Friday 10 June 2011

[SF] After The Rain☀ ...

Title --- After the Rain

Writer --- Nalikakeaw

Pairing --- Haru x Yuya




วันนี้ฟ้าหม่น  ..


เมฆขาวอมเทาแผ่คลุมทั่วผืนฟ้า  ทั้งๆที่เป็นยามสาย แต่กลับไร้แสงแดดจ้า


ฝนเม็ดหนากระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย


อากาศเย็นจัด..  ลมพัดต้องผิวกายให้ต้องกระชับเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนาเข้ากับตัว


สองมือกุมถ้วยกาแฟร้อนขึ้นจิบคลายหนาว  ฟังเสียงฝน...




ครึ่งชั่วโมงต่อมา............


ฝนเริ่มซา แต่ฟ้ายังครึ้ม เค้กชิ้นหนึ่งเพิ่งถูกวางลงบนโต๊ะ โดยหญิงวัยกลางคนผู้มีรอยยิ้มใจดี เธอสวมเสื้อเชิ๊ตสีครีมอ่อน กับกางเกงผ้าสีคราม ทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาว เพนท์ลายดอกไม้เล็กๆ สีเหลืองนวลเหมือนดอกหญ้า กับใบไม้เรียวยาวสีเขียวอ่อน มองแล้วทำให้นึกถึงดอกไม้ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และสายลม


ท่าทางจะเป็นเจ้าของร้าน..


เหลียวมองบรรยากาศรอบๆ   ร้านนี้ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวครึ้ม ตัวร้านเป็นศาลาทรงกลมเปิดโล่งมองเห็นวิวรอบด้าน มีเคาท์เตอร์สำหรับบริการเครื่องดื่มและของว่างตั้งอยู่ตรงกลาง  ข้างๆกันเป็นชั้นกระจกสำหรับวางเค้กหลากหลายรส  ที่เจ้าของบรรยายสรรพคุณไว้ว่าเป็นเค้กเพื่อสุขภาพ


เหมือนเค้กแครอทที่อยู่บนโต๊ะ  รอให้เขาจัดการเสียที


"ทานให้อร่อยนะคะ"


มอบรอยยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป ร้อยยิ้มของเธอดูอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว  คล้ายกับใครบางคน ...


คนที่เขาคิดถึง...





...............................

..................

.............



หนึ่งชั่วโมงผ่านพ้น  น้ำฝนหยดใหญ่ๆกลับกลายเป็นเพียงแค่ละออง สายลมระเรื่อยพัดพาอากาศเย็นสดชื่นเข้ามาให้สูดจนเต็มปอด  กาแฟถ้วยที่สองถูกวางลงบนโต๊ะ กลิ่นกรุ่นกาแฟเคล้ากับกลิ่นเย็นๆของละอองฝนทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก


"กำลังรอใครอยู่เหรอครับ"


กะพริบตาปริบๆใส่คนถามและคำถาม คนเสิร์ฟกาแฟคนนี้ดูจะมีอายุไล่เลี่ยกับคนเสิร์ฟเค้ก หรืออาจจะอายุมากกว่านิดหน่อย เป็นผู้ชายตัวสูงท่าทางใจดี  มีใบหน้าเรียวคมเข้ม แม้จะมีริ้วรอยเพิ่มขึ้นตามวัย แต่เดาได้เลยว่าสมัยหนุ่มๆคงจะหน้าตาดีไม่ใช่น้อย


คล้าย..


คล้ายกับคนที่เขารออยู่ตอนนี้...


เฮ้ย!! แล้วทำไมเขาถึงมองเห็นหน้าใครๆคล้าย "หมอนั่น"ไปหมดล่ะ?


ผู้สูงวัยกว่าเพียงแต่ยิ้มเมื่อคำถามไม่ได้รับคำตอบ แถมยังถูกจ้องหน้าเสียอีก


"ผมเห็นคุณนั่งอยู่คนเดียวอยู่นาน เหมือนจะมองหาใครสักคน"


"เอ่อ..ก็รอเพื่อนน่ะครับ แต่เขาติดงาน อาจจะมาช้าหน่อย"


"คงเป็นคนสำคัญ"


แค่นึกถึงคนที่นัดเขามารอแก้มมันก็ร้อนวูบขึ้นมาแล้ว ยิ่งได้เห็นสายตารู้ทันของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมามากกว่าแล้วมันทำให้ขัดเขินโดยไม่รู้สาเหตุ


"เราไม่ได้เจอกันนานแล้วเท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไร"


ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะหนักแน่นพิกลๆ เหมือนกลัวถูกจับได้ ว่าเขากำลังโกหก

 
"เมื่อก่อนน่ะ ผมเคยนั่งรอผู้หญิงคนหนึ่งเป็นวันๆ วันละหลายๆชั่วโมง เพียงเพราะอยากจะเห็นหน้าเธอ จนใครๆรอบตัวเอือมระอา แต่คุณรู้ไหมมันมีความสุขนะ ถึงแม้ว่าระหว่างที่รอจะต้องกังวลไปต่างๆนานา ว่าวันนี้เธอจะมามั๊ย ถ้าเธอไม่มาก็ห่วงอีกว่าเธอจะไม่สบาย เกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า  แต่พอได้เห็นหน้าเธอ ผมก็รู้สึกว่าการรอคอยของผมมันคุ้มค่าที่สุดแล้ว"


คนฟังหัวเราะเบาๆกับตัวเอง นั่นสินะ..เขาก็เหมือนกัน เจ้าตัวก็บอกไว้ก่อนแล้วแท้ๆว่าติดงาน แต่เขายังมารอก่อนเวลานัดตั้งหลายชั่วโมง


ถ้าเจ้าเพื่อนซี้รู้เข้าว่าออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อมานั่งรอคนที่นัดเขาไว้ตอนสิบเอ็ดโมงละก็  คงถูกด่าว่าบ้าบอตามเคย  อืม.. แต่ยาบุอาจจะเข้าใจเขาก็ได้มั้ง  เจ้านั่นน่ะเคยไปนั่งรอฮิคารุที่บ้านตั้งแต่เช้าในวันที่สองคนนั่นนัดเดทกันครั้งแรก


แต่เขาไม่ได้มาเดทสักหน่อยนี่หว่า!   แค่หมอนั่นโทรมาว่าอยากเจอ  ก็แค่นั้น...


แค่นั้นจริงๆนะ...


เพราะหมอนั่นบอกว่าอยากเจอ ถึงได้เฝ้าอยู่หน้ากระจกตั้งแต่บ่าย เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่มาวันนี้ หลังจากที่ใส่ๆถอดๆอยู่นานก็ปลงใจได้ว่าไม่มีอะไรจะเหมาะกับเขาเท่ากับ เสื้อยืดสีเรียบๆ  กางเกงยีนส์ขาดๆ  รองเท้าแตะ กับหมวกแก๊บใบโตๆอีกหนึ่งใบ


เพราะแค่นั้น.. เขาถึงกับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พอหลับปุ๊บก็ตื่นปั๊บ แต่งตัวออกจากบ้านมาแต่เช้า


ก็แค่นั้นแหละ..


"ล-แล้วตอนนี้เธอคนนั้นอยู่ที่ไหน ค-ครับ"


อยากเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นจะได้หายจากอาการแก้มร้อนเสียที แล้วทำไมมันถึงได้ร้อนกว่าเก่า แล้วทำไมมือไม้มันพันกันจนเกือบจะปัดถ้วยกาแฟล้มวะ  บ้าเอ๊ยยย!


"เธออยู่ตรงนั้น"


มองตามสายตาคู่นั้นไปก็พบว่า "เธอคนนั้น"  กำลังง่วนกับการตัดเค้กให้ลูกค้าอยู่หลังเคาท์เตอร์  ดูเธอมีความสุขและยิ้มให้ลูกค้าอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย แบบนี้เองสินะที่ทำให้คุณลุงใจดีคนนี้รักเธอ


"หวังว่าคู่ของคุณจะรักกันยืนยาวเหมือนเรานะครับ"


เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง จะแก้ตัวก็ไม่ทันเพราะคุณลุงคนเสิร์ฟกาแฟชิ่งหนีไปชงกาแฟต่อแล้ว


เอร๊ยยยยยยยยยยยยย  ไม่ช่ายยยยยยยยยยยยย!!!!!!!







+++++++++++++++++++++++++++++++




สามชั่วโมงผ่านไป...


ยูยะนั่งหลับตาฟังเสียงลมเสียงฝนเพลินจนไม่รู้เวลา  เมื่อลืมตาขึ้น  ฝนก็หยุดตกแล้ว แสงแดดเริ่มลอดผ่านรอยแหวกม่านเมฆสีเทาลงบนยอดหญ้า สะท้อนหยดน้ำให้กลายเป็นอัญมณีสีเขียวเป็นประกาย


สวยงามจนอยากให้ใครอีกคนมานั่งมองด้วยกันตรงนี้..


"ทาคาคิ!"


ว่ากันว่า ถ้ากำลังพูดถึงใครแล้วคนนั้นโผล่มาพอดี คนที่ถูกพูดถึงจะอายุยืน แต่ถ้าเปลี่ยนจากพูดถึงเป็นคิดถึง คนๆนั้นจะอายุยืนด้วยรึเปล่าหว่า?


คิดถึง?


ใครเค้าจะคิดถึงกันเล่า!


"โทษทีที่มาสาย งานเพิ่งเสร็จน่ะ"


ขอโทษขอโพยพลางปัดหยดน้ำออกจากปอยผมอย่างลวกๆ ฝนน่าจะเพิ่งหยุด แสดงว่าเจ้าตัวคงวิ่งฝ่าละอองฝนมาจากสถานี ระหว่างนั้นยูยะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ปรากฏว่าเข็มสั้นและเข็มยาวยังเคลื่อนมาไม่ถึงเลขสิบเอ็ดด้วยซ้ำ


"ยังไม่ถึงเวลานัดเลย นายไม่ต้องรีบก็ได้ ตากฝนมาแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัด"


"ฉันไม่อยากให้นายรอนาน" ยิ้มกว้างกับอาการบ่นกลายๆ ของอีกฝ่าย ยิ้มแบบนี้แหละที่ทำให้ยูยะต้องแอบเขิน หลบสายตาเสียทุกครั้ง "เอางี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษเดี๋ยวฉันจ่ายค่ากาแฟกับขนมเอง"


"ไม่ต้อ-"


ให้ตาย! ไม่รู้ทำไมถึงปฏิเสธอะไรหมอนี่ไม่เคยได้ซักที อย่างตอนนี้แค่จะบอกว่าไม่ต้อง แต่หมอนั่นก็เดินไปจ่ายเงินตรงเคาท์เตอร์แล้ว  ยูยะเดินตามไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ





............................



......................



...............


.......



"แบล็กฟอเรสท์  ทีรามิสุ  สตรอเบอร์ชีสเค้ก  มองบลังต์ เค้กแครอท  อะไรของนายน่ะทาคาคิ"


"ก็เค้กน่ะสิถามได้"


มือข้างหนึ่งถือใบเสร็จ  อีกข้างหนึ่งต้องยกขึ้นมาเกาหัวแกรก  ก็รู้แล้วว่าเค้ก  แต่คนคนเดียว กินเค้กได้ถึงห้าชิ้นเชียวเหรอ นี่ไม่นับรวมกาแฟสองถ้วย ชาหนึ่งถ้วย นมอีกหนึ่งถ้วยนะ


แล้วตอนนี้เจ้าตัวยังจิ้มเค้กสูตรใหม่ที่เจ้าของร้านสมนาคุณให้เป็นพิเศษเข้าปากแบบสบายใจเฉิบ


ถ้าเขามาช้ากว่านี้ ไม่กินเค้กจนหมดร้านเลยหรือ


"ฉันจะจ่ายเอง เอาบิลมา"


เอื้อมมือหมายจะคว้าใบเสร็จนั้นมา แต่อีกฝ่ายก็ลดเลี้ยวเสียจนน่าโมโห


"บอกว่าจะเลี้ยงไงล่ะ แค่แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงได้กินเยอะขนาดนี้ มิน่าพักนี้ถึงดูบวมๆ อุ๊บ!!!"


ว่าอะไรก็ว่าได้ แต่พูดเรื่องความอ้วนแล้วมันฟังผิดหูทุกที ชิ้นเค้กที่เหลือจึงถูกจิ้มยัดเข้าปากคนพูดมากเสียจนสำลัก แต่ก็ยังไม่ปล่อยให้ยูยะชิงใบเสร็จไปจากมือได้อยู่ดี  เอื้อมจนสุดแขนแต่อีกฝ่ายก็เอนไปข้างหลังสุดตัวเหมือนกัน ยื้อกันไปแย่งกันมา จนผู้สูงวัยสองคนที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ที่มองอยู่นานหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดู


ถึงได้รู้ว่าตัวว่ามืออีกข้างที่ไม่ได้ถืออะไรเนียนมาเกี่ยวอยู่กับเอวเขาเสียนี่


พอเป็นแบบนี้ยูยะก็เลยทั้งดิ้นทั้งโวยวายจนอีกฝ่ายต้องยอมปล่อย แต่ก็ต้องแลกกับการตกเป็นเป้าสายตาของลูกค้าคนอื่นอีกนับสิบคน


"ไม่เห็นเป็นไร ตอนถ่ายหนังฉันกอดนายออกบ่อย ว่าแต่ เอวหนาขึ้นนะนาย เฮ้ยๆๆๆๆๆๆๆ ไม่พูดแล้วว!!!!"


ร้องห้ามพร้อมๆกับปัดมือวุ่นวาย เพราะส้อมในมือยูยะทำท่าจะจิ้มใส่เขาอีกหน แต่คราวนี้เป็นส้อมเปล่าๆไม่มีเค้ก


"อย่าเพิ่งโมโหน่า งั้นวันนี้นายอยากไปไหน อยากกินอะไร ฉันตามใจหมดทุกอย่างเลย เลี้ยงหมดเลยด้วยเอ้า"


"มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว นายเป็นคนนัดฉันออกมานี่ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน ฮารุมะ"


ว่าแล้วก็กระฟัดกระเฟียดเดินหนีสายตาลูกค้าคนอื่นๆออกมายืนชมนกชมไม้ให้ใจเย็นอยู่ข้างนอก


เที่ยวฟรีกินฟรีก็ดีอยู่หรอก  แต่ทำไมไอ้ประโยคที่หมอนั่นพูดเมื่อกี๊..มันฟังดูทะแม่งๆจังวะ




+++++++++++++++++++++++++++++++




ไปที่ๆอยากไป..   กินอะไรที่อยากกิน..  สุดท้ายแล้วยูยะก็ไม่ได้ทำซักอย่าง  พอก้าวออกจากสวนนั้นแล้วก็ไม่รู้จะไปทางไหน  ผิดกับคนข้างๆที่รู้จักย่านนี้ดีเป็นพิเศษ เข้าตรอกโน้นออกซอยนี้ ไปโผล่อีกมุมถนนหนึ่งที่มีคนพลุกพล่านมากกว่าได้อย่างคล่องแคล่ว


"วิ่งเล่นเดินเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว หลับตาเดินยังได้"


แอบย่นจมูกใส่คนขี้อวด แต่พอถูกถามว่าอยากไปไหนก็ได้แต่ส่ายหน้า งานนี้เลยต้องอาศัยเจ้าถิ่นพาเที่ยว และดูว่าฮารุมะจะมีความสุขที่ได้เป็นไกด์พาชมเมืองซะด้วย เพราะเจ้าตัวยิ้มกว้างตอบรับคำขอแล้วก็ออกเดินนำทันที


เอาเถอะ.. นานๆทีจะได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนี้ซักที  ก็คุ้มแล้วเนอะ..


แต่อาจเป็นเพราะว่าแถวนี้ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ใช่ย่านแฟชั่น และไม่ใช่แหล่งของกิน  มีแต่บ้านสไตล์ญี่ปุ่นโบราณตามสองข้างทาง ก็เลยใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆในการเดินเที่ยว  แต่ยูยะก็ชอบที่จะได้เห็นอะไรที่แตกต่างจากเดิมบ้าง มองแต่ตึกคอนกรีตอยู่ทุกวันก็น่าเบื่อ..


"ดูหนังซักเรื่องไหมทาคาคิ?"


ถามแล้วก็ไม่รอฟังคำตอบ.. จะถามทำไมวะ? ทาคาคิได้แต่อึ้งปล่อยให้ฮารุมะจูงมือเข้าไปในโรงหนัง


.....................


..............


....


..


นอกจากจะไม่รอคำตอบแล้ว ฮารุมะยังไม่ปล่อยให้ยูยะออกความเห็นด้วย ฮารุมะจัดการซื้อตั๋วเลือกหนังเองเสร็จสรรพ


ไหนบอกว่าจะตามใจกันไงวะ..  คนโกหก


"นายไม่ชอบดูหนังผีนี่"


แล้วมันคือเหตุผลที่เลือกหนังรักโรแมนติกสุดโศก  ดูไปยูยะก็ต้องแอบเช็ดน้ำตาตลอดทั้งเรื่อง ที่น่าโมโหคือไอ้คนชวนดูหนังดันอาศัยไหล่เขาต่างหมอน หลับตั้งแต่หนังยังฉายไม่ถึงครึ่งเรื่อง


แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่า คือการที่ยูยะไม่กล้าแม้แต่จะผลักไส ยามที่ใบหน้าหล่อเหลาเอนลงมาแนบชิด ลมหายใจอุ่นๆ ปลายจมูกโด่งๆแตะลงบนต้นคอราวกับตั้งใจ พอขยับตัวหนีก็ถูกกอดเอาไว้แน่น ยิ่งดิ้นยิ่งรัดเหมือนหนวดปลาหมึก เลยต้องจำทนเป็นตุ๊กตาให้กอดอยู่เกือบสามชั่วโมง


พอหนังจบ ไฟเริ่มสว่าง คนขี้เซาก็ยังไม่ยอมตื่น แถมยังยิ้มหวานฝันดีไปถึงสวรรค์ชั้นไหนแล้วก็ไม่รู้ ปล่อยให้ยูยะต้องอายคนทั้งโรงหนัง ที่จ้องกันเป็นตาเดียว


ความซวยเลยไปตกอยู่กับคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง ถูกดึงแก้มสองข้างจนร้องลั่น ตายังไม่ทันสว่างดีแล้วยังต้องวิ่งตามมาง้อยูยะที่โกรธจนควันออกหูด้วยซูชิมื้อใหญ่  แต่ยูยะกลับเลือกร้านบะหมี่ในเพิงเล็กๆข้างทาง เดินเข้าไปกระแทกตัวนั่งบนม้านั่งแข็งๆ เชิดหน้าดื้อดึงจนฮารุมะต้องยอมแพ้


"งอนเป็นสาวๆไปได้น่านาย"


ฮารุมะสงสัยว่าตัวเองคงจะเป็นโรคจิตอยู่หน่อยๆ  รู้ทั้งรู้ว่าวาจาแบบนี้อาจทำให้ตะเกียบในมือคนข้างๆอาจปลิวมาทิ่มตาเอาได้ ก็ยังไม่วายหาเรื่องไม่รู้ทำไม


รู้แต่ว่าเวลาที่ได้เห็นคนข้างกายกัดปาก เชิดหน้า งอนเขาแบบนี้แล้ว....


รู้สึกดี...


"ไม่ได้งอน! แค่ไม่เข้าใจ! นายง่วง เหนี่อยขนาดนี้แล้ว ยังจะนัดฉันออกมาทำไม?"


ทิ่มตะเกียบลงในชามบะหมี่อย่างหงุดหงิด จนคนมองกลัวว่าชามจะคว่ำเสียก่อนจะได้กิน ไม่ได้งอนแต่โกรธอยู่สินะนั่น





...............................


......................



.............


.....





หลังออกจากร้านบะหมี่ ทั้งสองคนเดินกลับมาที่สวนเดิมที่นัดกันตอนเช้า  ยูยะยังคงงอนได้อย่างต่อเนี่องจนไม่อยากจะคุยกับคนข้างๆ  แต่พอหันมาเจอกับหน้าตาหงอยเหงาของฮารุมะแล้วยิ่งหงุดหงิดหนัก


"ถ้าเหนี่อยก็นอนพักอยู่กับบ้านซิ วันหลังค่อยออกมาเจอกันก็ได้"


"จริงๆแล้วพรุ่งนี้ฉันว่างทั้งวัน แต่นาย....คงไปฉลองกับคนอื่นสินะ"


ยิ่งพูด ทั้งสีหน้าทั้งสายตาก็ยิ่งหมอง ยูยะถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันอะไร วันสำคัญที่ทำให้เขางอนฮารุมะเมื่อปีที่แล้ว  แต่ปีนี่เขาทำใจไว้แล้วว่ายังไงเสียก็คงถูกลืมอีกแน่ๆ  ยูยะเลยไม่ใส่ใจจะทวงถามอะไรจากคนขี้ลืมให้ต้องทะเลาะกัน และเมื่อยาบุโทรมานัดไปกินข้าว ก็เลยตอบตกลงไป
 

"ฮารุมะ-ฉัน-"


ยิ่งมองหน้าแล้วยิ่งรู้สึกผิด  ยูยะคิดเพียงแต่ว่าที่ฮารุมะนัดเขาออกมาวันนี้ก็เพราะอยากหาเพื่อนเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย ไม่นึกเลยว่าจะมีความสำคัญใดแฝงไว้


"ฉันแค่อยากเจอนาย  แต่ถ้านายไม่อยาก-"


ยูยะรั้งร่างที่กำลังจะหันหลังให้ด้วยการเอื้อมไปจับมือฝ่ายนั้นเอาไว้ ความรู้สึกหลายอย่างท่วมท้นในหัวใจ หลายปีมาแล้วที่รู้จัก หากแต่มีเวลาได้เจอหน้า ได้อยู่ด้วยกันเพียงน้อยนิด ในเมื่อตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันแม้จะเป็นระยะเวลาอันแสนสั้น แต่ยูยะก็อยากทำให้มันมีค่ามากที่สุด


สำหรับสองคน.....


"ขอโทษ"


ยูยะรู้ตัวว่าเป็นคนพูดไม่เก่ง ถึงจะมีคำพูดมากมายกว่านี้ แต่คำพูดที่แทนความรู้สึกในตอนนี้ได้ดีที่สุด ก็มีคำนี้เพียงคำเดียว


ฮารุมะถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางกระชับกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ ยิ้มให้บางๆเป็นเชิงบอกว่า ไม่เป็นไร  ทั้งๆที่หัวใจมันพองจนแทบระเบิดออกมา


จากเริ่มแรกเป็นคนรู้จัก เป็นเพีอนร่วมงาน เป็นเพีอนสนิท  ก็หลายปีมาแล้วจนถึงวันนี้ที่ความรู้สีกที่มี มันมากกว่านั้น แต่ก็ยังไม่อาจข้ามผ่านเส้นบางๆของความเป็นเพื่อนได้


ฮารุมะมั่นใจในความรู้สีกของตนเอง  แต่สำหรับคนที่อยู่ตรงหน้านี้...เขาไม่รู้
 

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นเหมือน เมฆสีเทาบนท้องฟ้า ครึ้มๆเหมือนจะมีฝนตกแต่ก็ไม่ตก ไม่แน่นอนและไม่ชัดเจน และฮารุมะเองก็พอใจกับความสัมพันธ์ที่เป็นแบบนี้


แต่วันนี้ความรู้สีกมันเปลี่ยนไป ....


คนอย่างทาคาคิ ยูยะ  ไม่ชอบให้ใครเลี้ยงข้าว  ไม่ชอบแอร์หนาวๆในโรงหนัง เวลาเดินไม่ชอบให้จูงมือ แต่ทั้งหมดนั้น ยกเว้นไว้สำหรับฮารุมะเพียงคนเดียว


ที่ยอมให้กอด..ก็เพราะรู้ว่าหนาว


ยอมให้เลี้ยงข้าว...แต่ก็ไม่เคยเลือกร้านอาหารหรูๆให้ต้องกระเป๋าฉีก


ที่โกรธ..งอน เพียงเพราะเป็นห่วง


เท่านี้เพียงพอหรีอยัง...ที่สองคนจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์จากเพื่อน..


เป็นคนรัก....




++++++++++++++++++++++++++++




"พระอาทิตย์ตกสวยไหมฮารุมะ"


จิ้มแก้มคนที่นอนอยู่ข้างๆอย่างหมั่นเขี้ยว อุตส่าห์ชวนมานอนบนผืนหญ้าเขียวๆเย็นๆในสวน ชมบรรยากาศยามเย็นด้วยกัน แต่หมอนี่ดันหลับซะอีกแน่ะ  มันน่าโมโหอีกซักรอบจริงๆ


"ไม่สวยเท่านายหรอก"


ฮารุมะจำได้ดี วันนั้นเป็นฉากที่ทุกคนต้องวิ่งไปที่ที่พระอาทิตย์ตกตามบท แต่สายตาเขากลับจับจ้องอยู่แต่แสงสีส้มอ่อนที่ทาบทอลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลทอง ฉาบไล้ไปตามโครงหน้าเรียวสีน้ำผึ้ง


สวย...


ชายหนุ่มเผลอมองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจนเจ้าตัวรู้สึก  แล้วสิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมา ก็คือเสียงโห่ เสียงแซวจากนักแสดงคนอื่นๆกับรอยยิ้มเขินๆที่มีให้เขาตลอดจนถึงตอนเข้าฉาก


หรือแม้กระทั่งตอนนี้..


"เสียดาย..วันนี้เมฆเยอะไปหน่อย อีกเดี๋ยวฝนคงตกแน่ๆ"


ฮารุมะพลิกตัวตะแคง มองคนสวยที่ไม่เคยยอมรับตัวเองว่าสวย ทำหูทวนลมกับคำชมไปซะอย่างนั้น แล้วยังพยากรณ์อากาศแม่นซะอีกด้วย ถามหาปุ๊บฝนตกปั๊บเลยทีเดียว


ยูยะยังคงนอนอยู่ที่เดิม ไม่สนใจกับหยดน้ำเล็กๆที่กำลังตกถี่ขึ้น ฮารุมะฉุดคนที่ยังอ้อยอิ่งอยากตากฝนเล่นให้วิ่งตามกันเข้าไปในสวน ตรงไปยังร้านกาแฟร้านเดิมที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ตอนนี้ในร้านไม่มีลูกค้าเหลืออยู่แล้ว คุณป้าคนเสิร์ฟเค้กกับคุณลุงคนชงกาแฟก็ไม่อยู่เหมือนกัน


"ร้านปิดแล้วนี่"


ขืนตัวไว้ไม่ยอมตามเข้าไปแต่แล้วฮารุมะก็หันมายิ้มให้  รอยยิ้มที่ทำให้ยูยะหัวใจละลาย ยอมตามใจเสมอมา


"ยังไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดนายเลย"


"แล้วที่เลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังวันนี้ล่ะ"


ไม่มีคำตอบ ยูยะเดินตามแรงจับจูงของอีกฝ่ายไปถึงโต๊ะเดิมที่เคยนั่ง แล้วพบว่าบนโต๊ะนั้นมีกล่องของขวัญกล่องเท่าฝ่ามือห่อด้วยกระดาษสีขาวธรรมดาๆ  เพราะฮารุมะบอกว่าไม่มีเวลาไปซื้อกระดาษสวยๆมาห่อ


"ไม่ต้องยุ่งยากหรอก...แค่นี้..ก็ดีมากแล้ว"


ยูยะรู้สึกว่าตัวเองมือสั่น ตอนที่รับกล่องของขวัญนั้นมา แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้ ตอนที่ได้รู้ว่าในกล่องสีขาวแสนจะธรรมดา มีบางอย่าง...ที่มีค่ามากมายเหลือเกิน..


สายสร้อยบางๆที่อยู่ในมือของเขาเปล่งประกายแม้ในแสงสลัวของยามเย็น จี้รูปไม้กางแขนสีเงินเล็กช่วยย้อนความทรงจำในการพบกันครั้งก่อน ครั้งที่ยูยะได้แต่มองสร้อยเส้นนี้ที่ถูกจัดวางอยู่ในตู้กระจก ใจนึกอยากได้หนักหนาติดที่ราคาของสร้อยค่อนข้างสูงถึงได้ตัดใจเดินออกจากร้านมา


ทั้งที่ตัดใจไปแล้วแท้ๆ...


กำสร้อยในมือแนบกับหัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นถี่แรงจนแทบกระดอนออกมา แต่ดวงตากลับพร่ามัวและร้อนผ่าว ริมฝีปากสั่นระริกจนไม่อาจมีคำใดหลุดรอดออกมาแม้แต่คำเดียว


"ขี้แยอีกแล้วนะ"


ยูยะร้องไห้ง่าย แต่มีไม่มีกี่คนที่จะได้เห็นน้ำตา และหนึ่งในไม่กี่คนนั้นก็คือคนที่อยู่ตรงนี้ ทุกครั้งที่มีน้ำตาฮารุมะจะคอยเช็ดให้ ยูยะชอบหลับตารับสัมผัสอุ่นๆจากปลายนิ้วที่เกลี่ยไปตามรอยหยดน้ำ  และเมื่อลืมตาจะได้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกดี


แต่ครั้งนี้ต่างออกไป...


สัมผัสนั้นนุ่มนวล แต่รุ่มร้อน แตะลงบนเปลือกตาไล้ไปตามแก้มสองข้างจนถึงปลายคางไม่ยอมหยุด และเมื่อลืมตาใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็แนบชิดจนหายใจไม่ออก


ยูยะยืนนิ่งเหมือนถูกร่ายมนต์สะกด ไม่กล้าสบตาแต่ก้ไม่อาจหลบสายตาได้ ยินยอมให้ริมฝีปากถูกครอบครอง มอบอารมณ์และลมหายใจอีกฝ่ายนำพาตามแต่ใจ  เบียดร่างเข้าหากันจนแทบจะกลายเป็นคนๆเดียว ยูยะวางมือลงบนแขนสองข้างที่โอบประคอง ยามนี้เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือแล้ว


เวลาผ่านไปเนิ่นนาน..ฮารุมะจึงยอมละจากริมฝีปากแสนหวานก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยไปกว่านี้  แต่เขาไม่อาจห้ามใจตัวเองไว้ได้ คลอเคลียริมฝีปากนั้นอยู่ไม่ห่าง อยากสัมผัส อยากกอด อยากจูบให้มากกว่านี้..


แต่ต้องห้ามใจ  ทำได้แค่กอดกันเงียบๆ ไร้คำพูดต่อกัน เพราะสายตาและการกระทำก่อนหน้านั้นได้แทนความหมายของหัวใจไปทั้งหมดแล้ว


"ไปบ้านฉันกันนะ ยูยะ"


"ไม่ได้หรอก ต้องกลับแล้วเดี๋ยวไม่มีรถ"


"เพิ่งทุ่มเดียวเองน่า ไปเถอะ"


เซ้าซี้มากเสียจนยูยะต้องหรี่ตามองอย่างสงสัย ที่บ้านมีอะไรหรือไงถึงจะต้องพาเขาไปให้ได้


"พ่อกับแม่ฉันชวนนายไปกินข้าวเย็นที่บ้านนี่"


ชวนตอนไหน เมื่อไหร่วะครับ วันนี้เขาไปเจอพ่อกับแม่ของฮารุมะเมื่อไหร่ไม่เห็นจะรู้เรื่อง


"ก็ตอนที่อยู่ในร้านเค้กเมื่อเช้าไง แม่ไม่คิดเงินด้วยนะสงสัยว่าจะชอบนายมาก อ้อ..แต่นายเดินออกมาก่อนนี่นะ แม่บอกว่าให้ชวนนายไปกินข้าวด้วย ป่านนี้คงเตรียมกับข้าวไว้เต็มโต๊ะแล้วมั้ง"


"ฮ-ฮารุ นาย-น-นาย!"


ไอ้คนเจ้าเล่ห์!  นี่ชวนมาเที่ยวฉลองวันเกิดหรือหลอกพาเขามาให้พ่อแม่ดูตัวกันแน่  ยูยะได้แต่อึ้ง มึน และ งง เป็นที่สุด  ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มเจิดจ้านั่นแล้วยิ่งอยากจะจับเจ้าตัวมาหักคอให้ซะจริงๆ


"ไปกันเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่รอนาน"


ชาตินี้ทั้งชาติ ยูยะคงหนีไม่พ้นผู้ชายเจ้าเล่ห์ร้ายคนนี้แล้วสิเนี่ย  ฝากไว้ก่อนเถอะ ทั้งเรื่องที่ปิดบัง ทั้งเรื่องที่จูบเขา เรื่องที่ทำเนียนเรียกชื่อเขาแทนนามสกุล ทั้งเรื่องของขวัญ  จะคิดบัญชีทบต้นทบดอกเลย คอยดู!....



End++++++

No comments:

Post a Comment