Monday 6 June 2011

[SF] Stalker...

Title --- Stalker...

Author --- Nalikakeaw

Parings --- _ _?_ _ 
 




 
 
ท่ามกลางความสว่างของหลอดไฟเพียงไม่กี่ดวงบนทางเดิน ร่างเพรียวก้าวเท้าอย่างรีบเร่งผ่านห้องซ้อมเต้นที่บัดนี้มืดสนิท เข้าสู่ตัวลิฟท์ที่เปิดรอเอาไว้ตั้งแต่เมื่อห้านาทีก่อน กดปุ่มชั้น และเมื่อลิฟท์เคลื่อนตัวลงสู่ชั้นหนึ่งและเปิดออกอีกครั้ง
 

ก็พบแต่ความว่างเปล่า
 

ทุกคนหายไปไหนกันหมด?
 

หรือว่าจะกลับกันไปหมดแล้ว...?
 

"โธ่เอ๊ยยยย!!!!!  รอกันหน่อยก็ไม่ได้" แค่กลับไปเอาเกมที่ลืมไว้แค่นี้ กลับมาอีกทีทุกคนก็หนีไปหมด
 

แล้วยังไงละนี่   ในที่สุดก็ต้องเดินไปสถานีคนเดียวจนได้
 

ใจดำจริงๆ....
  

หลังจากที่หัวเสียบ่นเหล่าสมาชิกร่วมวง ( ซึ่งคงไม่มีใครได้ยิน ) แล้ว เด็กหนุ่มก็ต้องจำใจเดินไปยังสถานีคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้
 

ก็ใช่ว่าจะไม่เคยหรอกนะ
 

แต่วันนี้   ครั้งนี้   เขาไม่อยากเดินคนเดียวเลยจริงๆ...
 

.................
 


.........
 


.....
 

เด็กหนุ่มก้าวผ่านประตูอัตโนมัติ ก่อนจะเดินตรงไปยังที่นั่งตรงมุมริมสุดของขบวน เหตุผลหนึ่งก็เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา  เพราะทุกวันนี้ก็มีคนรู้จักมากมายพอควร
 

แต่เหตุผลสำหรับวันนี้ ... เขาอยากดูให้แน่ใจจริงๆ  ว่าตัวเองไม่ได้ตกเป็นเป้าสายตาของใคร ด้วยเหตุผลที่มากเกินไปกว่าเดิม
 

เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะความคิด มือบางคว้ามากดตัดสายทันที นึกโมโหคนชอบเจ้ากี้เจ้าการที่อยู่ปลายสายขึ้นมาทันควัน ก็รู้อยู่หรอกว่าห่วง เขาเองก็รู้สึกดีที่ได้รับความรักมากมายอย่างนี้  ติดที่มันมากเกินไปจนเขากลายเป็นคุณหนูตัวน้อย ขยับไปไหนแต่ละทีต้องคอยตามทุกฝีก้าว  ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาเป็นพี่ชายคนโตของบ้านต่างหาก


ถ้าเจ้าน้องเล็กรู้เข้า คงถูกล้อไปเป็นเดือนๆ
 

แชะ!!!!!


เสียงชัตเตอร์ที่ดังแว่วมาทำให้ร่างบางถอนสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มองไปรอบๆ แต่ไม่พบอะไรผิดแปลก ซึ่งเขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าหากเขาได้เห็นว่าใครซักคนกำลังเก็บกล้องหรือแสดงท่าทีมีพิรุธน่าสงสัย


ต่อให้เป็นปาปารัซซี่จริง เด็กหนุ่มก็ยินดีจะยืนนิ่งๆเป็นแบบให้ ไม่ใช่เงยหน้าแล้วมองเห็นแต่ความเมินเฉยของผู้โดยสารร่วมขบวนอย่างนี้
 

แล้วนี่..?...


ทำไมเขาถึงต้องมาคิดมากเรื่องที่ไม่มีใครมองด้วยเล่า ติดนิสัยน่าสมเพชแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่  ไร้สาระชะมัด
 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มือบางคว้ามาเปลี่ยนเป็นระบบสั่นก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงไปอยู่กับหนังสือ เกม ในเป้ใบโปรดอย่างไม่ไยดี
 

ถึงบ้านค่อยโทรบอกก็แล้วกันน่า
 


.................
 


.........
 


.....
 


ร่างเพรียวดูอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยตอนที่เดินออกมาจากสถานี  แต่พอนึกถึงหน้าคนที่คอยโทรหาแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ


ป่านนี้จะกระวนกระวายเป็นห่วงเราอยู่มั๊ยนะ?
 

คิดพลางก้าวไปตามหนทางที่คุ้นเคย โทรศัพท์ในกระเป๋าส่งเสียงครืดคราดไม่ยอมหยุด และดูท่าว่าปลายสายคงจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเขาจะยอมคุยด้วยแน่ๆ


เฮ้อ...ไม่แกล้งแล้วก็ได้  เดี๋ยวจะหัวใจวายตายซะก่อน


แต่ไม่ทันจะได้เอื้อมมือไปถึงโทรศัพท์  หัวใจดวงน้อยก็ต้องมีอันเต้นผิดจังหวะ
 

เพียงแว่วเสียงฝีเท้าตามหลัง  ร่างเพรียวก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก


ไม่ผิดแน่!  เสียงฝีเท้าเดินเป็นจังหวะสบายๆ แต่กลับหยุด...ทุกครั้งที่เขาหยุด  และเริ่มก้าวยามที่เขาออกเดิน นัยน์ตากลมใสเริ่มฉายแววหวาดหวั่น หากยังก้าวเดินต่อเหมือนไม่รับรู้สิ่งใด แต่ยิ่งเดินเพื่อนร่วมทางยิ่งน้อยลง

เสียงฝีเท้าด้านหลังยิ่งดังชัดเจนขึ้น
 

และเมื่อโทรศัพท์ส่งเสียงขึ้นมาอีกหน  มือบางจึงคว้ามารับสายอย่างไม่รีรอ


"นี่ นายอยู่ไหนน่ะ!"


หากเป็นก่อนหน้านี้  คนที่อยู่ปลายสายคงถูกเขาตอกกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดชวนทะเลาะเป็นแน่แท้ แต่ยามนี้หัวใจกลับเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึก เพียงแค่ได้ยินเสียงใครคนนั้น


"ฉัน-"


จู่ๆโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดับวูบ พาหัวใจวูบหาย ขัดใจจนแทบอยากจะร้องไห้ อยากปาโทรศัพท์ในมือทิ้งเดี๋ยวนั้นถ้าไม่ติดที่ว่าซื้อมาแพงละก็....
 

เสียงฝีเท้าจากด้านหลังดังชัดเจนขึ้น จังหวะก้าวเร็วขึ้น   ราวกับจะเร่งก้าวให้ทันกัน ร่างเพรียวจึงรีบจ้ำทิ้งระยะห่าง ทางข้างหน้าและซ้ายมือเป็นถนนหากข้ามไป อาจจะสลัดได้พ้น แต่อีกฝั่งนั้นช่างไร้ผู้คนเสียเหลือเกิน พอๆกับสวนสาธารณะที่อยู่ด้านขวามือ ถ้าเดินเข้าไปอาจจะหลบพ้น


แต่ถ้าไม่พ้นล่ะ?


...จะเกิดอะไรขึ้น.....
 


หัวใจเต้นถี่ระรัวดังจนกลบเสียงฝีเท้าเบื้องหลัง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน 


ไม่!!


ถ้าหนี ก็ต้องกลัวแบบนี้ตลอดไปน่ะสิ ยังไม่รู้ซักหน่อยว่าที่ตามมาตลอดทางนั่นเป็นแค่แฟนคลับ หรือว่าพวกโรคจิต


คิดแล้วก็อดหัวเราะตัวเองไม่ได้  ติดนิสัยกระต่ายตื่นตูมมาจากใครกันนะ แค่เผลอพูดไปว่าสองสามวันนี้รู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม ก็แทบจะอาสาไปรับไปส่ง ทั้งที่บ้านไม่ได้อยู่ใกล้กันเลยซักนิด
 

ความคิดหยุดชะงักอีกหนเพราะเสียงฝีเท้า


ร่างเพรียวสูดหายใจลึก เตรียมพร้อมจะเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่ทำให้ชีวิตของเขาไม่ปกติสุขในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา กระทั่งเสียงฝีเท้านั่นมาหยุดอยู่ข้างหลัง
 

ด้วยระยะที่ใกล้จนเกินไป หรือจะด้วยความกะทันหันจนทำให้อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวก็ตาม


เมื่อหันกลับไป ร่างบางจึงได้เห็นชายร่างสูง ผอม  ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ถอยห่างไปอย่างตกใจ ก่อนจะสะดุดขาตัวเองล้มลงไปกองอยู่บนพื้นฟุตบาท
 

พร้อมกับโลหะ เป็นประกายสีเงินวาววับ!!!
 

สิ่งที่เห็นมีเพียงเท่านั้น.....
 

เพราะหลังจากนั้น.....
 

ทั้งตัวก็ถูกโอบรัด กระชากจนลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะกระแทกลงกับพื้นแข็งๆ
 

แต่ไม่เจ็บแฮะ?
 

ในหูแว่วได้ยินประตูกระแทกปิด พร้อมๆกับเสียงเครื่องยนต์กระชากออกตัวอย่างรวดเร็ว ทิ้งชายแปลกหน้าและความกลัวไว้เบื้องหลัง  เพราะไออุ่นโอบล้อมร่างกายที่สัมผัสได้นั้น มันบ่งบอกให้รู้ชัด  ว่าเขาปลอดภัยแล้ว
 

ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเสี้ยวนาที  แต่ร่างเพรียวกลับต้องใช้เวลานานกว่านั้นถึงจะจับต้นชนปลายได้ถูก ว่าวินาทีก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
 

"เป็นอะไรรึเปล่า?"
 

เสียงใครหว่าคุ้นๆ..... อบอุ่น ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยจัง
 

"ฉันเป็นห่วงแทบตาย"
 

พื้นที่เรานอนอยู่นี่ก็อุ่นด้วยแฮะ มีเสียงอะไรตุบๆ ดังอยู่ข้างหูด้วย
 

"นี่! นายฟังฉันอยู่รึเปล่า? เป็นอะไรไป?"
 

แล้วอะไรหนักๆรัดตัวเราอยู่ว๊า~ แต่ก็นะ รู้สึกดีจัง...
 

"ริวทาโร่!!!!"
 

ในที่สุดก็รู้ตัวได้สักทีว่าที่นอนทับอยู่นั่นไม่ใช่พื้น แต่เป็นแผงอกกว้าง อะไรหนักๆที่โอบอยู่บนหลังนั่นคือสองแขนแข็งแรง  สองอย่างที่ว่าก็คือคนๆเดียวกับเจ้าของน้ำเสียงทุ้มๆ คุ้นหู


คนที่เขานอนซบอยู่ทั้งตัวตอนนี้!!!!!
 

เฮ้ยยยยย!!!!!!!
 

ริวทาโร่กระเด้งตัวออกจากอ้อมแขนนั้นอย่างแรงจนเกือบหงายหลังตกจากเบาะลงไปกระแทกพื้นจริงๆ ดีที่ร่างสูงนั้นเร็วกว่าคว้าร่างเพรียวกลับมาสู่อ้อมแขนได้ทัน คราวนี้ร่างเพรียวแทบจะจมลงไปกับอกกว้าง สองแก้มใสเริ่มร้อนขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
 

"ฉันทำให้นายตกใจสินะ...ขอโทษที"
 

มือใหญ่ลูบลงบนกลุ่มผมนิ่มเบาๆอย่างจะปลอบขวัญ 
 

"เปล่านี่! ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซักหน่อย"
 

ปากแข็งทั้งๆที่ยังใจสั่นไม่หาย เมื่อนึกไปว่าถ้าหากว่าคนๆนี้มาไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
 

"แล้วทำไมตัวสั่นล่ะ"
 

"หายใจไม่ออก!"
 

เจ้าของอ้อมแขนนั้นก้มลงมองแล้วก็พบว่าจริงอย่างว่า  เพราะตอนนี้ใบหน้าใสแทบจมอยู่กับอก แต่เขาก็ไม่อยากจะปล่อยคนๆนี้ไปเลย จึงขยับร่างโอบยกคนตัวเล็กขึ้นมาอีกหน่อยให้ใบหน้าน่ารักวางอยู่บนไหล่กว้างของตัวเอง แบบนี้ก็กอดได้ไม่ต้องทำให้อีกฝ่ายต้องขาดใจไปซะก่อน


แต่หารู้ไม่ว่าทำอย่างนี้แล้วยิ่งทำให้ร่างเพรียวใจสั่นหวันไหว  เมื่อกี๊สูดกลิ่นไออกอุ่นเข้าไปเต็มปอด ตอนนี้กลิ่นโคโลญจ์ กลิ่นแชมพู เจลแต่งผม อะไรสารพัดก็กำลังตีกันให้วุ่น หายใจไม่ออกยิ่งกว่าเก่า
 

"ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉัน"
 

"ไม่รู้นี่ ปิดเสียงไว้"  จงใจปิดเสียงเลยด้วย
 

"แล้วเมื่อกี๊ตัดสายทำไม"
 

"แบตฯหมด"  ก็เพราะนายไม่ใช่รึไง ไม่รับสายก็กระหน่ำโทรมาอยู่ได้
 

คำถาม ถามมาแบบห้วนๆ คนฟังแล้วเริ่มกรุ่นอารมณ์โกรธขึ้นมาน้อยๆ เลยตอบแบบห้วนๆพอกัน 
 

"ทำไมไม่รอฉัน  บอกแล้วใช่ไหมว่าจะไปส่ง"
 

"ก็นายนั่นแหละ หายไปไหน ฉันลงมาก็ไม่เจอใครซักคนแล้ว" จริงๆแล้วจ้ำอ้าวหนีมาเลยแหละ  ก็ไม่ใช่เด็กแล้วนี่จะที่จะต้องมีใครคอยรับส่ง


คราวนี้คนถามต้องเป็นฝ่ายเงียบไปเอง ทำไมความผิดมันเข้าตัวทุกกระทงเลยวะ
 

"ฉันไปหาคุณพ่อมา ฉันก็ไม่ได้บอกนาย ขอโทษนะ"
 

ร่างเพรียวยิ้มกว้างอยู่กับบ่าหนา พยักหน้าหงึกหงักพอให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ว่าอะไร  ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่กว้างอีกครั้งและก็อาจจะเพลินอยู่กันแบบนั้นไปอีกหลายชั่วโมง
 

"ถ้าเคลียร์กันจบแล้วก็นั่งกันดีๆเถอะนะเด็กๆ"
 

เสียงแหบห้าวไม่คุ้นหูทำเอาริวทาโร่ย่นคิ้วด้วยความสงสัย เลื่อนสายตาไปหาต้นเสียงที่นั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลังแล้วก็พบว่า
 

โอคาโมโตะ  เคนอิจิ   นั่งอยู่ตรงนั้น!!!!!!

 
ครั้งนี้ริวทาโร่หงายหลังตกจากเบาะชั้นดีที่ชื่อเคย์โตะ ลงไปพับเพียบกับพื้นรถด้วยความตกใจถึงขนาด ก่อนจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาโค้งคำนับ
 

"โอ๊ย !!!!" แถมยังเอาหัวไปโขกกับเบาะรถอีกต่างหาก
 

ผู้สูงวัยกว่ามองเด็กน้อยที่ตอนนี้แปลงร่างกลายเป็นกาน้ำเดือดไปแล้วด้วยความอายสุดขีด เพราะในรถตู้คันนี้ ก็ใช่ว่าจะมีกันอยู่แค่นี้เมื่อไหร่ ถ้าไม่นับคนขับแล้วก็ยังมีผู้จัดการ กับทีมงานอยู่อีกสองสามคน ก่อนจะหันไปมองหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ตอนนี้ส่งสายตาขุ่นเคืองประหนึ่งว่าเขาเป็นคนทำให้ริวทาโร่เจ็บตัว
 

"จอดข้างหน้านี่ก็ได้ครับ"
 

ร่างสูงยื่นหน้าไปบอกคนขับที่ต้องทำตัวกระตุกเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้เกือบถูกลูกชายเจ้านายบีบคอด้วยเหตุที่ขับรถไม่ทันใจ  โดนใบสั่งแล้วใครจะรับผิดชอบ
 

"จะไปไหนกันล่ะ"
 

"ผมไปงานกับพ่อไม่ได้ งั้นเดี๋ยวผมไปหาอะไรกินแถวนี้รอดีกว่า  พ่อกลับมาแล้วค่อยไปส่งริวทาโร"
 

"งั้นก็ตามใจ"
 

เคย์โตะเลื่อนประตูปิดก่อนที่ร่างเพรียวจะได้ออกความเห็น คนเป็นพ่อมองดูลูกชายโอบเอวร่างเพรียวที่โค้งคำนับให้เขา พาเดินเข้าไปในร้านอาหารเจ้าประจำ ก่อนจะกลับมานั่งเอนหลังตามเดิม
 

"น่ารักดีนะครับ โมริโมโตะคุงคนนี้"
 

คนขับชื่นชมด้วยใจจริง  ก็แน่ล่ะสินะ  น่ารักแบบนี้เจ้าลูกชายตัวดีมันถึงได้หวงห่วงหนักหนา
 

ถ้าได้มาเป็นลูกชายอีกคน  ก็คงดี.....
 
 




 
++++ END ++++

No comments:

Post a Comment