Monday 5 September 2011

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) One


Fiction

Title  :  The day  we  kissed   One...

Writer  :  Nalikakeaw

Pairing  : _ _ _ x _ _ _

Rate  : ---?---







เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลือนหายราวกับเป็นความฝัน  ไดกิมองแสงจ้าลอดผ่านรอยแยกผ้าม่าน กระพริบตาให้ชินกับแสงอยู่ชั่วครู่  แล้วใบหน้าของใครบางคนก็ผ่านเข้ามา พร้อมๆกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน


"ยูริ!!!!!"



ไดกิพรวดพราดลุกขึ้นมากอดน้องเล็กไว้แน่นทั้งๆที่ยังเจ็บไปทั้งตัว  กอดจะดันร่างนั้นออก มองหาสิ่งผิดปกติที่อาจจะมีมากกว่าที่เห็น และก็ไปหยุดอยู่ตรงที่เดิม......



ความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมาอย่าห้ามไม่อยู่ เจ้าพวกนั้น!!!! คราวนี้อย่าหวังว่าจะว่าจะยอมลงให้  เขาต้องเอาเรื่องพวกมันให้ได้


"ยังมีไข้อยู่เลยนะไดจัง"


ยูริรีบห้าม แต่ไดกิไม่สนใจจะฟัง พยายามจะลุกจากเตียงให้ได้ เดือดร้อนถึงใครอีกคนต้องเข้ามาประคองกึ่งบังคับให้กลับไปนอนที่เตียง แต่ก็ต้องถอยฉากออกมาแทบไม่ทันเมื่อเจอเข้ากับสายตาดุๆของคนป่วย


"เมื่อวานนายหายไปไหนมา ทำไมถึงปล่อยให้ยูริอยู่บ้านคนเดียว!"


"ไดจัง ฉั-"


ถึงตอนอยู่ที่โรงเรียนจะภูมิใจหนักหนาว่าตัวสูงกว่าใคร  แต่เมื่อยามอยู่บ้าน ...


"ว่าไงล่ะ ยูโตะ!"


"ก-ก็ ไปซ้อมดนตรีมา"


"เมื่อวานวันเสาร์นะ นายไปซ้อมดนตรีถึงที่ไหนกัน ถึงได้กลับบ้านดึกดื่นขนาดนี้"


ยูริมองคนป่วยที่กำลังโมโหจนแก้มพอง ดูแล้วอาจจะพองลมถึงขั้นท้องแตกตายได้ ผิดกับคนตัวสูงที่ถูกจ้องด้วยสายตาเอาเรื่องจนตัวหด  ถึงจะโกรธยูโตะแอบหนีออกไปซ้อมดนตรีทิ้งยูริให้อยู่คนเดียวตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่เขาก็ไม่อยากให้ยูโตะแบนแต๊ดแต๋เป็นจิ้งจกแปะฝาบ้านเหมือนกัน


"ฉันบอกให้ยูโตะไปเองแหละไดจัง ก็-" ข้อแก้ตัวที่คิดไว้วิ่งหายไปชั่วครู่ เมื่อไดกิตวัดสายตามามองเขา " ก็ยูโตะน่ะซ้อมดนตรีที่บ้านแล้วเสียงดัง ฉันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง"


เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ว่ายามที่ยูโตะอยู่  บ้านที่เคยเงียบสงบเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน  ยามปกติก็ช่างโวยวายอยู่แล้ว  ยามร้องเพลงยิ่งหนัก ไหนจะเสียงถ้วยถัง กะละมัง หม้อ ที่เจ้าตัวเอามาใช้แทนกลองอีก


คิดแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้  พอไดกิยิ้มคนมองก็พลอยใจชื้น


"งั้นก็ควรจะกลับบ้านก่อนค่ำสิ เมื่อวานนายกลับถึงบ้านกี่โมงกัน"


แต่ก็ไม่วายดุเข้าให้อีกรอบ ยูโตะหุบยิ้มฉับ พร้อมๆกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปทางยูริทันที


"หลังจากที่ไดจังกลับมาแป๊บบบ เดียวเอง "


"ใช่ๆ พอกลับมาถึงพวกมันก็ไปกันหมดแล้ว ยูริก็ปลอดภัยแล้วด้วย"


ยูริปลอดภัย แต่ถ้ายูโตะไม่พูดอะไร ชีวิตอาจจะปลอดภัยมากกว่านี้ เพราะคำพูดเมื่อครู่ ดันไปจี้ต่อมโมโหของไดกิให้เดือดขึ้นมาอีกจนได้


"งั้นเหรอ นายเห็นรอยนี่แล้วยังบอกว่าปลอดภัยอีกงั้นสิ"


ปลายนิ้วจิ้มจึ้กลงบนคอขาวๆ บนรอยแต้มสีแดงที่ทำให้ตัวเองสติแตกจนต้องเจ็บตัวแบบนี้ ยูริหน้าแดงก่ำ แทบจะมุดหนีลงไปในกองผ้าห่มให้มันรู้แล้วรู้รอด  แต่ติดที่ว่ามันจะไม่รอดเพราะไอ้รอยยิ้มของคนตรงหน้านี่แหละ


"มีอะไรน่าดีใจหรือไง?"


ไดกิทั้งงุนงงทั้งขุ่นเคืองใจ คิดอยู่สิบตลบก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะมีอะไรดีหนักหนา ยูโตะถึงได้ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหู แถมยังทำตาเป็นประกายวิบวับจนคนมองลืมความโกรธไปชั่วขณะ


"ไดจังอยากรู้จริงๆเหรอ" ถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เดินเข้าไปหายูริ ดึงร่างเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน " รอยนี่น่ะ ฉันเป็นคนทำเองล่ะ!"


ยูริตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ


คราวนี้ตายแน่แล้วยูโตะ...



...........................................


...................



..............


.........



ยูริค่อยเดินออกจากห้อง ปิดงับประตูให้เบาที่สุด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ ให้สมกับที่เหนื่อยมาทั้งวัน ดูแลคนป่วยขี้โมโหว่าเหนื่อยแล้ว แต่การต้องคอยรับมือคนที่คอยจุ๊กจิ๊กกวนใจอยู่ข้างๆยิ่งเหนื่อยกว่า ยังดีที่ไดกิโมโหจนไข้กลับ ยูโตะเลยรอดมาได้แบบหวุดหวิด


"ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา ยูริไม่เห็นว่าอะไรเลยตอนที่ฉันจูบน่ะ"


"พูดมากน่ะยูโตะ"


ยูริหน้าแดงอีกรอบ   ก็เล่นทีเผลอมาจูบตอนหลับนี่นา  แล้วยังมาทำรอยไว้ที่คอนี่อีก   ไดกิคงคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น


ก็เราน่ะ...เป็นพี่น้องกันมาตั้งนาน


"ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆซักหน่อย"  ยูโตะยังหาเรื่องบ่นได้ไม่จบ "รอยแบบนี้ไดจังก็มีเหมือนกันนี่ แถมเมื่อคืนก็-"


ยูโตะลดเสียงลง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ในเมื่อตอนนี้อยู่กันแค่สองคน


"เมื่อคืนน่ะไดจังก็นอนกอดแฟนตัวเองทั้งคืนเลยด้วย"


แล้วจะกระซิบเพื่อ..?  เมื่อคืนยูริก็เห็นเหมือนกัน  สิ่งที่ยูริเห็น มันมากกว่าที่ยูโตะรู้ซะอีก เห็นตั้งแต่ตอนที่ใครคนนั้นก้าวเข้ามาในบ้าน ตอนที่เจ้าพวกนั้นถูกซัดลงไปกองกับพื้น ตอนที่ไดกิถูกอุ้มขึ้นมาบนห้อง หรือแม้กระทั่งตอนที่....


....จูบ.....



แม้แต่คนที่ยืนมองอย่างยูริยังสัมผัสได้ ว่ามันช่างอบอุ่น อ่อนหวาน สักแค่ไหน ในยามนั้นไดกิไม่ได้เป็นพี่ชายรองของบ้านอย่างที่เคยรู้จัก แต่กลายเป็นเจ้าหญิงที่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าชายรูปงามให้พ้นจากเงื้อมมือของปีศาจร้าย แล้วเจ้าชายยังคอยปลอบขวัญ มอบไออุ่นให้ตลอดทั้งคืน


คนที่เข้าบ้านทีหลังอย่างยูโตะน่ะ ไม่รู้หรอกว่ามันน่าอิจฉาแค่ไหน


................


........


...


..


หลังจากที่ประตูปิดลง คนป่วยกลับลืมตาขึ้นในความมืด อาจเป็นเพราะวันนี้นอนมาแล้วทั้งวัน หรือเพราะมีหลายเรื่องให้ต้องคิดกังวล ไดกิถึงนอนไม่หลับ


เรื่องยูโตะกับยูริ..  ไดกิไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่  ถึงยาบุกับไดกิจะกลับบ้านดึกๆแทบทุกวัน  แต่ตอนเช้าก็ต้องกินข้าวกันพร้อมหน้า และไดกิไม่เคยเห็นวี่แววว่าทั้งคู่จะมีความรู้สึกต่อกันนอกเหนือจากความเป็นพี่น้องเลยซักนิด


แล้วความรู้สึกนี้.........มันเกินเลยไปถึงไหนแล้วนะ....



รอยจูบบนต้นคอยูรินั่น...


.....

..
..

ไม่ๆๆๆๆๆ!!!!  ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด  เห็นเป็นเด็กบ้าบ๊องแบบนั้น ยูโตะก็เป็นเด็กมีหัวคิด



 มั้ง? .....



เหอะ! ถึงอย่างนั้นเขาก็คงจะไว้ใจยูริได้น่า..


ร่างบางพลิกตัวตะแคง  ใจคิดไปถึงเหตุการณ์ในคืนก่อน ถ้าหากว่าไดกิมาถึงช้ากว่านั้นสักนาที ใครจะบอกได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับยูริ!


คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงตาปิดแน่น ปวดหัวจนต้องพลิกตัวคว่ำ กดใบหน้าลงกับหมอน


คราวนี้คงต้องทำอะไรให้เด็ดขาดเสียที!


พลิกตัวนอนหงาย  ถอนหายใจเฮือกยาว  พยายามข่มตาให้หลับจะได้มีแรงเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันต่อไป แต่ก็ทำไม่ได้



นิ้วเรียวยกขึ้นแตะลงบนริมฝีปากนุ่มอย่างครุ่นคิด  สัมผัสอุ่นๆจากปลายนิ้วบอกว่ายังมีความทรงจำอีกส่วนที่เขาลืมนึกถึงมัน


คืออะไรกันนะ...


...........



....



...


..


เสียงโครมคราม ปลุกให้คนเพิ่งสร่างไข้ตื่นจากความฝันอันสับสน กระโจนจากเตียงพรวดเดียวถึงบันได


เพื่อมาพบกับสภาพอันไม่น่าดูของสองสมาชิกร่วมบ้าน


ยูรินอนฟุบอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย  พยายามดิ้นรนให้หลุดจากการโดนเสาไฟฟ้าล้มทับเสี่ยงต่อการทำให้กระดูกหักอย่างยิ่ง


"ยูโตะ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ!!!" แหวแว้ดใส่คนทำเนียนไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนซักที อยากให้ยูริแบนเป็นกล้วยตากหรือยังไง


"ก็เจ็บนี่นาจะให้ลุกได้ยังไง ยูริอย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวไดจังก็ตื่นหรอก"


ไม่ทันแล้วมั๊ย ถ้ายูโตะจะเงยหน้าขึ้นมาสักหน่อยก็จะเห็นว่าไดกิอยู่ตรงนี้ แต่นี่ยังออดอ้อนหงุงหงิงใส่ยูริจนน่าหมั่นไส้  มันน่าแกล้งนักเชียว


"พวกนายทำอะไรกันอยู่!"


ได้ผล  ยูโตะกระเด้งตัวจากพื้นประหนึ่งว่าติดสปริง ดึงยูริตัวปลิวขึ้นมาด้วยอย่างง่ายดาย


"ม-ไม่ ไม่ได้ทำอะไรนะ พอดีว่าเราสะดุดล้ม"


"มัวแต่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ล่ะสิ ถึงได้ตกบันได"


ยูโตะอ้าปากจะเถียง แต่ถูกสายตาคมๆจิกจ้อง เลยต้องทำหูตูบเป็นหมาหงอย ไปยืนอยู่ข้างๆยูริ


 กอดในความหมายของไดกิ คือกอดเป้าหมายแล้วเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาเหมือนหมาน้อยได้ของเล่นตามแบบฉบับของยูโตะ ที่เคยทำให้ยาบุหรือตัวเขาเองเกือบต้องตกบันไดมาแล้ว


แต่ดูเหมือนว่ายูริคงจะตีความเป็นอย่างอื่น หัวหูถึงได้แดงขนาดนั้น


เฮ้อ.. แล้วจะไว้ใจได้ซักคนมั๊ยเนี่ย



"ไดจังดีขึ้นแล้วเหรอ"


ยูริถามหวั่นๆ เดาไม่ถูกว่าภายใต้ใบหน้านิ่งๆนั้นไดกิกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน นึกถึงเมื่อวานแล้วยังขยาดไม่หาย ถ้าเกิดว่าไดกิไม่ได้ไข้กลับหน้ามืดไปซะก่อน ทั้งยูริและยูโตะคงถูกอบรมจนหูหลุดไปตามๆกัน เรื่องเก่ายังเคลียร์ไม่จบ มีเรื่องใหม่ให้เห็นคาตาอีกแล้ว


กลัวนิวเคลียร์ระเบิดบ้านซ้ำสอง


"ก็ดีขึ้นน่ะ วันนี้ฉันจะไปทำงาน นายสองคนก็ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวจะสาย"


ปฏิกิริยาตอบกลับผิดคาด  คนฟังเลยเอ๋อ..อึ้ง..  ตะลึงงันไปชั่วขณะ  และไม่ต้องรอให้บอกซ้ำยูริจัดการลากร่างสูงออกจากบ้านไปแบบไม่เหลียวหลัง



ไดกิถอนใจยาว....



ถ้าไม่ได้ทำอะไรเกินเลย...แล้วจะกลัวทำไมเนี่ย


.........


....


...

....
...



สวนสาธารณะในยามสาย แทบจะเรียกได้ว่าไร้ผู้คน วันธรรมดาเช่นนี้ ทั้งเด็กๆวัยเรียน หรือหนุ่มสาววัยทำงาน ต่างก็มีภาระหน้าที่ของตน จึงมีแต่คุณปู่คุณย่าในวัยเกษียนที่มีเวลาว่างออกมาเดินพักผ่อนชื่นชมบรรยากาศอบอุ่นภายใต้ร่มเงาไม้ และผืนหญ้าสีเขียวสด


แต่ผู้สูงวัยไม่ได้ชื่นชมกับความสงบอันแสนสวยงามนั้นได้นานนัก เมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามา


เด็กหนุ่มผู้นั้นมีรูปร่างสูง แต่ค่อนข้างผอม สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำ กับกางเกงยีนส์สีดำสนิท คาดเข็มขัดหนังเล่นลวดลายด้วยการตอกหมุดสีเงิน และรองเท้าผ้าใบ


มองเผินๆ ก็เป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง


เพียงแต่รอยสักบนท่อนแขน.....กลับบ่งบอกถึงสถานะ  สร้างความหวาดหวั่นแก่ผู้พบเห็น


ผู้สูงวัยกว่าย่นคิ้วเป็นเชิงไม่พอใจเมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่าน อีกคนนั้นหวาดหวั่น รีบเร่งออกจากที่ตรงนั้นไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาวัยชราจะพาไปได้


เด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่เดินห่างออกมา  ชินชาเสียแล้วกับสายตาและกิริยาเช่นนี้


คนเรามักตัดสินทุกสิ่งด้วยสายตา  ใช่มองหาเนื้อแท้ในหัวใจ


มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่มองเห็นตัวตนของเขาอย่างที่เป็นจริงๆ และหนึ่งในไม่กี่คนนั้นก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว


"ฮิคารุ"


เด็กหนุ่มยิ้มรับผู้มาใหม่ ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างยินดี นานแล้วสินะที่ไม่ได้เจอกัน


"ไง สบายดีอยู่นะนายน่ะ ยังทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำอยู่เหมือนเดิมล่ะสิ มิน่าถึงไม่โตซักที"


ทักทายตามสไตล์ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบลูกเตะที่พุ่งมาหมายชายโครงไปได้อย่างหวุดหวิด


"นานๆจะเจอกันที ทักกันแบบนี้เรอะ"


"ก็จริงนี่หว่า นายมันผอมเกินไปแล้ว หัดสะสมไขมันไว้ซะบ้างเวลาจำศีลหน้าหนาวจะได้ไม่ลำบาก"


ว่าแล้วก็ก้าวถอยหลบลูกเตะอีกหน แต่คราวนี้พลาด เพราะอีกฝ่ายเล็งต่ำลูกเตะเลยฟาดเข้าที่หน้าแข้งแบบเต็มๆ ฮิคารุร้องจ๊าก กุมขาข้างที่โดนเตะกระโดดเหย็งๆ มีเสียงหัวเราะด้วยความสะใจของอีกฝ่ายเป็นซาวด์แทร็ก


หากเป็นคนอื่นทำแบบนี้ อาจจะมีเรื่องเดือดร้อนตามมาในภายหลัง แต่สำหรับไดกิ ฮิคารุยกเว้นให้ได้ทุกกรณี ต่อให้ถูกแกล้งหนักกว่านี้ เขาก็จะไม่ให้ใครหน้าไหนแตะคนๆนี้ได้เป็นอันขาด


"หน้าตาก็น่ารักดี แต่มือหนักตีนหนักชิบ-"


"สมน้ำหน้า"


ว่าพลางทรุดตัวลงนั่งบนผืนหญ้าริมสระ รอให้อีกฝ่ายนั่งตามถึงเอ่ยถามทักทายบ้าง


"นายสบายดีไหม"


"ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิม"


แสดงว่ายังมีปัญหากับที่บ้านอยู่สินะ  แววตานายมันบอกแบบนั้น


ฮิคารุเป็นเด็กมีปัญหาตามแบบฉบับของลูกคนรวยที่เห็นได้เกลื่อนกลาดในสังคม ที่พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยเงินมากกว่าความรัก ขาดความอบอุ่น ติดเพื่อน ตั้งแก๊งค์กวนเมือง เป็นอันธพาล


ไม่มีความดีให้น่าคบหา..ไม่มีคุณค่าให้ชื่นชม ในสายตาคนอื่น


รวมทั้งพ่อที่เป็นนักธุรกิจใหญ่


แต่สำหรับไดกิแล้ว  ฮิคารุเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เมื่อใดที่ต้องการความช่วยเหลือ ฮิคารุจะมาทันทีไม่เคยมีเหตุผลบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงอนแม้ซักครั้ง


เหมือนวันนี้  เพียงแค่ไดกิบอกว่าอยากเจอเท่านั้น


"วันนี้เรียกฉันมามีอะไรรึเปล่า" น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเหมือนทุกครั้งที่ได้พบ ไดกิหยิบซองสีน้ำตาลที่ประคองมาตลอดทางยัดใส่มือเพื่อนด้วยความรวดเร็ว


"ไม่มีอะไร ฉันแค่เอาเงินมาคืนนาย ติดหนี้มานานแล้ว"


เงินที่ยืมไปเมื่อครั้งที่ยูริป่วยหนัก ต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษา เพราะไม่มีใคร หรือที่ไหนจะให้พึ่งพาถึงต้องเอ่ยปากขอยืมเงินทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำซักครั้ง


และตั้งแต่วันนั้น ฮิคารุไม่เคยทวงถามอีกเลย


"ฉันบอกแล้วว่าฉันให้นาย ยังจะเอามาคืน อีกฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงนายน่ะ"


"รับไปเถอะ ฉันไม่อยากเป็นหนี้ใคร แล้ววันนั้นฉันก็บอกว่าฉันขอยืมไม่ได้ขอเงิน นายฟังภาษาคนรู้เรื่องรึเปล่าล่ะ"


ฮิคารุส่ายหน้าระอาเอือมในความยโสและดื้อรั้นของไดกิ แต่พอเห็นเงินในซองแล้วก็ต้องชะงัก แม้ไม่ครบตามจำนวนที่ให้ไป แต่มันก็มากพอดู


เขารู้.. เงินจำนวนนี้ คงเป็นเงินเก็บของเจ้าตัวแน่


"ไดจัง  เกิดอะไรขึ้น"


การที่ไดกิส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่มีอะไรนั้นยิ่งทำให้ฮิคารุรู้ว่ามันจะต้องมี อะไร แน่ๆ เหตุผลที่ต้องเอาเงินเก็บทั้งหมดมาใช้หนี้เขา ที่ไดกิไม่ยอมบอก และมันทำให้คนเลือดร้อนอย่างฮิคารุเดือดขึ้นมาทันที


"แล้วฉันจะรีบหาส่วนที่เหลือมาคืนให้"


"นายจะหาจากไหน จะไปขอจากหมอนั่นงั้นเหรอ มันคงให้หรอก คนเห็นแก่ตัวพรรค์นั้น"


แววตาหม่นหมองของเพื่อนรักทำให้อารมณ์ดุเดือดคลายลง แต่ในไม่กี่วินาทีนั้นความโกรธก็พุ่งพล่านขึ้นใหม่ ทันทีที่สังเกตเห็นร่องรอยบนผิวขาวจัดใต้ผ้าพันคอที่เจ้าตัวไม่ยอมถอดออกทั้งที่ตอนแรกวิ่งมาจนเหงื่อแตกพลั่ก


ฮิคารุจ้องมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่บัดนี้เผยความยุ่งยากใจออกมาอย่างชัดเจน


"ไดจัง ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกัน บอกฉันมาให้หมดเดี๋ยวนี้"


...



.....



...



....



...


"ไอ้พวกลูกหมา!!!! ฉันจะฆ่ามัน!!!!!!! "


โพล่งออกมาลั่นสวนสาธารณะด้วยความโกรธสุดขีด นักศึกษาสองคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้นรีบเก็บข้าวของเดินจากไปด้วยความตกใจ   ฮิคารุไม่สนใจ ฉวยมือบางที่ยังหลงเหลือรอยช้ำ ออกแรงดึงให้เดินไปด้วยกัน


"นายจะพาฉันไปไหน?"


"ไปจัดการไอ้พวกบ้านั่น นายจำหน้ามันได้ บอกฉัน แล้วมันจะไม่ได้โผล่หน้าไปเจอใครได้อีก"


"ไม่ไป!"


ขืนตัวยื้อไว้สุดฤทธิ์  เพราะนิสัยคนอย่างฮิคารุ  กับคนที่รักก็ดีสุดหัวใจ แต่ถ้าเกลียดใครแล้วก็ร้ายได้สุดขั้ว เกิดฆ่าคนได้จริงอย่างปากว่าแล้วจะทำยังไง


"ไม่ได้! มันไปทวงเงินจากนายทั้งๆที่ฉันสั่งห้าม ปล่อยไว้ไม่ได้!!"


"แต่...นั่นเพื่อนนาย"


"นายไม่เข้าใจรึไง พวกนั้นน่ะก็แค่เห็นแก่เงินกับอำนาจของพ่อฉัน ที่มันไปทวงหนี้กับนายก็กะจะเนียนหาเงินใช้  เพราะพวกมันรู้ว่ายังไงฉันก็จะไม่มีวันทวงกับนาย  แบบนี้ยังเรียกว่าเพื่อนได้อีกไหม  ไอ้พวกสารเลว!!!"


แม้ถ้อยคำนั้นเกรี้ยวกราดด้วยโทสะ แต่คนฟังกลับรู้สึกปวดหนึบในอก


ชีวิตฮิคารุแวดล้อมด้วยทรัพย์สิน อำนาจ  และผู้คนมากมาย  แต่กลับเดียวดายยิ่งกว่าคนที่ต้องดิ้นรนทุกเช้าค่ำอย่างไดกิซะอีก


....เจ็บปวดสินะ....



"เพราะแบบนี้ฉันถึงต้องรีบเอาเงินมาคืนนายไง พวกนั้นจะได้ไม่มีข้ออ้างมาที่บ้านอีก"


ฮิคารุกุมขมับ ความโกรธเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง เพื่อนรักช่างมองโลกในแง่ดีเสียนี่กระไร  ใครจะบอกได้ว่าคืนเงินแล้วจะไม่ถูกระรานอีก  คนมันจะหาเรื่องซะอย่างเหตุผลไม่จำเป็นต้องมี


เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะบทสนทนา ร่างสูงรับโทรศัพท์เดินออกไปเพียงไม่กี่นาที  ก่อนจะเดินกลับมาด้วยสีหน้างุนงงและประหลาดใจ


"ฉันว่าเจ้าพวกนั้นคงไม่มีโอกาสไปรังแกใครได้อีกแล้วล่ะ"



..........


.......


...

...



"นายหมายความว่าไง?"


"ก็มีคนโยนเจ้าพวกนั้นเข้าคุกไปตั้งแต่คืนนั้นแล้วน่ะสิ  นายน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ?"


"ไม่รู้"  ก็ดันวูบไปก่อน แถมหลับข้ามคืน ตื่นขึ้นมาก็เป็นไข้ ใครจะมีกะใจถามถึงคนพวกนั้นกัน


"ฝีมือยูโตะ? หรือยาบุ?"


"เป็นไปไม่ได้ ยูโตะบอกว่าตอนที่กลับมาถึงบ้านพวกนั้นก็ไปกันหมดแล้ว ยาบุก็ทำงานกะดึกต่อจากฉันคืนนั้นไม่ได้กลับบ้าน"


"เฮ้ย!!! ถ้างั้นใคร?"


"ไม่รู้"


คิ้วสองคู่ขมวดใส่กัน  ตาสองคู่มองสบกันด้วยความงุนงงสุดขีด


ตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป ทั้งบ้านก็เหลือกันอยู่แค่สี่คน ไม่มีญาติมิตรให้พึ่งพา สองคนถึงต้องทำงานหนัก เพื่ออีกสองคนที่ยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย  วันๆทำแต่งานจนไม่มีเวลาไปสมาคมกับใครที่ไหน


แล้วอัศวินในคืนนั้นมันใครกันวะ?..


"ไปกันเถอะ"


พยักหน้าเดินตามคนตัวสูงกว่าไปอย่างว่าง่าย  ไม่ถามอะไรเลยสักคำ พอคนข้างหน้าหยุดเดินก็หยุดบ้าง แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองซักนิดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ได้ยินแต่ว่าฮิคารุจะแวะทำธุระ โดยที่หยิบบซองเงินหนาไปจากมือเขาด้วย


ผ่านไปครู่ใหญ่ ไดกิก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดยืนอยู่ที่เดิม


นิสัยอย่างหนึ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นนิสัยเสียของไดกิคือ ยามที่มีเรื่องให้ต้องคิด เจ้าตัวก็จะคิดอยู่อย่างนั้นจนลืมสนใจเรื่องอื่นรอบตัว  แต่วันนี้ฮิคารุจะถือว่ามันเป็นเรื่องดีซักวันก็แล้วกัน  กว่าไดกิจะรู้ตัวว่าเขาฝากเงินคืนใส่ในบัญชีให้ก็คงอีกซักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าวันที่เงินเดือนออกนั่นล่ะ


"กลับบ้านเถอะ"


"ฉันจะไปทำงาน"


เออเว้ย!  อย่างน้อยเรื่องงานก็ยังอยู่ในหัว   แต่ที่ห่วงก็จากนี้แหละ  สภาพนี้จะไปถึงที่ทำงานโดยสวัสดิภาพรึเปล่า


"โอ๊ะ !! ขอโทษครับ"


"ไม่เป็นไรครับ"  นักศึกษาผู้เคราะห์ร้ายถูกเดินชนจนข้าวของกระจายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม  แต่เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนจนคนต้นเหตุนึกอะไรไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อไปดี


แล้วฮิคารุที่เดินตามมาก็ดึงแขนไดกิให้ออกจากที่ตรงนั้นไป พร้อมๆกับเสียงเพื่อนๆของนักศึกษาคนนั้นที่ไล่หลังมาอย่างไม่เบานัก


"ชนแล้วก็เดินหนี  ไม่มีมารยาท!"


"คนพวกนี้ไม่ได้รับการสั่งสองเรื่องมารยาทมาหรอก อย่าสนเลย"


"เขาก็ขอโทษแล้วไงล่ะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน"


เป็นนักศึกษาคนเดิมที่ออกโรงห้ามปรามเพื่อนๆ  ก่อนจะเดินออกไปจากที่ตรงนั้น เหมือนที่ทั้งสองคนกำลังเดินจากมาเช่นกัน




...........


........


....


..



คนพวกนี้?  พวกไหน


คนแบบเขา ในสายตาของนักศึกษาพวกนั้น เป็นคนแบบไหนกันนะ  คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ


แล้วก็ไม่เข้าใจ... สายตารังเกียจเดียดฉันท์ ของคนพวกนั้นด้วย


คิดมาตลอดทั้งๆที่ฮิคารุบอกแล้วว่าไม่ต้องคิดมาก   แต่ก็คิด....  ครุ่นคิดจนลืมทุกสิ่ง


เมื่อกี๊ฮิคารุบอกเขาว่าไงนะ.....


อย่ามัวแต่คิดมากจนเซ่อซ่าเดินไปชนชาวบ้านเค้าล่ะ!


พลั่ก!!!!


"มาพอดี กำลังรออยู่เลย"


ไดกิเงยหน้ามองใครคนหนึ่งที่เขาพึ่งจะเดินชน  ตอนแรกก็นึกว่าเดินชนกำแพงซะอีก ที่ไหนได้กลายเป็นคนร่างสูงบวกหนา  มิน่าเขาถึงได้เป็นฝ่ายลงไปกองอยู่กับพื้นเสียเอง


"ไดจังนี่นะ เมื่อไหร่จะเลิกทำนิสัยแบบนี้ซักที"


อีกหนึ่งร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆกันบ่นเบาๆ พร้อมๆกับช่วยพยุงไดกิให้ลุกขึ้น พลางมองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย


ว่าแต่สองคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?


"นายมาก็ดีแล้ว ไดจัง ช่วยพายาบุกลับบ้านไปทีซิ  ไม่สบายยังไม่หายดีแล้วยังจะฝืนไปทำงานอีก"


"นายไม่สบายเหรอ?"


"โรคเดิมน่ะสิ คราวนี้ถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเลยล่ะ แล้วแทนที่จะกลับบ้านไปพักยังดื้อจะไปทำงานฉันเลยต้องลากมานี่"


บทสนทนานี้ ยาบุไม่ได้อ้าปากพูดเลยสักประโยคเดียว มีแต่ ทาคาคิ ยูยะ เป็นฝ่ายตอบคำถามล้วนๆ และเจ้าตัวก็คงจะหัวเสียกับความดื้อดึงของยาบุอยู่ไม่น้อย


ไดกิเข้าใจความเป็นห่วงของยูยะ  แต่ก็เข้าใจยาบุด้วยว่าทำไมถึงห่วงงานขนาดนั้น  วันหยุดหนึ่งวัน เท่ากับขาดรายได้ ไหนจะโอที ไหนจะทิป เงินทั้งนั้น


"นายก็น่าจะพักซักหน่อยนะ  ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอก ส่วนของนายเดี๋ยวฉันทำแทนให้"


"ไม่ได้นะ! นายก็ยังไม่หายดี ไข้ก็ยังไม่ลดแล้วรอยนี่อีก ไม่ต้องมาเถียงฮิคารุโทรมาเล่าให้ฟังหมดแล้ว"


ประโยคเดียวได้ใจความ ไม่ต้องถามต่อ และเพื่อไม่ให้เกิดการโต้เถียงยืดยาว ยูยะเลยตัดสินใจจับแขนของยาบุและไดกิคนละข้าง พามุ่งตรงไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ลงทุนซื้อตั๋วให้ทั้งสองคนรวมตัวเองด้วย ตามเข้าไปส่งถึงชานชาลา ก่อนจะขึ้นรถยังกำชับว่า


"ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วย"


สายตาคนพูดจำเพาะเจาะจงไปที่ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆไดกิ คล้ายจะบอกว่า ถ้าไม่โทรมาล่ะมีเรื่องแน่ๆ


เจ้าตัวเลยพยักหน้ารับน้อยๆ


แต่หลังจากที่ประตูปิดลง...


"เจ้าบ้านี่เอาแต่ใจไม่เปลี่ยนเลย! หนอย ทำเป็นมาขู่ นึกว่าตัวเองเป็นใคร "


"กลับไปก็ได้นี่ไดจัง"


พูดแล้วก็ต้องยิ้มน้อยๆให้กับใบหน้าย่นยู่ที่ดูจะคล้ายสุนัขพันธุ์บูลด็อกของอีกฝ่าย  ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่พี่ชายคงโตของบ้าน  ไดกิคงกระโดดกัดหูแล้วแหง


ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับไป แต่กลับไม่ได้ต่างหาก.....


สภาพแบบนี้ลองกลับไปสิ มีหวังถูกไล่ออกจากงานจริงๆอย่างที่ยูยะขู่ไว้แน่ๆ


"ชิ! กลัวที่ไหน  กะอิแค่คุณชายจอมเผด็จการหลานเจ้าของโรงแรม"


ยาบุบอกไม่ถูกว่าระหว่างเขากับไดกิใครจะดื้อกว่ากัน  ตัวเขาเองเป็นประเภทดื้อเงียบ ผิดกับไดกิที่ช่างโวยวายไม่พอใจอะไรก็เสียงดังเข้าข่ม  แต่จะดื้อแบบไหน ก็ถูกทาคาคิ ยูยะ คนเมื่อกี๊ ปราบเสียจนอยู่หมัด  ตั้งแต่สมัยที่เรียนด้วยกันแล้ว


"แล้วนายเป็นไงบ้างล่ะ"


หันกลับมาถามทั้งๆที่หน้ายังหงิก ยาบุที่อยากเปลี่ยนเรื่องคุยอยู่แล้วก็เลยเล่าทุกอย่างให้ฟัง ตั้งแต่วันที่ปวดท้องเพราะอาการโรคกระเพาะ เรื่องที่ยูยะพาไปส่งโรงพยาบาล แล้วก็ถูกคุณชายบ่นไปตามระเบียบ ว่าให้หัดดูแลตัวเองซะบ้าง


สองคนคุยกันเรื่องสัพเพเหระ เหมือนไม่ได้เจอกันมานาน เล่าเรื่องราวของกันและกันตลอดทางกลับบ้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องของคนที่ช่วยเหลือไดกิไว้ในคืนนั้น


"ไม่รู้จริงๆเหรอว่าใคร"


ไดกิส่ายหน้า ตอบว่าไม่รู้ไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็สุดจะนับ ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าบ้านพอดี ยาบุถอนหายใจพร้อมๆกับไขกุญแจเข้าบ้าน


เอ๋?.....  ประตูไม่ได้ล็อค....  ยูโตะกับยูริยังไม่เลิกเรียนนี่นา.....


ยาบุก้าวพรวดเข้าไปข้างในทันที ไดกิตามเข้ามาติดๆ แต่ก้าวยังไม่ทันพ้นประตู ร่างสูงที่อยู่ข้างหน้าก็หยุดกระทันหันจนไดกิเกือบชน


"คุณเป็นใคร?"


ร่างสูงถามแม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่บ้านนี้ไม่เคยมีแขกมาเยือนนานแล้วตั้งแต่พ่อกับแม่ตายจากไป คืนก่อนก็เพิ่งเกิดเรื่องร้าย ยาบุจึงไม่อยากไว้ใจใครง่ายๆนัก


ไดกิมองผู้มาเยือนที่กำลังลุกจากโซฟา เดินเข้ามาหาอย่างไม่วางตา รูปร่างแบบนี้ โครงหน้าแบบนี้ ทรงผมแบบนี้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนน้อ?


แล้วจู่ๆ ไดกิก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนวูบวาบ ริมฝีปากอุ่นขึ้นอย่างไร้สาเหตุ และเมื่อมองร่างสูงตรงหน้าให้ชัดอีกครั้ง ภาพโครงร่างของใครบางคน ภายใต้แสงเงาสีส้มทองของพระอาทิตย์ยามเย็นก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ


"คุ- อื้อ~"


ก่อนจะไดกิจะพูดอะไรได้มากไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็ช่วยทบทวนความจำให้ชัดเจนขึ้นด้วยริมฝีปากร้อนๆบดเบียดหนักหน่วงผสมผสานรสจูบอ่อนหวาน มือหนึ่งช้อนศรีษะให้คนตัวเล็กเงยหน้ารับสัมผัสง่ายขึ้น โอบกระชับเอวบางด้วยแขนแข็งแรง  ปิดกั้นทางหนี


ละจากริมฝีปาก ปลายจมูกโด่งจึงไล้ไปตามแก้มขาวเรื่อยลงไปจนถึงต้นคอ ก่อนจะจะย้ำรอยที่เพิ่งเริ่มจางให้ชัดเจนเหมือนเก่า


"ไม่-..อย่า!!"


ตะโกนจนสุดเสียง แต่ไดกิกลับแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง  ดิ้นรนทุบตีสุดแรง แต่อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้าน และเมื่อพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้คล้อยตาม สติกลับยิ่งจมลึกลงไปกับความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต


สุดท้ายจำต้องปล่อยตัวเองไร้แรงอยู่ในอ้อมอกแกร่ง ให้อีกฝ่ายรุกรานจนกว่าจะพอใจ


และเมื่อริมฝีปากและลมหายใจเป็นอิสระ ร่างบางก็หัวใจเต้นแรง ร้อนไปทั้งตัวเหมือนพิษไข้กำเริบซ้ำ ถึงจะรู้สึกตัวและได้ยินว่าใครพูดอะไรอยู่บ้าง  แต่ก็ไม่มีแรงต่อต้านได้เลย...


"ขอให้เรา..อยู่กันตามลำพังได้ไหม?"


ยาบุพยักหน้าอย่างลืมตัว เพราะสติเพิ่งละลายไปกับฉากจูบเมื่อครู่ กว่ามันจะก่อร่างขึ้นมาใหม่ ทั้งสองคนก็ไม่อยู่แล้ว


มันน่าโมโหตัวเองนัก!!!


แต่ไหนแต่ไร พี่ใหญ่อย่างเขาไม่เคยอนุญาตให้น้องออกไปไหนไกลหูไกลตา ถ้ามีแฟนก็ต้องให้พามาที่บ้าน เพราะความห่วงหวงน้อง กลัวอันตราย


แต่ครั้งนี้กลับพลาดครั้งใหญ่ ปล่อยให้ถูกอุ้มเข้าห้องไปแบบนั้นแล้วน้องยังจะปลอดภัยดีอยู่หรือนี่?




+++++++++++++++++++++++++++++++++

1 comment:

  1. กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    ไดจี้โดนพาเข้าห้องงงง มาถึงก็โดนรุกเลย ไดจี้อ่อนระทวยในอ้อมแขนของคนคนนั้น

    อิจฉาค่าาาาา ชอบตอนที่ชี่คิดจัง ที่บอกว่า เมื่อคืนยูริก็เห็นเหมือนกัน สิ่งที่ยูริเห็น มันมากกว่าที่ยูโตะรู้ซะอีก เห็นตั้งแต่ตอนที่ใครคนนั้นก้าวเข้ามาในบ้าน ตอนที่เจ้าพวกนั้นถูกซัดลงไปกองกับพื้น ตอนที่ไดกิถูกอุ้มขึ้นมาบนห้อง หรือแม้กระทั่งตอนที่....


    ....จูบ.....

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ชอบมาเลยค่า ชอบตอนนี้สุดๆเลยยยยย

    ไปอ่านตอนต่อไปล่ะนะค้าาาา

    ReplyDelete