Monday 17 October 2011

[SF] Sweet Dreams


Title -:- Sweet Dreams



Writer -:- Nalikakeaw



Pairing -:- Taka x inoo










วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ แสงแดดสดใส อากาศอบอุ่นเป็นใจราวกับจะอวยพรให้เด็กน้อยที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากบ้านอย่างร่าเริง


ให้วันนี้ เป็นวันดีตลอดทั้งวัน...


สิบนาทีต่อมา เด็กน้อยหน้าแป้นแล้น เดินยิ้มแฉ่งเข้าไปในโรงเรียนอย่างอารมณ์ดี เดินไปจนถึงหน้าห้อง ได้ยินเสียงเซ็งแซ่อันเป็นเสียงประจำในยามเช้าก่อนเข้าเรียน เมื่อเข้าไปในห้อง ทุกคนในห้องก็หันมาทักทายเหมือนเคย


วันนี้เด็กน้อยมาโรงเรียนเร็วกว่าปกติ แต่ก็ยังช้ากว่าเพื่อนๆในห้อง


"ก็วันนี้คุณครูจะบอกผลสอบนี่นา ตื่นเต้นอ่ะ"


"นี่ๆ อิโนะจังว่าคราวนี้ใครจะสอบได้ที่หนึ่ง"


"ถามอะไรอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอิโนะจังแหงๆอยู่แล้วนี่นาใช่ม๊า~"


เด็กน้อยเพียงแต่ยิ้มรับ ทั้งๆที่ในใจก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เรื่องการเรียน เด็กชายอิโนะโอะ เคย์ คนนี้ก็ไม่อยากแพ้ใคร  แต่ว่าเพื่อนๆในห้องน่ะ ก็เก่งๆกันทั้งนั้นเลย ...แล้วก็ตั้งใจเรียนกันมากๆด้วย


อีกอย่างคราวนี้เขาก็ไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไหร่ เพราะงั้น...ขอแค่ไม่สอบตกก็พอใจแล้วล่ะ....


เสียงประตูเปิด จากที่คุยจ้อ หรือบ้างก็วิ่งเล่นกัน พริบตาเดียวเด็กๆก็กลับไปนั่งประจำที่ ทำตาแป๋วมองคุณครูประจำชั้นที่เดินเข้ามา หอบกระดาษข้อสอบที่ตรวจแล้วมาด้วย


"เดี๋ยวครูจะเรียกชื่อทีละคนนะจ๊ะ แล้วออกมารับผลสอบจากครู"


คุณครูยิ้มหวาน ขานชื่อนักเรียนออกไปรับผลสอบทีละคน  เด็กน้อยเคยสงสัยว่าทำไมคุณครูไม่แจกข้อสอบที่โต๊ะนักเรียนแต่ละคนไปเลยนะ  ออกไปรับข้อสอบหน้าห้องแบบนี้ ไม่ต้องดูกระดาษคำตอบแค่เห็นสีหน้าของเพื่อนๆแต่ละคนก็รู้แล้วว่าผลสอบเป็นยังไง


ไม่ชอบเลย...


"เด็กชาย อิโนะโอะ  เคย์"


เด็กชายลุกขึ้นเดินไปหน้าห้องช้าๆ รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่สายตาของทุกคนในห้องมองตามทุกก้าวที่เดิน แต่ยิ่งเดินก็เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกดทับลงมา ยิ่งก้าวไปข้างหน้าความมั่นใจยิ่งหดหาย แต่เด็กชายไม่ได้เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร คิดแค่ว่าตัวเองคงจะตื่นเต้นมากกว่าปกติไปหน่อยเท่านั้น  มือถึงได้สั่นตอนที่รับเอากระดาษคำตอบมา


แต่เอ๊ะ!!!


เด็กชายพลิกกระดาษในมือกลับไปกลับมา สงสัยคุณครูจะหยิบมาผิดละมั้ง กระดาษใบนี้ไม่มีอะไรเลยนี่นา


"นี่มันกระดาษเปล่านี่ครับคุณครู คุณครูหยิบผิด"


"ไม่ผิดหรอกจ๊ะ ลองดูให้ดีสิ"


ราวกับมีเวทมนต์  เมื่อเด็กน้อยก้มลงมองกระดาษเปล่าในมืออีกครั้ง  รอยหมึกสีแดงก็ปรากฏกลางหน้ากระดาษ  เหมือนใครสักคนลากปากกาเป็นเส้นโค้งยาว เด็กน้อยมองตามรอยหมึกจนกระทั่งปลายเส้นทั้งสองโค้งลงมาบรรจบกัน  กลายเป็นรูปวงรีสีแดงวงใหญ่ๆเด่นชัดบนกระดาษขาว


"เสียใจด้วยนะจ๊ะ"


คุณครูยิ้มให้ แต่สำหรับเด็กชาย รอยยิ้มนี้มันช่างโหดร้ายนัก ในเมื่อคำพูดของคุณครูที่ประกาศก้องต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง ไม่ได้มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย


"เธอสอบตก!!!"


ไม่นะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



..................................


................



.......


..



"ไม่!!!!!!"


ร่างบางสะดุ้ง ดีดตัวลุกขึ้นจากโต๊ะอ่านหนังสือสุดแรงจนเสียหลัก ล้มหงายหลังลงไปกระแทกพื้นทั้งเก้าอี้ เท่านั้นไม่พอหนังสือเล่มหนาๆยังพากันร่วงลงมาใส่ตัวจนแทบจุก ปล่อยให้ตัวเองนอนมึนงงอยู่ชั่วครู่  ถึงได้รู้สึกตัวว่าเหตุการณ์เมื่อกี๊เป็นเพียงความฝัน


เมื่อคืนอ่านหนังสือจนดึก  ไม่รู้เลยว่าหลับคาโต๊ะไปตั้งแต่เมื่อไหร่  ตื่นขึ้นมาเลยปวดหลังปวดไหล่ไปหมด แถมยังฝันอีกต่างหาก


แต่ฝันว่าสอบตกในวันสอบ.... ฝันแบบนี้เป็นลางร้ายชัดๆ!!!


เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะร่างบางที่กำลังจะงีบหลับคาพื้นอีกรอบ  ให้ต้องลุกขึ้นมาคว้าโทรศัพท์มากดดูว่าใครกันหนอที่ส่งข้อความมาให้โทรศัพท์คู่ชีพสั่นเตือนเป็นว่าเล่นแต่เช้า


"โชคดีนะ"  จาก ยาบุ


"โย่ว อย่าลืมกินข้าวก่อนไปสอบ สมองจะได้มีแรง"  จาก ฮิคารุ


"ถ้าสอบผ่าน จะเลี้ยงหนังเรื่องที่นายอยากดูนะ"  จาก ไดจัง


จากนั้นก็เป็นข้อความจากเมมเบอร์เซเว่นที่ส่งตามกันมาแบบวินาทีต่อวินาที เหมือนนัดกันส่งมายังไงยังงั้น  แต่ละข้อความทำเอาคนอ่านข้อความยิ้มแป้น  ความรู้สึกแย่ๆที่เกิดจากฝันร้ายก่อนหน้าหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น


มีกำลังใจดีๆมากมายแบบนี้  ถ้ายังสอบตกอีก   อิโนะโอะ เคย์ คนนี้ คงเป็นคนที่แย่ที่สุดในโลก  เดี๋ยวสอบเสร็จแล้วจะซื้อขนมเจ้าอร่อยหน้ามหาวิทยาลัยไปฝากนะทุกคน


เสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ร่างบางต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความอีกครั้ง  แล้วก็ต้องย่นคิ้วน้อยๆกับไอคอนแสดงอารมณ์รูปสิงโตกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา โดยไม่มีข้อความใดๆเลยแม้แต่คำเดียว


แต่นั่นแหละ  ข้อความนี้จะมาจากใครได้ ถ้าไม่ใช่คนปากร้ายนิสัยเด็กที่สุดในบรรดาเมมเบอร์


"เจ้าบ้า!! คุยกันดีๆซักวันมันจะตายรึไง"


บ่นกับโทรศัพท์แล้วโยนมันส่งๆลงไปอยู่ในกระเป๋าซะอย่างนั้น  ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับนาฬิกาเรือนเล็กที่เอียงผิดตำแหน่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ  ทำให้ดูเวลาปัจจุบันได้ลำบากไปหน่อย


อืม.. เข็มสั้นชี้เลขแปด  เข็มยาวชี้เลขสิบสอง...


เอ...เข็มสั้นชี้เลขแปด  เข็มยาวชี้เลขสิบสอง...


เข็มสั้นชี้เลขแปด  เข็มยาวชี้เลขสิบสอง...?


"อ๊า!!!!!! สายแล้วววววววววววว!!!!!"







++++++++++++++++++++++++++









บ่ายวันเดียวกัน  ร่างบางเดินหมดเรี่ยวแรงเข้าไปในห้องแต่งตัว หอบหนังสือกองโตติดกระเป๋ามาด้วย  แต่เดินยังไม่ทันจะถึงโต๊ะ ก็เข่าอ่อนสะดุดล้ม ข้าวของที่หอบมากระจายเต็มพื้น ทำเอาเพื่อนร่วมวงใจหายใจคว่ำ ถลาลุกจากที่นั่งมาช่วยประคอง


"ซุ่มซ่ามเซ่อซ่า"


ใครบางคนที่ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาช่วยแล้วยังนั่งทำผมสบายใจอยู่หน้ากระจก พูดลอยๆมาให้คนฟังเจ็บใจเล่น แต่วันนี้ร่างบางเหนื่อยเกินกว่าจะต่อปากต่อคำด้วยอย่างทุกวัน เมื่อคืนเผลอหลับคากองหนังสือ ทำให้ฝันร้าย หลับไม่สนิทปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไหนจะต้องวิ่งหน้าตั้งไปให้ทันเข้าห้องสอบ แล้วยังจะต้องเค้นมันสมองไปสู้รบกับข้อสอบมหาโหดสุดหิน  เท่านี้ก็เสียพลังงานไปเกือบหมดตัว เลยทำได้เพียงกัดฟันบอกกับเพื่อนร่วมวงไปว่า


"ไม่เป็นไรหรอก แค่นอนไม่พอน่ะ"


"สภาพแบบนี้ไปสอบมันจะสอบผ่านเร้อ  ฉันว่าคงทำผิดตั้งแต่ข้อแรกแล้วล่ะ สอบตกชัวร์"


นัยน์ตาที่ดูเหนื่อยล้าเมื่อตอนที่เดินเข้าห้องมาวาววับขึ้นทันที เรื่องอื่นเขาไม่ถือ แต่ถ้ามาแช่งให้สอบตกละยอมไม่ได้ !!!


ยาบุปล่อยมือที่ประคองเพื่อน ลากฮิคารุและไดกิที่ช่วยกันหอบทั้งหนังสือ ขนม เต็มสองมือให้ห่างจากสมรภูมิรบที่กำลังจะเปิดศึกในไม่ช้า


"ทาคาคิ ยูยะ!! ไอ้คนปากเสีย!! ตายซะเถอะ!!"


ร่างบางกระโจนเข้าใส่คนตัวหนากว่าที่ยังนั่งอยู่หน้ากระจก สองมือเรียวขยี้ผมที่ใช้เวลาจัดทรงสามชั่วโมงของทาคาคิ ยูยะ อย่างไร้ความปราณี  จากทรงผมที่ไดร์ให้พองฟูดูดีอย่างราชสีห์ตอนนี้เหลือแค่ทรงรังนกถูกทอร์นาโดโจมตีจนไม่เหลือซาก ยูยะร้องห้ามลั่นห้อง


"หยุดนะเว้ยเฮ้ยยย!!!"


ฮิคารุมองมวยคู่เอกประจำวง แล้วก็หันไปมองหน้ายาบุที่รับหน้าที่กรรมการจำเป็นที่ต้องคอยห้ามทุกยก แต่วันนี้กรรมการกลับกอดอกยืนดูเฉยๆ ปล่อยให้นักมวยวัดดวงกันเองซะงั้น


"ปล่อยให้ทะเลาะกันไปก่อน เดี๋ยวเหนื่อยแล้วก็คงหยุดเองแหละ  ทะเลาะกันอยู่ได้ทุกวัน ขี้เกียจห้าม"


ฮิคารุพยักหน้าเออออ เดินตามยาบุไปสมทบกับไดกิที่นั่งกินขนมแบบไม่ทุกข์ร้อนกับเสียงโครมคราม เสียงโวยวาย ที่ดังมาเป็นระยะๆ  ไปๆมาๆฮิคารุก็เริ่มเอือมระอาบ้างแล้วเหมือนกัน  คนหนึ่งก็ช่างหาเรื่องใส่ตัวอยู่ได้ทุกวัน  อีกคนก็ขี้โมโห อารมณ์เสียอยู่ได้ทุกครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าทาคาคิน่ะปากร้ายก็ยังใส่ใจให้เป็นเรื่องอยู่ได้


ทะเลาะกันได้ไม่เบื่อเลยนะ...สองคนนี้



..................................


................



.......


..


"หยุดนะ!  อิโนะจัง! พอได้แล้ว!"


ร้องห้ามมาตั้งแต่ห้านาทีก่อน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเคย์จะยอมหยุด ตอนนี้มือบางเปลี่ยนเป้าหมายจากทึ้งผมของยูยะ มาเป็นฟาดมือใส่ร่างหนาแทน แต่ฟาดได้แค่สองสามทีมือทั้งสองข้างก็ถูกรวบเข้าไปกุมไว้โดยคนปากร้ายที่หาเรื่องใส่ตัวมาตั้งแต่แรก แม้ยูยะจะไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่คนที่เพิ่งใช้แรงกายแรงใจหมดไปกับการสอบก็ไม่มีแรงพอจะดิ้นให้หลุด ร่างบางจึงขยับริมฝีปากต่อว่าแทน


"นายมันใจร้ายที่สุด! ไม่ให้กำลังใจกันก็ไม่ว่า แต่ยังมาพูดแบบนี้อีก รู้ไหมว่าฉันทั้งกังวลแล้วก็กลัวแค่ไหนว่าจะทำข้อสอบได้ไม่ดี  เมื่อเช้านี้ก็ฝันร้ายฝันว่าสอบตกด้วย!"


"อิโนะจัง"


เรียกเสียงอ่อยๆ เพราะรู้ว่าทำให้คนตรงหน้าโกรธขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว  ไม่อย่างนั้นคนที่ในหัวมีแต่เรื่องงานและเรื่องเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง คงไม่มาอาละวาดเอากับเขาทั้งๆที่มีงานรออยู่ตรงหน้าเป็นแน่


"อิโนะจัง ฉันขอ-"


"ทาคาคิคุงจะทำอะไรอิโนะจังน่ะ?"


คู่วิวาทหยุดชะงักหันหน้าไปหาคนถามที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก เซเว่นเมมเบอร์แต่ละคนที่เพิ่งมาถึงกำลังหยุดยืนมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าต่างกันไป  ยามาดะกับยูริยืนเคียงกันด้วยสีหน้าเอาเรื่องเหมือนทุกครั้งที่เห็นยูยะหาเรื่องรังแกเมมเบอร์คนเก่งประจำวง  แล้วหลังจากนั้นยูยะก็จะถูกค่อนขอดกลับมาทุกครั้งว่าเขาอิจฉาความหัวดีของเคย์ถึงได้หาเรื่องแกล้ง โดยมีเคย์โตะยืนเป็นทัพเสริมสนับสนุนถ้อยคำนั้นด้วยสายตาอยู่ข้างหลัง


จะเว้นก็แต่ยูโตะกับริวทาโร... ที่นอกจากจะไม่ได้แสดงท่าทีว่าเอือมระอาอย่างเมมเบอร์คนอื่นๆแล้ว ยังหัวเราะชอบใจซุบซิบอะไรกันสองคน จนแม้แต่คนที่ไม่ค่อยยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างเคย์โตะยังอดสงสัยไม่ได้


"พวกนายหัวเราะอะไรกัน?"


ยูโตะไม่ตอบหันไปพยักเพยิดกับริวทาโรแล้วทำท่าจะเดินผ่านไป แต่ก็ถูกขวางไว้ ยามาดะกับยูริใช้สายตาขู่เข็ญเอากับยูโตะ


"สนุกนักเหรอ? เห็นคนอื่นทะเลาะกัน"


"เปล่าน๊า~ ยามะจัง มาทางนี้สิ เดี๋ยวจะเล่าอะไรให้ฟัง"


ยูโตะยิ้มร่า วาดสองแขนซ้ายขวาโอบคนตัวเล็กกว่าไว้ข้างละคน พาเดินไปสุมหัวกันที่มุมห้อง ริวทาโรล็อกคอพี่เม่นเดินตามไปด้วย ทั้งยูยะและเคย์มองตามไปอย่างสงสัย จนลืมไปว่าก่อนหน้านี้สองคนทะเลาะกันแทบตาย และดูเหมือนจะลืม...


ลืมไปว่า...มือของยูยะ ยังกุมมือเรียวคู่หนึ่งเอาไว้


หลังจากที่กระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ครู่หนึ่ง  ยามาดะกับยูริก็อุทานออกมาเสียงดังมากพอที่จะทำให้สองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่คนละฟากห้องได้หูกระดิก


"ทฤษฎีอะไรของนายน่ะยูโตะ? ฉันไม่เคยได้ยิน"


"นั่นสิยูโตะคุง อะไรคือยิ่งชอบยิ่งแกล้ง? ถูกแกล้งนี่มันเป็นเรื่องสนุกเหรอ? ลองใครมาแกล้งฉันแบบนี้ฉันจะเกลียดไปสิบชาติเลย"


ผิดกับพ่อหนุ่มหัวเม่นที่ดูจะเข้าใจอะไรๆขึ้นมาทันตา หัวเราะออกมาน้อยๆตามสไตล์อิงลิชบอย และแม้ว่าเคย์โตะจะไม่ได้พูดอะไรแต่สายตาที่มองไปที่ยูยะและเคย์นั้นมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนถูกมองร้อนตัวขึ้นมาซะอย่างนั้น


"อะไรน่ะ เจ้าพวกนั้นพูดถึงอะไรกัน อิโนะจัง  นายรู้รึเปล่า?"


"ฉัน-" กำลังจะจิกคนตรงหน้าว่าเขาจะรู้ได้ยังไงในเมื่อยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้  แต่สายตาของเซเว่นเมมเบอร์ที่มองมาก็ทำให้ร่างบางเข้าใจสิ่งที่ยูโตะพยายามจะบอกกับยามาดะและยูริทันที


เคย์มองมือของตัวเองที่ถูกกุมไว้แนบอกหนา แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าที่บ่งบอกถึงความงุนงงของยูยะ สลับกันไปมา


แล้วหัวใจทั้งสี่ห้องก็แข่งกันทำงานหนักสูบฉีดเลือดขึ้นไปอยู่ตรงสองแก้มจนร้อนไปหมด ร่างบางสะบัดมือออกแล้วหันหลังซ่อนพวงแก้มแดงๆให้พ้นจากสายตาของยูยะ


แต่ไม่พ้นสายตาของสองโตะและเมมเบอร์จัมพ์คนอื่นๆที่มองมาตั้งแต่ต้น


"ฮิ้ววววววววววววววววว!!!!!"


เคย์เหวี่ยงสายตาเขียวปัดไปทางต้นเสียง หวังให้ยูโตะกับเมมเบอร์คนอื่นๆเงียบเสียงไปซะ แต่ยิ่งทำก็ยิ่งถูกล้อมากขึ้นจนต้องเป็นฝ่ายเดินปึงปังหนีออกไปจากห้องอย่างขัดใจ ทิ้งร่างหนาไว้กับสถานการณ์ที่คนไร้ความอ่อนไหวอย่างยูยะยากจะเข้าใจ และทรงผมรังนกบ้านแตกที่คาดว่าอีกสามชั่วโมงก็ยังไม่น่าจะแก้ให้กลับไปเป็นทรงเดิมได้









++++++++++++++++++++++++++









เพิ่งตีกันให้ทีมงานเห็นอยู่หยกๆ แต่วันนี้ช่างภาพก็จัดสองคนให้มาถ่ายภาพคู่กัน  ร่างบางต้องบังคับใจอย่างหนักไม่ให้ตัวเองเผลอผลักหัวฟูๆของคนที่ซบตักอยู่ตอนนี้ให้ลงไปกองกับพื้นแล้วเตะซ้ำ  ทำใจอยู่นานกว่าจะยิ้มออกมาได้  แต่พอก้มลงมองใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มสบายแล้ววมันน่า..


"หน้าตาตอนหลับก็น่ารักดีหรอก แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นฝันร้ายชัดๆ"


"ฉันได้ยินนะ อิโนะจัง"


ก็อยากให้ได้ยินน่ะสิ! ร่างบางคิดอย่างขุ่นเคือง ไม่อยากใส่ใจแต่ก็ทำใจไม่ได้ นึกแล้วอยากให้หัวฟูๆนี่กลายเป็นรังนกอีกรอบนัก


"ขอโทษ"


เอ๊ะ!! ได้ยินเหมือนเสียงอะไรแว่วๆ มันรวดเร็วมากเกินไปจนต้องตั้งสติถามตัวเองว่าที่ได้ยินเมื่อกี๊ เขาไม่ได้คิดไปเอง


"ฉันขอโทษ ที่จริงฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งให้นายโมโหเหมือนทุกทีหรอก แค่พูดตรงไปหน่อย ไม่นึกว่านายจะโกรธจริงๆ"


เป็นคำขอโทษที่สมควรได้รับการให้อภัย จริงใจเสียจนคนฟังอยากจะบีบคอคนพูดให้ลิ้นจุกปาก พูดแบบนี้ก็หมายความว่าเขาผิดที่โกรธตอนที่ยูยะแช่งว่าเขาจะสอบตกน่ะสิ


"ฉันไม่ได้แช่ง แค่พูดความจริง"


ยูยะยังคงหลับตาพูดแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งๆที่ร่างบางเริ่มโกรธจนตัวสั่น ไม่ได้แช่ง  แต่จะบอกว่ายังไงๆเด็กมหา'ลัยอย่างเขาก็ต้องสอบตกงั้นสิ!


"นายนี่ซื่อบื้อจัง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คนจะไปสอบน่ะ มันต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจไม่ใช่หรือไง  อิโนะจังน่ะ ทำงานหนักอยู่แล้ว ไหนจะต้องอ่านหนังสือ เวลาพักผ่อนก็แทบจะไม่มี แล้วแบบนี้นายจะเอาแรง เอาสมองที่ไหนไปสอบเล่า ให้ฉันเดานะ  เมื่อคืนคงหลับคากองหนังสือล่ะสิ"


เดาแม่นเหมือนตาเห็น มือเรียวที่กำลังจะฟาดลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลทองของยูยะชะงักกลางอากาศ เคย์ค่อยๆวางมือลงบนผมของยูยะ ลูบเบาๆระหว่างที่คิดตามสิ่งที่ร่างหนาเพิ่งพูดไป


จะว่าไปก็จริง เมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้  หลับคาโต๊ะหนังสือทำให้หลับไม่สบายนัก ตอนเช้าก็ตื่นสาย อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์พ่อแม่ไปเที่ยวก็เลยไม่มีคนเตรียมอาหารเช้าให้ กว่าจะได้กินข้าวก็คือตอนออกจากห้องสอบช่วงบ่ายแล้ว แต่ก็ต้องรีบมาทำงานต่อเลยกินแค่ขนมปังไปสองสามแผ่นเท่านั้น


"ฉันพูดถูกใช่มั๊ย เป็นแบบนี้บ่อยๆเข้าสักวันนายก็ต้องสอบตกแน่ๆ"


มือเรียวเผลอกระตุกผมของคนที่ซบตักอยู่จนเจ้าตัวต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตา


ทาคาคิ ยูยะ! ถ้าวันนี้นายไม่หยุดพูดคำว่าสอบตก อย่าหวังเลยว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปกินข้าวที่บ้าน!!




..................................


................



.......


..



"ฉันว่า ไอ้ทฤษฎียิ่งชอบยิ่งแกล้ง ยิ่งเกลียดยิ่งรัก ยิ่งทะเลาะกันยิ่งเข้าใจอะไรของนายนั่นน่ะ มันจะไม่ได้ผลนะยูโตะ"


"รอดูไปเหอะน่ายามะจัง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา"


ยูโตะตอบกลับมาแบบอารมณ์ดีสุดๆ  พลางเปิดหนังสือของเคย์ ที่ปกด้านในมีรูปวาดประหลาดที่ดูไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร มันกลมๆฟูๆ ดูยุ่งเหยิง มีสี่ขาแล้วก็มีหาง ใต้รูปภาพมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆว่า


"ไฟท์โตะ โอ้!!!!!!"


อย่าถามเลยว่าชะตาชีวิตของคนที่ฝากรอยเอาไว้บนหนังสือเรียนอันล้ำค่าของอิโนะโอะ เคย์ จะเป็นยังไงต่อไป เพราะตอนนี้เจ้าของหนังสือวิ่งออกจากห้องไปแล้วพร้อมเสียงคำรามที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังโกรธสุดชีวิต


ตัวใครตัวมันนะ..ทาคาคิคุง...









++++++++++++++++++++++++++










เสียงกุกกักจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ สัมผัสนุ่มๆเย็นๆที่ใบหน้า ลำคอ และแขน ปลุกคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้น ดวงตาเรียวค่อยเปิดรับภาพช้าๆ แต่แล้วก็ต้องหลับตาลงอีก เพราะทุกสิ่งรอบตัวดูจะหมุนติ้วจนตาพร่าไปหมด


"ที่นี่มัน-"


"ห้องของฉันเอง"


น้ำเสียงคุ้นหูตอบกลับมา แต่เคย์ก็ไม่อยากจะเชื่อประสาทรับรู้ของตัวเองเท่าใดนัก  แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนอย่างทาคาคิ  ยูยะ  จะพาเขามาที่ห้อง คอยดูแลเช็ดตัวให้  แล้วน้ำเสียงอ่อนโยนที่พูดกับเขานี่อีก


ฝันร้ายอีกแล้ว....


"นายเป็นลมจนเกือบตกบันได หมอบอกว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย พักสักคืนก็จะดีขึ้น นายหิวรึเปล่า"


เคย์ส่ายหน้า แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้เวียนหัวมากขึ้นจนเกือบจะอาเจียน ต้องพยายามสูดหายใจลึกๆเพื่อให้อาการเวียนหัวบรรเทาลงบ้าง


"พรุ่งนี้มีสอบ"


รำพึงกับตัวเองเบาๆแต่ก็ไม่วายถูกดุกลับมา ถึงจะได้ยินไม่ชัดนักแต่ก็พอจะจับใจความได้คำว่า "ไม่รู้จักดูแลตัวเอง" แล้วก็เสียงถอนใจอยู่ใกล้ๆ


"คืนนี้พักให้เต็มอิ่มก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาอ่านหนังสือก็ยังทัน"


ถึงไม่ห้าม เขาก็ไม่มีแรงจะลุกจากเตียงอยู่แล้ว ตอนนี้ทั้งตัวมันหนักไปหมด ถ้าไม่มีมืออุ่นๆกับผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นที่เช็ดตัวให้เขาคงจะคิดว่าตัวเองกลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว


"ขอบคุณนะ..แล้วก็ขอโทษ.."


พูดได้เพียงเท่านั้นจริงๆ แต่ละคำที่พูดนั้นช่างยากลำบากเหลือเกินกว่าจะเอ่ยออกมาได้  ได้แต่หวังว่าคนฟังจะรับรู้ความหมายว่าเขาซาบซึ้งใจและละอายเพียงใดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบาก


"ไม่เป็นไร แต่อย่าฝืนตัวเองอีกนะรู้ไหม ฉันเป็นห่วง"


ร่างบางตอบรับน้ำเสียงอบอุ่นเจือความห่วงใยนั้นด้วยการแนบแก้มตัวเองกับมือหนา ผ่อนลมหายใจช้าๆ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปในห้วงฝันอันแสนหวานที่เมื่อลืมตาตื่นในวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่มีอีก..


ขอฝันดีๆแบบนี้ตลอดไปจะได้ไหมนะ...




..................................


................



.......


..





แสงแดดอุ่นๆ สายลมอ่อนๆ พัดพลิ้วผ่านผ้าม่านสีครีมอ่อนเข้ามาในห้อง  ร่างบางบนเตียงพลิกตัวหันหลังให้หน้าต่าง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัว ใจนึกอยากจะฝันดีต่ออีกหน่อย  แต่...


"จะนอนไปถึงไหน! วันนี้นายมีสอบตอนบ่ายไม่ใช่รึไง ตื่นได้แล้ว!!!"


เคย์พลิกตัวม้วนอยู่ในผ้าห่มหนีเสียงห้าวๆ กับมือหนาที่พยายามจะดึงผ้าห่มออกจากตัวเขาอย่างดื้อดึงอยู่พักใหญ่ สุดท้ายมือคู่นั้นก็ยอมแพ้ปล่อยมือจากร่างบางที่กลายร่างเป็นหนอนยักษ์อยู่บนเตียง


"ไม่ตื่นก็ตามใจ แต่ถ้าวันนี้ไปสอบไม่ทันละก็-"


"ตื่นแล้ว!!!"


ลุกขึ้นนั่งพร้อมๆกับเหวี่ยงผ้าห่มออกจากตัวอย่างหงุดหงิด มองคนตรงหน้าแล้วนึกสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมหนอ ไอ้คนที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่นี่ถึงไม่ใช่ ทาคาคิ ยูยะ คนที่เจอในฝัน


ฝันก็เป็นได้แค่ฝันสินะ...


"จะมองหน้าอีกนานมั๊ย? ไปอาบน้ำ! แล้วมากินข้าว!"


อยากกลับไปฝันต่อ แต่เห็นหน้าตากวนประสาทของยูยะแล้วคงจะหลับไม่ลงแน่ๆ ร่างบางลุกจากเตียงด้วยอารมณ์เซ็งสุดขีด  แต่เดินไปไม่ถึงห้องน้ำก็ต้องมีอันสะดุดล้ม  ทำไมวันนี้ชุดนอนมันแปลกๆ เสื้อก็ตัวใหญ่ เอวกางเกงก็หลวมด้วย


"ก็นั่นมันเสื้อของฉัน กางเกงก็ใช่ มันจะพอดีกับตัวนายได้ยังไงเล่า!"


"พูดเป็นเล่น  ทำไมฉันจะต้องไปใส่เสื้อนายด้วย! ก็นี่มัน-"


ห้องของเขา เสื้อผ้านี่มันก็ต้องเป็นของเขาสิ.....


ไม่ใช่นี่หว่า! ห้องของเขาไม่ได้ติดวอลเปเปอร์สีนี้ ทั้งผ้าม่าน เฟอร์นิเจอร์  ชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดานก็หายไป มีแต่ชั้นวางแผ่นเกม การ์ตูน ที่ร่างบางไม่รู้จักและไม่เคยคิดจะซื้อมาอ่านเลย  ห้องที่จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว ทำไมมันรกเป็นรังหมาอย่างงี้


แล้วชุดนอนนี่...


"ฝันค้างหรือไงนาย ถ้าฝันอยู่ก็ตื่นซะ!"


เคย์มองหน้ายูยะอย่างสับสน เริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อคืนนั้นเป็นความฝันหรือเป็นความจริงกันแน่ สมองถูกใช้งานอย่างหนักกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่เช้า...


"อิโนะจัง!!!!"


ยูยะถลาเข้าไปประคองร่างบางที่เริ่มโงนเงนยืนไม่อยู่ไว้ในอ้อมแขน  เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆที่ปลุกคนป่วยขึ้นมาแต่เช้า แต่เคย์กลับโบกมือปฏิเสธไม่ยอมกลับไปนอนต่อ บอกว่ายิ่งนอนก็ยิ่งเวียนหัว ถ้าได้ล้างหน้าคงจะดีขึ้น  ยูยะเลยยอมตามใจพาร่างบางไปส่งถึงหน้าประตูห้องน้ำ แล้วก็ไม่ยอมขยับไปไหนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยความเป็นห่วง






..................................


................



.......


..







เมื่อเคย์เปิดประตูออกจากห้องน้ำ ก็พบยูยะยืนค้างอยู่ในท่าทางที่เหมือนว่ากำลังจะเคาะประตู


"ห้องน้ำนะไม่ใช่ห้องนอน เข้าไปทำอะไรอยู่ในนั้นหนักหนาห๊ะ!!"


ยูยะบอกอย่างหงุดหงิด หันหลังให้ร่างบางที่ลอบยิ้มน้อยๆ ห่วงฉันสินะทาคาคิคุง


"ฉันกลัวนายมาล้มหัวฟาดพื้นตายในห้องฉันต่างหาก ฉันกลัวผี ขนาดไม่ตายยังเฮี้ยนขนาดนี้ ถ้าตายแล้วจะขนาดไหน"


ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนที่จะได้เป็นผีเฝ้าห้องคงไม่พ้นยูยะเป็นแน่  แต่ตอนที่อยู่ในห้องน้ำ ร่างบางก็คิดอะไรได้หลายอย่าง เมื่อวานตอนที่เป็นลมไปเคย์จำได้เพียงว่าเขาวิ่งตามยูยะไปจนถึงบันไดเท่านั้น แต่เมื่อกี๊ที่ยูยะกอดเขาไว้ ก็ทำให้จำอะไรได้อีกเล็กน้อย


"นี่ทาคาคิคุง.. เมื่อวานตอนที่ฉันเป็นลม นายช่วยฉันไว้สินะ"


"ไม่ได้ตั้งใจช่วยหรอก แค่ฉันยืนอยู่ตรงนั้นแล้วนายก็ล้มลงมาทับฉันต่างหาก"


"แล้วฉันยังรบกวนมานอนที่ห้องนายอีก"


"อันนี้ก็ไม่ได้เต็มใจอีกเหมือนกัน  ยาบุกับฮิคารุบังคับให้ฉันพานายมา บอกว่าฉันต้องรับผิดชอบที่ทำให้นายตกบันได ชิ! ฉันไม่ได้ผลักนายซักหน่อย"


ร่างบางแอบปิดปากหัวเราะคนที่หันหลังเถียงเขาข้างๆคูๆ ทำเป็นสาละวนยุ่งอยู่กับการชงกาแฟแก้วเดียวอยู่เป็นนานสองนาน ไม่ยอมหันกลับมามองหน้ากันตรงๆเสียที


"เมื่อคืนนายเช็ดตัวให้ฉันด้วยสินะ"


ไหล่หนาสะดุ้งน้อยๆ ตกใจที่เคย์รู้แม้กระทั่งเรื่องนั้น แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้  นึกแช่งตัวเองที่ลืมเก็บกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูที่วางไว้ตรงโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่เมื่อคืน


"กะ- ก็นายไม่ได้อาบน้ำ เรื่องอะไรฉันจะปล่อยให้นายมานอนบนเตียงทั้งที่ตัวเหม็นๆเล่า!!"


"อุตส่าห์นอนเฝ้าทั้งคืนด้วยสินะ"


"ห้องก็ห้องฉัน เตียงก็ของฉัน แล้วทำไมฉันต้องเสียสละให้นายแล้วระเห็จออกมานอนที่โซฟาด้วย"


ถูกต้อนจนเกือบจนแต้ม แต่ก็ยังแถไปได้อีกหน่อย ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อคืน ร่างบางจับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย จากที่ตั้งใจจะหอบหมอนออกมานอนที่โซฟาหน้าทีวี ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยจนถึงเช้า  สัมผัสจากแก้มขาวเนียนยังคงหลงเหลืออยู่บนมือของเขา ยิ่งนึกถึงใบหน้ายามหลับไหลของร่างบาง หัวใจก็เต้นแรงจนห้ามไม่อยู่ ต้องทำหงุดหงิดกวนประสาทกลบเกลื่อนอาการ แต่วันนี้เคย์ดูจะอารมณ์ดีจนไม่ถือสาหาความกับคำพูดแรงๆของเขาเอาเสียเลย


"นี่ทาคาคิคุง"


"อะไรอีกเล่า! เรียกอยู่ได้ เหวอ!!!"


ทีแรกตั้งใจจะโวยวายใส่ แต่พอหันกลับมาเห็นใบหน้าขาวใสในระยะประชิด ตกใจจนเกือบทำแก้วกาแฟหลุดมือ หัวใจเต้นโครมครามยามที่ได้สบตากับอีกฝ่าย อะไรที่คิดไว้ก่อนหน้านี้กระเจิงหายไปเรียบร้อย ได้แต่ภาวนาให้เคย์ไม่เข้ามาใกล้กว่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหัวใจวายตายแน่ๆ


"ทาคาคิคุง นายจะว่าอะไรไหม? ถ้าฉันจะขอมาค้างที่นี่อีกซักคืนสองคืน"


"ห๊ะ!!!!"


"ก็..ฉันยังไม่หายดีนี่นา แล้วที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่ด้วย  ถึงนายไม่ได้เป็นคนทำให้ฉันเกือบตกบันไดก็จริง แต่นายก็เป็นต้นเหตุนั่นแหละ เพราะฉะนั้นนายก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลจนกว่าฉันจะหายดีสิ เอาตามนี้แหละ เดี๋ยวบ่ายนี้สอบเสร็จแล้วฉันจะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วจะกลับมานะ อ้อ แล้วเอากุญแจสำรองมาด้วย เผื่อนายไม่อยู่ฉันจะได้เปิดประตูเข้ามาเอง"


หลังจากที่เอาตัวรอดมาจนสีข้างถลอกปอกเปิก สุดท้าย.. สิงโตก็ตกหลุมกับดักของพรานคนสวยแสนฉลาดที่ดักทางหนีไว้รอบด้านจนแถไปทางไหนไม่ได้อีกต่อไป


ถึงคราวต้องชำระหนี้ที่ไปรังแกเค้าเอาไว้แล้วนะ...พ่อหนุ่มหัวสิงโต..


ส่วนวิธีชำระหนี้  ก็แค่...ทำให้พรานคนสวยฝันหวาน ฝันดี..นับจากวันนี้ไปก็พอแล้ว...







+++++++++E+N+D+++++++++++++++




ตัดจบมันแค่นี้แหละ เพราะยิ่งเขียนยิ่งออกทะเล ( อีกแล้ว ) เมื่อก่อนไม่ค่อยจะจิ้นคู่นี้เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าใครเป่าหูให้เขียนคู่นี้


อวยพรชายซักนิด ปกติจะจะเรียกอิโนะจัง ว่าชายเคย์ เพราะมาดเธอเป็นคุณชายมากกกก แต่หลังๆจะโดนจิกกัดบ่อยๆเรื่องความแรด ชายเวิลด์ทัวร์บ่อยเหลือเกิน  ยิ่งมีคนจับคู่ชายกับลูกรักอย่างเม่นแล้ว ชายก็จะโดนจิกเพิ่มขึ้นอีก


แต่ยังไงก็ชอบชายน๊า~  แค่จิกกัดตบตีชายมากไปหน่อยเท่านั้นเอง


ขอให้ชายเคย์มีสุขภาพแข็งแรง สวยวันสวยคืน  เล่นเปียโนได้เก่งๆ ร้องเพลงเพราะๆ แล้วก็ขอให้เรียนจบไวๆนะ




+++S+p+e+c+i+a+l+++++P+a+r+t+++++++++



"นายยังมั่นใจทฤษฎีของนายอยู่เหรอยูโตะ"


"แน่นอนสิ  ทำไมอ่ะ ยามะจัง?"


"ก็ไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะรักกันอย่างนายว่านี่ มีแต่จะทะเลาะกันหนักขึ้น"


ตอนนี้เซเวนเมมเบอร์กำลังซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะกินข้าวที่ถูกจัดให้วางตะแคงเพื่อใช้มันเป็นบังเกอร์ชั่วคราวสำหรับหลบกระสุนข้าวของที่ลอยข้ามหัวไปมาจากคู่วิวาทขาประจำของวงที่ยังทะเลาะกันไม่เลิก


"ไม่จริงหรอก ยามะจังดูดีๆสิ สองคนนั่นยิ้มอยู่นะ เห็นป่ะ"


ทั้งห้าคนโผล่หน้าออกจากที่กำบังได้ไม่ถึงนาที แล้วก็ต้องก้มหลบหมอนใบใหญ่ที่ใครไม่รู้ปามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทันได้เห็นว่า ทั้งยูยะและเคย์กำลังยิ้มอยู่จริงๆ


ยิ้มทั้งๆที่กำลังปาของใส่กันนี่นะ?


"เค้ามีความสุขที่ได้หาเรื่องทะเลาะกันน่ะ พวกนายอย่าใส่ใจเลย"


ยาบุบอกหลังจากที่สามารถหลบข้าวของที่บินว่อนเข้ามาสมทบกับน้องๆได้อย่างปลอดภัย ผิดกับฮิคารุที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาไม่ดูสถานการณ์ เลยโดนสันหนังสือเข้าไปที่หน้าผากเหม่งๆแบบเต็มๆ


"โอ๊ยยยยย!!!! อิโนะจังงงงงงงงง"


สงครามกลางห้องหยุดลงทันที  เคย์รีบเข้ามาดูเพื่อนพลางขอโทษขอโพยยกใหญ่


"จะฆ่าฉันฉลองวันเกิดนายหรือไง ถ้าอยากให้ยกโทษให้วันนี้ต้องพาฉันไปเลี้ยงข้าวด้วย พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะไปกินสุกี้หม้อร้อนที่ห้องทาคาคิ"


"เลี้ยงวันเกิดฉันแล้วทำไมต้องไปที่ห้องทาคาคิคุงด้วยล่ะ"


ร่างบางถามขึ้นมาทันทีตามประสาคนฉลาด ปกติแล้วเวลาที่จะพาเมมเบอร์สักคนไปเลี้ยงข้าวในวันเกิด ทุกคนจะลงมติว่าจะไปหาอะไรกินกันตามร้านอาหารไม่ใช่หรือไง เหตุผลคือ อร่อย ง่าย และไม่ต้องล้างจาน แล้วทำไมวันนี้ทุกคนถึงอยากลำบากกัน


"ก็ฉันอยากไป"


คำตอบของไดกิทำเอาร่างบางหมดคำถาม หันกลับไปมองหน้าตาเอ๋อๆของเจ้าของห้อง ที่ดูจะไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา แล้วหันกลับมามองอีกสามคนที่เหลือ...


หน้าตาแบบนี้แสดงว่าต้องมีแผนอะไรสักอย่างแน่ๆ!!



..................................


................



.......


..




หรือว่าเขาจะคิดมากไปเอง?..


พอมาถึงห้องของทาคาคิ ทั้งยาบุ ฮิคารุ และไดกิ ต่างกุลีกุจอช่วยกันเตรียมของสดและน้ำซุปกันเองสามคน ทิ้งให้เจ้าของห้องและเจ้าของวันเกิดนั่งมองหน้ากันเองอยู่สองคน


"เจ้าของวันเกิดก็นั่งเฉยๆไปเหอะน่า นายก็เหมือนกันทาคาคิคุงแค่พวกฉันมากินกันที่ห้องนายก็เกรงใจจะแย่แล้ว"


"พวกนายสามคนรู้จักคำว่าเกรงใจด้วยเหรอ"


โพล่งออกมาแบบหน้าตาเฉย ให้คนถูกถามแยกเขี้ยวกลับมาให้แทนคำตอบ


ปาร์ตี้เล็กๆผ่านไปอย่างสนุกสนาน  ถ้าไม่นับเรื่องที่เจ้าของวันเกิดกับเจ้าของห้องปะทะคารมแย่งชิงเนื้อในหม้อละก็ วันเกิดปีนี้ของเคย์คงน่าประทับใจมากกว่านี้อีกโข  และเมื่อปาร์ตี้จบลงในเวลาที่ไม่ดึกนัก ทั้งยูยะและเคย์ก็ได้แต่นั่งสบายๆปล่อยให้เพื่อนๆเก็บกวาดห้อง รอจนกระทั่งเพื่อนๆอาบน้ำเข้านอนกันแล้วถึงได้คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำทำธุระของตัวเองบ้าง ตั้งใจว่าก่อนนอนจะอ่านหนังสือทบทวนอีกสักหน่อย


พรึ่บ!!!!


ไฟทั้งห้องดับลง ด้วยฝีมือเจ้าของห้องที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ เดินตรงมาทางโซฟาหน้าทีวีที่เคย์นั่งอยู่โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเตะหรือชนถูกอะไรแม้อยู่ในความมืด  ร่างบางปิดหนังสือลงอย่างอารมณ์เสีย


"นายปิดไฟทำไมเนี่ย"


"ฉันจะนอนแล้ว"


ตอบห้วนๆพร้อมกับลงมือปรับพนักพิงของโซฟาที่ร่างบางนั่งอยู่ให้เอนลงเป็นเตียงนอนชั่วคราวสำหรับคืนนี้


"ก็ไปนอนข้างในห้องซิ"


"สมองเสื่อมหรือไง? ลืมไปแล้วเหรอว่าสามคนนั่นนอนอยู่ในห้อง"


ออกปากไล่เหมือนตัวเองเป็นเจ้าของห้อง จนเจ้าของห้องตัวจริงตอกกลับมาอย่างหงุดหงิดพอกัน ยูยะล้มตัวลงนอนบนอีกข้างของโซฟาพลางดึงหมอน ผ้าห่ม ที่ร่างบางหอบออกมาจากห้องไปใช้


"ไปเอาของตัวเองมาสิ"


พูดไปแล้วก็เหมือนจะนึกได้ว่าทั้งหมอนทั้งผ้าห่มคงไม่มีเหลืออีกแล้วในเมื่อวันนี้มีคนมาค้างอยู่ตั้งสี่คน  ร่างบางจึงล้มตัวนอนหนุนหมอนใบเดียวกัน ห่มผ้าห่มผืนเดียวกันกับยูยะอย่างขัดใจ และผล็อยหลับไปทั้งคู่


ทิ้งความงุนงงสงสัยไว้ให้เจ้าของดวงตาอีกสามคู่ที่พยายามเขม้นมองลอดผ่านประตูห้องนอนมาที่โซฟา


"อะไรฟะ นึกว่าจะมีอะไรดีๆให้ดู ไหงหลับไปง่ายๆแบบนี้อะ"


"สงสัยว่าคู่นี้จะไม่ได้แอบกิ๊กกันอย่างที่เราคิดละมั้ง ขนาดก่อนจะนอน ยังหาเรื่องทะเลาะกันได้อีก"


"เสียเวลาชะมัด!"


ไดกิเดินกลับไปล้มตัวลงนอนที่เตียงเป็นคนแรก ยาบุกับฮิคารุ ตามมาติดๆแล้วทั้งสามคนก็หลับปุ๋ยไปแทบจะพร้อมกัน


ส่วนคนที่นอนบนโซฟาท่ามกลางความมืดสนิทและอากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศที่ปรับอุณหภูมิไว้พอดี คนขี้หนาวเริ่มซุกกายเบียดเข้าหาร่างหนาที่ตอบรับด้วยการสอดแขนใต้แผ่นหลังคนตัวบาง โอบร่างนั้นเข้ามาใกล้มอบไออุ่นจากกายให้คืนนี้หลับฝันดีตลอดทั้งคืน








+++++++++E+N+D+++++++++++++++

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Six


Title  -:-                The day we kissed .. Six



Writer  -:-             Nalikakeaw



Pairing   -:-           Okadai, Takayabu, Nakachii, Yamaryu














“นายว่า....พักนี้ห้องอาหารเราลูกค้าเยอะผิดปกติไปรึเปล่า?”





ยูยะถามขึ้นในค่ำวันหนึ่ง ขณะที่กำลังช่วยยาบุเช็ดจานกองพะเนินอยู่ในห้องครัว  พักนี้ห้องอาหารของโรงแรมมีงานยุ่งอยู่เกือบตลอดเวลา  โดยเฉพาะช่วงกลางวันและช่วงหัวค่ำไปจนถึงดึก   ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะในช่วงเวลานี้ จะมีพนักงานจากบริษัทในละแวกใกล้ๆมาเป็นลูกค้าอยู่เสมอๆ





แต่การที่มีลูกค้าเต็มเอี๊ยดแม้กระทั่งช่วงเช้านี่...มันก็น่าคิด





หรือจะเป็นเพราะช่วงไฮซีซั่น...





ก็ไม่ใช่อีก...





โรงแรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ ลูกค้าที่มาพักส่วนใหญ่ก็เป็นนักธุรกิจที่มาติดต่องานมากกว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว จึงมียอดจองเต็มอยู่ตลอดทั้งปี..





“มันผิดปกติเฉพาะตอนที่สองคนนั่นได้เปลี่ยนลงมาฝึกงานที่ห้องอาหารต่างหาก”





จะพูดยังไงดี..เวลาที่ทั้งสองคนนั่นอยู่ด้วยกัน  บรรยากาศรอบๆนั้นก็เปลี่ยนไป เหมือนกับความสดใสของแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน  สาดลงบนผืนหิมะอันเยือกเย็นในฤดูหนาว  สองสิ่งที่ต่างกัน  กลับอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนจนน่าประหลาดใจ





อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่เย็นสดชื่นแบบนี้  ที่ทำให้ลูกค้าเลือกเข้ามาที่นี่  จนพนักงานแทบไม่มีเวลาได้พัก





แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี.... เพราะแสงอาทิตย์ที่สดใสอย่างฮิคารุ  บางครั้งก็ร้อนแรงจนเกินไป เวลาที่เจอลูกค้าจู้จี้เรื่องมาก     ฮิคารุก็แทบจะเอาผ้าเช็ดโต๊ะยัดปากลูกค้าแทนอาหาร  ส่วนหิมะอย่างเคย์นั้น  ก็เย็นเสียจนกลายเป็นความเย็นชาแม้แต่หน้าลูกค้าก็ยังไม่มอง..





และอีกเรื่องที่ทำให้ยาบุไม่ค่อยจะพอใจนัก  ก็คือลูกค้าบางคนที่ทำตัวก้อร่อก้อติกมือไว จีบไม่เลือก โดยเฉพาะเคย์ที่ดูจะถูกใจตาเฒ่าหัวงูบางคนมากเป็นพิเศษ  ถ้าเป็นกรณีอย่างนี้ ยาบุจะปล่อยให้ฮิคารุฟาดถาด ราดน้ำร้อนใส่ลูกค้าคนนั้นซะก่อน  ถึงจะออกมาห้าม  เพราะยังไงซะตาแก่ทั้งหลายคงไม่กล้าโวยวายทำเป็นเรื่องใหญ่ให้เมียที่บ้านตามมาเชือดคอเป็นแน่





“โรคหวงน้องกำเริบ”





ยูยะเอ่ยลอยๆทำไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาดุๆของคนข้างๆ





ถึงไม่ใช่พี่น้องกันโดยสายเลือด แต่ก็ไม่ได้สำคัญเท่าความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมา  ยูยะรู้ว่ายาบุรักน้องมากแค่ไหน  เขาจึงไม่อยากทำให้ยาบุไม่สบายใจ  แต่หากฝ่ายนั้นทำให้ยาบุไม่สบายใจแม้แต่น้อยนิด ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะเห็นแก่ความเป็นเพื่อน





“ไม่ลองมาเป็นฉันล่ะ”





“นายก็ปล่อยๆไปซะบ้างเถอะน่า เคย์น่ะโตแล้ว และเขาก็เลือกทางเดินของตัวเองแล้วด้วย”





“นั่นแหละที่น่าห่วง”





ยิ่งได้รู้เบื้องหลังของครอบครัวที่รับเลี้ยงน้องชายเขาแล้วยิ่งห่วงขึ้นมากเป็นสิบ .. เป็นร้อยเท่า..





“ยาบุ!!!”





จานกระเบื้องเคลือบเนื้อดีเกือบหลุดจากมือ ยูยะร้องจ๊ากผวากอดจานทั้งกอง  หันไปมองไดกิวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องครัว





“ยาบุ ช่วยฉันด้วย”

























“ไดจัง  เป็นอะไรไปน่ะ?”





เพราะน้องทำหน้าตาตื่นตกใจไปขอความช่วยเหลือ ยาบุถึงยอมทิ้งงาน ปล่อยให้ไดกิลากออกมาจากห้องครัว แต่พอทั้งสองคนมาถึงห้องพักพนักงานด้านหลัง น้องกลับเอาแต่อ้ำๆอึ้งๆ ไม่ยอมพูดอะไรซักที  ครั้งหรือสองครั้งที่พยายามจะพูด แต่ก็กลับทำหน้าแดงพูดไม่ออกไปซะอย่างนั้น ทำให้เขากังวลจนต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาหลังจากนั่งรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง





“ไดจัง ใครทำอะไรนาย!”





ถึงจะไม่ได้พูดอะไร  แต่ยาบุก็รุ้ว่าคำถามนี้ตรงประเด็น  เพราะไดกิเม้มริมฝีปากแน่น แก้มเป็นสีจัดเหมือนเวลาที่กำลังโกรธใครสักคนมากๆ   นั่นพลอยทำให้ยาบุรู้สึกโกรธไปด้วยแม้จะยังไม่รู้สาเหตุของท่าทางแบบนี้ก็ตาม





แต่ถึงจะโกรธ  เขาต้องเก็บมันไว้ก่อนเพราะมันคงไม่ทำให้อะไรๆดีขึ้น และคงไม่ทำให้ไดกิยอมเล่าอะไรให้เขาฟังง่ายขึ้นด้วย





“ถ้าไม่เล่าให้ฟัง แล้วฉันจะช่วยนายได้ยังไงล่ะไดจัง”





ไดกิจับมือตัวเองแน่น ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะยอมพูดออกมา





“ถ้าฉันบอก..นายต้องไม่โกรธนะ  จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่หมอนั่น-“





“หมอนั่น?”





“ก็เคย์-“





“เคย์? เคย์ทำอะไรนาย?”





คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันฉับ แต่ไดกิรีบโบกมือห้ามเอาไว้ บอกให้ฟังให้จบเสียก่อน





“ไม่ใช่เคย์นะ  คือ- ฉันหมายถึง ค-เคย์โตะน่ะ “





คิ้วที่ขมวดเป็นปมเมื่อครู่ดีดผึงออกจากกันทันใด  เคย์โตะน่ะหรือ ?  คนที่มาขอคบกับไดกิด้วยคำพูดที่หนักแน่นมั่นคง และสายตาจริงจังจนเขาต้องยอมแพ้  เป็นไปได้หรือที่เคย์โตะจะทำร้ายไดจัง  หมอนั่นทำอะไร น้องเขาถึงได้หน้าตาตื่นวิ่งมาขอความช่วยเหลือแบบนี้





“เขาไม่ได้ทำร้ายฉันนะ  อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ก็แค่...”





“หืม?”





“หมอนั่นจูบฉัน”





พอไดกิพูดจบ  ทุกอย่างก็เงียบทันที  ยาบุอึ้งไปสักอึดใจ ก่อนจะทวนคำเหมือนว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี๊  เขาฟังผิดไป





“เมื่อกี๊..ไดจังบอกว่า  เคย์โตะ  จูบเหรอ?”





ไดกิพยักหน้า หลบสายก้มลงมองพื้นแทนที่จะมองหน้าพี่ชาย  ที่ยังจับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ถูก





“คือ-ไดจัง ฉันจำได้ว่านายตกลงคบกับเคย์โตะแล้วไม่ใช่เหรอ?  แค่จูบ..ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ”





“ก็ฉันไม่ชอบนี่ !”





ยาบุอยากจะถามเหลือเกินว่า แล้วที่ยอมให้เคย์โตะจูบครั้งแล้วครั้งเล่านั่นก็ไม่ชอบเหมือนกันใช่ไหม





“หมอนั่นน่ะ  เจอหน้ากันทีไรก็จูบ ไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่  เดินไปเจอกันตรงไหนเป็นไม่ได้เลย  ฉันถึงต้องใส่ผ้าปิดปากเนี่ย”





ยาบุอยากจะกลั้นใจตาย ที่แท้อาการหน้าแดงกับผ้าปิดปากที่เขาเห็นมาสองสามวันนี่  มีเหตุมากจากเรื่องนี้เองหรอกหรือ





“แล้ว-มันช่วยได้เหรอ?”





“ก็ไม่ได้น่ะสิ! ฉันถึงต้องมาขอให้นายช่วยไง นะๆๆๆ ยาบุ ช่วยทีสิ  พูดกับเคย์โตะให้ทีจะขู่หรืออะไรก็ได้  นะๆๆ”





“อะ-อื้อ ได้-ได้สิ”





พอยาบุตอบตกลง ไดกิก็หน้าชื่นขึ้นทันที แล้วก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ  ทิ้งยาบุที่กำลังจะซี่โครงหักเพราะพยายามกลั้นหัวเราะแทบตายไว้ในห้อง





คนเป็นพี่หงายหลังลงไปนอนบนโซฟา ก่อนจะพลิกตัวคว่ำใช้เบาะของโซฟากลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองไม่ให้เล็ดรอดออกไปถึงหูคนที่อาจจะเดินผ่านไปมาด้านนอก





แต่กลับทำให้ใครอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใจหายใจคว่ำ





“นายปวดท้องอีกแล้วเหรอ”





ยาบุส่ายหน้า ทำเสียงอู้อี้อยู่กับเบาะโซฟาเก่าๆยิ่งทำให้เป็นห่วง แต่พอพลิกร่างบางให้หันกลับมาแล้วพบว่าเจ้าตัวกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ยิ่งทำให้ห่วงมากขึ้นอีก





นี่ทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน  สมองเลยเพี้ยนไปแล้วหรือนี่?





“สมองฉันยังปกติอยู่เว้ย!! แค่หัวเราะมันผิดรึไง”





“หัวเราะเหมือนคนบ้านี่นะ เป็นอะไรของนาย แล้วไดจังล่ะ”





พอถามถึงน้อง ยาบุยิ่งหัวเราะจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน  ปิดปากซบหน้าลงกับไหล่หนาของคนได้แต่นั่งทำหน้าเอ๋อเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย  ได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ให้อย่างงงๆ กว่าจะหยุดหัวเราะได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบสิบนาที





“แล้วเรื่องไดจังล่ะ ว่ายังไง?”





“ไม่มีอะไรหรอก ไดจังแค่มีเรื่องไม่เข้าใจกันกับแฟนนิดหน่อย ฮ่าๆๆๆ”





ยูยะพยักหน้ารับรู้  ถ้ายาบุพูดอย่างนี้แล้วเขาคงไม่ต้องห่วง  แต่ที่น่าห่วงคือคนที่อยู่ข้างๆเขานี่แหละ   จับไปเช็คสมองซักครั้งจะดีไหมนะ?

























วันนี้ไดกิกลับบ้านแต่หัววัน  หลังจากที่ใช้ห้องเล็กๆด้านหลังโรงแรมเป็นที่ซุกหัวนอน มาหลายวัน  วันนี้ก็จะได้นอนเตียงนุ่มๆสบายๆสักที  แต่ระหว่างที่ร่างบางกำลังลัลลาเปิดประตูรั้วอยู่นั้น  เสียงหัวเราะร่าเริงก็ดังมาจากข้างในบ้าน





วันนี้วันเสาร์นี่นะ...น้องๆคงอยู่บ้านกัน





แต่ว่า..ไอ้เสียงหัวเราะแหลมๆแสบแก้วหูนี่เป็นเสียงของใคร?





“กลับมาแล้ว”





ห้องนั่งเล่นเงียบลงทันที ไดกิกวาดสายตามองรอบห้อง  แล้วพบว่านอกจากยูโตะกับยูริแล้วยังมีคนคุ้นเคยอย่างยามาดะ ริวทาโร ชินทาโร





และ..





และตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากยาบุเมื่อวาน  ที่วันนี้ไม่มาให้เจอ  เป็นเพราะอย่างนี้เองสินะ





เคย์โตะนั่งอยู่บนโซฟา  มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ไดกิไม่คุ้นหน้าเกาะแขนแนบชิดสนิทสนม มองไปทางซ้าย    ยูโตะที่อยู่ใกล้ๆก็นั่งเบียดกับเด็กสาวอีกคนหนึ่งทั้งๆที่บนโซฟามีที่ว่างเหลืออยู่เป็นวา   มองไปทางขวายามาดะเองก็ตกที่นั่งลำบากไม่แพ้กัน





เพราะสายตาของยูริและริวทาโร ที่ดูเหมือนว่าจะต้องระเห็จลงมานั่งบนพื้นพรมกับเด็กสาวอีกกลุ่มหนึ่งอย่างไม่เต็มใจนั้นน่ากลัวขึ้นทุกที  ส่วนชินทาโรนั้นหลังจากที่ต้องอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดมาครึ่งค่อนวัน   พอเห็นหน้าไดกิก็รีบวิ่งมาหาทันที





“ไดจังงงง”





ไดกิยิ้มตอบรุ่นน้องเป็นทำนองว่าเข้าใจแล้ว  ยูโตะพยายามจะแก้ไขสถานการณ์โดยแนะนำเพื่อนใหม่ให้ไดกิรู้จัก แต่มันยิ่งแย่ลงเมื่อเธอทั้งสามเพียงแต่พยักหน้าให้แล้วหันกลับไปสนใจเรื่องของตัวเองต่อ  ยูโตะเหงื่อแตกพลั่กพยายามแกะมือที่เกาะหนึบเป็นตุ๊กแกตราช้างออกแต่ไม่สำเร็จ จึงหันไปหาตัวช่วยที่นั่งอยู่ข้างๆกัน  ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยในเมื่อความสนใจของยามาดะพุ่งตรงไปยังคนที่ทำหน้าเชิดอยู่บนพื้นนั่นแล้ว





ไดกิรู้สึกสะใจเล็กๆที่ได้เห็นว่าเด็กสาวที่กอดแขนยามาดะอยู่นั้นมีท่าทีขุ่นเคืองที่ตัวเองถูกเมิน  และกำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะดึงความสนใจของคนข้างๆกลับมา





“ยามาดะคุง  ภาษาอังกฤษข้อนี้แปลว่าอะไรคะ”





“ไม่รู้สิ ฉันไม่เก่งวิชานี้ ถามเคย์โตะสิ”





 นอกจากจะเมินแล้ว ยามาดะยังลุกหนีมาแบบไม่ใยดีเสียด้วย





“ไดจัง  ออกไปซื้อของกันเถอะ”



















“นายจะซื้อไปกินทั้งปีหรือไง”





ไดกิปรามรุ่นน้องที่กำลังจะจะโยนถุงขนมอบกรอบสารพัดยี่ห้อในอ้อมแขนลงในรถเข็น  ไหนว่าจะมาหาซื้อของสดไปให้เขาทำกับข้าวไงล่ะ





“เอาน่าๆ ไม่ได้กินคนเดียวซักหน่อย ซื้อไปเผื่อแฟนไดจังด้วยไง  หมอนั่นกินเยอะจะตาย”





“ไม่น่าเชื่อ! ในโลกนี้ยังมีคนที่กินได้เยอะกว่านายอีกเหรอ? ยามาดะ”





คนพูดไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นริวทาโรคู่กัดตลอดกาลที่เดินตามอยู่ไม่ห่างนัก  ขนาบข้างด้วยยูริและชินทาโร พอบอกว่าจะออกมาซื้อของทั้งสามคนก็ขอตามมาด้วย   ทิ้งอีกสองหนุ่มเอาไว้ที่บ้าน





“ปล่อยให้อยู่อย่างนั้นแหละดีแล้ว  เพราะยูโตะนั่นแหละอยากทำตัวใจดีเป็นสุภาพบุรุษชวนพวกนั้นมาติวหนังสือที่บ้านดีนัก”





ยูริว่าอย่างนั้นตอนที่อยู่ในรถ ไดกิก็เลยไม่ถามอะไรต่อ เพราะแค่เสียงของยามาดะกับริวทาโรก็ทำเขาหนวกหูจะแย่อยู่แล้ว





“อย่ามาแย่งกินก็แล้วกัน”





“ใครจะอยากแย่งของนาย  ดูกินแต่ละอย่าง ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย มิน่า..”





“อะไร?”





“สมองถึงไม่ค่อยพัฒนา”





แรงงงง!!!  ไดกิแอบอุทานในใจ  ไม่เจอกันแค่สองปี เดี๋ยวนี้ริวทาโรพัฒนาฝีปากไปถึงขั้นที่ทำให้ยามาดะเถียงไม่ออกเลยหรือ





“เค้าก็ลับฝีปากกันอยู่สองคนนั่นแหละไดจัง ขนาดว่าอยู่บ้านนะ ยังทะเลาะกันผ่านโทรศัพท์เลย”





ชินทาโรกระซิบบอก  แล้วไดกิก็ทิ้งรถเข็นไว้ให้เป็นหน้าที่ของริวทาโร  แล้วก็มาเดินตามหลังอยู่กับน้องทั้งสอง เฝ้ามองยามาดะโวยวายใส่ริวทาโรที่เก็บขนมกลับไปใส่คืนชั้น แล้วก็หยิบนมสดขวดใหญ่มาแทน





“กินซะบ้างน่ะ เผื่อว่ามันจะทำให้หัวดีแล้วก็ตัวสูงกว่านี้  แต่ก็..คงไม่ทันแล้วมั้ง”





ไดกิกลั้นหายใจ หันซ้ายขวาหาที่กำบัง เผื่อว่ายามาดะเกิดบ้าอาละวาดขึ้นมา จะได้หลบได้ทัน





แต่ยามาดะกลับยิ้มหวาน จนริวทาโรที่เตรียมตั้งรับเต็มที่ต้องกระพริบตาแบบงงๆ





“ริวจังนี่เป็นห่วงฉันจังเลยน๊า~ “





“เอ๊ะ!!!”





“ถ้าริวไม่ชอบ ฉันไม่กินก็ได้  ริวอยากให้ฉันกินอะไรก็เลือกมาก็แล้วกัน  แล้วก็....จ่ายตังให้ด้วยนะ”





แล้วยามาดะก็เดินจากไป  ทิ้งริวทาโรไว้กับข้าวของมากมายเต็มรถ





















ริวทาโรยังคงอารมณ์ไม่ดีตอนที่นั่งรถกลับบ้าน  และยูริก็ทำหน้าบูดบึ้งกว่าเดิมเมื่อพบว่าเหล่าแฟนคลับสาวยังไม่ยอมกลับบ้าน ทั้งที่ตอนนี้มันก็เย็นมากแล้ว





“พวกเราจะค้างที่นี่กันน่ะ”





“อะไรนะ!!!” ยูริร้องเสียงสูง “บ้านฉันไม่ใช่โรงแรมนะ ที่นึกอยากจะมาค้างก็ทำได้น่ะ”





“ไม่เห็นเป็นไรนี่  ยามาดะคุงกับริวทาโรคุงก็จะค้างที่นี่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพวกชั้นจะทำไม่ได้ล่ะ





“แต่ว่า-”





“ไม่เป็นไรหรอกยูริ “





ไดกิยิ้มหวานให้กับเด็กสาวทั้งกลุ่ม   แต่คนอื่นที่เหลือนั้นพร้อมใจกันอุทาน “หา”  ด้วยความรู้สึกต่างๆกัน   เคย์โตะหันไปมองหน้าสีหน้าแปลกใจของยามาดะและชินทาโร  ท่าทางตกใจระคนโกรธของริวทาโร  ยูโตะยิ่งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก  แต่ยูริ..





ยูริกลับยิ้ม...





ราวกับจะรู้ว่า..ไดกิจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร





“ถ้าจะพักที่นี่ ก็คงต้องช่วยกันทำอาหารนะครับ คนเยอะขนาดนี้ผมคงทำคนเดียวไม่ไหว แล้วก็คงต้องโทรศัพท์ไปขออนุญาตผู้ปกครองด้วยนะ”





แค่รู้ว่าจะต้องช่วยทำกับข้าว คุณหนูทั้งหลายก็ทำหน้าเบ้เสียแล้ว  พวกเธอจะทำอะไรได้ในเมื่อเกิดมาไม่เคยทำ แต่ประโยคหลังนั้นกลับทำให้ตกใจยิ่งกว่า





“ไม่ต้องหรอก พวกเราบอกพ่อกับแม่แล้วว่าจะมาค้างบ้านเพื่อน”





“แต่คงไม่ได้บอกว่าเป็นบ้านที่มีแต่ผู้ชายอย่างนี้แน่  น่าจะโทรฯไปบอกซักหน่อยนะ”





ไดกิยิ้มระเรื่อย รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างบันเทิงใจ  แต่เขาไม่อยากรอนานนัก  เพราะนี่ก็จวนจะค่ำ  กว่าเขาจะทำกับข้าว กว่าจะได้กิน กว่าจะได้เก็บกวาดคงจะดึก  ไดกิอยากพักผ่อนเร็วๆมากกว่าจะมาเสียเวลาแบบนี้





“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมโทรฯให้เอง  ยูริ”





“อะไรเหรอไดจัง?”





“โทรศัพท์หาคุณครูประจำชั้น  แล้วขอเบอร์บ้านของทุกคนมาหน่อยซิ”





ผลคือพวกสาวๆพากันย้ายตัวเองออกจากบ้านไป โดยที่ยูริยังไม่ได้ต่อสายถึงคุณครูเสียด้วยซ้ำ







เล่นกับใครไม่เล่น..





















มื้อเย็นผ่านไปด้วยดี... ไดกิอยากจะพูดว่าอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว





ยูรินั้นยิ้มให้ทุกคนรอบโต๊ะ ยกเว้นก็แต่ยูโตะคนเดียว แล้วยูโตะก็เฝ้าแต่ง้องอนยูริจนแทบจะไม่แตะข้าว ไดกิต้องดุเอาหลายหนถึงจะกินแต่ก็ไม่วาย





“สาวๆเค้าเป็นแฟนคลับของเคย์โตะต่างหาก ไม่เกี่ยวกับฉันซักหน่อยนี่ ยูริ”





“ไม่ต้องมาพูดเลย ตอนที่บอกว่าจะมาติวหนังสือที่บ้าน ยูโตะเป็นคนชวนยายพวกนั้นมานี่ เคย์โตะเค้าไม่เห็นพูดอะไรซักคำเลย”





หน้าตาที่พยายามทำให้ดูใสซื่อม่อยลงทันใด





อีกสองคนก็คอยแต่จะทะเลาะกันเรื่องของกิน  ถ้าหากไดกิไม่ได้สังเกตเห็นว่า ยามาดะนั้นคอยแต่จะคีบอาหารทุกชิ้นที่ริวทาโรจะกิน แย่งกันไปมาซักพักยามาดะก็เป็นฝ่ายยอมให้ คีบอาหารชิ้นนั้นไปวางไว้ในถ้วยของริวทาโรไปเสียทุกทีละก็   คืนนี้ทั้งคู่คงจะถูกอบรมเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารเป็นแน่





คนที่ดูจะมีความสุขมากที่สุดคงจะเป็นชินทาโร ที่นั่งอยู่ระหว่างไดกิกับเคย์โตะ  เพราะไม่ว่าอยากจะกินอะไรก็มีคนคีบให้ทั้งซ้ายขวา





“เคย์โตะคุงกับไดจังใจดีจังเลยน๊า~ เหมือนเป็นคุณพ่อกับคุณแม่เลยล่ะ”





หันไปเห็นรอยยิ้มนิดๆของคนที่นั่งอยู่อีกข้างของชินทาโรแล้วก็พาลหมดอร่อย นึกอยากจะเขกกะโหลกไอ้เด็กช่างพูดนี่จริงๆเชียว



....................







..........





.....





..





“โกรธฉันเรื่องอะไรเหรอ”





“เอ๊ะ?”





“ก็นายน่ะตั้งแต่เข้าบ้านมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่พูดกับฉันเลยสักคำนี่ เลยสงสัยว่านายกำลังโกรธอะไรอยู่รึเปล่า”





“เปล่านี่”





ไดกิเงยหน้าจากกองผ้าตรงหน้าขึ้นมองคนที่กำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงของตัวเอง  คืนนี้ทั้งสองคนต้องนอนห้องเดียวกันอีกครั้ง  เพราะไดกิไม่อยากให้น้องๆถามอะไรให้มากความ  และหลังจากเข้ามาในห้องไดกิก็นั่งคัดแยกผ้าที่จะซักในคืนนี้  พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำงานบ้านอีก





“นึกว่าโกรธเรื่องสาวๆพวกนั้นซะอีก”





ไดกิหรี่ตามองคนพูดอย่างนึกหมั่นไส้  รู้หรอกว่าพ่อคุณหน้าตาดี มีฐานะ แต่มันชักจะหลงตัวเองมากไปแล้วมั้ง แต่หมั่นไส้อยู่ได้แค่นาทีเดียวก็ต้องตกใจเพราะเจ้าตัวเลื่อนตัวลงจากเตียงมานั่งใกล้ๆ  ไดกิไหวตัวทันยกผ้าขนหนูที่อยู่ในตะกร้าขึ้นมากันใบหน้าหล่อๆนั้นไว้





“แค่จะทักทายเอง”





“ทักทายก็ทำไปสิ ทำไมต้องจูบด้วยเล่า”





“จูบแฟนตัวเองมันผิดตรงไหนล่ะ”





ไม่ผิด! แต่เป็นตัวไดกิเองที่ไม่ชินกับการแสดงออกแบบนี้  เพราะที่ผ่านมา ... กับคนที่เคยคบกันก่อนหน้า..อย่างมากก็แค่จับมือเท่านั้นเอง  แต่ความรู้สึกที่อ่านได้จากสายตาของใครคนนั้น .. เมื่อตอนนั้น



ดูมีค่ากว่าการแสดงออกแบบนี้เป็นไหนๆ





“นายอาจคิดว่าฉันฉวยโอกาส  แต่สำหรับฉัน ที่ฉันจูบนายเพราะฉันอยากบอกให้รู้ว่าฉันชอบนายมากแค่ไหน”





หัวใจดวงน้อยเต้นถี่แรงจนเจ็บ แต่กลับรู้สึกดีกับสายตาและคำพูดของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า





ราวกับว่าบานประตูหนาหนักที่เคยปิดสนิท กำลังจะเปิดแง้มออกช้าๆ  และแม้ว่ามันจะยากเย็นและเนิ่นนานเพียงใด คนคนนี้  จะใช้ความพยายามทั้งหมดที่มี เปิดมันให้จงได้  เพื่อวันหนึ่ง จะสามารถเข้าไปอยู่ข้างในหัวใจของไดกิได้อย่างสมบูรณ์





“ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะจูบนาย เพราะฉะนั้น  ทำใจให้ชินกับเรื่องนี้ซะเถอะ”





ไดกิไม่รู้จะตอบโต้คำพูดเอาแต่ใจนั้นอย่างไร  ได้แต่จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาใกล้เข้ามา





ใกล้...





จนไม่เหลือระยะห่างใดๆ  ระหว่างกัน...





ร่างบางหวั่นไหวกับดวงตาที่แน่วแน่และคมกล้าเสียจนไม่อาจจะสบตาอีกฝ่ายได้อีก  จึงหลับตาลง  ปล่อยหัวใจให้ล่องลอยไปกับความอบอุ่นนุ่มนวลที่จะโอบล้อมกายทั้งสองคนเอาไว้..ตลอดทั้งคืน





....................



..........



.....



..



ที่หน้าประตูห้อง  มีใครบางคนกำลังแนบหูกับประตูด้วยความอยากรู้ว่าคนในห้องกำลังทำอะไรกัน  ส่วนอีกคนก็ยืนมองอย่างเหนื่อยหน่าย





“จะมาแอบฟังชาวบ้านเขาแล้วทำไมต้องลากฉันมาด้วยเนี่ย”





“ช่วยไม่ได้นี่หว่า  ยูโตะกับยูริไม่ยอมมา”





“ก็คราวที่แล้วไปแกล้งหลอกรุ่นพี่ทาคาคิจนถูกยาบุคุงดุมานี่นา ถ้าโดนจับได้อีกคงถูกลดค่าขนมไปทั้งเดือนแน่ๆ”





“ถึงได้ชวนนายมาด้วยไงเล่า! อย่ายืนอยู่เฉยๆซิ มาช่วยกันฟังหน่อย”





“ไม่เอาล่ะ  ง่วงจะตายอยู่แล้ว อยากสอดรู้ก็เชิญอยู่คนเดียวไปเถอะ”





ยามาดะแยกเขี้ยวใส่คนที่เพิ่งจะหันหลังเดินออกไป  พอเห็นว่าริวทาโรเข้าไปในห้องนอนแล้วถึงหันมาแนบหูกับประตูอีกครั้ง  แต่อยู่ๆดวงไฟตรงทางเดินก็ดับพรึ่บ  ยามาดะสะดุ้งสุดตัว เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้น  แต่ไฟก็เริ่มดับทีละดวง..  ทีละดวง..





จนมืดสนิททั้งบ้าน..





“จ๊ากกกกก!!!! ผีหลอกกกกกก!!!!”





ยามาดะวิ่งเข้าห้องไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ กระโดดเข้าซุกตัวกับหมอนผ้าห่มจนเตียงไหว เกือบทำให้อีกสองคนที่นอนอยู่ก่อนแล้วกลิ้งตกเตียง





“เป็นบ้าอะไรของนาย!”





หลังจากที่เห็นว่าชินทาโรยังหลับสนิท  ริวทาโรห็หันไปเอ็ดเบาๆ ใส่ร่างหนา ที่อยู่ดีๆก็วิ่งเข้ามาผิดห้อง





“กลับไปนอนห้องนายซิ”





“ไม่ๆๆๆ กลัวผีโว้ย”





“เงียบนะ ถ้าทำน้องฉันตื่นล่ะก็..”





ริวทาโรแยกเขี้ยวใส่ แต่ร่างหนาก็คว้าหมอนมาปิดหัวเสียจนมิดด้วยความกลัว  ไม่มีทีท่าว่าจะย้ายตัวเองออกจากห้องด้วย





“งี่เง่า!! บ้านนี้ตั้งระบบปิดไฟอัตโนมัติไม่รู้หรือไง ผีเผอที่ไหนเล่า!!”





ยามาดะส่ายหัวอยู่ในหมอนอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายแล้วริวทาโรก็ต้องปล่อยเลยตามเลย  นอนเตียงเดียวกันกับคู่กัดตลอดกาลจนถึงเช้า

























ยูริไม่แปลกใจนักที่จะเห็นพี่ชายตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อซักผ้าในวันหยุด และแม้ว่าคนที่ถือตะกร้าผ้าอยู่ข้างๆไดกิจะไม่ใช่ยาบุเหมือนอย่างเคย ยูริก็จะไม่ถาม





เพราะยังไงซะ..ก็จะมีคนคอยถามให้อยู่แล้ว





“ไหนว่าจะซักตั้งแต่เมื่อคืนไงล่ะ? ไดจัง”



“เมื่อคืนเหนื่อย ก็เลยเผลอหลับไปก่อนน่ะ”





นอกจากจะอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง  แล้วยังต้องใช้สายตาขู่คนข้างๆที่กำลังจะหลุดหัวเราะด้วย  ยูริกับยูโตะไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่มองแพนดาฝาแฝดที่กำลังเดินลงบันไดมา





“นอนไม่หลับเหรอทั้งสองคน”





“ก็ริวน่ะสิ  ทำอะไรอยู่กับยามาดะคุงก็ไม่รู้ เตียงไหวทั้งคืนเลย”





“เจ้าบ้านั่นคนเดียวต่างหากที่ทำ ฉันนอนอยู่เฉยๆก็เอาแขนขามาพาด นอนดิ้นอีกต่างหาก กว่าจะหลับได้ก็เกือบเช้าแล้วเนี่ย”





“ไม่ใช่เพราะริวหรือไงที่ปิดไฟแกล้งยามาดะคุงน่ะ  สงสัยที่นอนดิ้นเพราะฝันร้ายแน่เลย”





“ฉันไม่ได้ทำ! เจ้าบ้านั่นซื่อบื้อกลัวไปเองต่างหาก บ้านหลังนี้มีผีที่ไหนกัน”





“งั้นเมื่อคืนใครปิดไฟล่ะ?”





ไดกิจำได้ว่าเวลาที่ตั้งปิดไฟอัตโนมัติเป็นเวลาสี่ทุ่มของทุกวัน  พ่อกับแม่ที่จากไปเป็นคนตั้งกฎไว้เพื่อไม่ให้ลูกๆนอนดึกจนเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อประหยัดไฟด้วย  ไดกิและน้องๆก็ทำตามมาจนถึงตอนนี้





แต่เมื่อวานไฟปิดตอนสามทุ่มนี่นา..





“เมื่อวานไดจังเรียกช่างเข้ามาไม่ใช่เหรอ สงสัยลืมตั้งเวลาให้ใหม่มั้ง คงต้องเรียกช่างมาอีกทีแล้วล่ะ”





“ตรวจเช็คระบบประจำปีน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันไปปรับเองก็ได้”





พอปัดประเด็นนี้ไปได้ ยูริกับยูโตะแอบถอนหายใจโล่งอก ไดกิเดินออกไปทางหลังบ้านเพื่อไปตากผ้า  เคย์โตะอุ้มตะกร้าใบโตเดินตามไปด้วย พอเดินมาถึงตัวยูริ ร่างสูงก็พูดขึ้นเบาๆพอให้ได้ยินกันสามคน





“แค่ปรับเวลาใครก็ปรับได้นะ คงไม่ใช่ฝีมือช่างหรอก จริงไหม?”





“เคย์โตะคุงจะบอกไดจังมั๊ยล่ะ”





เคย์โตะยิ้มน้อยๆ ตอบรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของยูริกับยูโตะ  พลางฟังเสียงของไดกิที่เรียกมาจากหลังบ้าน





“ถือซะว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน”





“ที่จริงแล้วต้องเลี้ยงข้าวเราสองคนหรอก  ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ไง”





ยูโตะบ่นตามหลังจากที่เคย์โตะเดินออกไปแล้ว  ยูริย่นจมูกใส่ บอกว่าถ้าอยากให้ไดกิรู้ก็เชิญเลย





“ฉันไม่ได้ทำเพราะอยากกินข้าวฟรีซักหน่อย”





เพียงแต่...





ยูริเฝ้ามองพี่ชายทำสายตาขุ่นเขียวใส่คนที่ถือตะกร้าผ้าเดินตามต้อยๆ  คนหนึ่งแกล้ง อีกคนหนึ่งก็งอน  แม้ใบหน้านั้นไม่ได้เปื้อนยิ้มแต่ก็ดูมีชีวิตชีวา ยูริไม่ได้เห็นไดกิที่เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว





นับตั้งแต่วันที่เคย์ออกจากบ้านไป...





ถ้าหาก..





เคย์โตะจะสามารถทำให้พี่ชายของยูริลืมความเจ็บปวดและกลับมาเป็นไดกิที่มีรอยยิ้มเจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ได้  ยูริก็จะขอทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ไดกิเปิดใจยอมรับความรักครั้งใหม่นี้ให้ได้เช่นกัน





“อ๊า!!!!”





ยูริสะดุ้งโหยงหลุดออกจากภวังค์ความคิดเพราะเสียงร้องลั่นของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ  ยูโตะเขย่าตัวยูริจนหัวแทบหลุด ชี้นิ้วไปยังคนสองคนเบื้องหน้า ตะกร้าผ้าที่ว่างเปล่าแล้วหล่นอยู่บนพื้น ยูริเห็นไดกิกำลังดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง เบี่ยงหน้าหนีจมูกโด่งของอีกคนที่ก้มลงมาใกล้ สุดท้ายก็ซุกหน้าลงกับอกแกร่ง เพื่อไม่ให้เคย์โตะฉวยโอกาสจูบได้อีก





แต่ก็ถูกกอดไปทั้งตัว...แล้วก็หน้าแดงไปหมดแล้วด้วย





ได้ยินเสียงบ่นลอยมาแว่วๆ





“จะจูบแฟนตัวเองทั้งที..ลำบากจริงน๊า~”





ยูริอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าไม่ได้หันมาเจอกับแววตาใสปิ๊งออดอ้อนของคนข้างๆแล้วล่ะก็..





“ยูริจ๋า~”





“ฝันไปเถอะ!! ฉันยังไม่หายโกรธเรื่องเมื่อวานหรอกนะ”













To Be Con>>>

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Five


Title : The day we kissed .. Five


Writer : Nalikakeaw


Pairing : Okadai,Takayabu,Nakachi

















หลังจากพักได้เต็มที่ไดกิก็กลับมาทำงานอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาสงสัยของพี่ชาย เพื่อนรัก และคนรอบข้าง


"แน่ใจว่าพกสติมาเต็มร้อย ถ้าวันนี้เอ๋ออีกรอบฉันจะส่งนายเข้าโรงพยาบาลจริงๆ"


ไดกิใช้สายตาถามกลับเป็นเชิงว่าดูตัวเองก่อนดีไหม ร่างสูงตอนนี้เสียงแหบสูดน้ำมูกฟุดฟิดเหมือนคนเป็นหวัด


"ไม่เหมือนหรอกแต่เป็นหวัดอย่างแรงเลยล่ะ เมื่อคืนเห็นว่าร้อนก็เลยเปิดแอร์ให้ พอตื่นขึ้นมาก็เป็นหวัดซะงั้น นายนี่มันแย่จริงๆ ทำไมไม่ลุกขึ้นมาปิดแอร์ หรือถ้าอยากได้ผ้าห่มทำไมไม่บอกฉันห๊ะ! ทนนอนหนาวทั้งคืนได้ยังไง!"


ร่างสูงทำตาปริบๆใส่ยาบุที่เดินเข้ามาในห้อง ใจจริงเขาก็อยากจะทำมันทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่จะปิดแอร์ก็กลัวว่ายาบุที่ห่มผ้าอยู่จะร้อน ลุกออกไปหาผ้าห่มเพิ่มก็หาไม่เจอ  แต่จะให้ปลุกคนที่กำลังหลับสบายขึ้นมาหยิบผ้าห่มให้ เขาก็ทำไม่ได้อีก


ยูยะรู้ว่ายาบุทำงานหนักแค่ไหน เวลาพักก็ได้แต่นอนอยู่ในห้องพักแคบๆนี่ เวลาที่จะได้หลับสบายๆบนเตียงอุ่นๆแทบจะไม่มีเลย


แล้วเขาจะใจร้ายปลุกยาบุได้ยังไง


"ก็นายหลับแล้ว เกรงใจไม่อยากปลุก"


"ถ้าเกรงใจขนาดนั้นวันหลังไม่ต้องไปนอนค้างที่บ้าน ไปแล้วไม่สบายแบบนี้ฉันไม่ชอบ ขี้เกียจดูแล เอ้า! นี่ยา กินซะ!"


ปากก็บ่นว่าแต่ก็ยังตามมาดูแลอยู่ดี ไดกิแอบเห็นคนถูกดุทำตาเป็นประกายวิ้งๆตอนที่รับยามาจากมือของพี่ชายเขา พนันได้เลยว่าถ้ายาบุไม่คอยคุมละก็ ยานั่นต้องลงไปอยู่ในถังขยะแทนที่ยูยะจะกลืนมันลงไปแน่ๆ


"เด็กฝึกงานเป็นยังไงบ้าง"


ยูยะถามหลังจากที่ดื่มน้ำลงไปแก้วใหญ่ หลังจากที่รู้ตัวว่ามีผู้ช่วยมาเพิ่มอีกสองคน ยูยะก็จัดการส่งไปเรียนรู้งานทุกแผนก เริ่มต้นที่ห้องอาหารเป็นที่แรก หัวหน้าห้องอาหารเลยมอบตำแหน่งพนักงานล้างจานให้


"แก้วแตกไปสาม จานคริสตัลอย่างดีแตกไปสอง ฝีมือฮิคารุ ส่วนอีกคนแพ้น้ำยาล้างจานก็เลยให้ช่วยเช็ดจานไปก่อน "


ละชื่ออีกคนหนึ่งไว้ เพราะไม่รู้จะเรียกแทนตัวว่าอะไร ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนอย่างนั้นแล้วว่าไม่ใช่น้องชายเขา


เราไม่รู้จักกัน..


"หมอนั่นน่ะแพ้ง่ายมาตั้งแต่เด็กๆแล้วนี่เนอะ ทั้งน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาถูพื้น สมกับเป็นคุณชายจริงๆ"


พูดถึงความทรงจำเก่าๆด้วยสีหน้าปกติราวกับว่าคนที่เอ่ยถึงนั้น ไม่ได้มีอิทธิพลต่อหัวใจเหมือนที่เป็นมาตลอด หลังจากที่ไดกิออกจากห้องไปแล้ว สองคนที่เหลือถึงได้มองหน้ากันอย่างแปลกใจ


"นายแน่ใจนะยาบุ ว่าไดจังไม่เป็นอะไรแล้ว อาการแบบนี้มันเหมือนคนที่เจ็บจนหัวใจชินชามากกว่าจะทำใจได้นะ"


"ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอก"


"หือ?"


ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้นทันทีด้วยความอยากรู้ ยาบุพูดแบบนี้ ยิ้มแบบนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ


"เปล่านี่"


"เดี๋ยวนี้มีความลับกับฉันเหรอ นี่แน่ะ! รู้อะไรมาบอกมาเดี๋ยวนี้"


ยาบุร้องลั่นเพราะถูกมือดีจับล็อกคอแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งคู่ล้มหงายหลังไปบนโซฟา คนตัวบางกว่าดิ้นขลุกขลักเพราะถึงยูยะจะไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่ถูกล็อกอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้สนุกเลยซักนิด ดิ้นไปดิ้นมาคนที่ยาบุนอนทับอยู่ก็ตวัดขายาวๆขึ้นมาล็อกไว้อีกหนึ่งชั้น


กะว่าชาตินี้จะไม่ให้หนีไปไหนแล้วหรือไง?


"โอ๊ยๆๆ บอกก็ได้ แต่ปล่อยก่อนได้รึเปล่า"


ยูยะปล่อยมือแล้วลุกขึ้นนั่งทันที ทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังยาบุเหมือนเด็กๆคอยฟังนิทาน


"ไม่รู้หรอก"


แล้วก็วิ่งออกจากห้องทันที แต่ก็ยังช้ากว่ายูยะที่กระโดดตามมาล็อกตัวไว้ได้อีกหน


"นึกแล้วว่าต้องมาไม้นี้ บอกมาซะดีๆ ไม่อย่างงั้นวันนี้อย่าหวังว่าจะได้ทำงาน"


"ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่รู้"


"ไม่จริงน่ะ นายต้องรู้อะไรมาแน่ๆไม่งั้นไม่พูดแบบนี้หรอก พี่น้องกันก็ต้องคุยกันทุกเรื่องอยู่แล้วนี่"


"ก็เรื่องนี้เจ้าตัวเค้ายังไม่ได้พูดอะไรนี่หว่า ฉันแค่เดาเอา"


"งั้นมันก็ต้องมีเหตุผลที่ทำให้นายเดาแบบนี้นั่นแหละ ว่ามาเลยอย่าช้า"


"ก็นี่ไง"


ยาบุจิ้มนิ้วลงบนต้นคอตัวเอง ยูยะก้มลงจนปลายจมูกแทบจะปัดถูกต้นคอคนในอ้อมแขน และอาจจะเป็นอย่างนั้นถ้านิ้วเรียวๆไม่เปลี่ยนเป้าหมายมาจิ้มตาเขาเสียก่อน


"อย่ามาทำซื่อ ฉันหมายถึงรอยที่คอไดจังต่างหาก ไม่สังเกตบ้างรึไง"


"รอยอะไรเหรอ?"


"ก็รอยจูบไงล่ะ นายคงไม่คิดว่าเคย์เป็นคนทำหรอกใช่ไหม"


ยูยะเอียงหัวอิงกับคนในอ้อมแขนด้วยความสงสัย รอยจูบงั้นเหรอ? จะว่าไปเขาก็เคยเห็นเหมือนกัน แต่ไม่ทันคิดว่าเป็นรอยที่ใครฝากเอาไว้กับไดกินี่ คิดว่าโดนตัวอะไรกัดมามากกว่า


"ถ้างั้นใคร?"


"นั่นแหละที่ไม่รู้"


ไม่ได้โกหกนะ แต่ยาบุไม่รู้จริงๆว่าคนที่เขาเคยพบที่บ้านคือใคร รู้จักหน้า รู้จักแค่ชื่อ แต่นอกเหนือจากนั้นเขาไม่รู้อะไรเลย


ถามจากไดกิก็ไม่ได้ด้วย  เมื่อเช้าลองถามถึงเคย์โตะ ผลที่ออกมาคือคนถูกถามอายม้วนหน้าแดงแล้วเดินหนีไปเลย


เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาดึงทั้งสองคนออกจากความคิด บริเวณที่พวกเขาอยู่เป็นพื้นที่ด้านหลังของโรงแรมที่มีแต่พนักงานเท่านั้นที่จะเข้ามาได้  หากแต่คนที่กำลังเดินตามทั้งสองคนมานั้นไม่ใช่พนักงานทั่วไป แต่เป็นว่าที่ผู้ช่วยคนหนึ่งของยูยะ ที่มีคนขับรถแสนจะเย่อหยิ่งคอยติดตาม


สองคนนั้นก้มหน้าทักทายยูยะเล็กน้อย แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็นยาบุที่ยืนอยู่ตรงนั้น และถ้าหากว่ายาบุไม่รั้งเอาไว้ ยูยะจะไปกระชากคอมาคุยกันให้รู้เรื่องเสียเดี๋ยวนั้น


"ช่างเถอะ  ฉันไม่ใส่ใจหรอก"


ไม่ใส่ใจ แต่ตายังคอยมอง "น้องชาย" ที่เป็นเพียงอดีตไปจนลับสายตา


"นายว่า เคย์จะได้ยินเรื่องที่เราคุยกันรึเปล่า"


"เขาไม่เห็นหัวแล้วยังจะเป็นห่วงอีกทำไม ได้ยินสิดี! จะได้รู้ซักทีว่ายังมีคนอื่นที่อยากดูแลไดจัง แล้วก็ดูแลได้ดีกว่าไม่ใช่บอกว่ารักแล้วทิ้งๆขว้างๆเหมือนหมอนั่น!"


ยาบุได้แต่ถอนใจ เขาเคยคิดว่าถ้าหากเคย์และไดกิยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันบ้าง ความผูกพันที่มีอาจทำให้เคย์ยอมกลับมาอยู่กับครอบครัวเหมือนเดิม แต่ตอนนี้...คงหมดหวังแล้วสินะ













+++++++++++++++++++++







หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างใจหายใจคว่ำ ยาบุเสริฟอาหารไปก็ต้องลุ้นไปว่าวันนี้จะได้ยินเสียงใครทำจานแตกหรือเปล่า แต่โดยรวมแล้วก็ทำได้ดี ฮิคารุถึงจะดูขัดๆ เก้งก้างทำอะไรไม่ถูกบ้างเพราะไม่เคยทำ แต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถ ส่วนอีกคน..ถ้าไม่ติดว่าแพ้สารเคมีเกือบทุกชนิดแล้วก็ถือว่าทำได้ดีพอตัว


สัปดาห์นี้ทั้งคู่จึงถูกเปลี่ยนให้มาทำหน้าที่เมดทำความสะอาด


"นี่มันแกล้งกันชัดๆ!"


ไม่ใช่ฮิคารุนี่นั่งกางหนังสือพิมพ์อ่านตรงโซฟาหรือว่าเป็นเคย์ที่กำลังศึกษาเอกสารต่างๆอยู่บนที่โต๊ะทำงานของยูยะ แต่เป็นคนขับรถที่คอยติดตามเคย์ที่โวยวายเมื่อได้ยินคำสั่งจากยูยะ


"แกล้งยังไง?"


ยูยะขมวดคิ้วยุ่ง พอๆกับฮิคารุ หรือแม้แต่เคย์ที่เงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมามองคนขับรถของตัวเองด้วยสีหน้าแปลกใจนิดๆ


"เจ้านายผมให้คุณเคย์มาทำงานเป็นผู้ช่วยคุณ แทนที่คุณจะให้ทำงานบริหาร กลับส่งไปทำงานที่เป็นของพวกคนรับใช้ งานไร้สาระแบบนี้ให้ใครมาทำก็ได้"


"ผมไม่คิดว่ามันไร้สาระหรอกนะ คุณจะบริหารโรงแรม คุณก็ต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรงแรมไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน นั่งบริหารอยู่แต่บนหอคอยงาช้างมันจะทำอะไรเป็นได้ยังไง เจ้านายคุณเค้ายังไม่ว่าอะไรเลยซักคำ อย่างว่าละนะ คนขับรถจะมาเข้าใจความคิดของคนระดับผู้บริหารได้ยังไง ถ้าไม่พอใจก็พาเจ้านายของคุณกลับไปซะสิ!"


ฮิคารุฉะกลับแบบไม่เกรงใจ คำพูดเหยียดหยามคนอื่นแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของฮิคารุเลย แต่กับคนตรงหน้านี้ฮิคารุอยากใช้วาจาเฉือนให้เป็นชิ้นๆนัก ให้รู้สำนึกเสียบ้างว่าคนขับรถไม่ควรพูดจาไร้มารยาทเช่นนี้


"คุณเคย์! กลับเถอะครับ! วันนี้ท่านสั่งให้กลับเร็วหน่อยเห็นว่ามีธุระสำคัญจะคุยด้วย"


ร่างบางจัดเอกสารเข้าแฟ้มเรียบร้อยก่อนจะลุกขึ้น ค้อมศรีษะนิดๆอย่างมีมารยาทก่อนจะเดินออกจากห้องไป ฮิคารุยังจ้องตามหลังคู่กรณีไปอย่างเอาเรื่อง


"พอเถอะฮิคารุ เรายังต้องทำงานร่วมกัน ฉันไม่อยากให้มีปัญหา"


"รู้แล้วน่า ฉันแค่สงสัยว่าหมอนั่นอยู่ในฐานะอะไรกันแน่!"


"หมายถึงใคร?"


"ก็..เคย์น่ะ ฉันสังเกตหลายทีแล้วนะ หมอนั่นทำตัวเหมือนเป็นหุ่นยนต์คอยแต่ฟังคำสั่งจากเจ้าคนขับรถนั่นอยู่ตลอดเวลา แล้วเวลาอยู่ที่บ้านน่ะจะเป็นแบบนี้ด้วยรึเปล่า"


ครั้งแรกที่ยอมเอ่ยปากเรียกชื่อตรงๆ ชื่อที่เคยเรียกเมื่อครั้งที่ยังเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้วันนี้จะอยู่ในฐานะที่ห่างเหินกันแค่ไหน แต่ความผูกพันที่มีเมื่อวัยเรียนก็ทำให้อดห่วงไม่ได้


ในเมื่อนายต้องการชีวิตที่ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่...ก็ขอให้นายมีความสุขกับมันนะ


เคย์...








.........................




..............



 ........



.....





"กลับมาแล้ว"


ทิ้งทั้งตัว ทั้งกระเป๋าลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง วันนี้ไดกิกลับบ้านมาคนเดียวเพราะวันนี้ห้องอาหารมีงานเลี้ยง กว่างานจะเลิกก็คงดึก ยาบุเลยทำงานสองกะรวดแล้วค่อยกลับบ้านตอนเช้า ปกติแล้วถ้ามีงานเลี้ยงไดกิจะอยู่ช่วยงานพี่ชายแล้วกลับบ้านพร้อมกันในตอนเช้า


แต่ตอนนี้ที่ห้องอาหารมีคนมาช่วยถึงสองคน ไดกิก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ให้อึดอัดมากไปกว่านี้ ยอมรับตรงๆก็ได้ว่ากลัว ไม่อยากพบหน้า ถึงจะทำเป็นไม่สนใจยามที่ได้เจอ แต่เมื่อไหร่ที่เผลอสบตา รอยแผลในหัวใจก็เจ็บขึ้นมาทุกครั้ง


แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่อาจเทียบเท่าความหวั่นไหวยามที่ได้สบตากับใครอีกคน ..


คนที่เป็นเจ้าของลมหายใจอุ่นที่รินรดลงบนพวงแก้ม สัมผัสนุ่มนวลบนต้นคอและริมฝีปาก ทั้งอ้อมแขนแข็งแรงและแผงอกกว้าง ...


ทุกสัมผัสในค่ำคืนนั้นยังชัดเจน ไม่เลือนหายแม้ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าไร..


เสียงเตือนข้อความดึงร่างบางออกจากภวังค์ ไดกิกดรับแล้วก็ต้องขมวดคิ้วกับเบอร์ผู้ส่งที่ไม่คุ้นตา ในข้อความที่ส่งมานั้นมีเพียงหนึ่งคำ แต่เป็นหนึ่งคำที่ทำให้แก้มร้อนฉ่าและรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของข้อความ


"Kiss~"


ไดกิยกสองมือขึ้นทาบแก้มไม่ให้มันร้อนมากไปกว่านี้ คืนนั้นเขาทำเรื่องน่าอายเหลือเกิน... น่าอายเสียจนต้องคอยหลบหน้า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ร่างบางรู้ว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงไหนจะมีสายตาคมๆคอยมองตาม คอยหาจังหวะที่จะเข้ามาคุยด้วย  แต่ไดกิก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีไปเสียทุกครั้ง เขารู้ว่าเคย์โตะต้องการจะพูดอะไร แต่เขายังไม่พร้อมนี่


ไม่พร้อมที่จะรื้อฟื้นเหต์การณ์ในคืนนั้น


คนบ้า!!!!...


"ไดจัง..ไม่สบายเหรอ?"


ยูริถามออกมาอย่างหวาดๆ พักนี้พี่ชายเขาดูแปลกๆ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ บางทีก็ดูเหมือนจะเพี้ยนๆด้วย ไดกิตบๆแก้มตัวเองสองสามทีเรียกสติตัวเอง


"ยูริมีอะไรเหรอ?"


"ไม่มีอะไรหรอก เห็นไดจังหน้าแดง นึกว่าเป็นไข้ซะอีก"


"ไม่เป็นไร นี่เพิ่งกลับบ้านกันเหรอ? กลับค่ำจัง"


"ก็ซ้อมละครไงล่ะ ไดจังลืมแล้วเหรอ"


จะบอกว่าลืมคนฟังคงเสียใจแย่ พูดถึงงานโรงเรียนแล้วก็นึกขึ้นได้ ยูโตะกับยูริชวนไดกิ ยาบุ ยูยะกับฮิคารุไปด้วยนี่นา


"ไดจางงงงงงงงง  แล้วเรื่องที่ถามเมื่อวานล่า~ งานโรงเรียนน่ะ จะไปใช่มั๊ย? ไปนะๆๆๆๆ"


"ยังไม่ได้ถามยาบุเลย แต่ถ้าติดงานก็คงไปไม่ได้หรอกมั้ง"


สงสัยว่าจะตัดรอนไปหน่อย คนฟังเลยหน้าม่อยทั้งคู่ เฮ้อ.. ปีนี้สองคนนี้ได้แสดงละครในงานโรงเรียนซะด้วยสิ ถ้าไม่ไปให้กำลังใจคงไม่ดีสินะ ไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีเหมือนกัน


"ไปก็ได้ แต่อย่าทำให้ฉันขายหน้านะ ถ้าไปหกล้มบนเวทีละก็ฉันจะลุกออกจากโรงละครเลย"


"เย้~!!!!!"


พูดก็พูดเถอะ ไดกิยังเดาไม่ออกเลยว่าละครเวทีเรื่องสโนว์ไวท์ที่มียูโตะเป็นคนแคระ มันจะออกมาเป็นยังไง







++++++++++++++++++++++++++








บรรยากาศในห้องอาหารวันนี้ไม่เป็นเหมือนเคย แต่ยูยะกลับภาวนาขอให้ทุกอย่างมันกลับไปน่าเบื่อเหมือนเดิมมากว่าที่จะเป็นแบบนี้  ตอนนี้พนักงานทุกคนเกือบจะเป็นโรคชักกระตุกเพราะท่าเสริฟ์อาหารเหินเวหาตีลังกาหมุนตัวสามตลบของฮิคารุให้คอยลุ้นทุกวินาทีว่าอาหารเครื่องดื่มจะถูกเสริฟถึงโต๊ะโดยสวัสดิภาพ



"ฉันจะบ้าตาย! นี่เสริฟ์ธรรมดาแบบชาวบ้านเค้าเป็นมั๊ยห๊ะ!!"



"ให้เดินนิ่งๆเป็นหุ่นยนต์แล้วก็มีมารยาททุกกระเบียดนิ้วแบบหมอนั่นเหรอ? ทำไม่เป็นว่ะ  เป็นแต่แบบนี้"



แล้วถาดที่บรรจุเหยือกกาแฟก็ลอยหวือข้ามหัวยูยะไป ฮิคารุถือถาดด้วยมือข้างเดียว เดินปร๋อไปเสิรฟ์เครื่องดื่มที่โต๊ะใกล้ๆ แขกในงานเลี้ยงพากันหัวเราะ มีฮิคารุบรรยากาศก็สดใสขึ้นทันตา



แต่ถ้าไม่ต้องคอยลุ้นว่าถ้วยชามจะแตกหรืออาหารจะหล่นใส่หัวบรรดาแขกผู้ใหญ่ไฮโซทั้งหลายด้วยก็จะดีมาก



"โอ๊ย!!! ไอ้เด็กไม่มีมารยาท"



นั่นไง! เป็นเรื่องจนได้  ยูยะรีบเดินเข้าไปหาฮิคารุที่ยืนกุมแขนตัวเองเพราะถูกกาแฟร้อนลวก สีน้ำตาลของกาแฟเปื้อนซึมแขนเสื้อเกือบทั้งแขน ฮิคารุจ้องหน้านักธุรกิจสูงวัยที่เดินไม่ดูทางมาชนตัวเองอย่างไม่ยอมความ



"ได้ไง! คุณเป็นฝ่ายเดินมาชนผมเองนะ!!!"



ยูยะเองก็เห็นเช่นกัน ว่าแขกคนนั้นเป็นฝ่ายเดินมาชนฮิคารุที่กำลังรินกาแฟให้สตรีสูงวัยคนหนึ่งอยู่อย่างแรง ยังดีที่ฮิคารุไหวตัวทันกาแฟจึงหกรดแขนตัวเองแทน



"ดูท่าว่าพนักงานโรงแรมนี้คงจะไม่ได้รับการอบรมเรื่องมารยาทมาสินะ ตอนที่รับเข้ามาคงไม่ได้สอบประวัติล่ะสิ หละหลวมแบบนี้คงไปไม่รอดแน่ ไม่รู้ท่านประธานคิดยังไงให้เด็กเมื่อวานซืนมาดูแลกิจการ "



ยูยะหัวเราะหึๆกับถ้อยคำถากถางจากผู้สูงวัยกว่า จะว่าอย่างนั้นมันก็ใช่ แต่น่าแปลกที่เด็กเมื่อวานซืนอย่างเขากลับได้รับความไว้วางใจจากท่านประธานมากกว่านักธุรกิจที่มีประสบการณ์ในงานบริหารและเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสามอย่างคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เสียอีก


"ขอโทษด้วยครับ คราวหลังผมจะบอกให้พนักงานระวังมากกว่านี้"


ยูยะส่งสายตาปรามเพื่อนที่กำลังจะอ้าปากค้าน เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษก่อนแม้ว่าจะไม่ได้เป็นฝ่ายผิดก็ตาม เหตุผลหนึ่งนั้นด้วยมารยาท ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง...


"ฉันไม่คิดว่าเธอจำเป็นต้องขอโทษหรอกนะ"


สตรีสูงวัยที่ฮิคารุเพิ่งเสริฟกาแฟให้เอ่ยกับยูยะ และฮิคารุ ยูยะจำได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับอาของเขาเช่นกัน แต่เป็นธุรกิจในส่วนอื่นที่ไม่ใช่การโรงแรม  แม้จะอายุมากแต่ความน่าเกรงขามนั้นยังมีสมกับที่เป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหญิงเหล็กแห่งวงการ


"คุณเองก็เหมือนกัน ทำไมต้องไปหาความกับเด็กด้วย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง"


ในสายตาของแขกคนอื่นๆผู้น้อยอย่างเขาย่อมได้รับความเห็นใจมากกว่าแขกที่เรี่องมากเอาแต่ใจจอมหาเรื่องอยู่แล้ว


"ผมแค่สั่งสอนเด็กเท่านั้น ว่าวันหน้าวันหลังอย่ารับกุ๊ยกระจอกข้างถนนเข้ามาทำงานให้โรงแรมเสียชื่อ"


"ขอโทษนะ แต่บังเอิญว่ากุ๊ยกระจอกที่คุณพูดถึงนั่นเป็นลูกชายผม!"


ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาอยู่กลางวงอย่างงามสง่า น้ำเสียงเรียบๆแต่ดุดันนั้นก้องไปทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยงที่ไม่รู้ว่าเงียบลงตั้งแต่ตอนไหน เพียงแค่มองนิ่งๆก็ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าสบตา  แขกทุกคนใจห้องจัดเลี้ยงต่างเดินเข้ามาทักทายผู้มาใหม่อย่างนอบน้อม และยังทักทายนักธุรกิจหญิงเลยไปจนถึงฮิคารุและยูยะด้วย  แต่กลับเมินอีกหนึ่งนักธุรกิจใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นไปอย่างสิ้นเชิง


และหลังจากที่ทักทายทุกคนจนครบแล้ว ยาโอโตเมะผู้พ่อ ถึงได้มีโอกาสได้เอ่ยปากกับลูกชายคนเดียวเสียที


"มัวยืนทำอะไร? ไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วกลับมาทำงานต่อสิ"


เท่านั้นฮิคารุก็หันหลังเดินออกไปโดยไม่เอ่ยปากทักทายพ่อสักคำ จากนั้นผู้สูงวัยกว่าจึงได้หันมาทักทายยูยะพลางเอ่ยชมว่ายูยะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีพอตัว


"ถ้าเธอไม่อยู่ ลูกชายฉันคงต่อยปากหุ้นส่วนของฉันไปแล้ว ธุรกิจก็แบบนี้ ต่อให้อีกฝ่ายน่าชังยังไงซะก็ยังมีผลประโยชน์ ไม่มีปัญหาต่อกันน่ะดีที่สุด"


ยูยะรับคำพลางคิดตามอย่างเงียบๆ เดินตามผู้สูงวัยไปจนถึงห้องทำงานของเขาเอง คอยดูแลความสะดวกให้เรียบร้อยจึงขอตัวออกมาทำงานต่อ แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากห้อง พ่อของฮิคารุก็พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ยูยะคิ้วกระตุกทันที


"ตามเพื่อนเธอคนนั้นมาพบฉันด้วยนะ ยาบุคุงน่ะ บอกเขาว่าฉันมีเรื่องจะพูดด้วย"








++++++++++++++++++++++++++++++++









เวลาผ่านไปเพียงสิบนาที แต่ยูยะกลับรู้สึกเหมือนว่าผ่านไปซักชาตินึงได้ ตอนนี้เขาไม่เป็นอันทำการทำงานได้แต่เดินกระวนกระวายอยู่ในห้องอาหาร ห่วงแสนห่วงคนที่ถูกเรียกพบ เขารู้มานานว่าพ่อของฮิคารุไม่ชอบหน้ายาบุและบรรดาพี่น้องสักเท่าไหร่ เขาไม่เคยรู้ว่าเป็นเพราะอะไร และเพราะความไม่รู้นี่เองที่ทำให้เขาจะเป็นบ้าอยู่แล้ว


"พ่อนายเรียกยาบุเข้าไปหาทำไม?"


คำถามเดิมๆที่ฮิคารุก็ตอบไม่ได้ ได้แต่มองเพื่อนรักเดินไปเดินมาจนเวียนหัว ยูยะเอ๊ย! เคยรู้สึกตัวบ้างไหมว่าแสดงออกมากเกินไปจนชาวบ้านเค้ารู้หมดแล้วว่าคิดยังไง ยาบุก็มัวแต่ทำงานงกๆไม่เคยเงยหน้าขึ้นมารับรู้อะไรบ้างเล้ยยย!!!


แล้วชาตินี้เมื่อไหร่จะลงเอยกันวะ!!!!!


"ทาคาคิคุง ยาบุคุงออกมาจากห้องแล้วล่ะ กำลังเดินไปที่ห้องพักด้านหลังแน่ะ!"


ยูยะเอ่ยคำขอบคุณพนักงานที่มาส่งข่าวแล้ววิ่งออกจากห้องไปแบบสายฟ้าแลบ ไม่สนใจฮิคารุที่ตะโกนตามหลังไปแม้แต่น้อย


"ดูมัน! พอสายมาส่งข่าวก็เหาะไปหากันเลยนะ ไม่คิดบ้างรึไงว่าฉันก็อยากรู้เรื่องเหมือนกันนะโว้ย!!!"




.............................


................




........



....




"เธอรู้รึเปล่า ว่าฉันไม่ชอบเท่าไหร่ที่เห็นลูกชายฉันไม่สนใจเรียนเอาแต่ตะลอนๆหนีเที่ยวไปกับพวกเธอ"


"ครับ"


ยาบุรับคำ ไม่คิดจะแก้ตัวทั้งๆที่ความจริงแล้วฮิคารุกับยูยะต่างหากที่เป็นหัวโจก พาเขากับน้องๆโดดเรียน


"เธอคงรู้สินะว่าฉันไม่พอใจที่ลูกชายไม่ยอมกลับบ้าน เมื่อไหร่ๆก็ไปนอนค้างที่บ้านพวกเธอ ไม่เคยโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นเลย"


"ทราบครับ"


ทั้งฮิคารุและยูยะเลยล่ะ เหตุผลของทั้งสองคนคือกลับไปก็เจอแต่บ้านที่ว่างเปล่ากับคนรับใช้ เลยไม่รู้จะกลับไปทำไม


"แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันเกลียดพวกที่มาทำตีสนิทกับลูกชายฉันเพื่อจะหาผลประโยชน์ แล้วไอ้ลูกชายตัวดีมันก็เอาฐานะลูกชายฉันไปบังคับทีมทนายประจำตระกูลเพื่อช่วยให้พวกเธอได้บ้านคืนมา"


"ครับ"


ยาบุกำมือแน่น จริงอยู่เมื่อครั้งที่บ้านของพวกเขาพี่น้องกำลังจะถูกยึดไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของคนที่พ่อแม่ของเขาไว้ใจมากที่สุด ฮิคารุได้ยื่นมือเข้ามาช่วยไว้อย่างที่ผู้สูงวัยพูดจริงๆ และถ้าไม่นับเงินที่พวกเขายืมมาตอนที่ยูริป่วยหนัก เขาก็ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากใครอีกเลย  คำพูดนี้จึงยากที่จะทำใจให้ยอมรับได้


"แล้วนี่ ลูกชายฉันก็ดิ้นรนจะมาทำงานที่นี่ ทั้งๆที่กิจการอื่นๆในเครือมีตั้งเยอะแยะ แต่ก็ยังจะเอาชีวิตมาผูกติดกับพวกเธอ แล้วเธอคิดว่าลูกฉันจะมีอนาคตแบบไหน?"


"ท่านต้องการจะพูดอะไรครับ?"


"ฉันจะพูดอะไรได้ ได้ข่าวว่าเธอเป็นคนโปรดของทาคาคิคุงนี่ พูดอะไรผิดหูไปเรื่องคงไปถึงหูท่านประธาน ฉันก็จะถูกท่านเคืองซะเปล่าๆ"


"ผมไม่-"


เช็คใบหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ แม้เป็นกระดาษเพียงใบเดียว แต่จำนวนตัวเลขที่อยู่บนนั้นมันมากเสียจนยาบุตกใจ ความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมาจนปวดหัว แม้ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร แต่เขาก็เลื่อนเช็คกลับคืนไปให้พ่อของฮิคารุ



"เธอรู้เหรอว่าฉันให้เช็คใบนี้เพราะอะไร"


"ไม่ทราบครับ แต่ผมไม่อยากได้"


"หยิ่งยโสจริงนะ ฉันแค่อยากจะขอบคุณ"


"หา?ครับ?"


"ฉันอยากจะตอบแทนครอบครัวเธอบ้าง ที่คอยดูแลฮิคารุมาตลอด ส่วนเรื่องบ้านนั่นน่ะฉันไม่ได้ใส่ใจหรอก ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่ฮิคารุยังพึ่งพ่อที่เอาแต่ทำงานอย่างฉัน เพราะนอกจากเรื่องเงินแล้วเจ้าเด็กดื้อนั่นไม่เคยขออะไรจากฉันอีกเลย"


ยาบุรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม หนึ่งนาทีก่อนหน้านี้เขายังโกรธสุดขีดอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไหลออกจากสมองไปหมด จนในหัวมีแต่อากาศว่างเปล่า


"ดูเหมือนว่าหลายปีมานี่ฉันเข้าใจพวกเธอผิดไปสินะ ไอ้ตัวดีนั่นก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฉันฟังเลยทั้งเรื่องบ้านแล้วก็เรื่องเงิน"


"ถ้าท่านมีเวลาได้อยู่กับลูกบ้าง ฮิคารุคงจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง โอ๊ะ! ขอโทษครับ ผมไม่ควรพูดแบบนี้"


แต่ผู้สูงวัยกว่ากลับหัวเราะชอบใจมากกว่าจะรู้สึกขุ่นเคือง ยาบุจึงถอนหายใจโล่งอกได้


"แล้วเช็คนี่ล่ะ เธอจะไม่เก็บไว้เหรอ"


"ผมขอรับไว้แค่คำขอบคุณได้ไหมครับ"


"หึๆ งั้นก็ตามใจ แต่เวลาฉันให้อะไรใครแล้วก็ไม่รับคืนเหมือนกัน เอาเป็นว่าเช็คใบนี้ฉันจะให้ฮิคารุเก็บไว้จนกว่าเธอจะมารับไปก็แล้วกัน"


ยาบุรับคำเพื่อไม่ให้เสียมารยาท แต่ใจจริงเขาไม่อยากได้เลยซักนิด  แต่น่าแปลก แท้ที่จริงแล้วพ่อของฮิคารุเรียกเขามาเพื่อเช็คใบนี้งั้นหรือ


"เธอฉลาดมาก ที่จริงแล้ว ฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องบอกเธอ"





.............................



 .................




 ...........


...





ร่างบางเอนกายลงบนโซฟาเก่าๆที่เอามาใช้เป็นที่นอนชั่วคราวให้ห้องแคบๆทึบๆนี้อย่างอ่อนแรง สิบนาทีที่ได้พูดคุยกับพ่อของเพื่อนรักทำเอาเรี่ยวแรงหายไปหมด ยาบุเองดีใจที่มีผู้ใหญ่เอ็นดูให้ความช่วยเหลือ แต่เรื่องที่เขารับรู้หลังจากนั้นมันชวนให้เป็นกังวลอยู่ไม่น้อย


"ฮอนดะซังน่ะหรือครับ?"


"ใช่ ฉันคิดว่าเธอน่าจะพอรู้แล้วว่าคนที่รับน้องชายเธอไปเป็นลูกบุญธรรมเป็นคนแบบไหน"


"รู้ไม่มากไปกว่าที่เห็นในวันนี้หรอกครับ"


"งั้นฉันจะบอกเธอก็แล้วกัน คนๆนั้นน่ะ ร่ำรวยมาจากการทำลายธุรกิจของคนอื่น เธอเข้าใจไหม? แทรกแซงการบริหารให้ล้มเหลวแล้วก็ฮุบกิจการมาเป็นของตัวเองซะ กิจการทุกอย่างที่เป็นของฮอนดะเขาไม่ได้สร้างด้วยมือของตัวเอง ไม่เหมือนธุรกิจของฉันหรือของท่านประธานที่ทุกคนในครอบครัวร่วมใจกันสร้างขึ้นมา"


ยาบุพยักหน้าหงึกๆ พยายามคิดตามให้ทันทุกประเด็น


"แล้วฉันก็คิดว่าเป้าหมายต่อไปของคนๆนั้น ก็คือที่นี่แหละ เห็นชัดๆจากที่เขาส่งคนของเขามาเป็นผู้จัดการโรงแรม ซึ่งก็ดูไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย ทุกอย่างที่นี่ทาคาคิคุงเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด"


"งั้นทำไมท่านไม่บอกเรื่องนี้กับยูยะล่ะครับ ทำไมถึงบอกผม"


"เพราะเธอเกี่ยวข้องด้วยน่ะสิ เหตุผลแรก เธอเป็นคนที่ทาคาคิคุงไว้ใจที่สุด ยังไงเรื่องนี้เธอก็ต้องบอกเขาอยู่แล้ว ให้ฉันบอกเองเดี๋ยวจะมีใครคาบไปรายงานฝั่งโน้น  เหตุผลอีกข้อ คือน้องชายของเธอกลายไปเป็นคนของฮอนดะและเขาก็ส่งน้องชายเธอมาทำงานที่นี่"


"จะให้ผมถามจากเคย์เหรอครับ"


"ถ้าเธอทำได้นะ"


ให้ไปง้างปากปลาวาฬยังจะง่ายเสียกว่า ทุกวันนี้น้องไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ แถมยังมีคนคอยติดตามทุกฝีก้าว แค่จะถามว่าสบายดีไหมยังไม่มีโอกาสเลย


"อีกไม่นานเธอจะมีโอกาส เชื่อฉัน ทางที่ดีที่สุดคือเธอต้องดึงน้องชายกลับมาให้ได้ ท่านประธานและฉันจะคอยช่วยอยู่ห่างๆ"


คุณป๋าของยูยะรู้เรื่องนี้แล้วสินะ


"ถึงโรงแรมนี้จะไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไร แต่มันก็ถูกสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราทั้งสองกรุ๊ป ทั้งฉันและท่านประธานถึงไม่อยากสูญเสียมันไป ที่สำคัญฉันไม่อยากให้ฮอนดะใช้มันเป็นฐานเพื่อไปทำลายใครด้วย"


"แล้ว..ฮิคารุรู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่าครับ"


"ต้องรู้สิ! ไม่อย่างนั้นไอ้ตัวแสบจะดิ้นรนมาทำงานที่นี่ทำไมกัน!"




.............................




.....................




 ..........



.......






ยาบุเอาแขนก่ายหน้าผากอย่างหนักใจ เขาเป็นห่วงน้อง ห่วงโรงแรมนี้ สองปีที่ทำงานที่นี่เขาผูกพันและรักโรงแรมนี้มากจริงๆ อาจเป็นเพราะได้เห็นความพยายามและทุ่มเทของยูยะมาตลอดก็เป็นได้


แล้วเขาควรทำอย่างไร?


แว่วเสียงประตูเปิดด้วยฝีมือคนที่ยาบุรู้ดีว่าเป็นใคร จึงไม่จำเป็นต้องลืมตาขึ้นมามอง นอนนิ่งๆให้ใครคนนั้นแตะมือบนหน้าผากและแก้ม  มือนั้นอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใยเหมือนทุกครั้ง สัมผัสที่ได้รับนั้นทำให้ร่างบางรู้ว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาจะมีมือคู่นี้ให้พึ่งพาเสมอ


"ตัวไม่ร้อน ... นายปวดหัวเหรอยาบุ"


"เปล่านี่ แค่เครียดนิดหน่อย"


ยาบุลุกขึ้นให้ยูยะได้นั่งลงข้างๆกัน เอนตัวพิงกับไหล่หนาอย่างเหนื่อยอ่อน ยูยะแนบอกอุ่นกับแผ่นหลังบาง วาดแขนสองข้างขึ้นโอบไหล่บางเอาไว้ กระชับอ้อมแขนเบาๆให้กำลังใจ ทุกครั้งที่ยาบุรู้สึกท้อหรือเสียใจยูยะจะกอดเอาไว้แบบนี้


ตอนที่พ่อกับแม่ตายก็เหมือนกัน....


ยาบุสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่ก็ยังช้าเกินไป หยดน้ำอุ่นๆร่วงลงบนแขนทำยูยะใจหาย พ่อของฮิคารุว่าอะไรยาบุงั้นหรือถึงได้ร้องไห้แบบนี้


"อยู่ดีๆคิดถึงพ่อแม่ขึ้นมาน่ะ ท่านน่ะไม่ได้เรียกฉันไปว่าหรอก"


"งั้นบอกมาสิ ว่าเรียกไปคุยเรื่องอะไร เราไม่มีความลับต่อกันใช่รึเปล่า"


แน่นอนว่ายาบุต้องบอกอยู่แล้ว เรื่องสำคัญแบบนี้ แต่เขาควรเริ่มต้นจากตรงไหนดี?









+++++++++++++++++++++++++++++++











แล้วปัญหาทั้งหมดนี่...



มันเกี่ยวกับงานโรงเรียนตรงไหน?...



หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด  ประโยคแรกที่ยูยะบอกกับเขาหลังจากที่นิ่งอยู่นานคือ...



"เดือนหน้ามีงานโรงเรียนใช่รึเปล่า ในฐานะศิษย์เก่านายกับไดจังน่าจะไปนะ ฉันไปไม่ได้แต่เดี๋ยวฉันจะฝากของที่ระลึกไปให้อาจารย์ด้วย"



"ยูยะ?"



"นายน่าจะพักผ่อนซะบ้างนะ เครียดมากๆเดี๋ยวจะปวดท้องอีก แล้วอย่าลืมถ่ายรูปยูริกับยูโตะมาให้ด้วยนะ เอาแบบชัดๆล่ะ"



"จะขยายเอาไปติดฝาบ้านหรือไง?"



จริงสินะ ยาบุก็ลืมนึกไปว่าโรงแรมนี้เป็นกิจการของครอบครัวยูยะ พนักงานอย่างเขาไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไรไปมากกว่าหน้าที่ของตัวเอง คิดได้ดังนั้นจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของยูยะทันที แต่มีหรือที่ยูยะจะยอมปล่อยง่ายๆ



"จะเอาไปติดที่ห้องอาหารเลยล่ะ อย่าเพิ่งงอนน่ายาบุ"



"เปล่านี่"



ไม่ได้งอนแต่แอบประชดนะเมื่อกี๊ ..  ยูยะรั้งร่างบางให้อิงแอบกับอกอีกครั้ง สำหรับเขาแล้วยาบุไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นคนใกล้ที่เขาสามารถจะวางใจเล่าทุกเรื่องให้ฟังได้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ก็มียาบุคนเดียวเท่านั้น



"ฉันไม่ได้คิดจะกันนายออกจากปัญหาพวกนี้หรอกน่า แค่อยากให้นายไปพักสมองบ้าง เครียดมากๆแล้วนายจะเอาหัวที่ไหนมาช่วยฉันคิดล่ะ"



"แล้วไม่ไปด้วยกันเหรอ?"



"ก็อยากไปนะ แต่ไม่มีใครดูที่นี่น่ะสิ นายก็รู้"



ยาบุถอนใจหนักๆระบายความเครียดในอก นึกอยากย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกสักครั้ง จะได้มีความสุขกับชีวิตไปวันๆ ไม่ต้องคิดอะไร



พอเป็นผู้ใหญ่แล้วมันเหนื่อยจริงๆ....







...............................



.................



...........



.....









บรรยากาศในหอประชุมเงียบลงทันทีที่ดวงไฟทุกดวงดับมืด ตามลำดับการแสดงในสูจิบัตร รายการที่จะแสดงต่อจากนี้คือผลงานละครเวทีจากนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สาม เรื่อง "สโนว์ไวท์"



"ยูริน่ะฉันไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่ยูโตะนั่นล่ะจะทำให้ขายหน้า คนคัดนักแสดงคิดยังไงให้ยูโตะเล่นเป็นคนแคระ ให้เป็นต้นไม้ฉันจะไม่ว่าซักคำ"



คำพูดของยาบุช่างเต็มไปด้วยความภูมิใจและชื่นชมเสียจนคนฟังภูมิใจแทนยูโตะเสียจริงๆ แต่ไดกิก็เข้าใจว่าทำไมยาบุถึงได้เป็นห่วงหนักหนา ก็ขนาดเวลาอยู่ที่บ้านข้าวของที่อยู่ของมันเฉยๆ ยูโตะยังทำให้มันพังได้  ไม่อยากนึกเลยว่าละครเวทีวันนี้ จะมีอะไรให้ตื่นเต้นกว่าที่บ้านหรือเปล่า



"พูดเกินไปละมั้ง บางทีมันอาจไม่เป็นอย่างที่นายคิดก็ได้"



"หึ! คอยดูไปเถอะ"



เสียงปรบมือดังต้อนรับฉากแรกเบื้องหลังผ้าม่านที่ค่อยๆเลื่อนขึ้น ผู้ชมยิ่งปรบมือและส่งเสียงชื่นชมกับความงดงามและอลังการของปราสาทยุคโบราณท่ามกลางประกายระยับของหิมะ



ท่ามกลางความงามเหล่านั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งผิวขาวดั่งหิมะ ริมฝีปากแดงดั่งสีชาด เส้นผมยาวดำขลับราวเส้น ยามแย้มยิ้ม สะกดให้ทุกคนในที่นั้นจ้องมองจนแทบลืมหายใจ งดงามเปล่งประกายโดยไม่ต้องพึ่งพาแสงไฟแม้แต่น้อยเสียงปรบมือดังก้องยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ยูริคำนับ ย่อตัวลงพร้อมกับยิ้มให้คนดูอย่างอ่อนหวาน ทำเอาผู้ชมที่นั่งอยู่แถวหน้าหัวใจละลายสิ้นชีพไปตามๆกัน



ยูริทำได้ดีมากจริงๆ สามารถสะกดสายตาคนดูได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว แม้ในหอประชุมจะมืดแต่ไดกิก็รู้สึกได้ว่าทุกคนคอยลุ้นให้กำลังใจสโนว์ไวท์แสนสวยคนนี้อยู่ทุกขณะ



ส่วนตัวเขากับยาบุนั้น ต้องคอยลุ้นฉากที่อยู่หลังจากนี้ต่างหาก ...



สโนว์ไวท์หลบหนีจากปราสาท ร่อนเร่อยู่ในป่าจนมาพบกับบ้านของคนแคระทั้งเจ็ด และตอนนี้สโนว์ไวทืกำลังหลับปุ๋ยรอเวลาให้คนแคระกลับจากเหมือง



คนแคระเดินพาเหรดเรียงแถวเข้ามาในฉาก ทุกคนต่างมีอุปกรณ์สำหรับขุดเหมืองพาดอยู่บนบ่า ร้องเพลงเดินตามกันเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี



โครม!!!!!



เนื่องด้วยว่าตัวบ้านนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนดูมองออกว่าเป็นบ้านของคนแคระ เพราะฉะนั้นนักแสดงซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นเด็กมัธยมปลายที่ตัวกำลังยืดเต็มที่ ต้องก้มตัวเพื่อให้ลอดพ้นประตูไปได้



แต่ไม่ใช่กับคนแคระที่เดินอยู่ท้ายสุด..



จังหวะที่ก้มตัวลอดประตูนั้น ยูโตะไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงได้ชนประตูเสียงดังสนั่น บานประตูข้างหนึ่งหลุดจากบานพับเอียงกะเท่เร่  และด้วยความตกใจยูโตะวิ่งกลับเข้าไปหลังฉากเพื่อไปหาฆ้อนมาซ่อมประตู ผลก็คือคราวนี้ประตูหลุดอออกมาทั้งบานเลย!!



ยาบุและไดกิตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ อุทานออกมาโดยพร้อมเพรียง



ว่าแล้วววววววว!!!!!!!



ไม่ใช่ละครแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ  ไม่ใช่ละครสยองขวัญชวนหวีด แต่สองพี่น้องก็พร้อมใจยกสูจิบัตรในมือปิดบังใบหน้าตัวเองไปเสียครึ่ง ป้องกันเหตุการณ์หวาดเสียวที่เกิดขึ้นในฉากต่อๆมา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยูโตะเหยียบชายกระโปรงของยูริจนร่างเล็กสะดุดล้มหน้าคว่ำเกือบตกเวที ยูโตะคว้าเอวยูริไว้ทันและรับผิดชอบด้วยการหิ้วเจ้าหญิงสโนว์ไวท์เข้าหลังเวทีไปทั้งอย่างนั้น



"ถ้ายูริตกเวทีละก็ฉันจะหักคอแก ยูโตะ!!!!"



ไดกิคำราม



หรือตอนที่ยูโตะโบกไม้โบกมือให้กับยาบุและไดกิจนเผลอปัดถูกวิกผมของยูริกระเด็นหวือไปทางคนดู



"โอ๊ยยย!! กรรม!!" ยาบุอุทานเสียงแผ่ว



โชคยังดีนักที่ยูรินั้นมีรอยยิ้มเป็นอาวุธ เพียงแค่เห็นรอยยิ้มหวานๆ ทุกคนก็พร้อมจะลืมทุกข้อผิดพลาดบนเวที ลอยละล่องไปกับนิทานดังเดิม



เรื่องราวดำเนินมาถึงฉากสุดท้าย ทุกคนในโรงละครถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่ช่วยกันลุ้นคนแคระตัวโย่งให้แสดงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี บทเจ้าชายที่แสดงโดย ยามาดะ เรียวสุเกะ นักเรียนร่วมชั้นคนดังนั้นทำให้สาวๆหลายคนถึงกับเพ้อจนลืมความจริงไปข้อหนึ่งว่า ความสูงของเจ้าชายและเจ้าหญิงกับความสูงของคนแคระนั้นช่างกลับตาลปัตรกันจนน่าใจหาย



ม่านปิดลง ด้วยภาพอันน่าประทับใจ ด้วยฝีมือยูโตะที่สะดุดล้มชนกับฉากจนล้มครืนเป็นทอดๆเหมือนโดมิโนเป็นการส่งท้าย









+++++++++++++++++++++++











"ฉันอยากจะบ้า!!!!"



ละครเรื่องนี้ไม่ได้จรรโลงใจให้หายเครียดได้เลยจริงๆ มีแต่จะทำให้ปวดหัวมากขึ้นละสิไม่กว่า



"นายก็คิดซะว่ามันเป็นละครตลกสิ ยูโตะคงไม่ได้ตั้งใจให้งานออกมาเป็นแบบนี้หรอก ยังดีที่ไม่ป่วนจนไฟไหม้เวทีเหมือนที่เกือบทำไฟไหม้บ้านตอนที่เข้ามาอยู่กับเราใหม่ๆน่ะ โอ๊ะ! การแสดงต่อไปจะเริ่มแล้วล่ะ"



ไดกิอุทานอย่างตื่นเต้น เมื่อกี๊อ่านในสูจิบัตร การแสดงต่อไปคือร้องเพลงประสานเสียงโดยชมรมขับร้องประสานเสียงประจำโรงเรียน ชมรมโปรดของไดกิสมัยเรียน แต่หลังจากที่เรียนจบ ไดกิก็ไม่ได้ติดต่อรุ่นน้องคนไหนอีกเลย ป่านนี้คงจะโตๆกันหมดแล้วละมั้ง



เสียงไวโอลินดังแผ่ว แสงไฟสีฟ้าสาดส่องลงบนร่างกลุ่มนักร้องทั้งสิบเอ็ดคนบนเวที เด็กทุกคนอยู่ในชุดสูทสีขาวท่ามกลางสายหมอกสีฟ้าชวนฝัน เสียงใสๆขับขานโดดเด่น ประสานกับเสียงไวโอลิน และเสียงกีตาร์โปร่ง ไดกิไล่สายตามองกลุ่มนักร้องไปทีละคน  บางคนร่างบางรู้จักและคุ้นเคย แต่บางคนก็ไม่คุ้นหน้า คงจะเป็นสมาชิกใหม่ที่เข้ามาทดแทนคนที่จบไปในแต่ละรุ่น  มองเรื่อยไปจนถึงนักดนตรีที่บรรเลงเพลงอยู่ด้านหลังสุดของเวที



เสียงไวโอลินเพราะจับใจนั้นจะเป็นของใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ โกโต ฮิโรมิ สมาชิกชมรมดนตรีคลาสสิค ...



"ไดจัง! นั่น!"



ต่อให้ยาบุไม่ได้สะกิด ไดกิก็รู้ได้ว่าคนที่กำลังนั่งเล่นกีตาร์โปร่งอยู่บนเวทีเคียงข้างกับนักไวโอลินคนนั้นคือใคร และแม้ว่าร่างสูงจะนั่งอยู่ในมุมสลัว แต่กลับโดดเด่นด้วยการแต่งตัวที่แตกต่าง ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาๆสวมทับกับเสื้อกล้ามสีดำ สวมกางเกงยีนส์สีเข้ม กับรองเท้าผ้าใบ



เพียงเท่านั้น ..



ร่างบางก็ลืมทุกสิ่งรอบตัว เสียงเพลงเลือนหาย ได้ยินเพียงเสียงกีตาร์ใสๆจากปลายนิ้วคอยบรรเลง สายตาจับจ้องอยู่แต่ใบหน้าคมคายที่เคยได้แนบชิด และราวกับว่าจะรู้ ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับไดกิได้อย่างพอดิบพอดี สายตาอบอุ่นจากอีกฝ่ายนั้นสะกดให้ไดกินิ่งไปราวกับต้องมนต์ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มน้อยๆราวกับจะย้ำเตือนถึงสัมผัสที่ได้ฝากไว้ที่ริมฝีปากคู่นี้



และเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น...





..............................





..................





........





...





หลังจากการแสดงในหอประชุมจบยาบุปลีกตัวไปจัดการธุระที่ยูยะฝากมา คือการนำเช็คเงินสนับสนุนที่คุณป๋าของยูยะมอบให้โรงเรียนเป็นประจำทุกปี ไปมอบให้กับอาจารย์ใหญ่



โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีลูกหลานของคนในแวดวงธุรกิจเข้ามาเรียนอยู่มากมาย เพราะฉะนั้นค่าเทอมจะสูงแค่ไหนไม่ต้องพูดถึง  ถ้าหากไม่มีพ่อกับแม่ ไดกิกับพี่น้องคงไม่ได้เข้ามาเรียนที่นี่



ไดกิเดินเข้าห้องโน้นห้องนี้ ดูนิทรรศการไปเรื่อยๆฆ่าเวลาระหว่างที่รอยาบุ จนมาถึงอาคารกลาง อาคารสูงเจ็ดชั้นรูปตัวแอลมี่ชั้นแรกถูกจัดให้เป็นห้องทำกิจกรรมของชมรมต่างๆ ชั้นสองเป็นห้องคอมพิวเตอร์ ชั้นสามถึงชั้นเจ้ดเป็นห้องสมุดที่มีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน ที่นั่นเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของไดกิและเคย์..



คนๆนั้นน่ะ เป็นหนอนหนังสือประจำบ้าน เพราะเป็นแพ้สารเคมีเกือบทุกชนิด เวลาที่พี่น้องทำงานบ้านก็ได้แต่นั่งมองเพราะช่วยอะไรไม่ได้ ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านก็ถูกแมลงกัดจนเป็นผื่นไปทั้งตัว จึงมีแต่หนังสือเท่านั้นที่ทำให้ไม่เหงา



แต่เพราะแบบนี้ถึงทำให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ..



เก่งสมกับที่เป็นนายแล้วนะ... เคย์



เดินเรื่อยไปจนถึงห้องด้านในสุดของอาคาร หยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม้สีน้ำตาลซีดๆที่ร่างบางจำได้ดี ตลอดเวลาหลายปีที่เรียนที่นี่ เขาวิ่งเข้าออกห้องนี้อยู่เป็นประจำ



ชมรมขับร้องประสานเสียง



เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจากด้านในทำให้ไดกิชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู เขาจบจากโรงเรียนนี้มาสองปีแล้ว ในชมรมยังจะมีใครจำเขาได้อยู่ไหมนะ



เสียงบานประตูเลื่อนเปิด ไดกิก้าวถอยหลังไปนิดหนึ่งเพื่อหลีกทางให้คนในห้อง แต่ใครคนนั้นกลับยืนขวางประตูนิ่งจนร่างบางต้องเงยหน้าขึ้นมอง



"ในที่สุดก็ได้เจอกันนะ"



ร่างบางยืนตะลึง ตกใจยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นร่างสูงอยู่บนเวทีเสียอีก ทั้งทั้งที่หลบหน้ามาได้ตลอดแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้มาตกม้าตายเอาตรงนี้..



แต่ก่อนที่ร่างสูงจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เสียงวี๊ดว้ายชื่นชมก็ดังมาจากทางเดินที่ไดกิผ่านมา นักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ บางคนในกลุ่มนั้นดูเขินอายต่างคนต่างเกี่ยงกันว่าใครจะพูดก่อนอยู่นาน จนเคย์โตะเป็นฝ่ายถามขึ้นเสียเอง



"คือ..อยากขอถ่ายรูปด้วยค่ะ"



ร่างสูงเพียงแต่มองไปทางสาวๆกลุ่มนั้นด้วยความแปลกใจ แต่ก็ตอบตกลงแต่โดยดี จึงถูกสาวๆลากแขนไปหามุมถ่ายรูปที่นิทรรศการด้านนอก แต่ก่อนไปเคย์โตะหันมาบอกกับคนที่ยังยืนนิ่งเป็นรูปปั้นว่า



"เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้าน รอก่อนนะ"



น้ำเสียงนุ่มๆที่ร่างสูงใช้กับไดกินั้น มันบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองคนจนทำให้สาวๆรอบข้างแอบจิ๊ปากด้วยความขุ่นเคืองและอิจฉา แต่เท่านั้นคงยังไม่พอ เคย์โตะเพิ่มดีกรีความอิจฉาของสาวๆให้ร้อนขึ้นอีกด้วยริมฝีปากที่ประทับบนกลีบปากนุ่ม ซึมซับความหวานเพียงชั่วครู่ กระซิบคำขู่ที่ทำให้ไดกิหัวใจเต้นแรงจนแทบเป็นลมไปตรงนั้น



"ถ้าหนีหน้าอีกละก็....จะตามไปหาถึงบ้านเลย แล้วคราวนี้..จะไม่จูบอย่างเดียวแล้วนะ"



....................



.........



....







"ไม่ได้เรื่องเลยยยยย"



สองพี่น้องโมริโมโตะโวยวายใส่ไดกิเป็นอย่างแรกหลังจากที่ไดกิก้าวเข้ามาในห้อง



"ทำไมปล่อยให้คนอื่นฉกแฟนไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้เล่า! เนี่ยอุตส่าห์พามาหลบในห้องชมรมแล้วยังโดนลากออกไปจนได้"



"แฟนเหรอ?"



"ก็แฟนไดจังไง สาวๆกลุ่มนั้นน่ะมาคอยตามเคย์โตะเป็นเดือนๆตั้งแต่ตอนซ้อมเลยน๊า~ มีแฟนหล่อก็ลำบากแบบนี้แหละ แต่ดูไดจังไม่หึงเลยอ่ะ ใจกว้างเป็นแม่น้ำไปได้ เอ๊ะ! หรือว่ายูโตะกับยูริไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง?"



ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่เรื่องไหนๆทั้งยูริกับยูโตะก็ไม่ได้บอกไดกิเลยซักนิด สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าเคย์โตะได้เบอร์กับเมลล์เขามาจากไหน ที่แท้สายสืบก็อยู่ใกล้ตัวนี่เอง เดี๋ยวจะคิดบัญชีให้ทำความสะอาดบ้านทั้งเดือนเลย!!!



"ยูโตะกับยูริอยู่ไหนเหรอ เห็นบ้างรึเปล่า"



"ก็คงถูกสาวๆลากไปถ่ายรูปอยู่ตรงซุ้มไหนซักซุ้มละมั้ง คนดังนี่! ชิ! "



ไดกิมองใบหน้าเชิดๆของริวทาโร แล้วก็หันไปสบตาชินทาโร ชินทาโรแอบจุ๊ปากรอจนริวทาโรเดินออกจากห้องไปแล้วถึงได้กระซิบบอกกับไดกิว่า



"ไม่เกี่ยวกับสองคนนั้นหรอก ริวน่ะ แอบหึงยามะจังล่ะ"



ร่างบางรับฟังอย่างไม่เชื่อหู ไอ้คู่กัดข้ามทศวรรษอย่างยามาดะกับริวทาโรนี่น่ะหรือ จำได้ว่าสมัยเรียนไม่มีวันไหนที่ไม่ตีกัน ไม่เว้นเสาร์อาทิตย์และปิดเทอม วันดีคืนดีก็ตามไปทะเลาะกันที่บ้านของไดกิด้วย วันไหนไปวันนั้นบ้านแทบระเบิด



แล้วไปทันกิ๊กกันตอนไหนเนี่ย?....











+++++++++++++++++++++









ความรักนี่เกิดได้ทุกที่ทุกเวลา กับทุกคนจริงๆนะ กามเทพแสนซนช่างเล่นกลกับเราได้น่าตีนัก ทำไมความรักของยามาดะกับริวทาโรถีงได้เกิดขึ้นได้ ทั้งๆที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่กับไดกิ ความรักของเขาที่เกิดขึ้นแล้วกลับไม่มีทางเป็นไปได้



"โอ๊ะ!!"



เดินไม่ดูทางจนเกือบจะชนใครคนหนึ่งเข้า มือเรียวของใครคนนั้นประคองไดกิไว้ไม่ให้ล้ม ร่างบางไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมองก็จำมือคู่นี้ได้



ทำไมต้องได้พบกันอีก...



ถ้าหากไม่เจอกัน หัวใจก็ไม่ต้องเจ็บอีกแล้วแท้ๆ ความทรงจำที่ทั้งสองเคยเคียงข้างกันภายในรั้วโรงเรียนหวนกลับมาตอกย้ำให้หัวใจเจ็บร้าวขึ้นมาอีก ร่างบางหันหลังกลับแล้ววิ่งออกจากที่ตรงนั้นทันที เสียงเรียกที่แว่วตามหลังมาไกลๆนั้นคงเป็นเสียงจากหัวใจเขาเองที่ร่ำร้องให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม



แต่มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว....







................................





..............







.....





นี่เขาวิ่งหนีอะไรอยู่นะ?



หนีใคร? คนที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดทั้งหมดนี่ หนีความเจ็บปวดทั้งหมดที่มี หรือหนีความจริง....



ฝีเท้าชะลอลงเมือยามที่คิด ไดกิเพิ่งรู้ตัวว่าเขาวิ่งมาจนถึงสวนด้านหลังของโรงเรียน สถานที่ที่พวกเขาพี่น้องมักจะมานั่งกินข้าวกล่องกันตอนพักเที่ยง  ในความทรงจำของไดกิมีเคย์อยู่ด้วยเสมอ ไม่ใช่แค่ที่บ้าน หรือที่โรงเรียนเท่านั้น ยิ่งวิ่งหนีมันไปซักเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น



แล้วอยู่ๆน้ำจากฟ้าก็โปรยปรายลงมา ร่างบางวิ่งหลบสายฝนที่กระหน่ำลงมาแบบไม่ทันตั้งตัวไปที่อาคารที่ใกล้ที่สุด อาคารเล็กๆที่ใช้เก็บอุปกรณ์การเรียนเก่าๆที่ไม่ได้ใช้ถูกล็อคไว้จากด้านนอก ไดกิจึงอาศัยชายคาที่ยื่นออกมาเล็กน้อยเป็นที่หลบฝน แต่สายลมก็พัดเอาละอองน้ำเข้ามากระทบผิวกายให้หนาวได้อยู่ดี



ฝนตกหนักแบบนี้คงจะตกไม่นานหรอก ไดกิยืนพิงผนัง ค่อยๆหลับตาลง ปล่อยความคิดล่องลอยไปกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิต ทั้งเรื่องที่ทำให้ดีใจและเสียใจ



จริงสินะ ... เรื่องที่เจ็บปวดกว่านี้ก็เจอมาแล้ว เขายังทำใจผ่านพ้นมันมาได้ กับเรื่องนี้ก็ต้องผ่านไปได้เช่นกัน



แล้วไดกิจะเข้มแข็งขึ้น...



ผ่านไปครู่ใหญ่ สายลมเย็นกับละอองฝนก็หายไป แต่เสียงสายฝนกระทบพื้นดินกลับดังกว่าเดิม และแสงสว่างจางๆที่รับรู้ภายใต้เปลือกตาบางนั้นก็มืดลง



ร่างบางลืมตาขึ้นด้วยความแปลกใจ



ภาพที่เห็นนั้น ช่างเหมือนกับคราวแรกที่ได้พบกัน ต่างกันเพียงในวันนี้สิ่งที่มองเห็นข้ามผ่านไหล่กว้างของร่างสูง เป็นท้องฟ้าสีเทาครึ้มฝน แทนที่จะเป็นสีส้มทอง เคย์โตะวางมือสองข้างยันกำแพงคร่อมร่างเล็กกว่าเอาไว้ ให้ละอองฝนพรมลงบนแผ่นหลัง



"บอกแล้วไงว่าอย่าร้องไห้"



คำปฎิเสธจากริมฝีปากบาง ยังช้ากว่าสองแขนแกร่งที่เลื่อนลงตวัดกอด รั้งร่างเล็กให้แนบชิด กดริมฝีปากเบาๆซับละอองน้ำทั่วใบหน้าใส ไดกิหลับตารับทุกสัมผัสด้วยใจสะท้าน ไม่อาจปฎิเสธคำขอแสนหวานที่จรดอยู่ตรงริมฝีปาก  รสจูบอุ่นเจือสายฝนเย็นฉ่ำดึงดูดให้สองร่างแนบแน่นแทบกลายเป็นคนเดียวกัน ไดกิไล้มือไปบนแผ่นอกแกร่งอย่างเผลอไผล  มอบริมฝีปากตอบแทนความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้....



อย่างเต็มใจ...







+++++++++++++++++++++







"จูบเก่งขึ้นนะ"



คำพูดแรกหลังจากจูบแสนหวานผ่านพ้น คนฟัง ฟังแล้วทั้งโกรธทั้งอายจนต้องฟาดมือลงบนอกคนพูดแรงๆเพื่อเอาคืน คนถูกตีก็ไม่ร้องสักคำ กลับกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก



เมื่อตอนที่ริมฝีปากผละจากกัน ไดกิดูงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนดวงตากลมๆจะฉายชัดถึงความเจ็บปวดและสับสน ซึ่งร่างสูงรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร   เขาจงใจมอบจูบหวานๆเพื่อหลอกล่อให้ร่างบางมึนงงและจูบตอบ แต่กลับทำให้ร่างบางเจ็บปวดหนักขึ้นไปอีกเพราะต้องจูบกับใครอีกคน ทั้งๆที่มีคนรักอยู่แล้ว..



เพราะอย่างนั้น...ถึงจะถูกตีมากกว่านี้ก็จะไม่ว่าสักคำ



"รู้ได้ไงว่าอยู่ตรงนี้"



"ก็ตามมา"



ตามมางั้นหรือ?.. ไดกิคิดอย่างปวดใจ ทำไมคนที่คอยห่วง คอยกอด คอยปลอบเขาตอนที่ร้องไห้ถึงไม่ใช่เคย์



แต่เป็นคนคนนี้?..



หยดน้ำไหลร่วงลงบนแก้มใสทำให้ร่างบางต้องเงยหน้าขึ้น ถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้ร่างสูงเปียกปอนไปเสียครึ่งตัว ผมที่เซ็ทเอาไว้เพื่อการแสดงเปียกฝนลีบลู่ลงแนบแก้ม แผ่นหลังเปียกชุ่มจนมองเห็นเสื้อกล้ามที่ซ้อนไว้ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาว



เพราะไดกิใช่ไหม? เพราะวิ่งตามเขามา..?..  เพราะยืนบังฝนให้ถึงได้เปียกแบบนี้ใช่รึเปล่า?



"เห็นแล้วใช่ไหม?..คนที่ทำให้ฉันร้องไห้"



กลั้นใจสะกดความเจ็บปวดยามพูดถึง  พร้อมๆกับพึ่งอกอุ่นเพื่อกลั้นน้ำตา ถ้าตามตั้งแต่แรกก็คงได้เห็นแล้วสินะ



"อืม..แต่ดูแล้วไม่เหมือนคนใจร้ายใจดำเลยนะ"



"ก็ไม่ใช่น่ะสิ"



"งั้นทำไมถึงพูดว่าเขาทำให้ร้องไห้ล่ะ"



"ไม่รู้"



ความสัมพันธ์ระหว่างไดกิและเคย์ เริ่มตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อกับแม่จูงมือเคย์มาที่บ้าน ตอนที่พ่อกับแม่บอกว่าไดกิจะมีพี่ชายอีกคน ไดกิดีใจที่สุด เพราะยาบุนั้นถึงจะใจดีแต่ก็เข้มงวด ไดกิไม่ได้เกลียดยาบุที่เป็นแบบนั้น แต่เขาเองก็อยากมีเพื่อนเล่นบ้าง เคย์จึงเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ชาย และเมื่อโตขึ้นก็กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ไดกิยังจำได้ดีว่าพ่อ แม่ และยาบุทำหน้าตาประหลาดน่าขำแค่ไหน ตอนที่ไดกิบอกว่า เคย์ไม่ได้เป็นแค่พี่ชายของเขาอีกต่อไปแล้ว



แล้วทั้งสองคนก็อยู่ข้างๆกันเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่...



แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเมื่อพ่อแม่ตาย ทรัพย์สินและเงินที่มากพอจะทำให้พี่น้องทุกคนเรียนจบมหาวิทยาลัยได้กลับถูกคนที่พ่อแม่รักและไว้ใจที่สุดใช้เล่ห์กลยึดเอาไป เหลือเพียงแต่บ้านเท่านั้น  ตอนที่ทุกคนตัดสินใจว่าจะช่วยกันรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายนี้เอาไว้ด้วยกัน เคย์กลับบอกว่าจะออกจากบ้าน แล้วเคย์ก็จากไปจริงๆ ไม่มีเหตุผล ไม่มีคำลาแม้แต่คำเดียว



วันนั้น.. ไดกิถึงได้รู้ว่า เขาไม่เคยรู้จักตัวตนของคนที่บอกว่ารักเขาเลยสักนิด



"เขาอาจ..มีความจำเป็นก็ได้มั้ง"



ก่อนที่จะวิ่งตามไดกิมา ตอนนั้นทันได้เห็นหน้า และแววตาของใครคนนั้นอยู่แวบหนึ่ง ร่างนั้นยืนนิ่ง มือสองข้างค้างอยู่ในอากาศราวกับพยายามจะไขว่คว้าบางสิ่งแต่ก็ไม่อาจทำได้ จึงได้แต่มองตามไปอย่างเจ็บปวด



"ทำไมเข้าข้างกันจัง พูดแบบนี้ถ้าฉันกลับไปดีกับเคย์แล้วนายจะไม่เสียใจเหรอ"



"เอ๋?"



"ก็นายชอบฉันนี่  หรือไม่ใช่"



เพิ่งรู้ว่านอกจากจะมีสายตาที่มองทะลุหัวใจได้แล้ว ยังเปลี่ยนอารมณ์เร็วได้เหมือนกดรีโมท เมื่อกี๊จะร้องไห้อยู่แล้วแท้ๆกลับเปลี่ยนโหมดมาสอบสวนเขาได้ซะงั้น



"ใช่มั๊ยล่ะ ถ้าไม่ชอบจะยอมเปียกฝนตามมาถึงนี่ มายืนบังฝนให้ทำไม เมื่อกี๊แกล้งให้อายจะได้ลืมเรื่องเคย์ใช่ไหม?.."



ไม่ยักพูดถึงเรื่องที่ถูกจูบด้วยนะ แต่ถ้าพูดไปตอนนี้ร่างสูงคงถูกตบตายศพไม่สวยแน่ๆ



"ถ้าบอกว่าใช่แล้วจะทำยังไงล่ะ"



ฟังคำถามแล้วไดกินึกด่าตัวเอง ไม่น่าถามให้เรื่องเข้าตัวเลยจริงๆ จะทำยังไงน่ะเหรอ?.. ในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากความรู้สึกที่เรียกว่า"รัก"น่ะ เป็นยังไง ไดกิก็ไม่อยากจะทำร้ายคนอื่น



ตราบเท่าที่ยังลืมเคย์ไม่ได้...



"ช่างเถอะ" ร่างสูงพูดขึ้นมาหลังจากที่ไดกิเงียบไปนาน "ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบวันนี้หรอก"



"แต่ให้นายรอ มันไม่ยุติธรรม ถ้าฉันกลับไปคืนดีกับเคย์แล้วนายจะทำยังไง"



"ไม่ต้องห่วง"



ไดกิไม่อยากเชื่อเลย!!! มีด้วยหรือคนบนโลกนี้ที่จะยอมเป็นที่พักใจของใครสักคน เพื่อให้คนๆนั้นจากไปโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน มันเป็นไปไม่ได้!!



"ฉันไม่ให้นายไปหรอก"



"ห๊ะ!!"



ร่างสูงก้มลงสบตากับคนในอ้อมกอดด้วยแววตาอย่างที่ไดกิไม่เคยเห็นมาก่อน  ดวงตาคู่นั้นดูมุ่งมั่นและดื้อรั้นเอาแต่ใจในคราวเดียวกัน



"คนอย่างฉัน อยากได้อะไรก็ต้องได้ ที่ฉันบอกว่าจะรอ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้นายไปกับคนอื่นนี่ เพราะฉะนั้นเรื่องจะกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าน่ะ เลิกคิดไปได้เลย"



คำพูดที่เหมือนเด็กเอาแต่ใจนั้นไม่ได้ทำให้ร่างบางนึกชังอย่างที่เคยรู้สึก เพราะร่างสูงเอานิ้วจิ้มลงบนจมูกเล็กเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มนิ่งๆ ที่ไดกิสาบานได้ว่าอาจทำให้สาวๆละลายได้ทั้งโลก



และก็ทำให้เขาอายจนไม่รู้จะทำอะไร เลยได้แต่บ่นเสียงอู้อี้อยู่ในอกแกร่ง



"พูดแบบนี้รู้สึกเหมือนว่านายเหมือนฮิคารุกับยูยะเปี๊ยบเลย"











++++++++++++++++++++++++++++









ไดกิพาร่างสูงกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะต่างคนต่างเปียกฝนจนกลายเป็นลูกหมาตกน้ำเสียทั้งคู่ ถูกยาบุที่กลับมาถึงก่อนแล้วดุว่าหายไปไม่บอกทำให้เป็นห่วง ร่างบางยิ้มร่ายอมรับแต่โดยดี เพราะถือว่ามีคนคอยห่วงยังดีกว่าที่ไม่มีใครเลย ก่อนจะถูกไล่ให้ไปอาบน้ำ



ยาบุวางถ้วยนมร้อนบนโต๊ะ ให้คนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เคย์โตะสวมเสื้อผ้าของยูโตะที่ยาบุขอยืมมาให้ เพราะดูแล้วขนาดตัวคงจะใกล้เคียงกันที่สุด



"แล้วของไดกิล่ะ?"



"รอให้ลงมาก่อนค่อยยกมาให้ คนนั้นน่ะ อาบน้ำนาน ยิ่งอารมณ์ดีแบบนี้คงแช่อยู่ในห้องน้ำซักชั่วโมงล่ะ อุ่นนมหลายรอบมันไม่อร่อย"



คนฟังหัวเราะหึๆ ขอบคุณเจ้าของบ้านแล้วยกแก้วนมขึ้นดื่ม  หลังจากนั้นยาบุถึงได้เริ่มต้นพูดธุระของตัวเอง



"รู้แล้วใช่ไหมว่าพวกเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ"



เคย์โตะพยักหน้ารับ ตอนที่กลับบ้านมาด้วยกัน ไดกิเล่าเรื่องที่บ้าน พี่น้องและครอบครัวให้ฟัง ถึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วบ้านนี้มีแต่เด็กที่ถูกรับเลี้ยงจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก่อนหน้านั้นก็รู้จากยูโตะกับยูริมาบ้าง แต่ที่ไม่รู้ก็คือเรื่องที่ยาบุจะพูดต่อจากนี้



"รู้แล้วก็ยังจะคบกับไดจังต่อไปเหรอ?"



เคย์โตะขมวดคิ้วกับคำถาม ไม่เข้าใจว่ายาบุกำลังจะพูดถึงอะไรกันแน่



"ถึงเราจะไม่รู้จักกัน แต่ฉันก็พอดูออก ว่านายคงเป็นคุณหนูมาจากครอบครัวร่ำรวยแน่ๆ ถ้าคบกับเด้กกำพร้าอย่างไดจังแล้วพ่อแม่นายจะว่ายังไง"



คนฟังเกือบหลุดหัวเราะกับสีหน้าจริงจังของยาบุ ที่แท้ก็กังวลเรื่องนี้เองหรอกหรือ นึกว่าจะหวงน้องจนไม่อยากให้คบกันซะอีก



"ครอบครัวอื่นฉันไม่รู้ แต่ครอบครัวของเราไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลย ที่บ้านน่ะสอนเสมอว่าถ้าอยากได้ดีก็ต้องขยันเรียน ขยันทำงาน ถึงฉันก็ไม่ได้เกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มสร้างธุรกิจ แต่ก็จะใช่ว่าจะถูกเลี้ยงมาอย่างสุขสบายหรอกนะ  อีกอย่าง ฉันกับไดกิก็ยังไม่ได้คบกันหรอก"



คราวนี้ยาบุเป็นฝ่ายที่ต้องแปลกใจบ้าง ยังไม่ได้คบกันงั้นหรือ แล้วความสัมพันธ์ที่เขาเห็นล่ะ



"บอกตามตรงนะ ฉันน่ะฉวยโอกาสที่ไดกิอ่อนแอถึงได้เป็นอย่างที่นายเห็น  แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เราไม่มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าจูบ"



"ทำไมถึงบอกฉันล่ะ ไม่กลัวถูกชกเลยนะ"



"เพราะฉัน .. อยากคบกับไดกิอย่างจริงจังนับจากนี้เป็นต้นไป ตอนนี้เขาก็ไม่มีใครแล้วนอกจากนาย ฉันถึงต้องบอกนายเอาไว้ ว่าฉันชอบไดกิ..และจะทำทุกทางให้ไดกิยอมรับความรู้สึกของฉันให้ได้"



คนๆนี้...ช่างแตกต่างกับอีกคนที่เคยนั่งอยู่ตรงหน้าเขาลิบลับ ตอนที่ไดกิบอกว่ารู้สึกกับเคย์มากเกินกว่าความเป็นพี่น้อง เคย์ไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้ารับอย่างเดียวเท่านั้น แต่กับเคย์โตะ ยาบุรู้สึกได้ถึงความมั่นคง และมั่นใจว่าหากเป็นคนคนนี้ ไดกิจะไม่มีวันร้องไห้



"ฉัน..ไปเอานมร้อนมาให้นะ"



ยาบุเลี่ยงไปทันทีที่ได้ยินเสียงใครสักคนก้าวลงบันไดมา ไดกิมองคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างสงสัย



"พวกนายพูดอะไรกัน?"



"ฉันเพิ่งบอกพี่ชายนายไปว่าจะขอคบกับนายน่ะ"



แก้มใสร้อนวูบขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งนมร้อนซักนิด เคย์โตะหัวเราะ ขอตัวกลับก่อนที่ร่างบางจะแก้มแดงไปมากกว่านี้ แต่ไดกิกลับบอกว่าจะตามไปส่งที่สถานี



"ก็นายอุตส่าห์มาส่งถึงบ้านนี่!"



ดื้อแบบนี้น่ะสิถึงได้อยากแกล้งนัก เคย์โตะโน้มตัวเข้าไปใกล้กระซิบขู่ว่าถ้าจะไปส่งต้องส่งให้ถึงโรงแรม แล้วก็ไม่ต้องกลับบ้านอีกเลยคืนนี้ ก่อนจะก้มลงจูบแต่ร่างบางก็ยกหมอนขึ้นมากันไว้ได้



"อย่ามาแกล้งกันนะ รู้หรอกว่าไม่ทำจริง"



"ก็ไม่แน่หรอก ถ้านายมาร้องไห้ให้ปลอบบ่อยๆซักวันหนึ่งฉันอาจห้ามใจไม่ได้ ทำอะไรมากกว่าจูบนะ"



"ถ้าฉันร้องไห้ นายก็ใจอ่อนไม่กล้าทำอะไรหรอก คืนนั้นก็เหมือนกัน นายแค่จูบฉันนี่ "



"นั่นสินะ ถ้างั้นคืนนี้...ก็คงจะเหมือนกัน"



ปากเก่งจนได้เรื่อง ไดกิได้แต่เบิกตากว้างตอนที่ถูกร่างสูงดึงตัวขึ้นไปนั่งบนตัก  ริมฝีปากถูกประกบจูบรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ความอ่อนหวานที่ได้รับทำให้หมดเรี่ยวแรงไปเสียเดี๋ยวนั้น ริมฝีปากอุ่นหยอกเย้าให้คล้อยตามจนลืมทุกสิ่ง...



"ราตรีสวัสดิ์"



ถอนริมฝีปากออกมากระซิบลาเบาๆ อุ้มร่างบางไปส่งจนถึงเตียง มอบจูบลึกล้ำให้อีกครั้งก่อนจะจากกันในค่ำคืนนี้







+++++++++++++++++++++++++















To Be Con ....