข้างนอก


เที่ยวฟรีกินฟรีก็ดีอยู่หรอก  แต่ทำไมไอ้ประโยคที่หมอนั่นพูดเมื่อกี๊..มันฟังดูทะแม่งๆจังวะ




+++++++++++++++++++++++++++++++




ไปที่ๆอยากไป..   กินอะไรที่อยากกิน..  สุดท้ายแล้วยูยะก็ไม่ได้ทำซักอย่าง  พอก้าวออกจากสวนนั้นแล้วก็ไม่รู้จะไปทางไหน  ผิดกับคนข้างๆที่รู้จักย่านนี้ดีเป็นพิเศษ เข้าตรอกโน้นออกซอยนี้ ไปโผล่อีกมุมถนนหนึ่งที่มีคนพลุกพล่านมากกว่าได้อย่างคล่องแคล่ว


"วิ่งเล่นเดินเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว หลับตาเดินยังได้"


แอบย่นจมูกใส่คนขี้อวด แต่พอถูกถามว่าอยากไปไหนก็ได้แต่ส่ายหน้า งานนี้เลยต้องอาศัยเจ้าถิ่นพาเที่ยว และดูว่าฮารุมะจะมีความสุขที่ได้เป็นไกด์พาชมเมืองซะด้วย เพราะเจ้าตัวยิ้มกว้างตอบรับคำขอแล้วก็ออกเดินนำทันที


เอาเถอะ.. นานๆทีจะได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนี้ซักที  ก็คุ้มแล้วเนอะ..


แต่อาจเป็นเพราะว่าแถวนี้ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ใช่ย่านแฟชั่น และไม่ใช่แหล่งของกิน  มีแต่บ้านสไตล์ญี่ปุ่นโบราณตามสองข้างทาง ก็เลยใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆในการเดินเที่ยว  แต่ยูยะก็ชอบที่จะได้เห็นอะไรที่แตกต่างจากเดิมบ้าง มองแต่ตึกคอนกรีตอยู่ทุกวันก็น่าเบื่อ..


"ดูหนังซักเรื่องไหมทาคาคิ?"


ถามแล้วก็ไม่รอฟังคำตอบ.. จะถามทำไมวะ? ทาคาคิได้แต่อึ้งปล่อยให้ฮารุมะจูงมือเข้าไปในโรงหนัง


.....................


..............


....


..


นอกจากจะไม่รอคำตอบแล้ว ฮารุมะยังไม่ปล่อยให้ยูยะออกความเห็นด้วย ฮารุมะจัดการซื้อตั๋วเลือกหนังเองเสร็จสรรพ


ไหนบอกว่าจะตามใจกันไงวะ..  คนโกหก


"นายไม่ชอบดูหนังผีนี่"


แล้วมันคือเหตุผลที่เลือกหนังรักโรแมนติกสุดโศก  ดูไปยูยะก็ต้องแอบเช็ดน้ำตาตลอดทั้งเรื่อง ที่น่าโมโหคือไอ้คนชวนดูหนังดันอาศัยไหล่เขาต่างหมอน หลับตั้งแต่หนังยังฉายไม่ถึงครึ่งเรื่อง


แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่า คือการที่ยูยะไม่กล้าแม้แต่จะผลักไส ยามที่ใบหน้าหล่อเหลาเอนลงมาแนบชิด ลมหายใจอุ่นๆ ปลายจมูกโด่งๆแตะลงบนต้นคอราวกับตั้งใจ พอขยับตัวหนีก็ถูกกอดเอาไว้แน่น ยิ่งดิ้นยิ่งรัดเหมือนหนวดปลาหมึก เลยต้องจำทนเป็นตุ๊กตาให้กอดอยู่เกือบสามชั่วโมง


พอหนังจบ ไฟเริ่มสว่าง คนขี้เซาก็ยังไม่ยอมตื่น แถมยังยิ้มหวานฝันดีไปถึงสวรรค์ชั้นไหนแล้วก็ไม่รู้ ปล่อยให้ยูยะต้องอายคนทั้งโรงหนัง ที่จ้องกันเป็นตาเดียว


ความซวยเลยไปตกอยู่กับคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง ถูกดึงแก้มสองข้างจนร้องลั่น ตายังไม่ทันสว่างดีแล้วยังต้องวิ่งตามมาง้อยูยะที่โกรธจนควันออกหูด้วยซูชิมื้อใหญ่  แต่ยูยะกลับเลือกร้านบะหมี่ในเพิงเล็กๆข้างทาง เดินเข้าไปกระแทกตัวนั่งบนม้านั่งแข็งๆ เชิดหน้าดื้อดึงจนฮารุมะต้องยอมแพ้


"งอนเป็นสาวๆไปได้น่านาย"


ฮารุมะสงสัยว่าตัวเองคงจะเป็นโรคจิตอยู่หน่อยๆ  รู้ทั้งรู้ว่าวาจาแบบนี้อาจทำให้ตะเกียบในมือคนข้างๆอาจปลิวมาทิ่มตาเอาได้ ก็ยังไม่วายหาเรื่องไม่รู้ทำไม


รู้แต่ว่าเวลาที่ได้เห็นคนข้างกายกัดปาก เชิดหน้า งอนเขาแบบนี้แล้ว....


รู้สึกดี...


"ไม่ได้งอน! แค่ไม่เข้าใจ! นายง่วง เหนี่อยขนาดนี้แล้ว ยังจะนัดฉันออกมาทำไม?"


ทิ่มตะเกียบลงในชามบะหมี่อย่างหงุดหงิด จนคนมองกลัวว่าชามจะคว่ำเสียก่อนจะได้กิน ไม่ได้งอนแต่โกรธอยู่สินะนั่น





...............................


......................



.............


.....





หลังออกจากร้านบะหมี่ ทั้งสองคนเดินกลับมาที่สวนเดิมที่นัดกันตอนเช้า  ยูยะยังคงงอนได้อย่างต่อเนี่องจนไม่อยากจะคุยกับคนข้างๆ  แต่พอหันมาเจอกับหน้าตาหงอยเหงาของฮารุมะแล้วยิ่งหงุดหงิดหนัก


"ถ้าเหนี่อยก็นอนพักอยู่กับบ้านซิ วันหลังค่อยออกมาเจอกันก็ได้"


"จริงๆแล้วพรุ่งนี้ฉันว่างทั้งวัน แต่นาย....คงไปฉลองกับคนอื่นสินะ"


ยิ่งพูด ทั้งสีหน้าทั้งสายตาก็ยิ่งหมอง ยูยะถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันอะไร วันสำคัญที่ทำให้เขางอนฮารุมะเมื่อปีที่แล้ว  แต่ปีนี่เขาทำใจไว้แล้วว่ายังไงเสียก็คงถูกลืมอีกแน่ๆ  ยูยะเลยไม่ใส่ใจจะทวงถามอะไรจากคนขี้ลืมให้ต้องทะเลาะกัน และเมื่อยาบุโทรมานัดไปกินข้าว ก็เลยตอบตกลงไป
 

"ฮารุมะ-ฉัน-"


ยิ่งมองหน้าแล้วยิ่งรู้สึกผิด  ยูยะคิดเพียงแต่ว่าที่ฮารุมะนัดเขาออกมาวันนี้ก็เพราะอยากหาเพื่อนเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย ไม่นึกเลยว่าจะมีความสำคัญใดแฝงไว้


"ฉันแค่อยากเจอนาย  แต่ถ้านายไม่อยาก-"


ยูยะรั้งร่างที่กำลังจะหันหลังให้ด้วยการเอื้อมไปจับมือฝ่ายนั้นเอาไว้ ความรู้สึกหลายอย่างท่วมท้นในหัวใจ หลายปีมาแล้วที่รู้จัก หากแต่มีเวลาได้เจอหน้า ได้อยู่ด้วยกันเพียงน้อยนิด ในเมื่อตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันแม้จะเป็นระยะเวลาอันแสนสั้น แต่ยูยะก็อยากทำให้มันมีค่ามากที่สุด


สำหรับสองคน.....


"ขอโทษ"


ยูยะรู้ตัวว่าเป็นคนพูดไม่เก่ง ถึงจะมีคำพูดมากมายกว่านี้ แต่คำพูดที่แทนความรู้สึกในตอนนี้ได้ดีที่สุด ก็มีคำนี้เพียงคำเดียว


ฮารุมะถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางกระชับกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ ยิ้มให้บางๆเป็นเชิงบอกว่า ไม่เป็นไร  ทั้งๆที่หัวใจมันพองจนแทบระเบิดออกมา


จากเริ่มแรกเป็นคนรู้จัก เป็นเพีอนร่วมงาน เป็นเพีอนสนิท  ก็หลายปีมาแล้วจนถึงวันนี้ที่ความรู้สีกที่มี มันมากกว่านั้น แต่ก็ยังไม่อาจข้ามผ่านเส้นบางๆของความเป็นเพื่อนได้


ฮารุมะมั่นใจในความรู้สีกของตนเอง  แต่สำหรับคนที่อยู่ตรงหน้านี้...เขาไม่รู้
 

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นเหมือน เมฆสีเทาบนท้องฟ้า ครึ้มๆเหมือนจะมีฝนตกแต่ก็ไม่ตก ไม่แน่นอนและไม่ชัดเจน และฮารุมะเองก็พอใจกับความสัมพันธ์ที่เป็นแบบนี้


แต่วันนี้ความรู้สีกมันเปลี่ยนไป ....


คนอย่างทาคาคิ ยูยะ  ไม่ชอบให้ใครเลี้ยงข้าว  ไม่ชอบแอร์หนาวๆในโรงหนัง เวลาเดินไม่ชอบให้จูงมือ แต่ทั้งหมดนั้น ยกเว้นไว้สำหรับฮารุมะเพียงคนเดียว


ที่ยอมให้กอด..ก็เพราะรู้ว่าหนาว


ยอมให้เลี้ยงข้าว...แต่ก็ไม่เคยเลือกร้านอาหารหรูๆให้ต้องกระเป๋าฉีก


ที่โกรธ..งอน เพียงเพราะเป็นห่วง


เท่านี้เพียงพอหรีอยัง...ที่สองคนจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์จากเพื่อน..


เป็นคนรัก....




++++++++++++++++++++++++++++




"พระอาทิตย์ตกสวยไหมฮารุมะ"


จิ้มแก้มคนที่นอนอยู่ข้างๆอย่างหมั่นเขี้ยว อุตส่าห์ชวนมานอนบนผืนหญ้าเขียวๆเย็นๆในสวน ชมบรรยากาศยามเย็นด้วยกัน แต่หมอนี่ดันหลับซะอีกแน่ะ  มันน่าโมโหอีกซักรอบจริงๆ


"ไม่สวยเท่านายหรอก"


ฮารุมะจำได้ดี วันนั้นเป็นฉากที่ทุกคนต้องวิ่งไปที่ที่พระอาทิตย์ตกตามบท แต่สายตาเขากลับจับจ้องอยู่แต่แสงสีส้มอ่อนที่ทาบทอลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลทอง ฉาบไล้ไปตามโครงหน้าเรียวสีน้ำผึ้ง


สวย...


ชายหนุ่มเผลอมองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจนเจ้าตัวรู้สึก  แล้วสิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมา ก็คือเสียงโห่ เสียงแซวจากนักแสดงคนอื่นๆกับรอยยิ้มเขินๆที่มีให้เขาตลอดจนถึงตอนเข้าฉาก


หรือแม้กระทั่งตอนนี้..


"เสียดาย..วันนี้เมฆเยอะไปหน่อย อีกเดี๋ยวฝนคงตกแน่ๆ"


ฮารุมะพลิกตัวตะแคง มองคนสวยที่ไม่เคยยอมรับตัวเองว่าสวย ทำหูทวนลมกับคำชมไปซะอย่างนั้น แล้วยังพยากรณ์อากาศแม่นซะอีกด้วย ถามหาปุ๊บฝนตกปั๊บเลยทีเดียว


ยูยะยังคงนอนอยู่ที่เดิม ไม่สนใจกับหยดน้ำเล็กๆที่กำลังตกถี่ขึ้น ฮารุมะฉุดคนที่ยังอ้อยอิ่งอยากตากฝนเล่นให้วิ่งตามกันเข้าไปในสวน ตรงไปยังร้านกาแฟร้านเดิมที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ตอนนี้ในร้านไม่มีลูกค้าเหลืออยู่แล้ว คุณป้าคนเสิร์ฟเค้กกับคุณลุงคนชงกาแฟก็ไม่อยู่เหมือนกัน


"ร้านปิดแล้วนี่"


ขืนตัวไว้ไม่ยอมตามเข้าไปแต่แล้วฮารุมะก็หันมายิ้มให้  รอยยิ้มที่ทำให้ยูยะหัวใจละลาย ยอมตามใจเสมอมา


"ยังไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดนายเลย"


"แล้วที่เลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังวันนี้ล่ะ"


ไม่มีคำตอบ ยูยะเดินตามแรงจับจูงของอีกฝ่ายไปถึงโต๊ะเดิมที่เคยนั่ง แล้วพบว่าบนโต๊ะนั้นมีกล่องของขวัญกล่องเท่าฝ่ามือห่อด้วยกระดาษสีขาวธรรมดาๆ  เพราะฮารุมะบอกว่าไม่มีเวลาไปซื้อกระดาษสวยๆมาห่อ


"ไม่ต้องยุ่งยากหรอก...แค่นี้..ก็ดีมากแล้ว"


ยูยะรู้สึกว่าตัวเองมือสั่น ตอนที่รับกล่องของขวัญนั้นมา แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้ ตอนที่ได้รู้ว่าในกล่องสีขาวแสนจะธรรมดา มีบางอย่าง...ที่มีค่ามากมายเหลือเกิน..


สายสร้อยบางๆที่อยู่ในมือของเขาเปล่งประกายแม้ในแสงสลัวของยามเย็น จี้รูปไม้กางแขนสีเงินเล็กช่วยย้อนความทรงจำในการพบกันครั้งก่อน ครั้งที่ยูยะได้แต่มองสร้อยเส้นนี้ที่ถูกจัดวางอยู่ในตู้กระจก ใจนึกอยากได้หนักหนาติดที่ราคาของสร้อยค่อนข้างสูงถึงได้ตัดใจเดินออกจากร้านมา


ทั้งที่ตัดใจไปแล้วแท้ๆ...


กำสร้อยในมือแนบกับหัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นถี่แรงจนแทบกระดอนออกมา แต่ดวงตากลับพร่ามัวและร้อนผ่าว ริมฝีปากสั่นระริกจนไม่อาจมีคำใดหลุดรอดออกมาแม้แต่คำเดียว


"ขี้แยอีกแล้วนะ"


ยูยะร้องไห้ง่าย แต่มีไม่มีกี่คนที่จะได้เห็นน้ำตา และหนึ่งในไม่กี่คนนั้นก็คือคนที่อยู่ตรงนี้ ทุกครั้งที่มีน้ำตาฮารุมะจะคอยเช็ดให้ ยูยะชอบหลับตารับสัมผัสอุ่นๆจากปลายนิ้วที่เกลี่ยไปตามรอยหยดน้ำ  และเมื่อลืมตาจะได้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกดี


แต่ครั้งนี้ต่างออกไป...


สัมผัสนั้นนุ่มนวล แต่รุ่มร้อน แตะลงบนเปลือกตาไล้ไปตามแก้มสองข้างจนถึงปลายคางไม่ยอมหยุด และเมื่อลืมตาใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็แนบชิดจนหายใจไม่ออก


ยูยะยืนนิ่งเหมือนถูกร่ายมนต์สะกด ไม่กล้าสบตาแต่ก้ไม่อาจหลบสายตาได้ ยินยอมให้ริมฝีปากถูกครอบครอง มอบอารมณ์และลมหายใจอีกฝ่ายนำพาตามแต่ใจ  เบียดร่างเข้าหากันจนแทบจะกลายเป็นคนๆเดียว ยูยะวางมือลงบนแขนสองข้างที่โอบประคอง ยามนี้เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือแล้ว


เวลาผ่านไปเนิ่นนาน..ฮารุมะจึงยอมละจากริมฝีปากแสนหวานก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยไปกว่านี้  แต่เขาไม่อาจห้ามใจตัวเองไว้ได้ คลอเคลียริมฝีปากนั้นอยู่ไม่ห่าง อยากสัมผัส อยากกอด อยากจูบให้มากกว่านี้..


แต่ต้องห้ามใจ  ทำได้แค่กอดกันเงียบๆ ไร้คำพูดต่อกัน เพราะสายตาและการกระทำก่อนหน้านั้นได้แทนความหมายของหัวใจไปทั้งหมดแล้ว


"ไปบ้านฉันกันนะ ยูยะ"


"ไม่ได้หรอก ต้องกลับแล้วเดี๋ยวไม่มีรถ"


"เพิ่งทุ่มเดียวเองน่า ไปเถอะ"


เซ้าซี้มากเสียจนยูยะต้องหรี่ตามองอย่างสงสัย ที่บ้านมีอะไรหรือไงถึงจะต้องพาเขาไปให้ได้


"พ่อกับแม่ฉันชวนนายไปกินข้าวเย็นที่บ้านนี่"


ชวนตอนไหน เมื่อไหร่วะครับ วันนี้เขาไปเจอพ่อกับแม่ของฮารุมะเมื่อไหร่ไม่เห็นจะรู้เรื่อง


"ก็ตอนที่อยู่ในร้านเค้กเมื่อเช้าไง แม่ไม่คิดเงินด้วยนะสงสัยว่าจะชอบนายมาก อ้อ..แต่นายเดินออกมาก่อนนี่นะ แม่บอกว่าให้ชวนนายไปกินข้าวด้วย ป่านนี้คงเตรียมกับข้าวไว้เต็มโต๊ะแล้วมั้ง"


"ฮ-ฮารุ นาย-น-นาย!"


ไอ้คนเจ้าเล่ห์!  นี่ชวนมาเที่ยวฉลองวันเกิดหรือหลอกพาเขามาให้พ่อแม่ดูตัวกันแน่  ยูยะได้แต่อึ้ง มึน และ งง เป็นที่สุด  ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มเจิดจ้านั่นแล้วยิ่งอยากจะจับเจ้าตัวมาหักคอให้ซะจริงๆ


"ไปกันเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่รอนาน"


ชาตินี้ทั้งชาติ ยูยะคงหนีไม่พ้นผู้ชายเจ้าเล่ห์ร้ายคนนี้แล้วสิเนี่ย  ฝากไว้ก่อนเถอะ ทั้งเรื่องที่ปิดบัง ทั้งเรื่องที่จูบเขา เรื่องที่ทำเนียนเรียกชื่อเขาแทนนามสกุล ทั้งเรื่องของขวัญ  จะคิดบัญชีทบต้นทบดอกเลย คอยดู!....



End++++++

Thursday 9 June 2011

[SF] H♥g & Smile☀ ...End

Title --- Hug & Smile

Author --- Nalikakeaw

Parings --- Keito & Daiki
 
 
 
 
ผิดแผน!!!!!!!

 
ยามาดะอยากจะตะโกนออกมาดังๆ

 
ผิดตั้งแต่ที่แวบออกมาจากห้องแล้วทาคาคิดันซุ่มซ่าม หกล้มตรงหน้าห้องของยูโตะ แล้วเจ้าของห้องโผล่หน้าออกมาได้ทันทีทันใด

 
"พวกนายจะไปไหนกันน่ะ"

 
"ไปหาไดจัง"

 
"ไปด้วยยยยยยยยยย"

 
เท่านั้นเอง เมมเบอร์คนอื่นๆที่นั่งเล่นกันอยู่ในห้องก็ตามกันมาเป็นขโยง  ชิ ..ดึกป่านนี้แล้วไม่รู้จักหลับจักนอน

 
"แล้วทำไมนายถึงยังไม่นอนล่ะ ยามะจัง"

 
คนถามน่ะ ถามเพราะเห็นว่าเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว แต่คำตอบที่ได้กลับมามันชวนให้สงสัยเสียจริงๆ
 

"นอนไม่หลับ"

 
ไดกิฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว  คนที่พร้อมจะหลับได้ทุกวินาทีอย่างยามาดะ เรียวสุเกะ น่ะหรือ นอนไม่หลับ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงคิดว่าเพื่อนร่วมวงต้องโกหกเค้นคอเอาความจริงให้ได้แน่ๆ  แต่ช่วงก่อนเขาเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน  อืม...โรคนอนไม่หลับนี่ เป็นโรคติดต่อด้วยรึเปล่านะ
 

กลายเป็นว่าคนถูกถามเองที่ต้องกระพริบตาปริบๆ ที่ไดกิเกิดซื่อ เชื่อคำตอบที่ตอบไปแบบส่งๆง่ายๆแบบนี้ แต่พอนึกถึงเหตุผลจริงๆที่ทำให้มานั่งอยู่ตรงนี้ก็คิดว่าโชคดีแล้วที่เจ้าตัวไม่ถามอะไรต่อ

 
แล้วจะเอายังไงดี?

 
ความคิดถูกรบกวนด้วยเสียงดังลั่นจากคู่วิวาทที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางวัน อีกหนหนึ่งที่เจ้าน้องเล็กพลาดท่าให้ชิเนนกระโดดขี่หลังบังคับให้กลายเป็นม้าวิ่งรอบห้อง หมดแรงเข้าก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนปล่อยให้กระรอกน้อยกระเด้งตกเตียงกลิ้งไปหลายตลบ  ก่อนจะกระโดดไปหาที่กำบังอย่างว่องไวก่อนที่ชิเนนจะตั้งตัวลุกขึ้นมาได้

 
ซึ่งผู้ให้กำบังก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมซะด้วย

 
ยาบุยันฝ่ามือเข้ากับหน้าผากชิเนนด้วยสีหน้าแบบคุณแม่ที่กำลังเอือมระอาบรรดาลูกๆจอมเฮี้ยว  ด้วยช่วงความยาวของแขนที่ต่างกัน อย่าว่าแต่จะเอื้อมให้ถึงริวทาโรเลย  แค่จะคว้าให้ถึงตัวยาบุยังทำไม่ได้

 
แต่จะให้ยอมแพ้เหรอ  ไม่มีทาง!!!!!!

 
ชิเนนร้องเสียงหลงเมื่อร่างถูกยกลอยเหนือพื้น ยูโตะจับคนตัวเล็กพาดบ่าได้ง่ายดาย แม้ฝ่ายนั้นจะดิ้นรนสักเท่าไหร่ก็ไม่สะทกสะท้าน

 
"เลิกโวยวายแล้วไปนอนซะทีเถอะน่า ดึกแล้ว "

 
ยาบุพยักหน้าเห็นด้วยแทบจะทันที แค่เสียงของชิเนนคนเดียวก็ดังคับห้อง ไหนจะอีกสองคนที่นั่งติดจอปิดตาดูหนังสยองขวัญนั่นอีก ไม่ได้เกรงใจเจ้าของห้องที่อ้าปากหาวแล้วหาวอีกเอาซะเล้ยยยย

 
"เอ๋!!! แต่หนังยังไม่-"

 
คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายไปทันที่ที่สบตากับพี่ใหญ่ของวง ฮิคารุรู้ดี ถึงแม้ว่าจัมพ์จะไม่มีลีดเดอร์แต่หน้าที่ดูแลน้องๆก็ต้องเป็นของคนที่อายุมากที่สุด  และยังรู้ดีด้วยว่าสิ่งใดที่ยาบุบอกให้ทำสิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่มีเหตุผลสมควรเสมอ
 

"ไม่เป็นไรหรอก ดูต่อไปเถอะ"

 
ทุกคนหันไปมองร่างสูงผู้เป็นเจ้าของห้อง ที่ตอนนี้นั่งเหยียดขาอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวยาว ก่อนจะรู้สึกตัวว่าผู้ร่วมห้องอีกหนึ่งคนก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วเช่นกัน

 
"ไดจังง่วงมากก็เลยย้ายไปนอนห้องเดียวกับยามะจังแล้วล่ะ"

 
ถ้าจะพูดให้ถูกคือไดกิทนหนวกหูบวกกับง่วงนอนไม่ไหว หอบหมอนหอบผ้าห่มย้ายห้องหนีไปเลยต่างหาก

 
คนที่เหลือไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็ยังรู้สึกถึงกระแสความไม่พอใจเล็กๆที่เจ้าตัวพยายามซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย

 
เคย์โตะ...โกรธงั้นเหรอ?

 
"ฉันว่า.. พวกเรากลับห้องกันดีกว่า"

 
ไม่รอให้ยาบุต้องบอกซ้ำ ทุกคนพร้อมใจกันเดินออกจากห้องอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนลูกเป็ดว่ายน้ำตามหลังแม่ไม่มีผิด

 
.....ไปกันหมดแล้ว..........
 

เคย์โตะโยนหนังสือลงบนเตียงพร้อมกับถอนหายใจยาว

 
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อยที่สมาชิกจะอยู่คุยเล่นกันจนดึก บางทีก็ถึงเช้าด้วยซ้ำ เคย์โตะบอกไม่ถูกว่าทำไมครั้งนี้เขาถึงรู้สึกไม่พอใจ  หรือเป็นเพราะเหล่าเมมเบอร์เข้ามาก่อกวนโลกส่วนตัวอันแสนสงบของเขากันนะ

 
แล้วตอนนี้ ทุกคนกลับไปแล้ว แต่เคย์โตะก็ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรคอยกวนใจอยู่ดี อะไรบางอย่างที่เขานึกไม่ออก

  
หงุดหงิดเป็นบ้า!!!!!!! 
 
 
 



++++++++++++++++++++++++++++
 
 



 
หนาวแฮะ...........ออกมาเดินตากลมแบบนี้ทำไมนะเรา

 
ดึงผ้าพันคอผืนยาวให้กระชับขึ้นอีกหน่อย ไม่ให้ลมหนาวผ่านเข้ามาถึงผิวกาย มองผ้าพันคอของตัวเองแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน

 
ไดกิเคยกอดเมมเบอร์คนอื่นๆเหมือนอย่างที่กอดเขามั๊ยนะ  จะมีใครที่ได้เห็นใบหน้ายามหลับไหลระบายยิ้มเหมือนที่เขาได้เห็นทุกคืนรึเปล่า
 

รอยยิ้มที่เขาอยากเก็บเอาไว้เพียงคนเดียว....คนเดียวเท่านั้น  

 
เมื่อกี๊ ตอนที่ทุกคนกลับห้องไปหมดแล้ว เคย์โตะก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ไม่อยากอยู่คนเดียวในห้อง จะว่าเหงาก็ไม่เชิง ไปอยู่อังกฤษคนเดียวตั้งหลายปี ก็ไม่เคยเลยที่จะเป็นแบบนี้  เหมือนว่าในอกมันโหวงๆ ว่างเปล่าพิกล

 
"เฮ้อ..."

 
กลับห้องดีกว่า ถ้าเกิดว่าเป็นหวัดเสียงหายขึ้นมา ทั้งผู้จัดการทั้งยาบุคุงคงบ่นให้ฟังจนหูอื้อ


 
..............................


 
...................
 


........
 

....
 


"นายไปอยู่ที่ไหนมา!"

 
อารมณ์แปลกๆที่ยังหาสาเหตุไม่ได้หายเป็นปลิดทิ้ง ตั้งแต่ก้าวขาออกจากลิฟท์แล้วเห็นว่ามีใครบางคนนั่งกอดหมอนกอดผ้าห่มนั่งรออยู่ตรงประตูห้อง  ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอยิ้มออกไป 

 
"ไดจังไม่นอนห้องยามะจังแล้วเหรอ?"

 
"ไม่เอาแล้ว นอนไม่ได้ ยามะจังนอนละเมอ หนวกหู"

 
"ย้ายไปนอนเตียงเดียวกับทาคาคิคุงก็ได้นี่นา"

 
ต้องให้อีกฝ่ายตวัดสายตาใส่อย่างเคืองๆก่อนถึงจะนึกขึ้นได้  ว่าทาคาคิก็นอนดิ้นอย่าบอกใคร ขนาดว่าต่อยคนข้างๆตอนหลับก็ทำมาแล้ว  ใครหนอช่างจับสองคนนี้มานอนห้องเดียวกัน

 
"นายไปไหนมาน่ะ เคย์โตะ"

 
" ก็ไปเดินเล่น"

 
ตอบได้เท่านั้นก็ถูกบ่นกลับมาจนหูชา น่าแปลกไหมที่ไม่ได้โกรธเลยซักนิด กลับยิ้มกว้างจนไดกิเป็นฝ่ายโมโหเสียเอง

 
"เปิดประตูซะทีสิ หัวเราะอะไรของนาย!!! "

 
"ก็ไดจังนั่งขวางอยู่แบบนี้จะเปิดได้ยังไง"

 
"ลุกไม่ขึ้นนี่" ไดกิทำหน้างอ หนาวก็หนาว ต้องมานั่งขดตัวเป็นชั่วโมงแบบนี้ไม่เป็นเหน็บก็ให้มันรู้ไป ถ้าก่อนออกจากห้องหยิบคีย์การ์ดมาด้วยคงไม่ต้องมานั่งรอแบบนี้

 
คนตัวบางอุทานออกมาเบาๆเมื่อยามที่สองแขนแข็งแรงโอบเอว อุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น ปลายเท้าที่สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่าของอากาศทำให้รู้สึกไม่มั่นคงนัก ไดกิจึงวาดสองแขนโอบรอบคอของอีกฝ่าย เกยคางลงบนไหล่กว้าง ต่างฝ่ายต่างกระชับอ้อมแขนทำให้ร่างกายแนบชิดกันยิ่งขึ้น แม้ว่าไดกิจะรู้สึกว่ามันแปลกๆที่ผู้ชายสองคนจะกอดกันแบบนี้ แต่สัมผัสที่ได้รับจากร่างสูงกำลังซึมซาบจากหัวใจผ่านไปถึงสองแก้มเนียนจนผ่าวร้อน อุ่นสบายเสียจนทำให้ความคิดนั้นละลายหายไปทันที
 
 



 
++++++++++++++++++++++++++++
 
 


 
เคย์โตะออกจะแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆคนตัวบางก็ว่าง่าย กลายเป็นแมวน้อยขี้อ้อนอยู่ในอ้อมแขน น่ารักเสียจนอยากจะกล่อมอุ้มไปนอนในตะกร้า 
 

แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่แตกต่าง

 
เพียงแต่แมวตัวนี้ชอบนอนบนเตียงนุ่มๆแทนตะกร้าเท่านั้นเอง

 
"หัวเราะอะไรน่ะ"

 
"เปล่านี่"

 
"ไม่จริงน่ะ บอกมานะ"

 
ถึงไม่เห็นหน้า แต่เคย์โตะก็พอจะรู้ว่าคนถามชักจะเริ่ม"งอน"ขึ้นมาอีกหนแล้ว สังเกตได้จากการที่อีกฝ่ายออกแรงขืนตัวจะลงจากอ้อมแขน

 
"เดี๋ยวก็หล่นหรอกไดจัง"

 
"ก็ปล่อยสิ อ๊ะ!!!!"
 

ผวากอดร่างสูงแน่นกว่าเดิมด้วยความตกใจ เพราะอีกฝ่ายคลายอ้อมแขนออกอย่างรวดเร็ว พอๆกับที่อ้อมแขนนั้นโอบล้อมเข้ามาอีกครั้ง  แว่วเสียงหัวเราะเบาๆของร่างสูงแล้วไดกิอยากจะทุบคนช่างแกล้งซักที แต่ฝ่ามืออุ่นๆที่ลูบอยู่ที่แผ่นหลังเป็นเชิงขอโทษก็ทำให้ใจอ่อนไปซะดื้อๆ

 
ยิ่งไปกว่านั้น......

 
ลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ตรงต้นคอ ทำให้ไดกิรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้ ทั้งปลายจมูกโด่งที่ปัดผ่าน ทั้งไหล่กว้างและแผงอกแข็งแรงที่ขยับตามจังหวะหายใจ บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด ทำเอาคนถูกกอดลมหายใจปั่นป่วน  หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

  
"น-นาย...แกล้งฉัน..." 

 
"ฉันจะแกล้งไดจังแบบนี้คนเดียว....ได้รึเปล่า"

 
ราวกับมีไอร้อนพุ่งพล่านอยู่ในอก หัวใจเต้นถี่ระรัวจนแทบกระดอนออกมา สมองตื้อคิดอะไรไม่ออก นอกจากอยากจะแทรกกำแพงหนีไปซะเดี๋ยวนี้ แต่จะให้เคย์โตะเห็นหน้าเขาตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะตัวไดกิเองก็ยังไม่รู้ว่าหน้าเขาจะกลายเป็นสีอะไรแล้ว

 
"ไดจัง...."

 
"ฉ-ฉันง่วงนอนแล้ว.."

 
เสียงเบายิ่งกว่ากระซิบ คนฟังออกจะอึ้งเล็กน้อยกับคำตอบที่ออกจะห่างไกลกับคำถามสุดกู่แบบนี้ แต่ก็ไม่อยากจะเซ้าซี้อะไรนัก

 
เพราะสัมผัสที่รับรู้ จังหวะหัวใจของไดกิที่แนบอยู่กับอกของเขา อ้อมแขนหอมกรุ่นที่ยังโอบกันและกัน เป็นคำตอบที่ดียิ่งกว่าคำพูดใดๆทั้งหมด


 
 
++++++++++++++++++++++++++++
 


 
......เช้าแล้ว.................

 
เคย์โตะเพียงกระพริบตาเพื่อปรับแสง ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อจะได้มองหน้าคนที่อยู่ในอ้อมแขนได้ชัดขึ้น

 
ถ้ามีใครชมว่าสวย ไดกิอาจไม่ชอบใจนัก แต่เคย์โตะก็ต้องยอมรับว่า เวลาที่ได้เห็นแสงแดดอ่อนๆลอดผ่านผ้าม่าน ทาบลงผิวแก้มขาวเนียนแบบนี้ ถ้าไม่บอกว่าสวย  เขาก็ไม่รู้จะเอาคำไหนมานิยามได้แล้วเหมือนกัน

 
"อรุณสวัสดิ์ไดจัง"

 
กระซิบเบาๆกับคนที่ยังหลับตาพริ้ม ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในฝันอันแสนสุข  ซึ่งเคย์โตะก็ไม่ใจร้ายพอที่จะปลุกให้ตื่น ยังมีเวลาอีกมากก่อนจะถึงเวลางาน 

 
ขอมองไดกิแบบนี้นานอีกซักหน่อยก็แล้วกัน

 
แต่แล้วเคย์โตะเองต้องเป็นฝ่ายแปลกใจเมื่อคนที่เขาคิดว่ายังไม่ตื่น ตอบอรุณสวัสดิ์กลับมาด้วยเสียงแจ่มใส ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนซักนิด

 
ตื่นตั้งนานแล้วยังมาใช้แขนคนอื่นเค้าหนุนต่างหมอนอยู่ได้นะไดจัง

 
"ก็มันสบายดี"

 
ตอบง่ายๆจนคนฟังนึกอยากจะบีบจมูกคนพูดแรงๆอย่างที่เคยทำทุกเช้า   และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันขยับตัวจากหนุนแขนขึ้นมาซบไหล่  ท่าทางที่ติดจะอ้อนหน่อยๆกับลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดตรงต้นคอก็ทำให้เคย์โตะต้องยอมแพ้

 
"นี่เห็นฉันเป็นหมอนข้างไปซะแล้วเหรอไดจัง"

 
"นายคนเดียวเท่านั้นแหละ"

 
คำตอบง่ายๆแสนธรรมดา เหมือนสายลมพัด หากคนฟังก็ไม่ได้ทึ่มเกินกว่าจะปล่อยให้ความนัยในถ้อยคำนั้นลอยหายไปด้วย แต่ก็ยังไม่แน่ใจจนต้องถามย้ำ

 
"จริงๆเหรอ"
 

ไดกิเพียงแต่พยักหน้ารับ ถึงจะไม่เห็นแต่เคย์โตะก็รู้สึกได้ ว่าแก้มเนียนที่ซบอยู่กับไหล่กำลังอุ่นขึ้น พร้อมๆกับความอบอุ่นที่กำลังซึมซาบลึกลงในหัวใจของเขาเอง

 
"นี่เคย์โตะ"

 
"หืม?"

 
"........."

 
เงียบอยู่นานจนเคย์โตะคิดว่าไดกิจะหลับไปอีกแล้ว  แต่แก้มเนียนที่ซบอยู่กับไหล่กลับร้อนขึ้นจนผิดปกติ

 
"ไดจัง ไม่สบายเหรอ?" 

 
"เปล่านี่"

 
เคย์โตะดันร่างบางออกเพื่อจะได้เห็นหน้า แต่ไดกิกลับขืนตัวกดใบหน้าแนบลงกับอกกว้าง กอดเขาแน่นกว่าเดิม เคย์โตะจึงต้องยอมแพ้อีกหน 

 
ฝ่ามืออุ่นค่อยแตะลงบนพวงแก้มแผ่วเบา

 
"ตัวร้อนนะไดจัง"

 
"มือนายเย็นต่างหาก"

 
ถึงไม่อยากโต้คารมกับคนช่างเถียง แต่อุณภูมิของสองแก้มที่เขาสัมผัสได้ก็สูงขึ้นจนน่ากังวล บังคับพาไปหาหมอซะดีมั๊ยนะ

 
"เคย์โตะ"

 
"หือ?"
 

"นายจะ...กอดฉันแบบนี้....ไปนานๆได้มั๊ย"

 
เพราะมัวแต่กังวลเรื่องอาการป่วย สมองจึงตีความช้ากว่าที่ควรจะเป็น เกือบเผลอตกปากรับคำไปโดยไม่ทันได้คิด

 
แต่เมื่อคิดได้....

 
"จะแลกกับอะไรดีล่ะไดจัง"

 
เคย์โตะแอบกลั้นหายใจไม่ให้เผลอหัวเราะ  บอกได้เลยว่าตอนนี้ไดกิคงกำลังทำหน้ายุ่งอยู่แน่ๆ   เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเคย์โตะมักยอมตามคำขออยู่เสมอ  เมื่อถูกต่อรองแบบนี้ไดกิคงไม่ชอบใจนัก
 

"ฉันกอดไดจังอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้มันเสียเปรียบนะ  ไดจังน่าจะมีอะไรมาแลกกันสิ จะได้กอดได้นานๆ"

 
"งั้น...นายอยากได้อะไรล่ะ"

 
กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดก็ช้าไปแล้ว ไดกิทำได้เพียงยกสองแขนขึ้นกันยามที่ถูกพลิกร่างลงนอนหงาย ตามด้วยแผ่นอกกว้างที่ทาบทับลงมา

 
"โอ๊ย!!! จะบ้าหรือไงลงไปเดี๋ยวนี้นะ"

 
"ทีไดจังกอดฉันอยู่ทุกคืน ฉันยังไม่เคยบ่นเลยนะ" 

 
"ฉันไม่ได้ตัวหนักเหมือนนายซักหน่อย ลงไปนะ!!!!"

 
ต่อให้ทุบหรือผลักไสซักเท่าไหร่ ก็ไม่ทำให้ร่างสูงสะเทือนเลยซักนิด  และเพียงแค่เคย์โตะทิ้งน้ำหนักตัวลงมา ไดกิก็ดิ้นหนีไปไหนไม่ได้แล้ว
 

"ว่าไงล่ะไดจัง"

 
"........"

 
"ไม่ตอบ  งั้น...ฉันขอละนะ"

 
ตากลมๆเบิกกว้างจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเลื่อนเข้ามาใกล้ 
ใกล้...จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ใกล้...ชนิดที่ว่าถ้าเอ่ยคำ  ริมฝีปากจะแตะกันได้พอดิบพอดี

 
ไดกิตัวแข็งเหมือนถูกคำสาป  ได้แต่ทำตาปริบๆยามที่อีกฝ่ายเลื่อนใบหน้าไปด้านข้าง  แตะแก้มลงกับผิวแก้มขาวเนียน กระซิบคำขอแผ่วใกล้ใบหูที่กำลังระเรื่อแดงเพราะลมหายใจตน

 
"ฉันขอรอยยิ้มของนายได้ไหม"
 

...เอ๋?..........
 

"ถ้าไดจังยิ้มให้ฉัน  ฉันสัญญา . . . ว่าจะกอดนายอย่างนี้...ตลอดไป"

 
ไดกิหลับตา สูดลมหายใจลึก

 
"นายนี่มัน-"

 
ถ้าหากว่าเคย์โตะตัวบางกว่านี้ คงถูกยันตกเตียงไปแล้วเป็นแน่  ไดกิใช้กำลังผลักสุดแรง แต่ก็ยังทำได้แค่ให้อีกฝ่ายลงไปนอนหงายทำหน้าตางงๆอยู่บนเตียง  ยิ่งทำให้คนมองหน้าหงิกเป็นม้าหมากรุก

 
"ไดจังโกรธอะไรเนี่ย?"

 
"ก็นายแกล้งฉัน เมื่อกี๊น่ะนายรู้มั๊ยฉัน-"

 
"อะไรเหรอ? ไดจัง"

 
มองหน้าหล่อๆที่กำลังทำตาเป็นประกายใสวิ้งๆแต่ซ่อนแววเจ้าเล่ห์ไม่มิดแล้วไดกินึกอยากจะหาอะไรโยนใส่เสียจริงๆ
นี่ไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้กันแน่

 
"ไดจังคิดว่าฉันจะขออะไรมากกว่านี้เหรอ"

 
คราวนี้คว้าอะไรได้ก็ไม่สน  ไดกิเหวี่ยงใส่หน้าคนจอมเจ้าเล่ห์ทันที  แต่เพียงแค่ผ้าห่มกับหมอนไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรซักเท่าไหร่ แถมยังหนีไปอาบน้ำสบายใจเฉิบด้วย

 
ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!

 
 
++++++++++++++++++++++++++++
 




บรรยากาศห้องแต่งตัววุ่นวายจนเป็นเรื่องปกติ เพราะนอกจากเหล่าเมมเบอร์ยังมีศิลปินอื่นๆมาร่วมรายการ แต่ก็ยังมีความ "ผิดปกติ"  ที่มีแต่เหล่าเมมเบอร์จัมพ์เท่านั้นจะสังเกตเห็น

 
เริ่มจากคนที่ยิ้มระรื่นอยู่ได้ทั้งวัน กับอีกคนที่เห็นรอยยิ้มนั้นแล้วเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาสุดขีด
 

"ไดจังนอนไม่พอหรือไงนี่"
 

ไม่ได้ถามกับเจ้าตัว แต่กลับมาสุมหัวอยู่กับยามาดะ เคย์ และทาคาคิ  เมื่อกี๊ฮิคารุถูกเหวี่ยงค้อนมาสองที เพียงเพราะเอ่ยปากแซวความอารมณ์ดีของเคย์โตะ
 

คนที่เหลือส่ายหน้าพรืด

 
และก่อนที่สมาคมจะได้ถกปัญหา  ก็มีเสียงจากทีมงานตะโกนบอกให้ไปสแตนด์บาย

 
"เคย์โตะ ไปกันเถอะ "

 
ยาบุเรียกคนที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจกสำรวจความเรียบร้อยของทรงผมอย่างที่เคยทำ และหลังจากนั้นยาบุก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆเมื่อเห็นประกายวาววับที่อยู่ในดวงตาของไดกิ


 
..............................


 
...................
 


........
 


....


 
ก็นึกอยู่แล้วว่าระหว่างทั้งสองคนคงมีเรื่องแง่งอนกันอยู่ แต่ยาบุก็ไม่นึกว่าไดกิจะกล้า จงใจผิดคิวเอาคืนทั้งที่อยู่ในระหว่างถ่ายทำรายการอย่างนั้น
 

ขยี้ผมที่เซ็ตไว้อย่างดีจนกระจายเสียทรง  ก่อนจะกระโดดเด้งออกจากเวทีเหมือนนินจา

  
แต่ก็โชคดีที่เคย์และยามะจังยืนเต้นอยู่ข้างหน้า จึงไม่ต้องมาถ่ายซ่อมใหม่ให้เสียเวลา แต่ตอนที่ออกอากาศจะมีแฟนเพลงสังเกตเห็นบ้างรึเปล่านั่นก็อีกเรื่อง

 
"ไปแกล้งเคย์โตะแบบนั้นไม่กลัวถูกโกรธหรือไง"

 
"ถ้ากลัวก็คงไม่ทำหรอก"
 

ก็คงเป็นจริงตามนั้น  เพราะคนถูกแกล้งไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธเลยซักนิด ทั้งที่ปกติจะห่วงทรงผมตัวเองหนักหนา
ในเมื่อเจ้าตัวเองยังไม่ว่า  ยาบุก็คงจะว่าอะไรไม่ได้เหมือนกัน
หวังว่าเคย์โตะจะไม่หาทางเอาคืนทีหลังนะ..ไดจัง
 


..............................
 


...................
 


........
 


....


 
"ฝากด้วยนะคร๊าบบบบบ"

 
ทั้งสิบคนพร้อมใจกันโค้งให้ทีมงาน  ก่อนจะนั่งลงตรงพื้นที่ที่ถูกจัดไว้ให้เป็นแบ็กกราวน์สำหรับการถ่ายแบบในครั้งนี้

 
"ช่วยขยับเข้าไปชิดๆกันอีกหน่อยครับ อาริโอกะซังนอนลงไปเลยได้มั๊ยครับ"

 
ไดกิเอนตัวลงไปบนตักคนข้างๆอย่างว่าง่าย
 

"ทีนี้ก็หลับตาครับ"

 
ทั้งหมดหลับตาลงตามคำสั่ง แต่ไม่รู้ตากล้องทำอะไรถึงไม่ยอมกดชัตเตอร์เสียที เพราะตอนนี้ไดกิรู้สึกว่าตัวเองจะหลับไปจริงๆแล้ว
 

"นายจะทำอะไรน่ะเคย์โตะ"

 
ไดกิลืมตาขึ้นอย่างงงๆ ก่อนจะพบว่าใบหน้าของคนที่เขากำลังนอนอยู่บนตักอยู่ห่างกันแค่คืบ
 

"เอาคืน!"
 

ง่ายๆ สั้นๆ แต่ได้ใจความที่สุด ไดกิถูกล็อกตัวไว้ด้วยแขนแข็งแรงเพียงข้างเดียว มืออีกข้างจิ้มลงไปตรงเอวบาง คนถูกแกล้งก็ทั้งดิ้นทั้งหัวเราะจนตัวงอ หายใจแทบไม่ทัน

 
ส่วนคนที่เหลือ  หลังจากที่อึ้งกันไปแล้วก็ต้องคอยกระเถิบหนีมือไม้ของคนบ้าจี้ที่ฟาดมาแบบไม่รู้ทิศ 

 
"โอ๊ย พอแล้ว ยอมแล้ว"

 
แต่กว่าเคย์โตะจะยอมหยุด ร่างบางก็ดิ้นจนพาตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนตักของอีกฝ่าย ซบหน้าลงกับไหล่หอบหายใจหมดเรี่ยวแรงเกินกว่าจะย้ายตัวเองไปไหนได้

 
"ตกลงแล้วใช่ไหม?"
 

"อะไรล่ะ อ๊ะ!!!!"
 

แง่งอนยอกย้อนจนถูกจี้เอวอีกหน  คำขอที่ไดกิหาเรื่องเฉไฉไม่ยอมตอบกลับกลายเป็นการบังคับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ถ้าไม่ตอบ...เคย์โตะจะแกล้งให้เขาหัวเราะจนขาดใจรึเปล่า
 

คำตอบคือไม่
 

เพียงแค่เจอสายตาอ้อนๆเหมือนแมวน้อยๆก็ใจอ่อนอีกตามเคย

 
แล้ววินาทีหลังจากนั้น เคย์โตะก็แทบจะจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง  รู้แต่ว่าหัวใจมันพองโตด้วยความยินดียามที่ไดกิโผเข้ากอดเขา  กระซิบถ้อยคำแผ่วเบาพอให้ได้ยินกันสองคน

 
"ฉัน..ตกลง"

 
เพียงคำเดียวสั้นๆ  ที่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นสัญญา ความผูกพัน ที่รู้กันอยู่เพียงสองคน.....

 
มั้งนะ

 
ส่วนเมมเบอร์จัมพ์ที่เหลือคงเป็นก้อนหิน ......



 
 
++++..........END..........++++

Wednesday 8 June 2011

[SF] H♥g & Smile☀ Part 2

Title --- Hug & Smile

Author --- Nalikakeaw

Parings --- Keito & Daiki

 
 
 
 
 
"ทำไมผ้าพันคอผืนนี้ยาวจังล่ะ"
 

ไดกิมองผ้าพันคอที่อยู่ในมืออย่างสงสัย  วันนี้จัมพ์มีถ่ายภาพกับให้สัมภาษณ์หนังสือนอกสถานที่ แล้วตอนนี้ก็ยกขบวนกันมาอยู่ในสวนสาธารณะ  ทุกคนแต่งตัวกันเสร็จแล้ว เหลือแค่สำรวจความเรียบร้อยก่อนถ่ายอีกนิดหน่อย  แต่ผ้าพันคอสีแดงผืนที่ไดกิจะใช้  มันยาวจนลากพื้น จนไดกิคิดว่าคอสตูมคงเอามาให้ผิดคน  แต่ต่อให้เอาไปพันให้มนุษย์สายพันธุ์ยีราฟอย่างยูโตะ มันก็ยังยาวเกินไปอยู่ดี
 

"ผ้าพันคอผืนนี้สำหรับสองคนจ๊ะ "

 
หมายถึงเมมเบอร์ที่ต้องถ่ายคู่กันสินะ  แต่วันนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะได้ถ่ายคู่ใคร จริงๆก็ไม่รู้จนกว่าตากล้องจะเริ่มงานนั่นแหละ
 

ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามา  เคย์โตะสวมเสื้อสีขาว ทับด้วยแจ็กเก็ตหนัง กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนังเข้ากัน  ร่างสูงเดินสบายๆแต่ทุกจังหวะย่างก้าวมั่นคง ดึงดูดสายตาทุกคนในที่นั้นให้หันมามอง
 

รู้แล้วว่าวันนี้เขาจะต้องถ่ายคู่กับใคร

 
ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนที่คอสตูมสาวจะจับปลายผ้าโอบรอบคอเคย์โตะ  แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายสูงกว่ามากจึงดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนกำลังโอบเคย์โตะยังไงยังงั้น

 
"ผมทำให้เอง"  ไดกิบอกห้วนๆ  ไม่รอคำตอบ คว้าผ้าพันคอจากมือเธอคนนั้นมาพันให้ร่างสูงเสียเอง
 

"ขอบใจนะ"  น่าแปลกที่น้ำเสียงนุ่มๆที่เคยได้ฟังมานับครั้งไม่ถ้วนกลับทำให้หัวใจเต้นแปลกๆ และไดกิก็บอกตัวเองว่าที่แก้มของเขาร้อนขึ้น เป็นเพราะลมหายใจของเคย์โตะที่ก้มลงมาชิดจนเกินไปต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นไดกิก็ไม่อาจสบสายตาคมๆของอีกฝ่ายได้เลย
 

"ผ้าพันคอก็ยังยาวเกินไปอยู่ดี"

 
"อยู่ด้วยคนสิ" ด้วยคนที่ว่ามาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ไดกิก็นึกขอบคุณชิเนนอยู่ในใจที่ทำให้เขามีอะไรอย่างอื่นให้มอง แทนที่จะต้องสบตาคนที่ยืนอยู่ข้างๆนี่
 

"จะเริ่มถ่ายแล้ว  ไปกันเถอะ"
 

เคย์โตะคิดเอาเองว่าถ้าใช้ผ้าพันคอร่วมกันอยู่อย่างนี้ ไดกิคงเดินไม่ถนัด ร่างสูงจึงวางมืออุ่นไว้บนไหล่บาง ก่อนจะกระตุกผ้าพันคอฝั่งของไดกิที่มีชิเนนผูกอยู่ตรงปลายเป็นสัญญาณ พอเดินตามกันมาทั้งอย่างนั้น ทีมงานก็แอบปิดปากหัวเราะคิก  เพราะภาพที่ได้เห็น  มันเหมือนคู่สามีภรรยากำลังจูงชิวาวาน้อยเดินเล่นไม่มีผิด

 
วันนี้คงเป็นวันแรกที่ไดกิ ผู้มีรอยยิ้มสดใสบาดใจคนทั้งประเทศ รู้สึกว่าตัวเองยิ้มไม่ออก แม้จะยิ้มให้กล้องอย่างรู้หน้าที่ แต่ไดกิก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังแยกเขี้ยวอยู่มากกว่า 
 

"อ๊ะ"

 
เหมือนจะสะดุดขาตัวเองซะอย่างนั้น  แต่ความจริงแล้วเป็นเคย์โตะต่างหากที่เหยียบรองเท้าเขา  ซึ่งร่างสูงก็รับผิดชอบด้วยอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบกระชับจนคนตัวเล็กกว่าสัมผัสถึงอกอุ่นๆได้ชัดเจน

 
"ขาสั้น"
 

ถ้อยคำจิกกัดที่ลอยตามลมมา กลับทำให้ไดกิหัวเราะ เพราะตอนนี้เขาไม่ได้กังวลเรื่องความสูงอีกแล้ว  และอีกอย่างหนึ่ง  ที่ตรงนี้ยังมาอีกคนที่ขาสั้นกว่าเขา
 

"ริวทาโร่!!!!!"
 

"เฮ้ย!!!!!!"
 

แยกเขี้ยวได้ที่แล้วก็ออกตัวสตาร์ท ไม่สนใจว่ายังมีอีกสองหน่อพ่วงผ้าพันคออยู่ข้างหลัง เคย์โตะมือไวกระตุกผ้าพันคอออกได้ทันก่อนที่มันจะรัดคอไดกิ  พอหมายจะดุชิเนนที่ไม่ระมัดระวังแต่กระรอกน้อยของวงก็วิ่งไปไกลเกินกว่าจะได้ยินแล้ว
 

"ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะ"
 

ตอบสายตาห่วงใยด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างเคย  เป็นรอยยิ้มที่แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกได้ว่า  ยิ้มแบบนี้แหละที่ใช่ตัวเขาจริงๆ และรอยยิ้มแบบนี้.....ที่ทำให้คนมองแทบหยุดหายใจ
 

ไดจัง...ฉันอยากให้รอยยิ้มแบบนี้ เป็นของฉันแค่คนเดียวจริงๆ.....
 

"ช่วยด้วยยยยยยยยยยยย" เสียงเจ้าน้องเล็กของวงทำให้สองคนต้องละสายตาออกจากกัน ก่อนจะหันไปสบตากับเหล่าเมมเบอร์อย่างงุนงง
 

เนื่องจากความยาวของช่วงขาค่อนข้างจะแตกต่าง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชิเนนจะสามารถวิ่งตามริวทาโรทันได้ ไม่รู้กระรอกน้อยไปทำอีท่าไหน จึงสามารถกระโดดคร่อมบีบคอเจ้าน้องเล็กได้อย่างที่เห็น   สงสัยว่าแฮมสเตอร์น้อยจะสะดุดขาตัวเองเสียละมั้ง
 

"หยุดได้แล้ว! เดี๋ยวเสื้อผ้าเปื้อนหมด ชิเนน!"

 
พี่ชายคนโตของวงใช้แขนข้างเดียวดึงร่างเล็กออกมาแล้วโยนใส่อ้อมแขนเสาไฟฟ้าอีกคนที่เดินตามมาด้วยแบบไม่ปราณี คนตัวเล็กจึงทำหน้าง้ำ ยิ่งเห็นริวทาโรแอบแลบลิ้นล้อเลียนด้วยแล้วชิเนนยิ่งโวยวายหนัก
 

"อ๊า!!!!!!!!  ยาบุคุงลำเอียง"
 

ท่านเปายาบุจี้จึงเขกกะโหลกริวทาโร่ไปหนึ่งทีเพื่อความยุติธรรม

 
ไดกิหัวเราะจนแทบไม่มีแรงยืน เผลอเอนตัวพิงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเคย์โตะก็ยอมให้โดยไม่บ่นซักคำ
 

เพราะอะไรน่ะเหรอ?

 
อืม.........คงเพราะว่า  อยากกอดแบบนี้ไปนานๆละมั้ง
 



 
++++++++++++++++++++++
 
 


 
 
ระหว่างที่รอสมาชิกคนอื่นๆเข้ากล้อง   ทั้งสองคนจึงมานั่งพักตรงที่ที่ทีมงานจัดไว้ให้  บนผืนผ้าสีขาวปูบนสนามหญ้าสีเขียวใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มีขนมสารพัดชนิดวางไว้ บรรยากาศจึงเหมือนกับมาปิคนิคในสวนมากกว่าจะมาทำงาน
 

เคย์โตะเลือกนั่งตรงโคนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เอนหลังพิงลำต้นสบายๆ นั่งกินขนมรอเวลาสัมภาษณ์  
 

"นั่นกะจะกินไม่ให้เหลือเผื่อใครเลยใช่มั๊ยนั่นน่ะ"

 
เพราะรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าน่ารักของอีกฝ่าย ทำให้เคย์โตะรู้ว่าไดกิเพียงแต่จะแหย่เขาเล่นๆอย่างเคย   ปกติเขาก็ไม่เคยโต้กลับซักครั้ง แต่วันนี้ขอแกล้งคนยิ้มสวยปากร้ายซักทีเถอะน่า

 
"ฉันก็กินเผื่อคืนนี้" เว้นจังหวะให้อีกฝ่ายได้ขมวดคิ้วสงสัยเล่น ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบใกล้ๆ


"คืนนี้จะได้ไม่หิว ไม่ต้องตื่นขึ้นมาหาอะไรกินกลางดึก ไดจังกอดฉันจะได้หลับสบายไง"

 
ไดกิอ้าปากค้างเหมือนถูกสาป แล้วแก้มก็ร้อนวูบวาบ เลือดสูบฉีดจนหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหน  แต่ก็ไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาตอบโต้เอาคืนได้  หลังๆมานี่เขากลายเป็นเด็กน้อยติดหมอนข้างไปเสียแล้ว ต่อให้วันไหนได้พักห้องที่มีเตียงคู่ เขาก็ยังตามไปนอนเตียงเดียวกับเคย์โตะกอดหมอนข้างแสนอุ่นนี่เสียทุกคืน
 

ในเมื่อตอบโต้ไม่ได้   ความโชคร้ายจึงไปตกอยู่กับต้นหญ้าน้อยๆที่กำลังถูกดึงถูกทึ้งโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวซักนิด
 

"เดี๋ยวหญ้าก็ตายหมดสวนหรอกไดจัง"
 

"ยุ่งน่ะ!!"
 

คนน่ารัก ต่อให้ทำหน้าง้ำหน้างอแค่ไหน เคย์โตะก็ว่าน่ารักอยู่ดี แต่ตอนนี้ปล่อยให้งอนไปซักพักก็แล้วกัน ไดกิไม่เคยโกรธใครได้นานอยู่แล้ว พูดจริงๆแล้วเคย์โตะก็ไม่เคยเห็นไดกิโกรธใครซักที
 

ว่าแต่ว่า.....ถ้าหญ้าถูกถอนหมดสวน  เขาต้องรับผิดชอบปลูกให้ใหม่มั๊ยนี่


 
...................................


 
....................
 


.......
 

....
 

 
"ง่วงแล้วเหรอไดจัง"

 
พอเงียบได้ไม่ถึงสิบนาที ไดกิก็เข้าสู่โหมดปกติก็คือง่วงนอน ใบหน้าน่ารักวางทาบอยู่บนสองแขนที่พาดกอดเข่า ตัวโอนไปเอนมาจะล้มเสียให้ได้

 
..คนอะไร..หลับได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ
 

"พิงมาตรงนี้ก็ได้นะ"
 

ตรงนี้ของเคย์โตะ  หมายถึงต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวกับที่พิงอยู่นี่  แต่คนฟังขี้เซากลับโผเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง  แขนเรียวกอดประสานไว้ที่เอวเขา ซบหน้าลงกับอกอุ่นแบบไม่มีลังเลซักนิด

 
เคย์โตะตัวแข็งไปชั่วขณะ เขาควรจะชินแล้วไม่ใช่หรือกับการถูกกอดแบบนี้ กับคนๆนี้  แล้วหัวใจเจ้ากรรมที่กำลังเต้นแรงนี่มันคืออะไรกันล่ะ
 

"เคย์โตะ"

 
"อ..อะไรเหรอ"

 
ปากก็ขาน แต่สายตากลับมองไปทางต้นไม้ต้นหญ้า ไม่กล้าสบตาคนที่เงยหน้ามองจากอ้อมแขนของตัวเองเลยแม้แต่น้อย  ไดกิจะสงสัยมั๊ยนะ  ก็หัวใจของเขาเต้นแรงขนาดนี้
 

"หนาวเหรอ"
 

"......"
 

ไม่รู้ทำไมไดกิถึงคิดไปอย่างนั้น ตัวเขาสั่นรึไงนะ อยากจะจับหน้าของตัวเองดูว่ามันเย็นขนาดไหน แต่สองมือสองแขนก็ไม่ว่างซะแล้ว  ช่างมันเถอะ
 

แล้วผ้าพันคอสีแดงผืนเดิมก็ตวัดพันรอบคอเคย์โตะอีกครั้ง จากนั้นไดกิก็หลับตาลง ผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ  เป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวเข้าสู่นิทรา

 
"สบายจังน๊า~"

 
เอ่ยแซวเล่นๆ แต่ไดกิคงได้ยิน เพราะใบหน้ายามหลับไหลระบายยิ้มน้อยๆ งดงามยิ่งกว่าที่เคยเห็น เพราะรอยยิ้มนี้รึเปล่านะเขาถึงยอมให้คนๆนี้มาอยู่ในอ้อมแขนแบบนี้ได้
 

ถ้าฉันกอดนายไว้แบบนี้ ...... นายจะยิ้มให้ฉันตลอดไปใช่ไหม 
 
 



 
++++++++++++++++++++++
 
 



 
นี่มันอะไร?

 
ตำนานเรื่องด้ายสีแดง ?

 
นิทานเรื่องเจ้าหญิงนิทรา?

 
ถ้างั้น เคย์โตะคงเป็นเจ้าชายสินะ...............

 
"รู้สึกเหมือนกันสินะ ยามะจัง"

 
พยักหน้ารับแทนการตอบคำถามของร่างสูงที่เพิ่งเดินมาสมทบ สายตาทอดมองไปถึงสองคนที่ทำตัวไม่สนใจสายตาใครต่อใครทั้งนั้น
 

ยามาดะรู้สึกเหมือนมีโลกหนึ่งใบอยู่ตรงหน้า โลกที่เขาไม่อาจก้าวเข้าไปได้  มีโลกส่วนตัวกันสองคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?  ทำไมคนที่เป็นเพื่อนสนิทของไดกิอย่างเขาถึงไม่เคยรู้
 

"อิโนะจังรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ"
 

"เพิ่งเห็นชัดๆก็วันนี้แหละ  แปลกมั๊ยล่ะ  อยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกันเกือบทุกวัน ไม่เคยมีวี่แวว"
 

แน่เหรอ?  ก้อนเนื้อที่อยู่ในหัวกลมๆกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว  เมมเบอร์ทุกคนก็บอกไม่ใช่หรือไงว่าพักนี้ไดกิดูอารมณ์ดี ยิ้มสดใสดวงตาเป็นประกายกว่าที่เคย  ยาบุคุงยังแซวเลยว่ายิ้มแบบนี้เหมาะกับสีชมพูเป็นพิเศษ  แต่ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเคย์โตะตรงไหน สองคนก็ยังคุยกันเป็นปกติ

 
จะว่าไป.......ก็มีเรื่องแปลก

 
ก่อนถึงวันสิ้นปี ทุกคนได้อนุญาตให้หยุดพักได้หนึ่งวัน และวันนั้น เป็นวันที่เขาติดต่อกับไดกิไม่ได้เลย  ยามาดะคิดเอาเองว่าเพื่อนซี้คงอยากพักผ่อนถึงปิดโทรศัพท์  วันเดียวกันนั้นยูโตะก็บ่นกับเขาว่าโทรฯหาเคย์โตะแล้วเจ้าตัวไม่รับสาย แค่ครั้งสองครั้งก็ไม่ว่า แต่นี่กดจนมือหงิกก็ไม่มีใครรับซักคน
 
 
แล้ววันต่อมา......เคย์โตะกับไดกิมาทำงานด้วยกัน  

 
มาพร้อมกัน...?  ทั้งที่บ้านอยู่คนละทาง
 

"สองคนนี่ทำอะไรอยู่  เอ๊ยยยยยยยย!!!!!!!!!!"
 

มือเรียวตะปบปิดปากฮิคารุได้ทันควันก่อนที่เจ้าตัวจะส่งเสียงไปถึงคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่  ขืนไปรบกวนทำเจ้าหญิงนิทราตื่น  อาจโดนเจ้าชายเตะคอหักเอาได้
 

ทาคาคิเข้ามายืนแทนที่อิโนะที่ลากฮิคารุจากไป  คิ้วเรียวขมวดเป็นปมแบบเดียวกับยามาดะไม่ผิดเพี้ยน

 
"ลองยิ้มได้แบบนี้ คอนเสิร์ตคราวนี้ไดจังคงกวาดเสียงกรี๊ดของแฟนๆไปหมดแน่ๆ  แย่หน่อยนะยามะจัง"

 
"ไม่มีทางซะล่ะ" ยามะดะหันไปย่นจมูกใส่ประโยคกึ่งล้อกึ่งประชดประชันนั้น ก่อนจะยกมือถือกดบันทึกภาพน่าอิจฉาเก็บไว้ คอยดูนะ เดี๋ยวคืนนี้จะแอบย่องไปหาไดจังกลางดึก อยากรู้จริงๆว่าเวลาอยู่กันสองคนจะสวีทกันหวานหยดขนาดไหน
 

"ยามะจังร้ายกาจ"  เอ่ยราวกับรู้ทันความคิด ยามาดะตวัดหางตาใส่คนตัวสูงอีกหน  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มของสิงโตเจ้าเลห์ ที่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าคิดแบบเดียวกัน
 

"ชิ...คนปากไม่ตรงกับใจ"
 




 
++++++++++++++++++++++
 





to be con....................

Tuesday 7 June 2011

[SF] H♥g & Smile☀ Part 1

Title --- Hug & Smile

Author --- Nalikakeaw

Parings --- Keito & Daiki

 
 
 
ฉันก็แค่..... อยากจะให้นายกอดฉันแบบนี้ต่อไป จะได้มั๊ยนะ

.........................

ยิ้มให้ฉันสิ ถ้านายยิ้มให้  ฉันสัญญา . . . ว่าจะกอดนายอย่างนี้...ตลอดไป
 
 
 
 
 
"เอ๋ เตียงเดี่ยวเหรอ?"  ร่างสูงออกจะแปลกใจเล็กน้อยเมื่อมองเห็นเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง เมื่อกี๊เข้าไปห้องของเมมเบอร์คนอื่นๆ ก็เป็นเตียงคู่หมดนี่นา
 

...แย่จัง ทำไงดี......
 

"ถ้านายไม่อยากนอนเตียงเดียวกับฉันก็ไม่เป็นไรนะ ฉันจะไปขอเปลี่ยนกับชิเนนก็ได้ ให้เขามานอนห้องนี้แทน"
 

นั่นไงล่ะ  เพราะมัวแต่กังวล เลยลืมว่ายังมีอีกคนอยู่ในห้องด้วย และอีกคนนั้นก็กำลังจะหันหลังให้เขาเพื่อก้าวออกไปจากห้อง
 

ร่างสูงก้าวตามโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด  ใช้แรงเพียงเล็กน้อยผลักประตูปิดลงไปอย่างเดิม แต่คนตัวบางยังยืนหันหลังให้เขา มือยังจับอยู่ที่ลูกบิดประตูไม่ยอมปล่อย
 

"ไม่ใช่แบบนั้นนะ"
 

"แล้วเพราะอะไรล่ะ ตั้งแต่อยู่ข้างล่าง พอรู้ว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกัน นายก็เอาแต่เงียบ แล้วตอนนี้นายก็ไม่พอใจเรื่องเตียงเดี่ยวนี่อีก"
 

"เมื่อกี๊ฉันคิดเรื่องงานอยู่ต่างหาก"
 

"โกหก"
 

ย้อนว่าทั้งๆที่ยังหันหลังให้นั่นแหละ  ไหล่บางเริ่มสั่นน้อยๆ ชวนให้คนมองใจเสีย เขาก็โกหกจริงๆ แต่จะทำยังไงให้คนตรงหน้านี้เชื่อได้ล่ะ
 

สองมือค่อยแตะลงบนไหล่บาง ประคองให้ร่างนั้นหันกลับมามองหน้าเขาช้าๆ  พอได้เห็นรอยยิ้มที่แสนคุ้นเคยนั่น ความกังวลทั้งหมดก็คลายลง
 

.....รอยยิ้ม......
 

......เอ๋?......
 

พอได้เห็นดวงตาเรียวรีเบิกกว้าง  ร่างเล็กก็หัวเราะคิกคักชอบใจ
 

"นายนี่ซื้อบื้อชะมัด"
 

...... ถูกหลอกจนได้สิ.......
 

"อะไรเนี่ย ไดจัง ฉันซีเรียสนะ"
 

"เมื่อกี๊บอกว่าคิดเรื่องงานไงล่ะ คนโกหก"
 

....... ถูกหลอกอีกแล้ว ......

 
"นายกังวลอะไร หรือกลัวว่าถ้านอนห้องเดียวกัน นอนเตียงเดียวกันกับฉันแล้วฉันจะปล้ำนาย"
 

ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย  ร่างสูงคิด  มีใครที่ไม่รู้บ้างว่า อาริโอกะ ไดกิ คนนี้ เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงแค่ไหน  สิ่งเดียวที่เขากังวล ก็คือทำยังไงไม่ให้ตัวเองเข้าไปรบกวนโลกส่วนตัวใบนั้นต่างหาก
 

"ฉันนอนดิ้นนะไดจัง"
 

"แล้วไงล่ะ ถ้าไม่ถึงขนาดต่อยคนข้างๆหรือละเมอโวยวายล่ะก็ยังพอรับได้นะ แต่ถ้าถึงขั้นนั้นนายคงต้องไปนอนบนพื้นแล้วล่ะ"
 

เคย์โตะหัวเราะพรืด ถ้าพรุ่งนี้เขาต้องลงมานอนกับพื้นห้อง คงไม่ต้องสงสัยสินะว่าถูกใครยันลงมา
 

"แล้วนี่  ฉันจะเข้าไปได้รึยัง"

 
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัวเลยสักนิด ที่ร่างสูงใช้สองแขนยันกับประตูคร่อมร่างเล็กเอาไว้ จนอีกฝ่ายต้องพิงประตูยามที่คุยกัน เมื่อไดกิเงยหน้าสบตาเขา ระยะห่างระหว่างกันก็เหลืออยู่นิดเดียว
 

"ขอโทษที" บอกพลางมองตามไดกิเดินลากกระเป๋าเข้าไปนั่งที่เตียง

 
"เตียงก็ออกจะกว้าง นายนี่คิดอะไรไม่เข้าเรื่อง แล้วจะยืนอยู่อีกนานมั๊ย หรือนายอยากจะนอนตรงนั้นล่ะ"
 

ถึงไดกิจะพูดแบบนี้กับเขาอีกซักกี่ครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้เคย์โตะโกรธเลยสักนิด เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะสิ่งที่เขาได้เห็นอยู่ตอนนี้น่ะสิ

 
ขี้โกงจังนะ ไดจัง นายยิ้มให้ฉันแบบนี้แล้วฉันจะโกรธนายลงได้ยังไงกันล่ะ
 
 
 



++++++++++++++++++++
 
 

 
ชักไม่มั่นใจแล้วสิ ว่าเตียงจะกว้างอย่างที่ว่า
 

ก็คนพูดน่ะ ครองเตียงอยู่คนเดียวจนแทบไม่เหลือที่ไว้ให้เขาเลยนี่นา
 

"นี่กะจะให้ฉันนอนบนพื้นจริงๆใช่ไหมเนี่ย ฉันไม่ยอมหรอกนะไดจัง"
 

พูดไปก็เท่านั้น คนฟังลาไปเฝ้าพระอินทร์เรียบร้อยแล้ว  ไหนบอกว่าจะอยู่รอเล่นไพ่ด้วยกันไงล่ะ ทีเขายังนั่งรอไดกิอาบน้ำได้ตั้งชั่วโมง
 

บ่นในใจไปตั้งมากมาย แต่ที่ทำได้ก็คือถอนหายใจ ไม่มีอะไรจะทำแล้วก็นอนดีกว่า ว่าแต่เขาควรจะนอนส่วนไหนของเตียงล่ะ?
 

ไฟในห้องดับลงเหลือเพียงแสงสว่างนวลตาจากโคมไฟข้างเตียง เคย์โตะค่อยช้อนร่างบางให้ขยับอย่างเบามือ ไม่อยากรบกวนให้คนที่กำลังฝันดีต้องตื่น
 

"อือ"
 

ตื่นจนได้แฮะ

 
"ขอโทษนะไดจัง ฉันจะนอนแล้วล่ะ นายขยับไปหน่อยได้มั๊ย"

 
พยักหน้ารับ ขยับตัวทั้งที่ยังหลับตา เคย์โตะดึงผ้าห่มคลุมให้ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนข้างๆ ห่มผ้าให้ตัวเองบ้าง
 


.......................
 


.............
 


.....
 


แปลก ?  เหมือนมีอะไรมาทับตัวอยู่เลย แต่ไม่หนักแฮะ ไม่ใช่ผีนี่นา
 

"อืมม์"
 

ไม่ใช่จริงๆด้วย
 

เคย์โตะลืมตามองคนตัวเล็กที่ทำเหมือนเขาเป็นหมอนข้างกอดอุ่นสบาย แล้วนึกอยากลุกไปสวมเสื้อ ปกติเขาไม่เคยสวมเสื้อนอนเพราะชอบเวลาที่ร่างกายได้สัมผัสผ้าห่มนุ่ม  แต่กับผิวแก้มนุ่มๆเนื้อตัวอุ่นๆของไดกิ เขาไม่ชินเอาซะเลย
 

พอจะขยับตัวหนี แขนเรียวก็ตวัดกอดแน่น แถมยังหลับแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวซะด้วย เห็นใบหน้ายิ้มละไมยามนิทราของไดกิแล้วหมั่นเขี้ยวอยากบีบจมูกไดกิแรงๆซักที คนเราเวลาหลับยิ้มกันแบบนี้ทุกคนรึเปล่านะ
 

"ไดจังนี่น้า แล้วแบบนี้ฉันจะหลับลงได้ยังไง"
 

แขนแข็งแรงโอบกระชับร่างเล็กแนบกับอก เคลียแก้มตัวเองลงกับกลุ่มผมหอม จนเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด กระซิบแผ่วเบาข้างๆหู
 

"ฝันดีนะ ไดจัง"
 


 
 
 
++++++++++++++++++++
 
 

........



....



..


อุ่นจัง....สบายดีด้วย
 

สบายจนอยากจะนอนอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแสนนาน
 

...ไดจัง....
 

...ไดจัง  ตื่นเถอะ....
 

น่ารำคาญจัง ใครน่ะ
 

...ไดจัง สายแล้วนะ.....

 
"อือ" ครางในลำคออย่างแสนหงุดหงิด กำลังฝันดีอยู่เชียว
 

"ตื่นได้แล้วไดจัง วันนี้ต้องทำงานนะ"
 

"นายก็ไปอาบน้ำก่อนสิ ฉันจะนอน"
 

เคย์โตะขมวดคิ้ว ชักจะฝันดีไปหน่อยไหม เมื่อคืนกว่าเขาจะข่มตาหลับลงได้ก็แทบแย่แล้วนะ ขืนปล่อยให้หลับต่อวันนี้คงไม่ต้องทำงานกันล่ะ

 
สองนิ้วแข็งแรงคีบเข้าที่จมูกของคนขี้เซา จนเจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา ได้แต่ปัดมือออกอย่างรำคาญใจ ดูท่าทางแมวน้อยตัวนี้คงชอบการนอนเป็นชีวิตจิตใจสินะ 
 

เฮ้อ... ยอมแพ้จริงๆ
 

"ปล่อยฉันก่อนสิไดจัง แล้วค่อยนอนต่อ"

 
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่คำพูดประโยคนั้นจะทะลุเข้าไปหาไดกิถึงในฝัน แม้จะลืมตาแล้วก็ยังงัวเงียเป็นลูกแมวขี้เซากอดไม่ยอมปล่อยอยู่ดี
 

"อรุณสวัสดิ์"

 
ใจจริงอยากจะถามว่าฝันดีมั๊ย นอนฟังเสียงหัวใจของเขาอยู่ทั้งคืน
 

ไดกิกระพริบตา ก่อนจะพบว่า เขาพาตัวเองมานอนอยู่ในอ้อมอกอบอุ่นนี่เสียทั้งคืน จนเช้าแล้วก็ยังไม่ยอมลุก  นึกโมโหตัวเองที่แก้นิสัยแบบนี้ไม่หายสักที
 

"ขอโทษนะ นายคงอึดอัดล่ะสิ"
 

รู้ว่าทำให้อีกฝ่ายอึดอัด แต่ก็ยังงัวเงียไม่เลิก ปล่อยให้ตัวเองนอนอยู่แบบนั้น จนหมอนข้างชั้นดีที่กอดมาทั้งคืนบีบจมูกเอาอีกหนนั่นแหละถึงได้กระเด้งตัวลุกขึ้น คลำจมูกตัวเองป้อยๆ โวยวายไล่หลังคนตัวสูงที่วิ่งเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
 
 
 
 
++++++++++++++++++++
 
 
 
 
เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับเหล่าเมมเบอร์ ที่จะได้เห็นไดกิเตรียมตัวพร้อมไปทำงานก่อนใคร ทั้งที่เมื่อก่อน กว่าจะงัดออกจากเตียงได้คนร่วมห้องต้องเสียแรงไม่ใช่น้อย สุดท้ายก็ต้องลากออกมาทั้งที่เจ้าตัวยังหลับตาด้วยซ้ำ
 

"ถามจริง นายใช้วิธีไหนปลุกไดจัง"
 

เป็นคำถามที่เคย์โตะได้ฟังวันละหลายๆหน ซึ่งเขาก็ตอบไปเหมือนเดิมทุกครั้ง ว่าปลุกอย่างที่เคยปลุกเมมเบอร์คนอื่นๆนั่นแหละ  แต่ไม่มีใครเชื่อเลยซักคน  ไม่ได้คำตอบจากเขาก็ไปคาดคั้นเอาจากคนที่ตื่นเช้าผิดปกติแทน เซ้าซี้หนักๆเข้าเจ้าตัวเลยตอกกลับเรื่องนิสัยยามนอนของแต่ละคนนั่นแหละ จึงเลิกถามเสียได้
 

ไม่ได้อยากปิดบังให้เป็นความลับ  แต่ถ้าตอบไปตามความจริง จะเป็นยังไงนะ  
 


.......................
 

.............
 

.....

 

"อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอ"
 

หลังจากคอนเสิร์ต  เคย์โตะไม่ตรงเข้าห้องพักอย่างเคย แต่แวะเวียนไปนั่งเล่นในห้องพักของเมมเบอร์คนอื่นๆอยู่นาน กว่าจะกลับมาถึงห้องก็ดึกมากแล้ว
 

แต่พอเข้ามาในห้องแล้วยังเห็นไดกินั่งทำตาแป๋วอยู่บนเตียง ทั้งๆที่เจ้าตัวบ่นว่าง่วงนอนมาตลอดทางนั่นแหละที่แปลกจนต้องถามออกไป
 

"ฉันนอนไม่หลับ"
 

"แล้วทำไมไม่ปิดไฟล่ะ"  มองไปรอบๆห้อง ไฟทุกดวงยังส่วางจ้า
 

"ฉันรอนาย"

 
คำตอบมันผิดคาดเสียจนคนฟังนึกไม่ออกว่าจะควรพูดอะไรต่อ ได้แต่ขมวดคิ้วใส่คนที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยความสงสัย แต่จะให้ถามต่อว่ารอทำไมก็ใช่ที่ เพราะดูแล้วไดกิอาจจะหงุดหงิดจนอาจจะอาละวาดได้ในไม่ช้า ซึ่งการนอนหลับคงเป็นยารักษาที่ได้ผลดีที่สุด
 

หลังจากเคย์โตะเข้าห้องน้ำไปแล้ว ไดกิจึงเอนตัวลงนอนอย่างขัดใจ  เขาไม่รู้จริงๆว่าทำไมจึงนอนไม่หลับทั้งที่เหนื่อยจนแทบขาดใจ จะเป็นเพราะแปลกที่ก็ไม่ใช่ คิดไปคิดมาเลยพาลไปถึงคนที่ยังอยู่ในห้องน้ำ เพราะเคย์โตะนั่นแหละ   มัวไปเถลไถล ไม่ยอมกลับห้องเสียที เขาถึงต้องเปิดไฟรอจนต้องนอนไม่หลับแบบนี้
 

.......................
 


.............
 

.....
 

ไหนเมื่อกี๊ใครว่านอนไม่หลับ
 

แล้วทำไมตอนนี้ถึงหลับได้ง่ายดายนัก
 

"เฮ้อ"
 

ถอนหายใจ แต่ใบหน้ากลับระบายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเลื่อนกายลงนอนข้างกัน

 
ชั่งใจอยู่นานว่าเขาจะควรจะทำยังถ้าไดกิกอดเขาอีก เขาไม่ได้นึกรำคาญแค่ไม่ชอบตื่นขึ้นมากลางดึกทุกคืนเท่านั้นเอง
 

แต่คำตอบก็แวบเข้ามาในสมองแทบจะทันที

 
งั้นก็กอดตอนนี้ แล้วก็หลับไปพร้อมกันซะก็สิ้นเรื่อง




 
++++++++++++++++++++ 
 
To Be Con..... 

Monday 6 June 2011

[SF] Stalker...

Title --- Stalker...

Author --- Nalikakeaw

Parings --- _ _?_ _ 
 




 
 
ท่ามกลางความสว่างของหลอดไฟเพียงไม่กี่ดวงบนทางเดิน ร่างเพรียวก้าวเท้าอย่างรีบเร่งผ่านห้องซ้อมเต้นที่บัดนี้มืดสนิท เข้าสู่ตัวลิฟท์ที่เปิดรอเอาไว้ตั้งแต่เมื่อห้านาทีก่อน กดปุ่มชั้น และเมื่อลิฟท์เคลื่อนตัวลงสู่ชั้นหนึ่งและเปิดออกอีกครั้ง
 

ก็พบแต่ความว่างเปล่า
 

ทุกคนหายไปไหนกันหมด?
 

หรือว่าจะกลับกันไปหมดแล้ว...?
 

"โธ่เอ๊ยยยย!!!!!  รอกันหน่อยก็ไม่ได้" แค่กลับไปเอาเกมที่ลืมไว้แค่นี้ กลับมาอีกทีทุกคนก็หนีไปหมด
 

แล้วยังไงละนี่   ในที่สุดก็ต้องเดินไปสถานีคนเดียวจนได้
 

ใจดำจริงๆ....
  

หลังจากที่หัวเสียบ่นเหล่าสมาชิกร่วมวง ( ซึ่งคงไม่มีใครได้ยิน ) แล้ว เด็กหนุ่มก็ต้องจำใจเดินไปยังสถานีคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้
 

ก็ใช่ว่าจะไม่เคยหรอกนะ
 

แต่วันนี้   ครั้งนี้   เขาไม่อยากเดินคนเดียวเลยจริงๆ...
 

.................
 


.........
 


.....
 

เด็กหนุ่มก้าวผ่านประตูอัตโนมัติ ก่อนจะเดินตรงไปยังที่นั่งตรงมุมริมสุดของขบวน เหตุผลหนึ่งก็เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา  เพราะทุกวันนี้ก็มีคนรู้จักมากมายพอควร
 

แต่เหตุผลสำหรับวันนี้ ... เขาอยากดูให้แน่ใจจริงๆ  ว่าตัวเองไม่ได้ตกเป็นเป้าสายตาของใคร ด้วยเหตุผลที่มากเกินไปกว่าเดิม
 

เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะความคิด มือบางคว้ามากดตัดสายทันที นึกโมโหคนชอบเจ้ากี้เจ้าการที่อยู่ปลายสายขึ้นมาทันควัน ก็รู้อยู่หรอกว่าห่วง เขาเองก็รู้สึกดีที่ได้รับความรักมากมายอย่างนี้  ติดที่มันมากเกินไปจนเขากลายเป็นคุณหนูตัวน้อย ขยับไปไหนแต่ละทีต้องคอยตามทุกฝีก้าว  ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาเป็นพี่ชายคนโตของบ้านต่างหาก


ถ้าเจ้าน้องเล็กรู้เข้า คงถูกล้อไปเป็นเดือนๆ
 

แชะ!!!!!


เสียงชัตเตอร์ที่ดังแว่วมาทำให้ร่างบางถอนสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มองไปรอบๆ แต่ไม่พบอะไรผิดแปลก ซึ่งเขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าหากเขาได้เห็นว่าใครซักคนกำลังเก็บกล้องหรือแสดงท่าทีมีพิรุธน่าสงสัย


ต่อให้เป็นปาปารัซซี่จริง เด็กหนุ่มก็ยินดีจะยืนนิ่งๆเป็นแบบให้ ไม่ใช่เงยหน้าแล้วมองเห็นแต่ความเมินเฉยของผู้โดยสารร่วมขบวนอย่างนี้
 

แล้วนี่..?...


ทำไมเขาถึงต้องมาคิดมากเรื่องที่ไม่มีใครมองด้วยเล่า ติดนิสัยน่าสมเพชแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่  ไร้สาระชะมัด
 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มือบางคว้ามาเปลี่ยนเป็นระบบสั่นก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงไปอยู่กับหนังสือ เกม ในเป้ใบโปรดอย่างไม่ไยดี
 

ถึงบ้านค่อยโทรบอกก็แล้วกันน่า
 


.................
 


.........
 


.....
 


ร่างเพรียวดูอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยตอนที่เดินออกมาจากสถานี  แต่พอนึกถึงหน้าคนที่คอยโทรหาแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ


ป่านนี้จะกระวนกระวายเป็นห่วงเราอยู่มั๊ยนะ?
 

คิดพลางก้าวไปตามหนทางที่คุ้นเคย โทรศัพท์ในกระเป๋าส่งเสียงครืดคราดไม่ยอมหยุด และดูท่าว่าปลายสายคงจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเขาจะยอมคุยด้วยแน่ๆ


เฮ้อ...ไม่แกล้งแล้วก็ได้  เดี๋ยวจะหัวใจวายตายซะก่อน


แต่ไม่ทันจะได้เอื้อมมือไปถึงโทรศัพท์  หัวใจดวงน้อยก็ต้องมีอันเต้นผิดจังหวะ
 

เพียงแว่วเสียงฝีเท้าตามหลัง  ร่างเพรียวก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก


ไม่ผิดแน่!  เสียงฝีเท้าเดินเป็นจังหวะสบายๆ แต่กลับหยุด...ทุกครั้งที่เขาหยุด  และเริ่มก้าวยามที่เขาออกเดิน นัยน์ตากลมใสเริ่มฉายแววหวาดหวั่น หากยังก้าวเดินต่อเหมือนไม่รับรู้สิ่งใด แต่ยิ่งเดินเพื่อนร่วมทางยิ่งน้อยลง

เสียงฝีเท้าด้านหลังยิ่งดังชัดเจนขึ้น
 

และเมื่อโทรศัพท์ส่งเสียงขึ้นมาอีกหน  มือบางจึงคว้ามารับสายอย่างไม่รีรอ


"นี่ นายอยู่ไหนน่ะ!"


หากเป็นก่อนหน้านี้  คนที่อยู่ปลายสายคงถูกเขาตอกกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดชวนทะเลาะเป็นแน่แท้ แต่ยามนี้หัวใจกลับเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึก เพียงแค่ได้ยินเสียงใครคนนั้น


"ฉัน-"


จู่ๆโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดับวูบ พาหัวใจวูบหาย ขัดใจจนแทบอยากจะร้องไห้ อยากปาโทรศัพท์ในมือทิ้งเดี๋ยวนั้นถ้าไม่ติดที่ว่าซื้อมาแพงละก็....
 

เสียงฝีเท้าจากด้านหลังดังชัดเจนขึ้น จังหวะก้าวเร็วขึ้น   ราวกับจะเร่งก้าวให้ทันกัน ร่างเพรียวจึงรีบจ้ำทิ้งระยะห่าง ทางข้างหน้าและซ้ายมือเป็นถนนหากข้ามไป อาจจะสลัดได้พ้น แต่อีกฝั่งนั้นช่างไร้ผู้คนเสียเหลือเกิน พอๆกับสวนสาธารณะที่อยู่ด้านขวามือ ถ้าเดินเข้าไปอาจจะหลบพ้น


แต่ถ้าไม่พ้นล่ะ?


...จะเกิดอะไรขึ้น.....
 


หัวใจเต้นถี่ระรัวดังจนกลบเสียงฝีเท้าเบื้องหลัง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน 


ไม่!!


ถ้าหนี ก็ต้องกลัวแบบนี้ตลอดไปน่ะสิ ยังไม่รู้ซักหน่อยว่าที่ตามมาตลอดทางนั่นเป็นแค่แฟนคลับ หรือว่าพวกโรคจิต


คิดแล้วก็อดหัวเราะตัวเองไม่ได้  ติดนิสัยกระต่ายตื่นตูมมาจากใครกันนะ แค่เผลอพูดไปว่าสองสามวันนี้รู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม ก็แทบจะอาสาไปรับไปส่ง ทั้งที่บ้านไม่ได้อยู่ใกล้กันเลยซักนิด
 

ความคิดหยุดชะงักอีกหนเพราะเสียงฝีเท้า


ร่างเพรียวสูดหายใจลึก เตรียมพร้อมจะเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่ทำให้ชีวิตของเขาไม่ปกติสุขในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา กระทั่งเสียงฝีเท้านั่นมาหยุดอยู่ข้างหลัง
 

ด้วยระยะที่ใกล้จนเกินไป หรือจะด้วยความกะทันหันจนทำให้อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวก็ตาม


เมื่อหันกลับไป ร่างบางจึงได้เห็นชายร่างสูง ผอม  ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ถอยห่างไปอย่างตกใจ ก่อนจะสะดุดขาตัวเองล้มลงไปกองอยู่บนพื้นฟุตบาท
 

พร้อมกับโลหะ เป็นประกายสีเงินวาววับ!!!
 

สิ่งที่เห็นมีเพียงเท่านั้น.....
 

เพราะหลังจากนั้น.....
 

ทั้งตัวก็ถูกโอบรัด กระชากจนลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะกระแทกลงกับพื้นแข็งๆ
 

แต่ไม่เจ็บแฮะ?
 

ในหูแว่วได้ยินประตูกระแทกปิด พร้อมๆกับเสียงเครื่องยนต์กระชากออกตัวอย่างรวดเร็ว ทิ้งชายแปลกหน้าและความกลัวไว้เบื้องหลัง  เพราะไออุ่นโอบล้อมร่างกายที่สัมผัสได้นั้น มันบ่งบอกให้รู้ชัด  ว่าเขาปลอดภัยแล้ว
 

ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเสี้ยวนาที  แต่ร่างเพรียวกลับต้องใช้เวลานานกว่านั้นถึงจะจับต้นชนปลายได้ถูก ว่าวินาทีก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
 

"เป็นอะไรรึเปล่า?"
 

เสียงใครหว่าคุ้นๆ..... อบอุ่น ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยจัง
 

"ฉันเป็นห่วงแทบตาย"
 

พื้นที่เรานอนอยู่นี่ก็อุ่นด้วยแฮะ มีเสียงอะไรตุบๆ ดังอยู่ข้างหูด้วย
 

"นี่! นายฟังฉันอยู่รึเปล่า? เป็นอะไรไป?"
 

แล้วอะไรหนักๆรัดตัวเราอยู่ว๊า~ แต่ก็นะ รู้สึกดีจัง...
 

"ริวทาโร่!!!!"
 

ในที่สุดก็รู้ตัวได้สักทีว่าที่นอนทับอยู่นั่นไม่ใช่พื้น แต่เป็นแผงอกกว้าง อะไรหนักๆที่โอบอยู่บนหลังนั่นคือสองแขนแข็งแรง  สองอย่างที่ว่าก็คือคนๆเดียวกับเจ้าของน้ำเสียงทุ้มๆ คุ้นหู


คนที่เขานอนซบอยู่ทั้งตัวตอนนี้!!!!!
 

เฮ้ยยยยย!!!!!!!
 

ริวทาโร่กระเด้งตัวออกจากอ้อมแขนนั้นอย่างแรงจนเกือบหงายหลังตกจากเบาะลงไปกระแทกพื้นจริงๆ ดีที่ร่างสูงนั้นเร็วกว่าคว้าร่างเพรียวกลับมาสู่อ้อมแขนได้ทัน คราวนี้ร่างเพรียวแทบจะจมลงไปกับอกกว้าง สองแก้มใสเริ่มร้อนขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
 

"ฉันทำให้นายตกใจสินะ...ขอโทษที"
 

มือใหญ่ลูบลงบนกลุ่มผมนิ่มเบาๆอย่างจะปลอบขวัญ 
 

"เปล่านี่! ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซักหน่อย"
 

ปากแข็งทั้งๆที่ยังใจสั่นไม่หาย เมื่อนึกไปว่าถ้าหากว่าคนๆนี้มาไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
 

"แล้วทำไมตัวสั่นล่ะ"
 

"หายใจไม่ออก!"
 

เจ้าของอ้อมแขนนั้นก้มลงมองแล้วก็พบว่าจริงอย่างว่า  เพราะตอนนี้ใบหน้าใสแทบจมอยู่กับอก แต่เขาก็ไม่อยากจะปล่อยคนๆนี้ไปเลย จึงขยับร่างโอบยกคนตัวเล็กขึ้นมาอีกหน่อยให้ใบหน้าน่ารักวางอยู่บนไหล่กว้างของตัวเอง แบบนี้ก็กอดได้ไม่ต้องทำให้อีกฝ่ายต้องขาดใจไปซะก่อน


แต่หารู้ไม่ว่าทำอย่างนี้แล้วยิ่งทำให้ร่างเพรียวใจสั่นหวันไหว  เมื่อกี๊สูดกลิ่นไออกอุ่นเข้าไปเต็มปอด ตอนนี้กลิ่นโคโลญจ์ กลิ่นแชมพู เจลแต่งผม อะไรสารพัดก็กำลังตีกันให้วุ่น หายใจไม่ออกยิ่งกว่าเก่า
 

"ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉัน"
 

"ไม่รู้นี่ ปิดเสียงไว้"  จงใจปิดเสียงเลยด้วย
 

"แล้วเมื่อกี๊ตัดสายทำไม"
 

"แบตฯหมด"  ก็เพราะนายไม่ใช่รึไง ไม่รับสายก็กระหน่ำโทรมาอยู่ได้
 

คำถาม ถามมาแบบห้วนๆ คนฟังแล้วเริ่มกรุ่นอารมณ์โกรธขึ้นมาน้อยๆ เลยตอบแบบห้วนๆพอกัน 
 

"ทำไมไม่รอฉัน  บอกแล้วใช่ไหมว่าจะไปส่ง"
 

"ก็นายนั่นแหละ หายไปไหน ฉันลงมาก็ไม่เจอใครซักคนแล้ว" จริงๆแล้วจ้ำอ้าวหนีมาเลยแหละ  ก็ไม่ใช่เด็กแล้วนี่จะที่จะต้องมีใครคอยรับส่ง


คราวนี้คนถามต้องเป็นฝ่ายเงียบไปเอง ทำไมความผิดมันเข้าตัวทุกกระทงเลยวะ
 

"ฉันไปหาคุณพ่อมา ฉันก็ไม่ได้บอกนาย ขอโทษนะ"
 

ร่างเพรียวยิ้มกว้างอยู่กับบ่าหนา พยักหน้าหงึกหงักพอให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ว่าอะไร  ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่กว้างอีกครั้งและก็อาจจะเพลินอยู่กันแบบนั้นไปอีกหลายชั่วโมง
 

"ถ้าเคลียร์กันจบแล้วก็นั่งกันดีๆเถอะนะเด็กๆ"
 

เสียงแหบห้าวไม่คุ้นหูทำเอาริวทาโร่ย่นคิ้วด้วยความสงสัย เลื่อนสายตาไปหาต้นเสียงที่นั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลังแล้วก็พบว่า
 

โอคาโมโตะ  เคนอิจิ   นั่งอยู่ตรงนั้น!!!!!!

 
ครั้งนี้ริวทาโร่หงายหลังตกจากเบาะชั้นดีที่ชื่อเคย์โตะ ลงไปพับเพียบกับพื้นรถด้วยความตกใจถึงขนาด ก่อนจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาโค้งคำนับ
 

"โอ๊ย !!!!" แถมยังเอาหัวไปโขกกับเบาะรถอีกต่างหาก
 

ผู้สูงวัยกว่ามองเด็กน้อยที่ตอนนี้แปลงร่างกลายเป็นกาน้ำเดือดไปแล้วด้วยความอายสุดขีด เพราะในรถตู้คันนี้ ก็ใช่ว่าจะมีกันอยู่แค่นี้เมื่อไหร่ ถ้าไม่นับคนขับแล้วก็ยังมีผู้จัดการ กับทีมงานอยู่อีกสองสามคน ก่อนจะหันไปมองหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ตอนนี้ส่งสายตาขุ่นเคืองประหนึ่งว่าเขาเป็นคนทำให้ริวทาโร่เจ็บตัว
 

"จอดข้างหน้านี่ก็ได้ครับ"
 

ร่างสูงยื่นหน้าไปบอกคนขับที่ต้องทำตัวกระตุกเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้เกือบถูกลูกชายเจ้านายบีบคอด้วยเหตุที่ขับรถไม่ทันใจ  โดนใบสั่งแล้วใครจะรับผิดชอบ
 

"จะไปไหนกันล่ะ"
 

"ผมไปงานกับพ่อไม่ได้ งั้นเดี๋ยวผมไปหาอะไรกินแถวนี้รอดีกว่า  พ่อกลับมาแล้วค่อยไปส่งริวทาโร"
 

"งั้นก็ตามใจ"
 

เคย์โตะเลื่อนประตูปิดก่อนที่ร่างเพรียวจะได้ออกความเห็น คนเป็นพ่อมองดูลูกชายโอบเอวร่างเพรียวที่โค้งคำนับให้เขา พาเดินเข้าไปในร้านอาหารเจ้าประจำ ก่อนจะกลับมานั่งเอนหลังตามเดิม
 

"น่ารักดีนะครับ โมริโมโตะคุงคนนี้"
 

คนขับชื่นชมด้วยใจจริง  ก็แน่ล่ะสินะ  น่ารักแบบนี้เจ้าลูกชายตัวดีมันถึงได้หวงห่วงหนักหนา
 

ถ้าได้มาเป็นลูกชายอีกคน  ก็คงดี.....
 
 




 
++++ END ++++

Sunday 5 June 2011

~❤ Love Rabbit ❤~

Title  :   ~❤ Love Rabbit ❤~

Writer  :  Nalikakeaw

Pairing  :  Taka x  Yabu...





"มาแล้ววววววววววววว!!!!!!"


เสียงฝีเท้าตึ้กตั้ก  ตามมาด้วยเสียงแหบห้าวพร้อมทรงผมฟูๆไร้การหวีแต่ดูดีเป็นเอกลักษณ์  ก่อนที่ร่างสูงจะพุ่งเข้ามาในสตูดิโอ ณ เวลาที่เข็มสั้นจะหยุดตรงเลขแปดได้พอดีแป๊ะ


ทุกคนในสตูดิโอถอนหายใจโล่งอก  ไม่ใช่ว่าห่วงหรอกนะ  แต่ไม่อยากได้ยินเสียงใครบางคนบ่นต่างหาก


"เกือบสายเชียวนะ ยูยะ"


เรียบๆ นิ่งๆ  แต่ทุกสิ่งหยุดชะงัก   ทุกคนกลั้นหายใจเตรียมอุดหู  มีแต่เจ้าตัวคนที่เกือบจะมาสายนั่นล่ะที่มองตอบสายจิกจ้องเอาเรื่องแบบไม่สะทกสะท้าน


"อย่าเพิ่งบ่นน่ะยาบุ ขอไปแต่งหน้าแต่งตัวก่อน สายแล้ว"


ว่าแล้วก็ชิ่งจากไปนั่งหน้ากระจกบานใหญ่ให้ช่างทำผม ช่างแต่งหน้า ใส่โน่นละเลงนี่ไปตามเรื่อง เสร็จปุ๊บตากล้องก็เรียกไปถ่ายปั๊บ สนุกสนานเฮฮากันไปตามประสา แต่ทว่า....


"ทาคาคิ ไปง้อยาบุหน่อยซิ"


"ไม่ได้ทำอะไรผิดง้อทำไมล่ะ"


หันกลับไปถามแบบหน้าซื่อตาใส   แต่ฮิคารุมองแล้วมันชวนโดนถีบมากกว่าน่ารัก


ก็มันใครกันละวะ! ที่มาทำงานแบบหวุดหวิดจะสายได้ทุกที่ทุกงาน ทั้งๆที่ยาบุมันย้ำนักย้ำหนาว่าให้มาก่อนเวลานัดสิบห้านาที  จะเตือนจะว่ายังไงก็ไม่เคยสน  หนนี้ยังทำเมินใส่อีก  พี่ใหญ่ของวงเลยทำหน้าหงิกเอาๆจนเหลี่ยมจะหายหมดแล้ว


"ก็น่ารักดีนี่"  ก็นะ  นานๆทีจะได้เห็น


ผัวะ!!!!!


เป็นอิโนะ เคย์  ที่หวดฝ่ามือเรียวลงกลางกบาลแบบเต็มเหนี่ยว  หัวเหอที่เซ็ตไว้อย่างดีกระเซิงเสียทรง  ถึงได้หันไปมองอย่างขุ่นเคือง แต่เจ้าของฝ่ามือพิฆาตหาได้สนใจไม่


"ไม่ต้องพูดมาก ไปขอโทษยาบุเดี๋ยวนี้!"


ไม่รู้อะไรหนักหนา ยาบุโกรธง่ายหายเร็ว ก็รู้ดีอยู่  ขอโทษคำเดียวก็จบ แต่นี่ปล่อยให้โกรธ หน้าบึ้งแผ่รังสีอึมครึมไปทั่วสตูดิโอ จนเมมเบอร์ไม่กล้าเข้าใกล้ ทีมงานก็ดูจะแหยงๆพิกล 


มันอึดอัดเฟ้ย!!!!!


"ไม่ไป"


"ยังไงก็ต้องไป ถ้านายจะไปเราจะลากนายไปเอง  ไดจังมาช่วยกันหน่อย"


สามคนสามแรง  แต่กลับสู้แรงคนอ้วนที่น้ำหนักเพิ่งจะลดไปสองกิโลฯ  ไม่ไหว  ยื้อกันไปลากกันมาจนคนที่นั่งมองอยู่มุมห้องนึกรำคาญ  ยิ่งมองยิ่งหงุดหงิดใจนัก


"ไม่ต้องหรอกทั้งสามคน  คำขอโทษที่ไม่มีความสำนึกน่ะ ฉันไม่อยากได้หรอก"


ทั้งสตูดิโอเกิดความเงียบงันไปชั่วขณะ  ยูยะอ้าปากหวอมองตามแผ่นหลังบางที่เพิ่งจะพ้นประตูสตูดิโอไปอย่างงงๆ


โกรธจริงนี่หว่า....




+++++++++++++++++++





หมดช่วงถ่ายในสตูดิโอ ทุกคนย้ายสถานที่มาถ่ายกันตรงสวนด้านนอกไม่ไกลนัก  ผืนหญ้าสีเขียวเย็นตา ช่วยให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น  แต่ที่เรียกเสียงอู้อ้า ชื่นชมจากเหล่าเมมเบอร์ได้มากที่สุด  ก็คือเหล่ากระต่ายน้อยขนฟูที่มาร่วมถ่ายแบบด้วยในวันนี้


"หวา!!! น่ารักจังเลย ผมจะถ่ายกับตัวนี้"


"ตัวสีน้ำตาลเข้มฉันจองแล้วนะยูโตะ"


"เอ๋!!  อะไรกัน ยามะจังจองตั้งแต่ตอนไหนฉันมาถึงก่อนนะ"


"ก็ไม่รู้ล่ะ ฉันอยากได้ตัวนี้นี่"


คุยกันหงุงหงิงซักพักยามาดะก็ได้อุ้มกระต่ายตัวที่อยากได้สมใจ  แต่ต้องแลกกับการหอมแก้มยูโตะซ้ายขวาข้างละที  เพราะแบบนี้เวลามีเรื่องเถียงกันทีไร เมมเบอร์ที่เหลือเลยไม่ค่อยจะสนใจสองคนนี้เท่าไหร่นัก  ปล่อยให้หงุงหงิงกันไปสองคนเถอะ


กระต่ายน้อยน่าสนกว่ากันเยอะ!~


ยาบุรอให้ทุกคนเลือกกระต่ายจนครบ ถึงได้อุ้มกระต่ายตัวสีน้ำตาลอมเทาขึ้นมากอดบ้าง สีหน้าตอนที่อุ้มกระต่ายขึ้นมานั้นอ่อนโยน เวลาที่กอดกระต่ายน้อยก็ทะนุถนอม  ชวนให้คนมองนึกอิจฉา อยากหักคอกระต่ายขึ้นมาซะงั้น


"เอามานี่ซิ"  มือไวเหมือนใจคิด ยูยะดึงกระต่ายออกจากอ้อมแขนนั้นทันที


เพียะ!!!!


"โอ้ย!!!  มาตีฉันทำไมเนี่ย"


"มันน่ามั๊ย ใครสั่งใครสอนให้อุ้มกระต่ายแบบนั้น "


แล้วหิ้วหูกระต่ายมันผิดตรงไหนวะ! ไม่ทำมันหล่นพื้นก็บุญเท่าไหร่แล้ว ทาคาคิจับหูกระต่ายแน่นกว่าเดิม ปล่อยให้เจ้าตัวน้อยสี่ขาตะกุยอากาศไปตามเรื่อง


ปั๊ก!!!!


เพราะหิ้วน้องกระต่ายสูงเกินไป  เลยโดนสองขาหลังถีบเข้าปลายคางแบบเต็มๆ  มึนไปสิบวิ...


หนอย!!!   เดี๋ยวแกล้งทำหลุดมือมันจริงๆซะเลย  ยาบุอยากสนใจมันมากกว่าเขาดีนัก


"ถ้ากระต่ายหล่นนายตายแน่!!!"  เอ่อ สมเป็นยาบุ  รู้ทันไปซะทุกเรื่องจริงๆ "ส่งกระต่ายตัวนั้นคืนมา  เดี๋ยวนี้!!!" 


เพราะประโยคสุดท้ายนั่นล่ะ ที่ทำให้ไม่กล้าขัดใจ ปกติจะแกล้งกวนใจบ้าง ให้เอาอะไรซักอย่างมาแลกบ้าง  แต่ถ้าทำยาบุคงโกรธมากขึ้นอีกหลายเท่า


คืนไปแล้วก็ไม่วายส่งสายตาขุ่นเคืองใส่เจ้าขนฟูที่อยู่อย่างสงบสุขในอ้อมแขนเรียว แป๊บเดียวก็เคลิ้มทำท่าจะหลับ  ดูมันซิ ทีกับเขาละดิ้นเอา ถีบเอา


"ต้องอุ้มแบบไหนล่ะ  ฉันไม่รู้นี่"


ยาบุมองคนแกล้งทำหน้าตาจ๋อยๆอย่างแสนขัดใจ  อยากจะตะโกนใส่หน้าให้สมกับที่ขุ่นใจมาเกือบค่อนวัน แต่ก็กลัวกระต่ายจะตกใจกระโดดหนี


"ก็แบบที่ฉันอุ้มนี่แหละ  ลองดูสิ " บอกพลางเดินนำไปทางกรงที่ยังเหลือกระต่ายน้อยอยู่อีกหนึ่งตัว


"ค่อยๆเอามือช้อนไปใต้ตัวกระต่าย ตรงขาหน้าสองข้าง อีกมือก็ประคองสะโพกแล้วก็อุ้มขึ้นมา"


เออ ง่ายๆแฮะ ไม่ดิ้นไม่ถีบด้วย  น่ารักเหมือนกันนี่หว่า  อุ้มขึ้นมาได้แล้วก็ยิ้มกว้าง แต่เจอใบหน้าหงิกๆของยาบุตอกกลับมาจนหน้าหงาย


เฮ้อ!!!  ไม่น่าไปแกล้งเล่นเล้ยยย!!!!!




+++++++++++++++++++++++


ยาบุไม่ได้คุยกับยูยะอีก และไม่ได้ทำท่าทีว่ามองเห็นด้วย  ถึงจะมานั่งอยู่ตรงหน้าก็เถอะ  เสร็จงานก็ก้มหน้าก้มตาเก็บของใส่กระเป๋าแบบไม่สนใจโลก


"วันนี้ทาคาคิคุงดูหงอยๆเนอะ ยาบุคุง" ยูริเข้ามาเกาะแขนทำตาแป๋ว  ยาบุเลยยิ้มหวานตอบไป


ดี สมน้ำหน้า ...


"น่าสงสารนะ"  เคย์โตะพูดบ้าง  แต่ดูแล้วก็ไม่ได้หวังให้ยาบุใจอ่อนสักเท่าไหร่


"ทาคาคิคุงเดินหายไปไหนแล้วล่ะ" ริวทาโร่ลองพูดดูบ้าง แต่ก็เหมือนสายลมผ่านหู  ยาบุไม่ได้ฟังเลยซักนิด


"ทุกคนนนนน กระต่ายหายยยย"


"จริงอ่ะยามะจัง กระต่ายหายเหรอ"


"หายไปตัวนึงล่ะ"


"กระต่ายหายย  ทุกคนนนน  กระต่ายหายยย  ทำไงดีๆๆๆๆ"


รู้แล้วครับว่ากระต่ายหาย  แต่ใครก็ได้เอาสองตัวนี้ไปเก็บที!!!!!!!


กระต่ายหาย ?  คนก็หาย?  หวังว่าคงไม่ได้หายไปด้วยกันหรอกนะ  ยาบุออกเดินแกมวิ่งไปทางด้านหลังเรือนกระจกที่ก่อนหน้านั้นเห็นคนใครสักคนเดินไปทางนั้น


นั่นไง........แอบมางีบอยู่หลังเรือนกระจกจริงๆ  แล้วยังกอดกระต่ายขนฟูแทนหมอนข้างด้วย ไม่รู้นึกพิเรนทร์อะไร  เมื่อกี๊ยังแกล้งกระต่ายอยู่เลย


ยาบุนั่งลงข้างๆคนที่กำลังอยู่ในห้วงฝันเงียบๆ ไม่อยากรบกวนให้ตื่น มองหน้าตาหล่อเหลาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะไล้นิ้วเบาๆไปตามโครงหน้า  แล้วละออกมาอย่างรวดเร็วเพราะเพิ่งนึกได้ว่ายังโกรธอยู่


แต่ถ้าปล่อยให้นอนอยู่อย่างนี้ก็คงไม่ดีสินะ  หาเรื่องให้ต้องปวดหัวอยู่เรื่อยเลยนะ  ยูยะ


"ยูยะ ตื่นได้แล้ว"


กระต่ายน้อยทำตาแป๋วมองยาบุเอานิ้วจิ้มๆอกคนที่นอนหลับปุ๋ย แต่สะกิดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น  จนเปลี่ยนใจจะเอาเท้าเขี่ยแทน  รับรองว่าหายง่วงแน่!!!!.....


"เฮ้ย!!!" ร้องเสียงหลงเพราะถูกดึงจนเกือบล้มลงไปทับเจ้าขนฟูที่ยังนอนแปะอยู่บนอกกว้างของอีกฝ่าย ต้องยันศอกไว้กับพื้นดิน  แต่ตอนนี้อยากจะเอาศอกยันหน้าไอ้คนแกล้งหลับแทนแล้วสิ


"นึกว่าจะไม่ปลุกซะแล้วนะ"


ยาบุไม่ตอบยันตัวขึ้นสุดแรง แต่อีกคนก็ไวกว่า กอดหมับเข้าที่เอวบาง อีกมือสอดเข้าในเรือนผม ออกแรงกดให้ใบหน้านั้นโน้มลงมาจนกระทั่งริมฝีปากประกบกันแนบสนิท


"อื้อ~"


ยิ่งดิ้นแรงกอดยิ่งรัดแน่น ยาบุห่วงแต่เจ้าตัวน้อยจะถูกทับแบน ลืมตัวปล่อยให้ริมฝีปากถูกครอบครอง สุดท้ายยอมเอียงใบหน้าขยับริมฝีปากตามอารมณ์ของอีกฝ่ายไปง่ายดาย


กระต่ายน้อยรู้งาน กระโดดตุบลงบนพื้นหญ้า ให้สองร่างได้แนบชิดสนิทกันมากกว่าเดิม


เนิ่นนานกว่าริมฝีปากจะเป็นอิสระ  ยาบุแนบแก้มลงกับอกอุ่นๆแทนที่จะมองหน้า เพราะรู้ว่ายูยะอยากมองสบตาคู่นี้ใจจะขาดไงล่ะ  เดี๋ยวก็รู้หมดสิ ว่าหายโกรธแล้ว


"เลิกงอนเถอะน่า ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งซักหน่อย  แค่อยากให้สนใจกันบ้าง"


"ที่ผ่านมาใส่ใจไม่พอหรือไง"


"ก็อยากให้ใส่ใจมากกว่าใครๆ"


เหตุผลไม่เข้าท่า  แต่ทำไมยาบุถึงเข้าใจนะ  จะว่าไปช่วงนี้ในหัวมีแต่งาน  งาน งาน  แล้วก็งาน เต็มไปหมดจริงๆ  แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ยูยะจะมาป่วนเขาเสียหน่อย


"ไม่อยากใส่ใจแล้วล่ะ  ปวดหัว"


"เอ๋!!!"


คนตัวบางฉวยโอกาสที่อีกคนตกใจลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก้มลงอุ้มกระต่ายน้อยไว้ในอ้อมแขน


"เลี้ยงกระต่ายยังจะง่ายกว่าอีก" ไม่พูดเปล่าแนบแก้มลงบนขนนุ่มๆของเจ้ากระต่ายน้อย พร้อมๆกับส่งยิ้มหวานให้ยูยะ


"ถ้าพรุ่งนี้ยังมาทำงานสาย ฉันจะเอาเวลาที่ดูแลใสใจนายมาใช้กับกระต่ายตัวนี้แทน"


ยูยะฟังแล้วอยากจะบีบคอกระต่ายขึ้นมาอีกหน  อยากตะโกนดังๆว่ากอดกระต่ายน่ะมันไม่อุ่นเท่ากอดเขา  จูบกระต่ายก้ไม่หวานเท่าจูบกับเขาด้วย


แล้วแบบนี้ยังจะทิ้งกันได้อีกเร้ออออออออออออออออ.....................





++++++++ End +++++++++++++

Friday 3 June 2011

[Fiction] Once Upon a time...Two

Title : Once Upon a time...Two

Writer : Nalikakeaw

Rate : Not Sure

Pairing : .........





"ผมเลือกยูยะ"


ไม่น่าเชื่อ..แค่คำพูดธรรมดาๆเพียงประโยคเดียวกลับทำให้กล้องทุกตัว ทั้งกล้องโทรทัศน์ กล้องถ่ายภาพ ต่างหันมาเก็บภาพของเด็กหนุ่มที่เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ แต่ในแววตานั้นฉายชัดถึงความมั่นใจ ราวกับว่าคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในใจเสมอมา เสียงนักข่าวสายบันเทิงฮือฮาเหมือนผึ้งแตกรังยามที่ร่างสูงกำลังจะก้าวออกจากที่ตรงนั้น คำถามมากมายรัวใส่จากรอบข้างเหมือนปืนกล แต่ทั้งหมดก็เงียบเสียงลงเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นหันกลับมาอีกครั้ง


"ผมคงไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เพราะที่พูดไปวันนี้มันชัดเจนมากที่สุดแล้ว ถึงผมไม่เคยคิดจะปิดบังเรื่องของเรา แต่ก็ไม่ได้อยากทำให้เป็นจุดสนใจมากมายขนาดนี้ เราชอบอยู่กันเงียบๆมากกว่า"


จากนั้นนักข่าวทั้งหลายก็บันทึกได้เพียงภาพแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆห่างออกไป....


ภาพในจอโทรทัศน์ดับพรึ่บ!  ฮารุมะโยนรีโมททิ้งไว้ที่โซฟาแล้วเดินกลับเข้ามาในห้องนอน บนเตียงกว้างมีร่างผอมบางที่ยังหลับสนิท นอนคว่ำซบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ เผยแผ่นหลังเปลือยเปล่า ฮารุมะไล่สายตาไปตามแนวโค้งลาดไหล่เรื่อยลงไปจนถึงสะโพกที่มีเพียงผ้าห่มผืนบางปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ ประทับกดริมฝีปากร้อนหนักๆ ย้ำลงตรงต้นคอ พอให้คนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต้องขยับกายหนีอย่างหงุดหงิด


"จะไม่ตื่นขึ้นมาชื่นชมความสำเร็จของฉันหน่อยหรือไง"


ตอนที่ยาบุบอกว่าทั้งสองคนจะต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างหมดเปลือกนั้น ฮารุมะไม่เข้าใจว่ายาบุต้องการอะไร เพราะดูแล้วมันไม่น่าจะช่วยทำอะไรให้ดีขึ้น มีแต่จะถูกวิจารณ์ในทางลบมากกว่าเดิมเท่านั้น


"ตอนแรกฉันก็อยากจะให้นายสองคนออกไปแก้ข่าวว่าเป็นแค่เพื่อนกัน แต่หลักฐานมันชัดขนาดนี้แล้วจะแถไปทางไหนก็ถูกด่าอยู่ดี สู้เปิดเผยให้โลกรู้ไปเลยดีกว่า"


"แล้วมันจะช่วยอะไรได้ล่ะ? ฉันไม่คิดว่าแฟนๆจะยอมรับได้หรอกนะ"


"นายไม่รู้อะไร ยูยะ ความรักในโลกสมัยนี้น่ะ มันไม่ได้มีข้อกับหนดไว้ว่าต้องเป็นคู่หญิงชายเท่านั้นหรอกนะ  แฟนคลับที่อยากเห็นภาพนายสองคนเป็นคู่รักหวานแหววไม่แคร์สื่อมีอยู่ตั้งเท่าไหร่  ไม่เคยรู้ล่ะสิ  หัดเข้าเว็บเช็คข่าวซะบ้าง ไม่ใช่เอาเวลาไปอยู่บนเตียงซะหมด"


"แต่คนที่รับไม่ได้ก็มีไม่น้อยนะ"


"มันก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย วัดกันระหว่างคนแก่หัวเก่ากับคนรุ่นใหม่ที่ไร้สิ่งปิดกั้นความคิด ว่าไงฮารุ อยากจะลองดูหน่อยไหม"


แค่มองตาฮารุมะก็ดูออกว่ายาบุอยากให้เขาทำ และความเชื่อมั่นในดวงตาคู่นั้นบ่งบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าคู่แข่งจะใช้เล่ห์กลมากมายเพียงใดมาโจมตี เขาก็จะไม่มีวันแพ้


"แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะ"


สิ่งที่ทั้งสองคนต้องทำก็คือการให้สัมภาษณ์สื่อ ตอบคำถามที่ทุกคนอยากรู้ และทำตัวเป็นคู่รักที่คบกันอย่างเรียบง่ายไม่โดดเด่นแต่เปิดเผยจริงใจ เพราะยาบุบอกว่ามันดูน่าเชื่อถือมากกว่าการแกล้งเอาอกเอาใจกันจนหวานเลี่ยน แต่ยูยะกลับปฏิเสธให้ฮารุมะเป็นคนรับหน้าที่นี้แต่เพียงผู้เดียว


"ฮารุแสดงละครเก่งกว่าฉัน เพราะงั้นเรื่องโกหกต่อหน้าคนเยอะๆก็น่าจะทำได้ดีกว่า"


ยาบุทำสีหน้าไม่ถูก แปลไม่ออกว่าประโยคที่พูดนั้นยูยะชื่นชมหรือแอบด่า เพราะสีหน้าคนพูดนั้นเรียบเฉย และคนที่ถูกพาดพิงอย่างเขาก็ไม่ได้มีสีหน้าขุ่นเคือง แต่กลับหัวเราะโอบเอวคนข้างๆเข้ามาจูบหนักๆให้สมกับความปากดีของเจ้าตัว


รสจูบร้อนรุ่มหอมหวาน ลิ้มลองมาเนิ่นนานหากมิรู้เบื่อ  นับวันกลับยิ่งลุ่มหลง หวงแหน ราวสมบัติล้ำค่า ไม่อยากให้ใครมอง ไม่อยากให้หน้าไหนมาแตะต้อง เขาจึงเกลียดอาชีพนี้  แต่เขาไม่อาจห้ามยูยะไม่ให้ทำงานในวงการนี้ได้ เพราะสิ่งที่เขาได้ครอบครองมีเพียงร่างกายของยูยะ ไม่ใช่หัวใจหรือชีวิต


จ้องมองร่างที่ยังหลับพลางยิ้มน้อยๆ ช่างน่าขำที่สิ่งที่ทุกคนคิด กับความเป็นจริงนั้นช่างห่างไกลกันยิ่งนัก ระหว่างเขากับยูยะ ผูกพันกันด้วยร่างกาย คำสาบานและสิ่งตอบแทน ไม่ใช่ความรักอย่างที่ใครๆเข้าใจ

มนุษย์นั้นโง่เขลานัก......


เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะความคิด ฮารุมะรีบคว้าจากโต๊ะหัวเตียงมากดรับก่อนที่มันจะทำให้ยูยะตื่น ปลายสายกรอกเสียงบอกข่าวดีที่เขาคาดเอาไว้ไม่ผิด


"ทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา นายสองคนได้เล่นละครแน่ๆ ดูเหมือนพวกสปอนเซอร์ทั้งหลายจะกดดันไปทางสถานีกับทีมงานว่าถ้าถอดชื่อนายสองคนออก ก็จะถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนเหมือนกัน แล้วตอนนี้ทั้งโฆษณา ถ่ายแบบ เดินแบบ ก็เข้ามาอีกเพียบ"


"อาศัยข่าวสร้างกระแส ยิ่งเกาะกระแสสินค้าก็ยิ่งดัง ที่สุดแล้วบริษัทฯ ก็รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ ฉันชักสงสัยซะแล้วว่าไอ้ข่าวทั้งหมดที่ออกมานี่มันเป็นฝีมือนาย"


"ถ้าเป็นฝีมือฉัน ฉันจะเอากล้องไปติดไว้ในห้องนอนพวกนาย คงจะได้ภาพดีๆคลิบเด็ดๆ ทำเงินได้ดีกว่านี้เยอะว่ะ ว่าแต่ยูยะอยู่ไหน?"


"หลับอยู่"


ยาบุถอนหายใจก่อนจะเตือนผ่านโทรศัพท์มา


"เพลาๆลงหน่อยเถอะวะ เดี๋ยวละครเปิดกล้องก็ต้องเร่งถ่ายทำให้ทันวันออกอากาศที่เลื่อนเร็วขึ้น หามรุ่งหามค่ำกันบ่อยๆยูยะมันจะไม่สบายเอา"


"เข้าใจแล้ว"


เรื่องนั้นน่ะ รู้ดีอยู่แล้ว ต่อให้เขาต้องการมากแค่ไหน ยูยะก็ไม่อาจตอบสนองเขาได้อยู่ตลอดเวลา ความปรารถนาของเขาที่มีต่อยูยะนั้นไม่มีวันหมด


แต่ร่างกายของมนุษย์  ก็ยังมีขีดจำกัดสินะ....






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



"เหนื่อย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"


คนหนึ่งนอนแผ่บนเตียงคนไข้  คนหนึ่งทิ้งตัวลงบนโซฟาตรงข้ามกัน สองพี่น้องพร้อมใจประสานเสียงหลังจากหลบหนีกองทัพนักข่าวมาได้เป็นรอบที่สามสิบของวัน ตั้งแต่มีข่าวของฮารุและยูยะออกมาชีวิตก็ไม่ได้อยู่อย่างสุขสงบอีกเลย


คุณหมอยูยะแทบไม่เป็นอันทำงาน ถูกนักข่าวติดตามรุมล้อมแม้กระทั่งเวลาที่ตรวจหรือไปเยี่ยมคนไข้ หนักเข้าถึงขั้นปลอมตัวเป็นคนไข้เสียเอง คุณหมอแสนดีเลยดีแตก สงเคราะห์นักข่าวทั้งหลายด้วยเข็มฉีดยาอันเบ้อเร่อ เล่นเอาบรรดาคนไข้จอมปลอมวิ่งออกจากห้องตรวจแทบไม่ทัน


ส่วนยูมะก็ถูกกองทัพนักข่าวตามติดเฝ้าอยู่หน้าห้องพักคนไข้ โผล่หน้าออกจากห้องทีไรเป็นต้องเจอไมค์โครโฟนและนักข่าวจากทุกสำนักที่ยื่นหน้ากันเข้ามาถามว่าเขาคิดยังไงกับพี่เขยอย่างฮารุ  พยาบาลต้องตะโกนให้ลั่นว่าอย่ารบกวนคนไข้ พวกนักข่าวถึงได้ยอมถอย แต่ก็ยังคงตามยูมะไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่ายูมะจะไปห้องตรวจตามปกติหรือไปเยี่ยมเพื่อนคนไข้อื่นๆที่ห้องพัก


"ไม่น่าตามใจให้ไปเป็นนักแสดงแลยจริงๆ มีข่าวทีไรเดือดร้อนทุกที ดูสิ! นักข่าวเต็มโรงพยาบาลไปหมด รบกวนทั้งหมอทั้งคนไข้จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วยังหน้าทนไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปอีก"


ยูมะทำหูทวนลมกับเสียงบ่นของพี่ชาย ครั้งก่อน ครั้งก่อนหน้า ครั้งนี้ หรือครั้งไหนๆก็บ่นแบบเดียวกันเป๊ะ แต่พี่ก็ไม่เห็นจะทำอะไรอีกนอกจากบ่น  พอยูยะโทรมาถามคุรหมอก็จะบอกว่า ไม่เป็นไรสบายดี ไม่มีบ่นซักแอะ


ส่วนยูมะ ที่จริงแล้วก็ไม่ได้หัวเสียกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่  อย่างน้อยมันก็ทำให้ชีวิตในโรงพยาบาลที่แสนจะน่าเบื่อนี่มีสีสันขึ้นมาบ้าง จะเหนื่อยก้ตอนที่ต้องใช้สมองสู้รบกับเล่ห์กลของนักข่าวหัวเห็ดทั้งหลายนี่แหละ นอกจากจะเสียแรงไปไม่น้อยแล้วยังทำให้ยูมะเสียเวลาไปเยี่ยมเพื่อนคนป่วยคนอื่นๆอีกต่างหาก


วันนี้ยังไม่ได้ไปหาคุณตาที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย  ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคุณป้าที่ประสบอุบัติเหตุขาหัก  ไม่ได้ไปหาน้องชายที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ แล้วก็ยังไม่ได้เล่านิทานให้เด็กน้อยที่เป็นโรคหอบฟังเลยน๊า~


ร่างเล็กสมส่วนในชุดสีขาวผลักประตูเข้ามาในห้อง และทันทีที่เห็นหน้าคุณหมอ เธอก็รีบรายงานอย่างร้อนรน


"คุณหมอ คุณตาฮายาเสะอาการไม่ค่อยดีค่ะ"


คุณหมอยูยะสาวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ด้วยหน้าที่หมอแม้รู้ว่าคนไข้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็
ต้องยื้อไว้จนสุดความสามารถ ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงหรือความชื่นชมที่ตนจะได้รับ  แต่เพื่อหยุดยั้งทุกหยาดหยดน้ำตาแห่งความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่างหาก


ยูมะเองก็ตกใจไม่น้อย คุณตาฮายาเสะนั้นป่วยเป็นมะเร็งที่ตับระยะสุดท้าย นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเกือบครึ่งปี แต่ถึงแม้จะป่วยด้วยโรคร้ายแต่ก็ยังมีกำลังใจจากลูกๆและภรรยาที่ทำให้อดทนต่อการรักษามาจนถึงทุกวันนี้  ยูมะได้พบคุณตาตอนที่ลูกสาวคนโตพาคุณตาไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังโรงพยาบาล ยูมะชอบที่นั่นมาก พอๆกับที่ชอบคุยกับคุณตา แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นเพื่อนคุยกันมาตลอด ต่อให้ยูมะหายป่วยออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ก็ยังแวะมาหาคุณตาหลังเลิกเรียนอยู่ดี ครอบครัวของคุณตาก็ต้อนรับยูมะ เพราะทำให้คุณตาไม่เหงา


แต่จากวันนี้ไป ...ยูมะคงจะต้องเป็นฝ่ายรู้สึกเหงาแล้วสินะ....





...................................................................




....................................




...............






...



เวลาล่วงผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน  ยูมะถูกเรียกให้ไปที่ห้องผู้ป่วยของคุณตา  โดยที่คุณพยาบาลบอกเหตุผลสั้นๆว่า


"ถึงเวลาที่ต้องบอกลาแล้วจ๊ะ"


บางครั้งยูมะก็สงสัย ว่าคนที่ทำอาชีพหมอและพยาบาลจะยิ้มแย้มใจดีเมื่อพูดถึงความตายของคนอื่นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า  แต่ยูมะก็เห็นว่าดวงตาคู่นั้นคลอด้วยหยาดน้ำ ถึงแม้ว่าจะจะต้องคอยดูแลคนไข้ตามหน้าที่ แต่ที่จริงแล้วก้คงผูกพันสินะ...  และรอยยิ้มนั่นคงมีไว้เพื่อปกปิดความเศร้า...


ในห้องผู้ป่วย ....  สว่างจ้าด้วยแสงไฟ  วันนี้มีคนมาเยี่ยมคุณตาเยอะกว่าเคย  บางคนยูมะไม่เคยเห็นหน้า แต่ยูมะก็สนิทสนมกับภรรยาและลูกๆของคุณตาพอสมควร


ลูกสาวของคุณตาเดินมาจับมือยูมะเอาไว้ เธอเป็นหญิงสาวอายุประมาณสามสิบต้นๆ รูปร่างเล็ก มีโครงหน้าเรียว ผิวขาว คล้ายกับคุณตา แต่งงานและมีลูกแล้ว เป็นพนักงานบริษัทเอกชน


"คุณตาอยากเจอยูมะคุงจ๊ะ"


เธอบอกและจูงมือเด็กหนุ่มไปที่เตียง  ยูมะมองไปรอบห้อง ทุกคนในที่นั้นมีแต่รอยยิ้มมอบให้เขา แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงความหมองเศร้าเสียจนทำให้คนมองปวดหัวใจ


ร่างของคุณตาฮายะเสะตอนนี้ ไม่มีสายระโยงระยางตามตัวเหมือนเมื่อสองวันก่อนที่ยูมะมาเยี่ยม มีเพียงหน้ากากอ็อกซิเจนที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องช่วยหายใจ ยูมะรู้..  ว่าเมื่อไหร่ที่ถอดมันออก คุณตาจะจากไป... โดยที่ไม่มีวันกลับมา


"คุณตาจะไปแล้วเหรอครับ"


ร่างบนเตียงพยักหน้ารับช้าๆด้วยรอยยิ้ม  ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งที่จะได้พบในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า คุณตาเคยบอกเอาไว้ว่าความตายก็เป็นเพียงการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต ที่จะต้องเดินทางด้วยหัวใจ ไม่ใช่ร่างกาย ยูมะไม่เคยเข้าใจความหมายนั้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ดีว่ากำลังจะได้เดินทางไปยังที่ใด


"ถ้าเราได้เจอกันอีกคุณตาจะเล่าเรื่องการเดินทางของคุณตาให้ผมฟังอีกจะได้มั๊ยครับ"


คนป่วยตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง แว่วเสียงสะอื้นดังขึ้นจากกลุ่มคนที่อยู่รอบเตียง แต่ไม่มีใครกล้าร้องไห้ออกมาดังๆ คุณตาบอกเอาไว้นานแล้วว่าอย่าร้องไห้เมื่อเวลามาถึง เพราะมันจะทำให้คุณตาเดินทางไปอย่างไม่สงบ ต้องคอยหันกลับมามองข้างหลังอยู่ตลอดเวลา  แต่มันช่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เพราะแม้แต่ยูมะเอง ก็ต้องกลั้นน้ำตายามที่ต้องบอกลา


"ถ้างั้น ขอให้โชคดีนะครับคุณตา"


เด็กหนุ่มก้าวถอยหลัง เปิดโอกาสให้คนอื่นๆได้บอกลากับชายชราเป็นครั้งสุดท้าย  แล้วพี่ชายเขาก็ถอดหน้ากากอ็อกซิเจนของคุณตาออก  ช่วงเวลาไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้นเสียงสัญญาณชีพจรก็ค่อยๆดังช้าลง ...ช้าลง ในที่สุดก็เงียบหาย


ทดแทนด้วยเสียงร่ำไห้ที่ดังขึ้น...ดังขึ้น


คุณตาฮายาเสะหมดลมหายใจท่ามกลางบุคคลที่คุณตารัก และรักคุณตา  คนที่กุมมือคุณตาไว้ในวินาทีสุดท้าย คือภรรยาคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาเกือบหกสิบปี


คุณตามีความสุขแล้วสินะครับ....




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ยูมะเดินออกจากห้องมาด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าหมดแรง  นี่ไม่ใช่ความตายของคนคุ้นเคยที่ยูมะได้เห็นครั้งแรก ตลอดเวลาที่รับการรักษา ยูมะได้รู้จักผู้ป่วยคนอื่นๆอีกมากมาย  บางคนหายป่วยเป็นปกติแล้วก็กลับบ้าน แต่บางคน.... ก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย


แต่คุณหมอยูยะกลับได้พบเจอความเจ็บปวดมากมายยิ่งกว่า ญาติของผู้ป่วยบางคนไม่อาจทนรับกับความสูญเสียได้ พวกเขาต่างโทษว่าเป็นความผิดของคุณหมอที่ไร้ความสามารถ แม้ว่ายูยะจะกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่ครอบครัวของคุณตาไม่เป็นอย่างนั้น ทุกคนไม่มีใครกล่าวโทษมีแต่จะขอบคุณที่คุณหมอยูยะทำให้พวกเขาได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น


แล้วอยู่ๆ ทั้งกล้องทั้งไมค์โครโฟนก็มาอยู่ตรงหน้าราวกับว่าใครใช้มนต์เสก


"รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับที่ครั้งนี้คุณหมอรักษาชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้"


ยูมะตวัดสายตาจ้องหน้าคนถามทันที  คนพวกนี้ ..ขอให้ได้ข่าวไปเขียน ก็จะไม่สนใจเลยใช่ไหมว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร  ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตัวเองนี่นะ แล้วอีกอย่าง ถามแบบนี้เหมือนจะกล่าวโทษพี่ชายเขาชัดๆ


ขนาดถูกจ้องด้วยสายตาเอาเรื่องนักข่าวคนนี้ยังไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ทำหน้าเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรผิด หน้าที่ของฉันคือหาข่าว ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ข่าวมา ไม่สนทั้งนั้นว่าจะถูกใครมองยังไง  ไม่สนด้วยว่าจะต้องทำให้ใครเจ็บบ้าง  ยูมะเกลียดนักล่ะคนประเภทนี้..


เกลียด....


แว่วเสียงกระจกแตกดังเปรี๊ยะ   ทั้งนักข่าวและตากล้องหันไปมองรอบตัวหาที่มาของเสียง เด็กหนุ่มจึงใช้โอกาสนั้นเดินเลี่ยงออกมา แต่นักข่าวคนเดิมยังตามมาเซ้าซี้ขอคำตอบไม่เลิก


จนกระทั่ง..


"เฮ้ย!!! เลนส์กล้องแตกได้ไงวะเนี่ย"


เสียงโวยวายดังมาจากช่างภาพคู่หูที่เพิ่งเห็นว่าเลนส์ด้านหน้ากล้องแตกร้าวเป็นทางยาว จนไม่อาจจะถ่ายภาพใดๆได้  กล้องตัวนี้ราคาแพงเแสนแพงนัก ยูมะได้ยินนักข่าวคนนั้นกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตากล้อง จากนั้นทั้งสองคนก็เกี่ยงกันว่าใครจะต้องเป็นคนชดใช้  ไม่นานก็ทะเลาะกันเสียงดังลั่นจนพยาบาลต้องเชิญทั้งคู่ให้ออกไปอยู่นอกพื้นที่โรงพยาบาล


สมน้ำหน้า.....



...................................................................



....................................


...............




...




"โกรธมากๆไม่ดีนะยูมะ เดี๋ยวก็ไม่หายป่วยหรอก"


คุณหมอยูยะเอ่ยเตือนน้องชายในเช้าวันต่อมา แต่ยูมะยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดูโทรทัศน์ จนต้องเดือนรอบสอง


"พี่รู้นะ ว่าที่เลนส์กล้องแตกน่ะ ฝีมือเรา ทำแบบนี้บ่อยๆเดี๋ยวน้องนั่นแหละจะไม่สบาย"


"ก็มันโกรธนี่ นักข่าวงี่เง่านั่น !!!!"


พูดถึงทีไรก็โกรธขึ้นมาทุกที ป่านนี้คงหาเงินมาชดใช้ค่ากล้องจนหัวบานไปแล้ว  สมน้ำหน้า หากินบนความทุกข์ของคนอื่นดีนัก


"อย่ามาว่ากันนะ ! ทีพี่ยังไปเล่นงานคนที่เขียนข่าวใส่ร้ายพี่ยูยะเลย"


"ไม่ใช่พี่ซักหน่อย อุบัติเหตุนั่นฝีมือฮารุต่างหาก"


"ก็เหมือนกันแหละน่า!"


น้องน้อยเถียงอย่างดื้อดึง  คุณหมอเลยส่ายหน้าแบบเอือมๆ จะว่าน้องก็ไม่ได้หรอก อันที่จริง เขาก็แอบสมน้ำหน้าคู่หูนักข่าวตากล้องนั่นอยู่เหมือนกัน


"เอาเป็นว่าอย่าทำบ่อยๆก็แล้วกัน ก็รู้อยู่ว่าเราน่ะถ้าทำแบบนี้บ่อยๆแล้วจะป่วย อีกอย่างตอนนี้มีแต่คนคอยตามเราอยู่นะ ถ้าเกิดพวกนักข่าวรู้ขึ้นมามันจะยุ่ง พี่ไม่อยากย้ายบ้านบ่อยๆ"


ยูมะยิ้มกว้างเอาใจพี่ชาย สัญญาว่าจะพยายามไม่ทำอีก แต่ดูคุณหมอจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น


นิสัยมนุษย์ย่อมอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นเป็นธรรมดา เรื่องนี้เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจน  แต่เรื่องบางเรื่อง มนุษย์ก็ไม่สมควรรู้ เพราะมันจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายตามมา


เหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว....


"ข่าวของพี่ยูยะล่ะ"


คุณหมอยูยะหันไปมองโทรทัศน์ทันที ภาพที่เห็นมีเพียงฮารุมะที่กำลังให้สัมภาษณ์แบบสั้นๆแล้วหันหลังเดินจากไป ถึงแม้จะไม่ชอบขี้หน้า  แต่ถ้าจะให้พูดอย่างยุติธรรมแล้วต้องบอกว่าฮารุมะเหมาะกับการอยู่หน้ากล้องพอๆกับยูยะ ทั้งท่าทาง ทั้งรอยยิ้ม ทำให้สาวๆไม่ว่าคนไหนที่ได้เห็นหลงรักได้ง่ายๆ


แต่เขาไม่ชอบขี้หน้าอยู่ดี...


"วันนี้นักข่าวจะมาอีกมั๊ยน๊า~"


ยูมะถามลอยๆขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อวานเล่นงานไปสอง วันนี้จะแกล้งยังไงอีกดีนะ


"เพิ่งสัญญาไปเมื่อกี๊ไงยูมะ"


"ก็สัญญาว่าจะไม่ใช้วิธีแบบเมื่อวานไง  แต่จะใช้นี่"


ยูมะใช้นิ้วเคาะที่หัวตัวเองเบาๆพลางยิ้มเจ้าเล่ห์  คุณหมอยูยะได้แต่ส่ายหน้า นึกสงสารนักข่าวที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของยูมะจับใจ  ไม่ว่าจะใช้ปัญญา หรือเวทย์มนต์ น้องชายเขาก็แกล้งคนได้อย่างเจ็บแสบทั้งนั้นแหละ





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



งานแถลงข่าวเปิดกล้องละครถูกเลื่อนให้เร็วขึ้นสามสัปดาห์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันใจผู้ชมที่เฝ้ารออยากเห็นฮารุมะและยูยะแสดงละครร่วมกันอย่างใจจดใจจ่อ  ยิ่งไปกว่านั้น ภาพเบื้องหลังการถ่ายทำเป็นสิ่งที่คนดูกระหายอยากจะดูมากที่สุด เพราะทุกคนอยากจะเห็นภาพคู่รัก  ที่ตอนนี้กลายเป็นคู่รักแห่งปีไปแล้ว


นิตยสารทุกฉบับที่มีรูปคู่ของทั้งสองคนขายดีเป็นอันดับหนึ่ง หรือแม้แต่ภาพที่ไม่ได้ถ่ายแบบคู่กันก็ยังขายหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว  ไหนจะภาพแอบถ่ายที่เหล่าปาปารัสซี่คอยตามเป็นขโยงรัวกดชัตเตอร์จับภาพไว้ทุกอิริยาบทก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า  กรณีสุดท้ายนี่ทำให้ยาบุปวดหัวมาก เพราะนอกจากจะต้องมานั่งจัดการตารางงานของทั้งคู่ให้ลงตัวกับคิวถ่ายละครแล้ว ยังต้องมาจัดการพวกปาปารัสซี่นี่อีก


"ที่จริง นายไม่ต้องยุ่งกับปาปารัสซี่พวกนี้ก็ได้ เรื่องแอบถ่ายแค่นี้พวกฉันชินกันแล้ว"


"ไม่ได้!! เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก ไม่อยากตามมาแก้ข่าวทีหลัง  โอ๊ยยย!!!! อยากจะแยกร่างอีกซักยี่สิบร่าง!!!!"


"ไม่ใช่เพราะอยากเจอใครหรอกเหรอ"


ยาบุหัวเราะหึๆที่ถูกรู้ทัน เงยหน้าจากกองเอกสารมองยูยะในชุดนักเรียนมัธยมปลายแบบที่เรียกได้ว่าไม่ถูกระเบียบเลยซักข้อ พอๆกับของฮารุมะ ชุดนี้ฝ่ายเสื้อผ้าของกองละครจัดมาให้อย่างเร่งด่วนพอๆกับงานแถลงข่าว ตอนนี้ฮารุมะกำลังสำรวจผมที่เพิ่งไปทำไฮไลท์มาแบบสดๆร้อนๆ ก่อนหน้างานจะเริ่มแค่ไม่กี่ชั่วโมง


จะว่าไปก็เหมาะดี...


"ฉลาดอีกแล้วนะยูยะ ทำไมคนที่รู้ทันฉันถึงเป็นนายทุกที"


แต่ฮารุมะขมวดคิ้วใส่ยาบุ พูดแบบนี้หมายความว่าเขาไม่ฉลาดหรือยังไง 


"ฉันแค่พูดว่ายูยะฉลาด ไม่ได้บอกว่านายโง่นี่หว่า  เอ้านี่!"


ฮารุมะรับเอกสารจากมือยาบุมาดูกับยูยะ ในนั้นมีทั้งประวัติ รูปถ่าย ของคนคนหนึ่งที่ ทั้งฮารุมะและยูยะคุ้นหน้า แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน


"ยาโอโตเมะ ฮิคารุ คนที่ฉันเคยไปตามตื๊อให้มาเป็นนายแบบในสังกัดไง"


"อ๋อ... แล้วก็โดนตอกกลับมาซะหน้าหงายน่ะเหรอ?"


"ทีเรื่องแบบนี้ล่ะฉลาดจำ"


ถึงฮารุมะไม่ย้ำ ยาบุก็จำเรื่องวันนั้นได้ดี  นายยาโอโตเมะคนนั้น ปฎิเสธยาบุอย่างไร้เยื่อใย แล้วยังตอกกลับมาให้เจ็บใจด้วยว่า มีวิธีหาเงินได้เยอะกว่าการเป็นนักแสดงหรือนายแบบในสังกัดกระจอกๆของยาบุ


เพิ่งจะรู้ว่างานที่ว่าก็คือการเป็นปาปารัซซี่นี่เอง 


"มิน่า ..ถึงบอกว่าหาเงินได้มากกว่า สงสัยว่าเงินที่ได้จากการขายภาพหลุด คงมากกว่าค่าตัวเราสองคนซะอีกละมั้ง คนนี้สินะตัวต้นเหตุ"


ยูยะยังไร้ความรู้สึกเหมือนเคย ยังพูดถึงคนที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายแบบไม่แค้นเคืองซักนิด  ผิดกับคนข้างๆที่ทำตาวาวด้วยความโกรธจัด  งานนี้ยาโอโตเมะคนนั้นจะโดนอาถรรพ์อย่างที่ใครๆเขาลือกันไหมว่า นักข่าวคนไหนที่คิดจะมายุ่มย่ามกับสองคนนี้  จะมีอันเป็นไปเสียทุกคน


"ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ฉันมีวิธีจัดการ รับรองว่าจะทำให้หมอนั่นเลิกอาชีพนี้แบบถาวรไปเลย  นายสองคนมีหน้าที่แสดงละครให้ดีก็พอ"


"แล้ววันนี้เราต้องแสดงละครอีกรึเปล่า"


ยาบุละเกลียดสีหน้าเฉยๆไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับอะไรของคนตรงหน้านี่เสียจริงๆ  ไม่รู้ว่าฮารุมะมันรักยูยะที่ตรงไหน  ตุ๊กตาแสนสวยนี่มีดีอะไรฮารุมะถึงได้หวงหนักหนา  ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมายาบุยังไม่เคยเห็นยูยะยิ้มนอกเหนือจากเวลางานเลยซักครั้ง  เวลาอยู่ด้วยกันก็เหมือนอยู่กับหุ่นกระบอก  แล้วเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนจะเป็นยังไง


"คงไม่ต้องหรอก ทำตัวเป็นปกตินั่นแหละ สวีทมากไปคนจะเบื่อเอา"



...................................................................



....................................



...............



...




งานแถลงข่าววันนี้มีนักข่าวมามากกว่าที่เคย เพราะเป็นการเปิดกล้องละครฟอร์มใหญ่ที่มีนักแสดงที่มีชื่อเสียง และนักแสดงดาวรุ่งน่าจับตาร่วมแสดงอยู่หลายคน  แต่ที่สื่อให้ความสนใจถ่ายภาพมากที่สุดก็หนีไม่พ้นฮารุมะกับยูยะ ทั้งสองคนถูกนักข่าวขอร้องให้ยืนคู่กันเพื่อถ่ายภาพนานเกือบครึ่งชั่วโมง  กว่าจะได้ถ่ายรูปร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ


"ไอ้ผัวเมียจอมขโมยซีนเอ๊ย"


ฮารุมะหันไปแยกเขี้ยวใส่ อิชิงุระ ฮิเดโอะ ที่เดินเข้ามาแทรกระหว่างทั้งสองคน วาดแขนโอบไหล่ทั้งฮารุมะและยูยะเอาไว้ และแน่นอน ฮารุมะเอื้อมไปดึงยูยะออกจากอ้อมแขนนั้นทันที 


"อยากมาเป็นแทนมั๊ยล่ะ ยิ้มจนเหงือกจะบานอยู่แล้ว"


"ถ้าได้ทาคาคิคุงมาอยู่ข้างๆฉันก็ยอมนะ"


มิอุระ โชเฮ เข้ามากอดยูยะจากด้านหลัง ทั้งฮิเดโอะ และโชเฮ  เป็นทั้งนักแสดงและนายแบบที่ฮารุมะและยูยะเคยได้ร่วมงานกันหลายครั้ง จึงได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนและสนิทสนมกันมากพอสมควร  แต่ต่อให้สนิทกันยังไง ฮารุมะก็ไม่อนุญาตให้มากอดยูยะนะเว้ย


"ออกไปห่างๆเลยถ้าไม่อยากตาย"


"หวงไรนักหนาว๊า~ ทาคาคิคุงก็เป็นเพื่อนฉันนะเว้ย  เฮ้ย!!"


โชเฮกระโดดหลบเท้าฮารุมะ พร้อมๆกับที่นักแสดงอีกสองคนเดินเข้ามาพอดี ทั้งนากามะ  จุนตะ และคิริยามะ อาคิโตะ  เลยต้องกระโดดเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังยูยะอย่างพร้อมเพรียง


"อะไรวะ! แค่นี้ก็ไม่ได้ หวงชิบ-"


โชเฮหันไปพยักเพยิดกับอาคิโตะและจุนตะที่ยิ้มร่าอยู่ข้างหลัง ทั้งสองคนนั้นต่างก็รู้จักและสนิทสนมกันเช่นเดียวกับฮิเดโอะและโชเฮ  พอมาเจอกันทีไรก็เลยรวมหัวกันแกล้งฮารุมะแบบนี้ทุกที


"เลิกเล่นเถอะน่า"


เสียงปรามเบาๆจากคนที่ถูกดึงไปมาอยู่ตรงกลาง ตอนนี้ยูยะแทบจะแยกร่างได้อยู่แล้ว ข้างหนึ่งก็ฮารุมะ  ข้างหนึ่งก็บรรดาผองเพื่อน เล่นกันจนกลายเป็นจุดสนใจให้นักข่าวรัวชัตเตอร์ แสงแฟลชจากรอบทิศทำให้ยูยะแสบตาไปหมด


"เพิ่งเคยอยู่ต่อหน้าสื่อมวลชนมากขนาดนี้เป็นครั้งแรกคงยังไม่ชินสินะ พวกดาราใหม่ก็แบบนี้แหละ"


ดาราสาวรุ่นพี่คนหนึ่งเดินผ่านไปพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาลอยๆ บรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนที่บรรดาสื่อมวลชนจะส่งเสียงวิจารณ์กันให้แซ่ด  ว่าคุณเธออิจฉาที่บรรดาสื่อให้ความสนใจกลุ่มนักแสดงหนุ่มๆมากกว่า แต่ก็มีใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า


"สงสัยจะอิจฉาที่ทาคาคิคุงสวยกว่าละมั้ง"


ทุกคนฟังแล้วหัวเราะก๊าก เว้นแต่ดาราสาวคนนั้นที่หันกลับมามองจ้องเขม็งอย่างขุ่นเคือง และยูยะที่มองตอบกลับไปด้วยสีหน้าและสายตาเรียบเฉย...



...................................................................



....................................



...............



...



ถึงเวลาสัมภาษณ์กลุ่มนักแสดงเด็กหนุ่มถูกจัดให้นั่งด้วยกันด้านหลังนักแสดงนำคนอื่นๆ ที่ผลัดกันตอบคำถามจากสื่อมวลชนไปเรื่อยๆจนครบทุกคน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งคำถามสุดท้าย


"อยากทราบว่าฮารุมะซังกับทาคาคิซังเป็นคนรักกันจริงๆหรือเปล่าครับ"


บรรยากาศในห้องสัมภาษณ์เงียบกริบ  ทุกคนรวมทั้งนักแสดงที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างก็หันมามองฮารุมะกับยูยะเป็นตาเดียว แต่ทั้งสองคนยังนั่งเงียบจนพิธีกรต้องพูดแทรกเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้


"เอ่อ คุณนักข่าวครับ คำถามนี้ไม่เกี่ยวกับละครนะครับ ผมว่า.."


"ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถือว่าเป็นคำถามส่งท้าย ทุกคนในห้องก็อยากรู้เหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ"


เจ้าตัวหันไปมองเพื่อนนักข่าวด้วยกัน และทุกคนก็พยักหน้ากลับมาด้วยองศาเดียวกัน พร้อมเพรียงกันเหมือนนัดกันมา


"ผมคิดว่าผมพูดไปหมดแล้วตอนให้สัมภาษณ์ครั้งก่อน"


ฮารุมะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาหลังจากที่สะกดความไม่พอใจเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อถูกฝ่ายนั้นตอกกลับมาเป็นชุด


"นั่นมันยังไม่พอ ฮารุมะคุงพูดอยู่ฝ่ายเดียวแฟนๆคงไม่เชื่อหรอก ต้องให้ทาคาคิคุงพูดบ้าง จริงไหมครับ?"


"อะไรทำให้คุณคิดว่าเราไม่ใช่คนรักกัน"


นักข่าวจอมตื๊อยิ้มออกมาอย่างมีชัย ที่สามารถทำให้ยูยะยอมเปิดปากได้ แล้วพล่ามต่อไปด้วยคำพูดที่เตรียมมาเป็นอย่างดี เพื่อหลอกล่อคำตอบจากนักแสดงหนุ่มที่ได้ชื่อว่าปากหนักที่สุดของวงการ


"เพราะคุณดูไม่เหมือนคู่รักกันน่ะสิ  ดูเหมือนคู่รักโปรโมททำให้ทุกคนสนใจละครมากขึ้น เรตติ้งช่องดีขึ้น ในสายตาผมน่ะพวกคุณดูเหมือนเป็นคู่นอ-"


คำพูดหลังจากนั้นถูกกลืนหายเหลือเพียงเสียงขลุกขลักในลำคอที่ไม่มีใครแปลความหมายได้  ฮารุมะเห็นนักข่าวคนนั้นอยู่ๆก็หน้าแดงจัดเหมือนคนกำลังจะเป็นลมแดดแต่ก็ไม่ใช่  สายตาจ้องตรงมายังเวทีที่เขานั่ง  คนที่นั่งข้างๆเขา


ยูยะนั่งกอดอก มือหนึ่งเท้าคางให้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากที่ยกยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าลงนิดหน่อยเพื่อให้นักข่าวที่ตอนนี้ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ได้เห็นสายตาจิกเล็กๆ


รอยยิ้มยั่วยวนที่น้อยคนนักจะได้เห็น  รอยยิ้มยั่วยวนที่ทำให้อารมณ์และเลือดในกายของคนมองสูบฉีดจนแทบบ้า   รอยยิ้มพิฆาตที่ยูยะใช้เพื่อกำจัดคนบางคน ที่ทำให้ไม่พอใจ ให้ทรมานไปกับความต้องการตามสัญชาตญาณทางเพศที่ยูยะจงใจทำให้มันเกิดขึ้น 


แม้ว่ายูยะจะเป็นฝ่ายยั่วก่อน   ความโกรธของฮารุมะก็พุ่งตรงไปที่นักข่าวคนนั้นทันทีในคราวแรก แต่ก็หายโกรธทันทีที่เห็นว่าหมอนั่นกำลังเข่าอ่อนด้วยอารมณ์เร่าร้อนที่ตนเองไม่อาจควบคุมได้     จนต้องยกมือปิดส่วนที่โป่งพองขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่


หึ!! อ่อนชะมัด!! แค่สบตายูยะก็มีอาการถึงขนาดนี้แล้ว  แต่ก็เอาเถอะ  ไหนๆก็ถูกทำให้อับอายขนาดนี้แล้ว ฮารุมะจะช่วยสงเคราะห์ให้ซักครั้ง


"ยูยะ มากไป"


เสียงกระซิบที่กะให้ได้ยินเฉพาะยูยะ  ดังจนได้ยินชัดเจนไปทั้งห้องเพราะลืมไปว่าตัวเองพูดต่อหน้าไมค์โครโฟน กับท่าทางที่ยูยะทำเป็นเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว  เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆจากนักแสดงรุ่นใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วยกัน หรือแม้กระทั่งบรรดานักข่าวก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้


วินาทีนี้ไม่มีใครที่จะไม่เชื่ออีกแล้วว่าฮารุมะกับยูยะไม่ใช่คนรักกัน


 แม้ว่ามัน....จะเป็นความจริงก็ตาม...







To Be Con....