Wednesday 15 May 2013

[Fiction](¯`•._.•[ ❤The day we kissed❤ ]•._.•´¯) Ten

Title       -:-          [Fiction](¯`·._.·[ The day we kissed ]·._.·´¯) Ten

Writer   -:-           Nalikakeaw

Pairing  -:-           Okadai, Takayabu, Hikainoo, Nakachi , Yamaryu







 ตอนก่อนๆจ๊ะ





















  
                “พวกนายทะเลาะกันเรื่องอะไรเหรอ?”


                ยูริถามหลังจากเลิกเรียน  เพื่อนร่วมชั้นทยอยออกจากห้องไปเกือบหมดแล้ว  แต่ยูริ ยูโตะ และยามาดะ ยังรั้งรออยู่ในห้อง  รอคนที่นัดกันไว้เสียดิบดีว่าจะไปนอนค้างที่บ้าน  แต่จนป่านนี้แล้วยังไม่มาตามนัด  ที่จริง  ตั้งแต่เช้าวันก่อนถึงตอนนี้  ริวทาโรยังไม่มาให้พวกเขาเห็นหน้าเลย  ที่นัดกันว่าจะไปติวหนังสือที่บ้าน  ก็คงลืมแน่ๆ


                หรือว่าจงใจลืมเสียแล้วก็ไม่รู้


                ยูริไม่ชอบแบบนี้  เวลาที่อยู่บ้าน  พ่อแม่เคยสอนเอาไว้ว่าเวลามีเรื่องโกรธเคืองหรือไม่พอใจ  ให้บอกกันตรงๆ ดีกว่าทำเมินหรือหลบหน้า เพราะมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น


                แต่ในกรณีของยามาดะกับริวทาโร  ยูริว่า  ถ้าไม่รีบเคลียร์ให้จบ  ทั้งคู่อาจจะไม่มองหน้ากันไปจนวันตายก็ได้


                “ไม่มีอะไรหรอก  ก็แค่ทะเลาะกันเหมือนเคยนั่นแหละ”


                “แต่ฉันว่ามันไม่เหมือนหรอกนะ  ยามะจังทำอะไรให้ริวจังโกรธเหรอ?”


                ยามาดะทำเป็นหูทวนลม  ก้มหน้าก้มตาเก็บกระเป๋าทั้งๆที่ไม่มีอะไรจะให้เก็บ  ยูริรู้ว่าคนอย่างยามาดะ ถ้าไม่อยากพูดซะอย่าง ให้เอาอะไรมางัดปากก็จะไม่ยอมพูดแน่ๆ


                “ฉันถามเพราะเป็นห่วงหรอก เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้ แต่ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เราไปกันเถอะ”


                “ไปไหน?”


                “ก็กลับบ้านน่ะสิ นัดกันแล้วนี่ว่าวันนี้เราจะไปติวหนังสือที่บ้านฉัน นายลืมเหรอ?”


                ยูริแกล้งถามซื่อๆ ยูโตะคว้ากระเป๋าของตัวเองกับยูริ  เดินจ้ำไปทางประตูเพราะกลัวหลุดหัวเราะ   ยูริน่ะเก่งนักเรื่องทำไม่รู้ไม่ชี้แกล้งคนปากแข็ง  ยามาดะไม่ได้ลืมนัดหรอก  ที่ละล้าละลังอยู่นี่ เพราะแอบหวังว่าริวทาโรจะมาต่างหาก  แต่ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ


                “ริวจังคงไม่มาแล้วล่ะ  สองวันมานี่ฉันยังไม่เห็นหน้าเลย ถ้าไม่ลืมนัดก็คงโกรธยามะจังนั่นแหละถึงไม่มา”


                ยูริแกล้งทำเป็นเดาไปเรื่อย แต่ทำให้ ยามาดะโวยวายแก้ตัวทันที


                “อะไรเล่า ก็แค่แกล้งเล่นๆ เจ้านั่นก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟเกินเหตุ”


                ยามาดะเหวี่ยงกระเป๋าพาดบ่า  แทรกผ่านระหว่างยูโตะกับยูริไปที่ประตูหน้าชั้นเรียน  ก่อนจะพบว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนั้น  ยูโตะก้าวไปข้างหน้าเอาตัวเข้าบังยูริไว้ทันที   ยามาดะเองก็ยกกระเป๋าขึ้นเป็นกำบังเผื่อว่าจะมีอะไรแรงๆเหวี่ยงมา


                แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..


                ยามาดะค่อยๆลดมือลงช้าๆ แต่ยังให้กระเป๋ายังอยู่ในระดับสายตากันพลาด 


                “แกล้งเล่นๆเหรอ?”  ริวทาโรทวนคำด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก แต่ในดวงตามีลูกไฟปะทุเปรี๊ยะๆ “ที่นายทำกับฉันวันนั้น  เป็นเรื่องเล่นๆงั้นเหรอ?”


                ยามาดะได้แต่ทำปากพะงาบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี   พูดผิดชีวิตอาจจะเกิดหายนะแน่  โชคร้ายที่คนรอคำตอบใจร้อนด่วนสรุปเอาเองจากท่าทางอ้ำอึ้งของยามาดะไปเสียแล้ว


                ในที่สุดริวทาโรก็เลื่อนสายตาจากยามาดะ ไปมองยูโตะกับยูริแทน


                “ไปกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”


                “ไปไหน?”


                “ก็ไปหาอะไรกินก่อนไปบ้านนายไง  วันนี้ไม่มีคนทำกับข้าวให้กินไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่ไปติวหนังสือทั้งๆที่ท้องยังว่างอยู่หรอกนะ”


                ยูริกับยูโตะเพิ่งนึกได้ว่าคืนนี้ยาบุกับไดกิไม่กลับบ้าน   พยักหน้าหงึกๆแล้วรีบกระวีกระวาดตามริวทาโรที่เดินนำออกไปแล้ว  เหลือแต่ยามาดะที่ยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                หลังจากนั้นไม่นาน  ยามาดะก็รู้ว่าเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่ในสายตาของริวทาโรอีกเลย   นับตั้งแต่ที่ก้าวเท้าออกจากชั้นเรียนออกมาถึงหน้าโรงเรียนแล้วพบว่ารถของบ้านโมริโมโตะออกไปโดยไม่รอเขาเหมือนอย่างทุกครั้ง  ยามาดะต้องนั่งแท็กซี่ตามไปถึงร้านอาหารฟาสท์ฟูดที่ทุกคนแวะทานอาหาร   พอโวยวายว่าทำไมถึงไม่รอ  ยูริ ยูโตะ  ชินทาโร ก็บุ้ยใบ้ไปทางริวทาโร  ที่นั่งกินแฮมเบอร์เกอร์เนื้อชิ้นใหญ่สบายอารมณ์  ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงตะโกนของยามาดะ


                พอกินเสร็จ  ก็ต้อนทั้งเพื่อนทั้งน้องชายขึ้นรถ  แต่คราวนี้ยามาดะกระโดดขึ้นไปเบียดอยู่บนเบาะนั่งด้านหลังกับทุกคนได้สำเร็จ  แต่ริวทาโรก็แทบจะกระแทกประตูรถปิดใส่หน้าเขาเลยทีเดียว ก่อนที่จะเดินไปนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ  ยามาดะเข่นเขี้ยวเจ็บใจ


                “จะทำเป็นเมินแบบนี้ได้อีกนานซักแค่ไหนกัน”


                แต่ยามาดะยังรู้ฤทธิ์แฮมสเตอร์ตาใสที่ชื่อริวทาโรน้อยไป  เพราะไม่ว่าจะถูกแกล้งหรือถูกกวนแค่ไหน  ริวทาโรก็ไม่มีท่าทีโมโหซักนิด  กลายเป็นยามาดะที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟเพราะถูกมองเป็นอากาศธาตุ


                คนอย่างยามาดะ  เรียวสุเกะ  เคยแต่เป็นจุดสนใจ  เป็นที่ชื่นชม  ถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เด่นเรื่องกีฬา  เดินไปทางไหนก็มีแต่คนสนใจ  จะมีก็แต่ริวทาโร  ที่มองไม่เห็นคุณสมบัติเหล่านี้  แถมยังชังขี้หน้าตั้งแต่วันแรกที่ย้ายโรงเรียนมาจนถึงวันนี้


                “เกลียดขี้หน้ามันก็แค่เมื่อก่อนหรอก แต่ตอนนี้ริวทำท่าเหมือนจะตัดยามะจังออกจากชีวิตไปเลยนะ”


                ชินทาโรบอกหลังจากดูจนแน่ใจว่าพี่ชายขึ้นไปนอนแล้ว  การติวหนังสือสอบวันนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า  เพราะยามาดะเอามัวแต่แกล้งริวทาโร  ถึงเจ้าตัวจะทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ไม่มีสมาธิจะท่องหนังสือ  ส่วนคนที่เหลือก็ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆกลัวเกิดสงครามกลางบ้าน


                “ก็ช่างสิ!!  ไม่สน!!


                “ แล้วทำไมต้องโกรธที่ริวจังไม่สนใจด้วยล่ะ?”


                “เปล่านี่”


                “ยามะจัง  ปล่อยไปแบบนี้จะดีแน่เหรอ?”


                พอยูริถามขึ้นมาตรงๆ  คนปากแข็งก็พูดอะไรไม่ออก  พอนิ่งคิด ใจก็ลอยไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าวันก่อน  ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าริวทาโรนอนหลับอยู่ข้างๆ  บนฟูกเดียวกัน  ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน  ยามาดะไม่เคยได้ใกล้ชิดกันริวทาโรแบบนั้นมาก่อน   มันทำให้เขาเผลอ...  เผลอทำอะไรอย่างที่ตัวเองก็ไม่คาดคิดว่าจะทำ


                “ยามะจังจูบริวจังเหรอ???”


                ยามาดะกระพริบตา  ความทรงจำแสนหวานในตอนเช้าของวันก่อนกระเด็นหายเพราะคำถามทะลุกลางปล้องของยูโตะ  


                “รู้ได้ไง???”


                ยุริทำหน้าไม่ถูก  ขำก็ขำ ที่ยามาดะหลุดปากออกมาง่ายๆแบบนี้  ก็ใครเล่าจะเดาไม่ออก  ทำตาลอยเอานิ้วแตะปากแบบนั้น  เหมือนพระเอกละครที่คิดถึงจูบแรกของตัวเองไม่มีผิด  นี่คงจะไปแอบจูบริวทาโรตอนหลับแน่ๆ  นี่แหละที่ทำให้ยูริเคือง


                “ยามะจัง  ทำไมทำแบบนี้ล่ะ? แย่ที่สุด”


                “น่าๆ ยามะจังก็บอกแล้วไงว่าแกล้งเล่นๆ”


                “ยูโตะคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆงั้นเหรอ ?”  ยูริหันไปถามเสียงเย็น  ยูโตะที่กำลังหัวเราะร่วน ตบไหล่ยามาดะแรงๆเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุกชะงักทันที


                “ใช่สินะ  เป็นเพื่อนกัน ก็ต้องเข้าข้างกันอยู่แล้ว”  ยูริลุกขึ้นยืน ไม่สนใจยูโตะที่พยายามจะแก้ตัว  “งั้นต่อไปนี้ยูโตะก็กลับไปนอนห้องของตัวเองก็แล้วกัน  ห้ามเข้าไปในห้องของฉันอีกแม้แต่ก้าวเดียว  แล้วก็ไม่ต้องมาพูดกันอีกต่อไปแล้วด้วย  ทั้งยูโตะทั้งยามะจังนั่นแหละ”






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                ฝนตกเหรอ? ไดกิได้ยินเสียงฝน..


                ไม่ใช่หรอก.. เสียงมันดังมาจากห้องน้ำ  มีคนอาบน้ำอยู่


                ไดกิฝืนลืมตาขึ้นนิดหนึ่ง แต่ก็รู้สึกมึนๆจนต้องหลับตาอีกครั้ง  เขาหลับมานานเท่าไหร่แล้วนี่ ? หนึ่งวัน..หรือสองวัน  แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังนอนไม่เต็มอิ่มสักที


                “ก็มัวแต่ทำงานหนักแล้วก็นอนในห้องเก็บของ  พอมีเวลาได้นอนก็เลยนอนยาวแบบนี้แหละ”


                “หนวกหูน่า”


                ไดกิบ่นอู้อี้อยู่กับหมอน  ก็ก่อนหน้านั้นเขาจะกลับไปทำงานแล้วใครไม่ยอมให้ไปเล่า  แถมโทรไปบอกยาบุให้ไปลางานให้เสร็จสรรพเสียด้วย  ไม่รู้ว่ายาบุจะว่ายังไง


                “ฉันบอกว่าไดจังไม่สบาย แต่ไม่ต้องห่วงเพราะนายอยู่กับฉัน  ยาบุคุงก็เลยไม่ว่าอะไร”


                “อือ~” ไดกิฝืนลืมตามองคนที่นั่งลงบนเตียงอีกหน  เคย์โตะสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตามปกติ  แต่สวมแว่นตากับหมวกแก๊ปด้วย “นายจะไปไหนน่ะ?”


                “ออกไปหาของกินให้คนขี้เซาน่ะสิ  ทีแรกว่าจะสั่งจากห้องอาหาร แต่กลัวว่าจะมีใครมาเห็นไดจังจะเดือดร้อน  พนักงานมานอนในห้องพักของแขกมันไม่ดีใช่ไหมล่ะ?”


                “อือ  รีบๆกลับมาด้วยนะ ฉันหิว”


                ไดกิไม่ทันได้ฟังว่าอีกฝ่ายพูดอะไร  เพราะผล็อยหลับไปเสียก่อน  แต่รู้สีกว่าหลับไปไม่นานนัก ตอนที่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดอีกครั้ง   และไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติใดๆจนกระทั่งมีมือหนึ่งบีบที่ต้นแขนอย่างแรง   ความเจ็บที่ได้รับทำให้ร่างเล็ก เผลอตอบโต้ตามสัญชาตญาณ


                “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!


                ไดกิผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  รีบมองหาเจ้าของเสียงร้องลั่นที่เขาไม่คุ้นเคยและไม่น่าจะมาอยู่ในห้องนี้ได้   และเมื่อมองเห็นชัดๆ  ไดกิก็รู้สึกแปลกใจมากถึงมากที่สุด


                ผู้จัดการแก่จอมจับผิด นั่งกองอยู่บนพื้นข้างเตียง  มือหนึ่งกุมตาซ้าย ของตนเองเอาไว้  มือหนึ่งชี้หน้าเขาพลางตะโกนลั่น


                “จับได้แล้ว!!!  จับได้คาหนังคาเขาเลย!!!!






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                ไดกินั่งเท้าคางทำหน้าเซ็งอยู่บนโซฟาในห้องทำงานของผู้บริหาร  ล้อมรอบด้วยว่าที่ผู้บริหารโรงแรมในอนาคต  ยูยะที่แม้จะไม่มีตำแหน่งใดๆแต่ก็คอยดูแลงานทั่วไปไม่ต่างจากผู้จัดการ  เด็กฝึกงานสองคนที่เป็นลูกและลูกบุญธรรมของผู้ถือหุ้น  ทั้งสามคนเพียงแต่ขมวดคิ้วมองเขาเฉยๆ  เพราะผู้จัดการแก่กำลังร่ายยาวกล่าวหาเขาด้วยทุกข้อหาที่จะสรรหามาได้


                “มันขายตัว!!!!  ทำให้โรงแรมเราเสียชื่อเสียง!!! แบบนี้ต้องไล่ออกสถานเดียว!!!


                “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไดจังจะทำแบบนั้น”


                “ฉันก็ไม่เชื่อ”


                ยูยะและฮิคารุพูดขึ้นเป็นเสียงเดียว  ไดกิก็นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้  เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ฮิคารุกับยูยะก็ไม่ใช่คนที่หูเบาเชื่อใครง่ายๆอยู่แล้ว  ที่ทำหน้ายุ่งอยู่นี่ ก็เพราะสถานการณ์มันชวนให้คิดไปอย่างนั้นจริงๆ  ก็ไดกิเล่นไปนอนอยู่ในห้องพักแขกโดยที่สวมแต่ชุดคลุมอาบน้ำ  ในช่วงที่เกิดข่าวลือว่ามีพนักงานขายตัว ก็ต้องถูกเข้าใจผิดเป็นธรรมดา  ถึงตอนนี้ไดกิก็นึกเคืองคนที่เจ้ากี้เจ้าการเอาเสื้อผ้าของเขาไปส่งซัก ที่ตอนนี้หายหัวไปอยู่ไหนไม่รู้ขึ้นมาทีเดียว


                “อะไรนะ  พูดแบบนี้มันเข้าข้างกันชัดๆ  อ้อ ผมลืมไป พวกคุณเป็นเพื่อนกันนี่ แต่อย่าคิดว่ามันจะรอดไปได้นะ หลักฐานเห็นกันอยู่ทนโท่”


                ผู้จัดการแก่ประชดประชันเย้ยเยาะ ชี้หน้าไดกิ  ไม่กลัวเกรงสีหน้าโกรธจัดของฮิคารุ  และสายตาไม่พอใจของยูยะ


                “หลักฐาน  คืออะไรเหรอ?”


                เคย์ที่นั่งเงียบมาตลอดพูดขึ้นในที่สุด  ฮิคารุแทบจะถลาไปบีบคอเคย์  ยูยะก็ขมวดคิ้วยุ่งมากขึ้นไปอีก  ไดกิเองก็รู้สึกเจ็บไม่น้อยที่แม้แต่น้ำใจเพียงน้อยนิด.. เคย์ก็ไม่เหลือไว้ให้เขา


                “ก็นั่นไงล่ะ  ใส่แต่ชุดคลุมอาบน้ำตัวเดียว นอนอยู่ในห้องพักของแขก แค่นี้ยังเป็นหลักฐานไม่พอรึไง?”


                ผู้จัดการแก่ชี้นิ้วมาทางไดกิ  ยิ้มเยาะอย่างมีชัย  แต่รอยยิ้มนั่นอยู่ได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น  เมื่อเคย์พูดว่านั่นไม่ใช่หลักฐานที่ชัดเจนพอ


                “ไม่มีคนมายืนยัน  เรื่องที่คุณพูดก็เป็นแค่ข้อกล่าวหาลอยๆเท่านั้น”


                “ก็ผมนี่ไงล่ะ!!!  ผมเห็นมันเข้าไปในห้องกับตา ตอนที่เข้าไปในห้อง มันก็นอนอยู่บนเตียง แบบนี้ยังไม่พออีกหรือไง?”


                “เคย์เขาหมายถึงคนซื้อน่ะ  คุณบอกว่าไดจังขายตัวไม่ใช่เหรอ ถ้ามีคนขาย ก็ต้องมีคนซื้อสิ  ไปลากไอ้เจ้าคนนั้นมายืนยันต่อหน้าพวกเราสิผมถึงจะเชื่อ”


                ฮิคารุไม่รู้ว่าจะวิ่งไปจัดการคนไหนก่อนดี ระหว่าเคย์กับยูยะ  โดยเฉพาะไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างเขา ที่อยู่ๆก็เปลี่ยนข้างไปร่วมมือกับเคย์หาทางต้อนไดกิให้จนมุมเสียอย่างนั้น


                “ก็ไอ้คนที่ว่ามันไม่อยู่ในห้อง  ป่านนี้มันก็อาจจะหนีไปแล้วก็ได้ “


                “เขาไม่ไปไหนหรอก  แค่ออกไปซื้อข้าวเท่านั้นแหละ  ตอนที่ผู้จัดการค้นห้องก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าเสื้อผ้าข้าวของก็ยังอยู่”


                ไดกิบอกไปตามตรง  เพราะอีกเดี๋ยวถ้าเคย์โตะกลับมาเห็นสภาพห้องเละเทะแบบนั้น ต้องเป็นห่วงออกตามหาแน่ๆ  แล้วทีนี้ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่ 


                “นายรู้จักเขาเหรอ?”


                “รู้จักสิ  ก็แฟนฉันนี่”  พอตอบไปแบบนั้น  แต่ละคนที่อยู่ในห้องก็ทำสีหน้าแตกต่างกัน


                ฮิคารุถอนหายใจโล่งอก  เพราะรู้ว่าไดกิรอดตัวแน่แล้วคราวนี้ ที่เหลือก็รอให้แฟนของไดกิคนนั้นมาปรากฏตัวเท่านั้น  คิดแล้วก็ตื่นเต้นอยากเห็นหน้าแฟนเพื่อนเร็วๆ


                คิ้วที่ขมวดกันยุ่งของยูยะคลายลงอย่างรวดเร็ว  ถ้าเป็นอย่างนี้ข้อกล่าวหาของผู้จัดการก็แทบจะไม่มีผลกับไดกิเลย  พนักงานไปนอนอยู่ในห้องพักแขกเป็นเรื่องไม่เหมาะสมก็จริง  แต่อย่างมากก็ถูกตักเตือนเท่านั้น


                ส่วนเคย์ก็พยายามทำสีหน้าเรียบเฉยที่สุด แต่ไม่อาจซ่อนความรู้สึกในใจได้  เขารู้อยู่แล้วว่าไดกิมีคนใหม่  และรู้ดีว่าใครคนนั้น สามารถดูแลและรักไดกิได้มากกว่าเขา  แต่ในใจส่วนลึกก็ยังหวังว่าไดกิจะมีเยื่อใยบ้าง  จึงไม่คาดคิดว่าไดกิจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขา


                ผู้จัดการแก่มีสีหน้าผิดหวังเป็นที่สุด  กระทืบเท้าเหมือนเด็กถูกขัดใจ  ชี้นิ้วสั่นๆไปทางไดกิ


                “โกหก!!!!   มันโกหก!!!  แขกที่มาพักโรงแรมนี้มีแต่คนรวยๆทั้งนั้น  ไม่มีใครตาต่ำเลือกมันมาเป็นแฟนหรอก!!!







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                “ดูถูกกันเกินไปแล้ว!!!”  ฮิคารุคำราม  อยากจะต่อยปากคนแก่ซักครั้งแต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจ  ยูยะรั้งคอเสื้อของเขาไว้  ส่วนแขนข้างหนึ่งก็ถูกเคย์กอดเอาไว้แน่น “ถอนคำพูด!!!! ไม่อย่างนั้นฉันจะเลาะฟันแกออกมาให้ครบทุกซี่แน่!!!


                “นึกว่าฉันกลัวเหรอ!!!”  ปากก็ว่าไม่กลัว แต่ถอยหลังจนแทบจะเหยียบหัวไดกิอยู่แล้ว “ไอ้เด็กเหลือขอ!!!


                ยิ่งกว่าราดน้ำมันลงในกองไฟ  ผู้จัดการแก่ทำให้ฮิคารุโมโหเดือดยิ่งกว่าเดิม  ไดกิยืนละล้าละลังไม่รู้จะไปทางไหน  อยากจะเข้าไปห้ามฮิคารุ แต่ดูท่าแล้วถึงจะเข้าไปช่วยก็ห้ามไม่ได้  ฮิคารุที่อยู่ในโหมดอาละวาด  ต่อให้ผู้เป็นพ่อมาห้ามเองก็คงจะไม่ฟัง  คนที่พอจะทำให้ฮิคารุเกรงได้บ้างคือยาบุ  แต่ตอนนี้ยาบุอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้


                ร่างเล็กถูกกระชากจนหงายหลังล้ม ตอนที่ไปถึงประตู  ความคิดที่จะไปตามหายาบุหายไปทันทีเมื่อมือเหี่ยวย่นแต่แข็งแรงบีบไหล่บังคับเขาให้หันหลังกลับ  และเมื่อหันกลับไปไดกิก็ทันได้เห็นว่ามืออีกข้างหนึ่งของผู้จัดการแก่กำลังเงื้อขึ้นสูง เตรียมฟาดใส่เขา


                “คิดหนีเรอะ!!!


                ไดกิได้ยินเสียงร้องเกรี้ยวกราดของฮิคารุใกล้เข้ามา  ทั้งเคย์และยูยะยอมปล่อยมือจากฮิคารุ  ทั้งสามคนถลาเข้ามาหาไดกิพร้อมๆกัน   แต่นั่นคงจะช้ากว่าฝ่ามือของผู้จัดการไปเพียงเสี้ยววินาที


                แม้จะรู้ว่าหลบไม่พ้น แต่ร่างเล็กก็ผงะถอยตามสัญชาตญาณ แขนข้างที่เป็นอิสระยกขึ้นป้องกัน  แต่กลับไม่ได้กระทบถูกสิ่งใด  มือของผู้จัดการยังคงค้างอยู่ท่าเดิมด้วยแขนแข็งแรงของใครอีกคนที่เอื้อมข้ามไหล่ของไดกิมาหยุดเอาไว้   สัมผัสอบอุ่นจากแผงอกแข็งแรงที่ซ้อนอยู่ข้างหลังนั้น  ไดกิรู้จักดีก่อนที่จะได้ยินน้ำเสียงห่วงใยที่กระซิบถามอยู่ข้างหูเสียอีก


                “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


                ไดกิพยักหน้ารับเร็วๆ  แต่ยังจ้องเคย์โตะตาไม่กระพริบจนกระทั่งอีกฝ่ายก้าวออกไปประจันหน้ากับผู้จัดการ


                “คุณเป็นผู้จัดการของโรงแรมนี้ใช่ไหม?”


                ราวกับคำถามนี้จะกระตุ้นเตือนให้ผู้จัดการแก่รู้ตัวว่าด้วยตำแหน่งหน้าที่ แล้วไม่ควรจะต้องกลัวเด็กหนุ่ม ที่ดูจะอายุน้อยกว่าตนหลายรอบ  ผู้จัดการจึงเชิดหน้า ยืดหลังตรงเท่าที่สังขารจะอำนวยให้ตรงได้

                “ใช่! มีธุระอะไร? “


                “ผมมีเรื่องร้องเรียน”


                ความมั่นใจที่เพิ่งได้คืนมาเหือดหายไปจากใบหน้าของผู้จัดการแก่ทันที   พนักงานทุกคนหรือแม้กระทั่งลูกค้าประจำบางคน  รู้ดีว่าชายแก่คนนี้เป็นผู้จัดการเพียงแต่ในนาม  แต่หน้าที่จัดการดูแลแก้ปัญหานั้นตกเป็นของยูยะมานานแล้ว  ดังนั้นเมื่อมีลูกค้าเดินดุ่มๆเข้ามาร้องเรียนถึงในห้องทำงาน   ผู้จัดการแก่ก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร


                และดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจจะช่วยเหลือ  หลังจากที่ตกตะลึงกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเคย์โตะเมื่อนาทีก่อน   ตอนนี้ ยูยะ  ฮิคารุ  เคย์ หายประหลาดใจแล้ว  และมีความคิดตรงกันอย่างน่าประหลาด  ว่าพวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้  อันที่จริงคนที่คิดอย่างนั้นมีแค่ยูยะกับเคย์  ฮิคารุยังอยากต่อยปากผู้จัดการแก่อยู่ จึงร้องประท้วงตอนที่โดนลากให้กลับมานั่งที่โซฟา  ปกติฮิคารุกับยูยะแรงเยอะพอๆกัน  แต่เมื่อมีอีกแรงหนึ่งช่วยยึดแขนเอาไว้  เลยต้องยอมแพ้


                เหตุการณ์นี้ประหลาดยิ่งนักในสายตาของไดกิ และยาบุที่เพิ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง  ทั้งสามคนทำราวกับว่าไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองใจกันมาก่อน  ทั้งสองแปลกใจจนลืมไปเลยว่าตอนนี้ผู้จัดการแก่กำลังย่ำแย่


“มีเรื่องอะไรล่ะ?”


                “มีคนบุกรุกห้องพักของผม “  เคย์โตะพูดเรียบๆ แต่ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ “ค้นห้องพัก  ทำลายของ”


                ไดกินึกถึงข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ในห้องพัก  โดยเฉพาะกีตาร์ที่ถูกเหวี่ยงตกจากโซฟาตอนที่ผู้จัดการแก่ค้นห้อง  ตัวโปรดด้วยนะนั่น  ชิ้นส่วนหลุดหายไปสักชิ้น  ผู้จัดการคงได้ชดใช้ไม่น้อย


                “ลักพาตัว”


                ไดกิยืนอึ้ง  ไดกิถูกลากออกมาจากห้องพักก็จริง  แต่ผู้จัดการแก่ก็ลากเขามาถึงแค่ห้องนี้  ข้อกล่าวหานี้จึงฟังดูร้ายแรงไปหน่อย  และอาจจะร้ายแรงมากในความรู้สึกของคนแก่


                “ผมไม่ได้ทำ”


                “ไม่ได้ทำ? งั้นขอถามว่าทำไม แฟนของผม ที่นอนหลับอยู่ในห้องพักถึงมายืนอยู่ตรงนี้  ในสภาพแบบนี้ได้”


                ทุกคนในห้องจ้องมองไดกิเป็นตาเดียว  ไม่เว้นแม้แต่ผู้จัดการที่ใช้สายตาเหยียดหยาม


                “มันทำผิดกฎของโรงแรม  ขายตัว  ผมมีสิทธิ์พาตัวมาสอบสวน!!!!


                เคย์โตะเลิกคิ้วอย่างเย็นชา  จ้องมองผู้จัดการด้วยสายตาแบบที่  คนที่นั่งมองอยู่ที่โซฟาเดาได้ว่า ถ้าผู้จัดการยังไม่หยุดกล่าวหาไดกิ  คนแก่ก็มีสิทธิ์โดนเหวี่ยงออกจากห้องได้เหมือนกัน


                “เขาไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น  เขาไม่สบาย  ผมให้เขาเข้าไปนอนพักในห้อง “


                “โกหก  คุณปกป้องมันเพราะติดใจมันล่ะสิ  ผมเห็นมันเข้าไปในห้องคุณหลายครั้งแล้ว”


                “เขาเป็นคนรักของผม   จะเข้าไปในห้องพักของผมแล้วมันผิดตรงไหน  ต่อให้เราทำอะไรอย่างที่คุณว่าจริง  คุณก็ไม่มีสิทธิ์ใช้คีย์การ์ดสำรองเปิดห้องพักของผมโดยพลการ ไม่มีสิทธิ์ค้นห้องพัก  ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรในห้องพักที่ผมจ่ายเงินเช่าโดยที่ผมไม่ได้อนุญาต!


                เรียบๆ แต่เฉียบขาด  เคย์โตะแทบจะยืนค้ำอยู่เหนือกว่าผู้จัดการแก่ที่ทำท่าเหมือนอยากจะเป็นลมหนีความพ่ายแพ้ของตนเอง จังหวะนั้นนายฮอนดะก็เข้ามาในห้องพอดี 







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++









                ผู้ถือหุ้นอันดับสามของโรงแรมก้าวเท้าเดินวางมาดเข้ามาในห้อง  นาทีนั้นเองยูยะก็รู้ว่านายฮอนดะคิดจะยึดเอาโรงแรมนี้ไปเป็นของตัวเองจริงๆ  เพราะแค่พนักงานทำผิดกฎ  ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บริหารระดับสูงจะต้องลงมายุ่งเลย แต่นี่นายฮอนดะกลับมาถึงหลังจากที่เกิดเรื่องไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เท่านั้น


                คงจะโทรศัพท์รายงานกันก่อนที่จะไปลากไดกิออกมาจากห้องล่ะสิ


                “มืเรื่องอะไรกัน”


                ผู้จัดการแก่แทบจะถลาเข้าไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเลยทีเดียว  หลังจากนั้นนายฮอนดะก็ยิ้มให้แบบที่ฮิคารุอยากจะกระโดดถีบหน้าให้สักที  ติดที่ว่า ยูยะกับเคย์ยังรั้งแขนเสื้อเขาไว้คนละข้างไม่ยอมปล่อย


                “นั่งดูนิ่งๆไปก่อนเถอะ”


                ฮิคารุไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามที่ยูยะกระซิบบอก  นายฮอนดะมองไดกิตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยไปถึงยาบุด้วย


                “เป็นเพราะรับแต่พวกลูกกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาทำงานแท้ๆ  ถึงได้เกิดเรื่อง  เธอต้องรับผิดชอบเรื่องนี้นะ ทาคาคิ”


                “โว้ย! พนักงานทุกคนก็เพิ่งมารู้จักหัวนอนปลายเท้ากันตอนที่มาทำงานที่นี่แหละ ถ้าขืนรับแต่พวกที่รู้จักกันมา  โรงแรงนี้ก็คงมีแต่พวกไร้ประโยชน์ ชอบจับผิดชาวบ้านถ่วงความเจริญไปวันๆ”


                ผู้จัดการแก่ยืนทำปากขมุมขมิบด่าฮิคารุแบบไร้เสียงอยู่ด้านหลังนายฮอนดะ ยูยะเกือบหลุดหัวเราะ  ก่อนจะปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม


                “แน่นอนครับ  แต่ก่อนหน้านั้น  ฮอนดะซังช่วงรับผิดชอบการกระทำของคนที่ฮอนดะซังเซ็นอนุมัติรับเข้าทำงานด้วยครับ”


                รอยยิ้มบนใบหน้านายฮอนดะเลือนไปเล็กน้อย  จากนั้นเคย์โตะก็รับช่วงต่อ  สีหน้าของนายฮอนดะบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ  จนกลายเป็นแยกเขี้ยวใส่ผู้จัดการแก่ เมื่อเคย์โตะพูดจบ


                “ผมไม่ได้จ่ายแพงๆเพื่อมาเจอบริการห่วยๆแบบนี้หรอกนะ”


                จากคนที่ดูเรียบง่าย ไม่เรื่องมาก  ตอนนี้เคย์โตะกลายเป็นลูกคนรวยเอาแต่ใจ จอมหยิ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าเจ้าตัวเคยชินกับการวางอำนาจข่มผู้อื่น  ทั้งนายฮอนดะและผู้จัดการไม่อาจสรรหาคำพูดใดๆมาต่อกรได้ นอกจากใช้ข้อกล่าวหาเดิมๆ   แต่นอกจากเคย์โตะจะไม่สนใจแล้ว  ยังขู่ว่าจะแจ้งความด้วย


                “ทีนี้เรื่องก็จะไปถึงนักข่าว คุณก็จะได้ประชาสัมพันธ์ตัวเองไปด้วยว่าเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ  จัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ได้ดีแค่ไหน ดีมั๊ยล่ะ?”


                “แล้วจะให้ทำยังไงถึงจะพอใจ”


                นายฮอนดะไม่ใช่คนอย่างที่นักธุรกิจเรียกกันว่า “มือแข็ง”  มากพอที่จะจัดการกับกิจการใดๆได้   เพียงโต้คารมกับเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตัวเองตั้งรอบก็ยอมแพ้ให้ง่ายๆ


                “กฎของโรงแรมไม่ได้บอกไว้เหรอครับ ว่าคุณควรจะต้องทำยังไง?”


                นายฮอนดะนิ่งอึ้ง  แต่คนที่ยังไม่ยอมแพ้คือผู้จัดการแก่  ที่รู้ชะตาตัวเองว่าอย่างไรเสียก็ต้องถูกลงโทษแน่  โทษเบาคือถูกพักงานและตัดเงินเดือน  ส่วนโทษหนัก


                ไล่ออก..


                “พวกมันสมคบกันวางแผนทำลายชื่อเสียงของโรงแรม!!! ใครก็ได้จับมันโยนออกไปที!!!


                ความพยายามเฮือกสุดท้ายไม่เป็นผล  เพราะไม่มีใครที่นั้นขยับตัวเลย  พนักงานรักษาวามปลอดภัยที่ถูกเรียกมาก็ได้แต่ยืนงง  มีแต่คนขับรถของนายฮอนดะที่ขยับตัวไปทางเคย์โตะ  แต่ไม่ทันถึงตัวก็ต้องชะงัก


                ยูยะยังนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟา  สายตาจ้องตรงไปยังคนขับรถจอมจุ้น  ผู้จัดการแก่  สุดท้ายนายฮอนดะ


                “จะลองดูก็ได้  แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าใครแตะต้องเจ้านี่  ต่อให้เป็นผู้ถือหุ้นอันดับสาม ก็มีสิทธิ์กระเด็นออกจากโรงแรมนี้ได้เหมือนกัน”







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++









                เคย์โค้งคำนับส่งพ่อบุญธรรมแต่เพียงในนามตรงเชิงบันไดหน้าโรงแรม  รถสปอร์ตสีดำสุดหรูที่นายฮอนดะยึดมาจากอดีตคู่ค้าแล่นจากไปอย่างรวดเร็ว  ราวกับคนบนรถอยากจะหลบลี้หนีหน้าไปจากความอับอายและพ่ายแพ้


                ความจริงเคย์จะต้องขึ้นไปอยู่บนรถคันนั้นด้วย  แต่ฮิคารุไม่ยอมให้เขาไป  นายฮอนดะก็ไม่กล้าขัดใจฮิคารุเพราะไม่อยากมีปัยหามากไปกว่านี้  ก็ดีไปอย่าง  นายฮอนดะจะได้ไม่เอาความโกรธมาลงกับเขา  แต่มันทำให้ยาบุที่ยังไม่รู้เรื่องการหมั้นเริ่มสงสัย  เคย์เลยอ้างว่าจะมาส่งนายฮอนดะเพื่อออกจากห้อง  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหลบเลี่ยงแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน


                “ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”


                ร่างบางเดินตามแรงดึงของฮิคารุไปอย่างไม่เต็มใจนัก  สายตามองไปรอบๆ  ฮิคารุพ่นลมหายใจอย่างรำคาญ


                “ยาบุไม่อยู่แถวนี้หรอกน่ะ”


                ถึงไม่อยู่  แต่สายตาของพนักงานที่ประจำหน้าที่อยู่ส่วนหน้าทุกคนกำลังมองมาที่ทั้งคู่  เดาได้เลยว่าพอเดินพ้นจากตรงนี้ไป  ทุกคนจะต้องมารวมหัวซุบซิบกันแน่  แล้วไม่นานเรื่องก็จะไปถึงหูยาบุจนได้


                “อย่ามาเสแสร้งเป็นห่วงความรู้สึกคนอื่นหน่อยเลย  นายทำร้ายทุกคนตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้านแล้ว”


                ไม่แปลกเลยที่ฮิคารุจะล่วงรู้ความคิดของเคย์   เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้  ฮิคารุมักจะว่าให้เจ็บๆเสมอ เวลาที่เขาทำอะไรไม่เข้าท่า  แต่ตอนนี้เขาไม่อาจหวังให้คำพูดทิ่มแทงนี้แฝงความห่วงใยได้ดังแต่ก่อน


                ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว..


                อยู่ๆคนที่เดินนำก็หยุดเดินกะทันหัน  เคย์ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของฮิคารุ  ก่อนจะมองเห็นว่าร่างสูงหนาของเคย์โตะยืนอยู่ตรงหน้า


                “เมื่อกี๊ยุ่งๆ  เลยไม่ได้แนะนำตัว  ฉัน โอคาโมโตะ  เคย์โตะ ยินดีที่ได้รู้จัก”


                “ฉันยาโอโตเมะ  ฮิคารุ  ยินดีที่ได้รู้จัก  แต่ที่จริง ไม่ต้องทำตัวมีมารยาทขนาดนี้ก็ได้  ฉันไม่ชิน”


                “ไดจังเล่าเรื่องนายให้ฟังบ่อยๆ” เคย์โตะยิ้มให้ทั้งคู่อย่างเป็นมิตร 


                “เรื่องดีๆทั้งนั้นล่ะสิ” ฮิคารุหัวเราะหึๆ “แปลกดีนะ  ไดจังไม่ค่อยพูดถึงนายเลย”


                “เราเพิ่งเจอกันได้ไม่นานหรอก  อีกอย่างไดจังยังไม่ใจอ่อนยอมคบกับฉันเลย”


                “ก็คงยังลืมความเจ็บจากรักครั้งก่อนไม่ได้ละมั้ง  ลำบากหน่อยนะ”


                ฮิคารุพูดลอยๆกระทบคนข้างๆแล้วพาลหงุดหงิดเสียเองเพราะเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นิ่ง  เคย์โตะมองฮิคารุแล้วเลื่อนสายตาไปมองอีกคนที่พยายามซ่อนความรู้สึกหลากหลายไว้ในดวงตา  แต่เมื่อเอ่ยชื่อไดกิ  ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความรวดร้าว และความสำนึกผิด


                “ไม่ต้องห่วงหรอก  ฉันจะทำให้ไดจังยอมรับความรู้สึกของฉันให้ได้ จะดูแลเขาให้ดี แล้วก็จะไม่ทำให้ไดจังเสียใจอีก”


                ไม่มีคำพูดเยาะเย้ย ไม่มีรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ  มีแต่ความซื่อตรงจริงใจ ที่ทำให้เคย์รู้สึกพ่ายแพ้หมดท่า  เคย์โตะได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีวันยอมให้ไดกิกลับมาหาเขา


                ร่างบางเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างของเคย์โตะเดินจากไป  ด้วยความรู้สึกเสียใจและดีใจปนกัน  ใจหนึ่งเจ็บเพราะสูญเสียคนที่รัก  แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจเพราะรู้ว่าคนที่รักได้เจอคนที่ดี  ที่จะปกป้องดูแลไปนับจากนี้


                ฮิคารุพูดไว้ไม่ผิด... เขามันอ่อนแอ  ไม่มีปัญญาไปปกป้องดูแลใครได้แม้แต่ตัวเอง


                “สมน้ำหน้า”


                ไม่มีถ้อยคำปลอบโยนจากฮิคารุเหมือนทุกครั้ง  แต่น่าแปลกที่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกดีจนเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ  แม้ว่าจะขอบตาจะร้อนผ่าว  แต่ความรู้สึกอุ่นร้อนจากมือที่กุมมือเรียว ขาวซีดของตนไว้นั้น  ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++









“ยาบุ”


ยูยะเรียกชื่อนี้เป็นหนที่เท่าไหร่แล้วก็เกินจะนับ  ครั้งแรกเรียกเฉยๆ  แต่พอไม่มีเสียงตอบรับก็เรียกแบบมีโมโห  ไม่นานก็รู้ว่าโกรธแล้วไม่ได้ผล  จึงต้องใช้วิธีอ้อน 

“ยาบุจังงงงง~


“ยาบุจ๋า~


แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจ  เจ้าของชื่อยังคงจดจ่อกับงาน  ล้างจาน  หั่นผัก  ทำเหมือนยูยะไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น  จนยูยะต้องงัดไม้ตายเฮือกสุดท้ายขึ้นมาใช้


“ยาบุจี้~


ได้ผล! แม้ว่ามันจะทำให้ยาบุหันมามองด้วยสายตาคมกริบ พอๆกับมีดวาววับในมือก็ตาม


“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าเรียกแบบนี้  ฟังแล้วขนลุก“


“ก็นายไม่สนใจฉัน” ยูยะทำแก้มพองเหมือนเด็กๆ  แต่หนนี้ยาบุไม่ขำด้วย “นายโกรธเพราะคิดว่าฉันปิดบังนายเรื่องเคย์โตะใช่ไหม?  ยาบุ ฉันไม่เคยรู้เลยสักนิดนะว่าเจ้านั่นมาพักที่นี่   แล้วก็เรื่องที่เจ้านั่นไปจีบไดจังด้วย ”


“ฉันก็ไม่ได้โกรธนี่”


“ก็เห็นอยู่ว่าโกรธ”


ยาบุจ้องหน้ายูยะตรงๆด้วยสีหน้าจริงจัง  จนคนถูกจ้องเริ่มหวาดๆ


“ก็ได้  ฉันไม่พอใจที่นายมีเรื่องปิดบังฉัน  ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเคย์โตะเป็นใครมาจากไหน  แต่เป็นเรื่องอื่น   เรื่องที่มีแต่ฉันคนเดียวที่ไม่รู้”


เหมือนโดนมีดเสียบ  ยูยะเริ่มลนลานเหงื่อแตก  ให้ยาบุยิ่งจับพิรุธได้  บอกก็ตาย  ไม่บอกก็ตาย  ทำไงดีวะเนี่ย!!!!!


“นายเคยพูด  ว่าเราไม่มีความลับต่อกัน”


ยูยะกลืนน้ำลายเอื๊อก  ลองว่ายาบุพูดอย่างนี้ ถ้ายูยะไม่สารภาพ มีหวังยาบุโกรธจริงๆแน่  แล้วกว่าจะหายโกรธคงเป็นชาติ   แต่ยูยะก็สัญญากับฮิคารุแล้วว่าจะไม่บอก


“ถ้าเป็นเรื่องของฉัน  ฉันจะบอกนายทุกเรื่อง  แต่เรื่องนี้ฉันบอกนายไม่ได้  เพราะมันเป็นความลับของคนอื่น  และฉันก็สัญญาเอาไว้  ว่าจะไม่บอกใคร”


หลังจากจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง  ยาบุก็หันกลับไปทำงานต่อโดยไม่พูดอะไรอีก   ยูยะลองเชิงด้วยการไปเกยคางอยู่บนไหล่ผอมๆนั่น  ซึ่งยาบุก็ไม่ได้ว่าอะไร  นอกจากไล่ให้ไปทำงานต่อ


“ฉันหิว  ทำอะไรให้กินหน่อยสิ”


จากนั้นแซนด์วิชแฮมสองคู่ก็ถูกวางลงบนโต๊ะเล็กๆตรงมุมห้องครัว  ยาบุนั่งลงฝั่งตรงข้ามระหว่างที่ยูยะกำลังเพลินอยู่กับอาหาร  ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ


“เออนี่.. ยูยะ  เรื่องที่นายบอกว่าเป็นความลับ มันเกี่ยวกับฮิคารุ  เคย์ แล้วก็ไดจังด้วยใช่ไหม?”


“หือ?ใช่ เพราะงี้ฉันถึงบอกนายไม่ได้ไง  ว่าแต่นายรู้ได้-”


ยูยะอ้าปากค้าง  แซนด์วิชครึ่งชิ้นหล่นจากปาก ร่วงเผละลงบนโต๊ะ  พร้อมๆกับรอยยิ้มเคร่งเครียดผุดขึ้นบนใบหน้าของยาบุ







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++










                เมื่อกลับมาถึงห้องพัก  เคย์โตะพบว่าห้องถูกจัดให้กลับเป็นระเบียบเรียบร้อยดังเดิม  ด้วยฝีมือของคนที่นั่งหน้างออยู่ที่โซฟา  ไดกิเปลี่ยนเสื้อจากเสื้อคลุมอาบน้ำเป็นเสื้อผ้าชุดเดิมที่ถูกซักรีดมาสะอาดเอี่ยม  นั่งกอดอกจ้องมองร่างสูงเดินไปสำรวจข้าวของ


                เคย์โตะรู้ว่าไดกิโกรธ  ใจจริงอยากจะแกล้งไม่พูดถึง  แต่เขาก็ไม่อยากให้ไดกิทำหน้าคว่ำแบบนั้นไปตลอดทั้งวัน


                “นายโกรธฉัน”


                “ทำไมถึงไม่บอกฉัน  ว่านายเป็นใคร”


                “ฉันบอกนายไปแล้วทุกอย่างนะ  ไดจัง “  แรกๆที่ไดกิยังไม่ไว้วางใจในตัวเขา  เคย์โตะยื่นเอกสารแสดงตัวทุกชิ้นให้ไดกิดู บอกทุกอย่างว่าครอบครัวเขาเป็นยังไง  บ้านอยู่ที่ไหน  เรียนอะไรอยู่  “ที่นายโกรธ  เพราะฉันไม่ได้บอกว่าฉันเป็นลูกใครต่างหาก”


                เคย์โตะพูดตรงประเด็น  ไดกิเลยได้แต่เงียบ  ตอนแรกที่รู้ชื่อสกุลของเคย์โตะ  ไดกิก็แปลกใจที่ร่างสูงนามสกุลเหมือนกับนามสกุลของผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งของโรงแรม  คุณป๋าของยูยะ   เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น  แต่พอวันนี้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  ก็ทำให้ไดกิไม่สบายใจ  สายตาของพนักงานคนอื่นๆตอนที่เคย์โตะพาเขาออกมาจากห้องทำงานมันแปลกๆไป  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลังจากนั้นทุกคนจะพูดถึงไดกิว่าอย่างไรบ้าง


                “ที่ฉันไม่บอกก็เพราะรู้ว่านายจะเป็นแบบนี้ไงล่ะ”


                ไดกินึกอยากจะขว้างอะไรใส่คนตรงหน้าเสียจริง  พูดแบบนี้จะโทษว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้ต้องโกหกหรือไง


                “ฉันเคยบอกนายแล้ว  ว่าครอบครัวเราไม่ใช่พวกคนรวยนิสัยน้ำเน่าที่วัดคนด้วยฐานะ  เพราะฉะนั้นห้ามใช้เรื่องนี้มาปฏิเสธความรู้สึกของฉันเด็ดขาด”


                “รู้แล้วน่ะ!!! พูดมากอยู่ได้”  ทำเป็นหงุดหงิดไปก็เท่านั้น  สุดท้ายก็ต้องแพ้ทางให้คนเจ้าเล่ห์อยู่ดี  ไดกิไม่อยากชวนทะเลาะให้เสียเปรียบ  เลยเปลี่ยนเรื่องคุย   “เมื่อกี๊นายไปไหนมา?”


                “ไปทักทายฮิคารุคุงกับ อิโนะคุงมา”


                ไดกิขยับตัวนิดหนึ่งแต่ไม่พูดอะไร  แต่เคย์โตะยังมองเห็นความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้นที่มองมา  พร้อมกับคำถาม ที่เคย์โตะไม่รอช้าที่จะตอบ


                “ฉันบอกพวกเขาว่า  ไม่ต้องห่วงนาย ฉันจะดูแลนายให้ดีและจะไม่มีวันทำให้นายเสียใจอีก”


                “นายไปพูดแบบนั้นได้ยังไง!?”  ไดกิผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจในทีแรก แต่จากนั้นก็รู้สึกเป็นกังวลถึงเคย์  ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำพูดนั้น  เคย์โตะเห็นไดกิเป็นแบบนี้แล้วก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้


                “ไม่เคยนึกถึงใจฉันเลยนะ  ไดจัง”


                ไดกิหันไปมองเคย์โตะ  เหมือนไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงพูดแบบนั้น  ยิ่งตอกย้ำให้คนที่เฝ้ามองรู้อย่างชัดเจนว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในสายตาไดกิเลยแม้แต่น้อย


                “ตอนที่รู้ว่าพ่อของฉันเป็นใคร  นายก็เอาแต่กังวลถึงคำพูดของคนอื่น ก่อนหน้านั้นนายร้องไห้เพราะเขา   มาตอนนี้นายก็ห่วงแต่ความรู้สึกของ “เขา” มากกว่า”


                ไดกิตกตะลึงยืนนิ่ง  ทุกคำพูดของเคย์โตะ ย้ำชัดให้รู้สึกว่าไดกิได้ละเลยความรู้สึกของคนที่รัก  ที่ห่วงใยมานาน  นานจนอาจจะสายเกินไป  มือของเคย์โตะที่เอื้อมมาลูบแก้มใสนั้นยังอบอุ่น  รอยยิ้มนุ่มนวลที่มีให้เสมอ  เพียงแต่แววตาที่มองมานั้นมันดูเศร้า.. และเจ็บปวด


                “เคย์โตะ-ฉัน- มันไม่ใช่อย่างนั้น”


                “ฉันเคยบอกนายว่าจะรอ  ฉันก็ยังไม่เปลี่ยนใจหรอก  ความรู้สึกตอนนี้มันก็แค่..  เจ็บๆนิดหน่อย ที่ได้รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำให้นายมันไม่มีความหมาย”


                ไดกิสับสนพูดไม่ออก  ความรู้สึกที่ต้องเฝ้ารออย่างไร้ความหวัง  มันเจ็บแค่ไหน... ไดกิรู้ดี


                “ฉันไม่เป็นไรหรอก  แค่ขอเวลาทำใจนิดหน่อย”  ร่างสูงจับมือพาไดกิไปจนถึงประตูห้อง  “นายกลับไปก่อนได้ไหม ฉันอยากอยู่คนเดียวซักพัก”


                กว่าจะรู้ตัว  ไดกิก็ออกไปพ้นประตูแล้ว  ร่างเล็กหันกลับไปหาเคย์โตะ  อยากจะถามว่าซักพักนี่นานแค่ไหน  แต่เคย์โตะไม่เปิดโอกาสให้  ประตูห้องพักปิดลงโดยที่ไม่มีใครได้พูดอะไรสักคำเดียว







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++