Thursday 8 September 2011

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Two


Fiction

Title : The day we kissed..Two

Pairing : _ _ _ x _ _ _

Rate : ---?---







ฝัน..?





เวลานี้ไดกิต้องฝันไปแน่ๆ....



ทั้งรสจูบที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก....ทั้งไออุ่นที่โอบล้อมกาย.....ทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน



"ถ้ายังไม่ยอมลืมตา  จะจูบนะ"



ไม่ใช่ความฝัน..?



ไดกิเบิกตากว้าง ตะลึงค้างจ้องมองใบหน้าที่กำลังก้มลงมาหา กระทั่งริมฝีปากเกือบจะแตะกัน ถึงได้สติผลักอีกฝ่ายจนหน้าหงาย แต่เป็นเพราะตัวยังอยู่ในอ้อมแขนของร่างสูง พอดิ้นมากเข้าคนอุ้มก็อุ้มไม่ไหว ทิ้งร่างบางลงบนเตียงซะดื้อๆ



"โอ๊ย!!!!"



ถึงเตียงไม่ได้แข็งอย่างหิน แต่รอยช้ำจากเหตุการณ์ในคืนก่อนยังไม่หายดีถึงร้องลั่น ยามที่แผ่นหลังกระแทกลงบนฟูกหนา  เจ็บตัว..แต่ก็ยังตะกายพาตัวเองหนีจนร่วงลงตกจากอีกฟากเตียง ก่อนจะลุกขึ้นมาขู่ฟ่อใส่ร่างสูงที่ยืนนิ่งๆอยู่ฝั่งตรงข้าม



"ไอ้คนโรคจิต!  ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!"



ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ แต่ก็ไม่ขยับไปไหน เอาแต่ยืนนิ่งๆจนไดกินึกอยากจะเป็นฝ่ายวิ่งออกจากห้องไปเสียเอง ติดที่ว่าอีกฝ่ายยืนขวางอยู่ตรงประตูพอดีนี่สิ...



สงสัย?...ต้องหาอาวุธซะละมั้ง



"เฮ้ย!!!!!"



ร่างสูงกระโดดหลบอย่างว่องไวตอนที่อะไรต่อมิอะไรลอยมาใส่เขา  แล้วก็ยังไวมากพอที่จะคว้าคนตัวบางแต่ฤทธิ์เยอะเอาไว้ก่อนที่จะฉวยโอกาสหนีออกจากห้องได้ด้วย



"ปล่อย!-อุ๊บ"



เป็นเพราะไดกิป่วยหรืออีกฝ่ายแข็งแรงเกินไป ถึงสามารถกอดไดกิไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว มืออีกข้างถึงได้ว่างมาปิดปากเขาไว้จนดิ้นไม่หลุดอย่างนี้



"ฉันจะปล่อยนาย ถ้านายสัญญาว่าจะไม่หนี แล้วก็ไม่ต่อยฉัน ไม่งั้นก็ดิ้นต่อไป หมดแรงเมื่อไหร่แล้วค่อยมาคุยกัน"



เรื่องอะไรจะยอมให้เป็นแบบนั้น ไดกิพยักหน้าเร็วๆแทนคำตอบ ทำตัวนิ่งๆกลั้นใจรอให้สัมผัสหนักๆอยู่ตรงเอวกับริมฝีปากหายไป ถึงค่อยก้าวออกมาข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะก้าวพรวดๆไปจนมุมอยู่ตรงมุมห้อง ร่างสูงมองตามอากัปกิริยานั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ กึ่งขำกึ่งเคือง



แล้วจะคุยกันรู้เรื่องหรือนี่?



"อย่าเข้ามานะ! ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ มีธุระอะไรก็ว่ามาพูดให้มันจบๆแล้วก็ไปซะ!"



"เอางั้นก็ได้  ถ้าอยากให้คนที่อยู่ข้างนอกได้ยิน  งั้นเราตะโกนคุยกันก็ได้"



ไดกิกัดริมฝีปากแน่นด้วยความหงุดหงิด มองตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งยั่วให้โมโห แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่ายาบุจะคอยฟังอยู่ข้างนอกจริงๆ  ยิ่งตัวเขาถูกอุ้มเข้าห้องมาอย่างนี้ มีหรือยาบุจะไม่ห่วง  แต่ยิ่งเป็นอย่างนั้นเขายิ่งไม่อยากเล่าอะไรให้รู้ เพราะถ้ายาบุรู้ ยังไงวันหนึ่งเรื่องก็คงไปเข้าหูทาคาคิ แบบนี้เรื่องก็จะยิ่งไปกันใหญ่ แค่นี้ก็อับอายขายขี้หน้าจะแย่แล้ว



ไม่ชอบเลยจริงๆ แต่ร่างบางก็ฝืนใจชี้นิ้วไปที่ปลายเตียงเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงนั้น  ส่วนตัวเองก็ย่องๆไปนั่งตรงโซฟาข้างเตียง สองตาก็สอดส่ายมองหาอะไรในห้องที่พอจะใช้ป้องกันตัวเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน



"ฉันมาขอโทษ..เรื่องวันนั้น"



"........"



เหมือนอะไรซักอย่างวิ่งเข้าหูซ้าย แล้วทะลุออกหูขวาอย่างรวดเร็ว  สมองเลยไม่ทันแปลสัญญาณใดๆได้ชัด



"คุณ..ว่าอะไรนะ?"



"ฉันขอโทษ  ที่วันนั้นเข้าใจผิด"



"............"



ถ้าทั้งสองคนไม่ได้นั่งตรงข้ามกัน ไดกิคงไม่ได้เห็นแววตาของอีกฝ่าย ว่ามันจริงจังแค่ไหน  และถ้าหากว่าไม่ได้มองสบตาคู่นั้นตรงๆ  คงไม่ได้รู้ว่าคำขอโทษนั้น ออกมาจากหัวใจจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ



ทั้งๆที่ตอนแรก ทั้งโกรธ..ทั้งอาย  จนอยากจะโยนคนๆนี้ออกจากบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แถมยังจะต่อยให้ด้วย



แต่พอถูกจูบ...ก็คิดอะไรไม่ออก เรี่ยวแรงหายไปซะดื้อๆ  แล้วสุดท้าย...ก็เหมือนจะใจอ่อน ยอมยกโทษง่ายดายเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียว



นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?



เพียงแค่นิ่งไปไม่กี่นาที ก็ทำให้อีกฝ่ายกังวลได้ ร่างสูงจึงลุกขึ้นโค้งคำนับ กล่าวคำขอโทษซ้ำอีกเป็นครั้งที่สาม  ร่างบางนั่งงง นานมากแล้วที่ไม่เคยมีใครมาโค้งคำนับเขา นับตั้งแต่ทำงานไดกิเองต้องเป็นฝ่ายโค้งคำนับให้ลูกค้า  นับพัน...นับหมื่นครั้ง...



พอมีใครสักคนที่ให้เกียรติกันขนาดนี้ก็ทำอะไรไม่ถูก  แค่จะบอกว่าไม่โกรธแล้ว  ไม่เป็นไร ยังพูดออกมาไม่เป็นคำ จนร่างสูงไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินมันถูกต้องไหม ไดกิเลยต้องพยักหน้าเร็วๆเป็นการยืนยัน



เห็นอย่างนั้น ร่างสูงถึงได้ถอนหายใจโล่งอก ทิ้งตัวนั่งลงตามเดิม



"ขอบคุณนะ"



ร่างบางพยักหน้าหงึกหงัก กดใบหน้าลงกับหมอนที่ไม่รู้ว่าไปคว้ามากอดตั้งแต่ตอนไหน รู้แต่ว่าตอนนี้แก้มมันร้อนวูบวาบ ยามที่ได้สบตา เห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นนุ่มนวลของคนตรงหน้า คนที่ไดกิไม่รู้จัก.. คนที่จูบเขา  คนที่ฝากรอยจูบไว้ที่ต้นคอนี่..



"ทำไมเมื่อกี๊คุณต้องจูบผม?"



ดูเอาเถอะ  เป็นแมวน้อยขี้อายให้ชื่นชมไม่ถึงนาที ตอนนี้ลุกขึ้นมาขู่ฟ่อใส่อีกแล้ว ร่างสูงปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน ก่อนหน้านั้น ลองว่าเขาไม่จูบปิดปาก มีหวังเจ้าตัวคงโวยวายจนเขาโดนทุ่มออกจากบ้านแน่ๆน่ะสิ  วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพที่สุดและได้ผลรวดเร็วที่สุด



เฉพาะกับร่างบางคนนี้รึเปล่านะ?



"ไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว!"



คนบ้า! ถามไม่ตอบ แล้วยังจ้องหน้าอีก  ตอนนี้ไดกิแก้มร้อนจนจะละลายอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นร่างสูงหัวเราะเบาๆแล้วยิ่งโมโห  ไม่มีอะไรน่าขำเลยซักนิด



แต่ร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน ทั้งที่ยังหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเดินไปหาร่างบางที่ยังนั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงโซฟา ก้มลงสัมผัสริมฝีปากนุ่มๆอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวคำอำลาว่า



"ฉันขอโทษ ที่เข้าใจนายผิด แต่เรื่องจูบน่ะ ไม่ขอโทษหรอกนะ"



ไม่ได้คิดจะแกล้งเลยจริงๆ แต่คนน่ารักแบบนี้จะอดใจไม่แกล้งยังไงไหวล่ะ



++++++++++++++++++++++++



 "ไดจังเลิกกับแฟนแล้วเหรอ?"



เพราะตอนที่กลับถึงบ้าน ยูโตะกับยูริ ทันได้เห็นไดกิอาละวาดหน้าดำหน้าแดงใส่ใครคนหนึ่ง แม้ว่าเคยพบกันแค่ครั้งเดียวทั้งสองคนก็จำได้ดี  แต่ก็เพียงได้ทักทายและบอกลากันในคราวเดียว ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปโดยมีเสียงโวยวายดังไล่หลัง



ทิ้งสมาชิกร่วมบ้านไว้กับไดกิเวอร์ชั่นซุปเปอร์ไซย่าขั้นสามที่พร้อมจะระเบิดบ้านได้ทุกเมื่อ..



บรรยากาศในบ้านทึมทะมึนตั้งแต่บ่ายถึงค่ำ  หลังมื้อเย็น ทุกคนนั่งกินของว่าง ตาก็มองโทรทัศน์ หูก็คอยฟังเสียงโครมครามจากในครัวเผื่อว่ามีอะไรแตก โชคร้ายที่วันนี้ไดกิเป็นเวรล้างจาน  แต่ยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นคนทำกับข้าวด้วย ไม่งั้นคงเจอเศษเขียงในซุปหรือผัดผักด้วยแหงๆ



"ไม่รู้สิ" ยาบุกระซิบตอบ ก็ตอนไดกิถูกพาเข้าห้องไป กับตอนทีออกมา ยังกับหนังคนละม้วน จนถึงตอนนี้ไดกิยังหน้าหงิกไม่หาย แล้วใครล่ะจะกล้าเอ่ยปากถาม



ถ้าให้เดาก็คงจะเลิกกันแล้วละมั้ง เพราะได้ยินใครคนนั้นบอกกับไดกิที่กำลังโมโหสุดขีดว่า "ลาก่อน" นี่นะ ไม่ได้พูดว่า "แล้วเจอกัน"หรือ"แล้วจะโทรหา" อะไรแบบนี้  พูดเหมือนกับว่าจะไม่มาเจอกันแล้วงั้นแหละ



"แต่คนนั้นน่ะ แฟนไดจังแน่เหรอ" กระซิบถามต่อเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไดกิเคยมีคนรัก ไม่สิ.. ต้องบอกว่าเคยมีความรัก แต่มันก็จบลงหลังจากที่คนๆนั้นตัดสินใจเลือกที่จะทิ้งที่นี่ เดินออกจากบ้านหลังนี้ไป  สำหรับน้องสองคนอาจจะมองว่าไดกิตัดใจลืมได้แล้ว  แต่ยาบุรู้.. ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไดกิก็ยังรออยู่เสมอ



รอ..แม้ว่าจะไม่มีความหวัง



เพราะไดกิไม่เคยมีใคร หรือมองใครอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น แล้วจู่ๆมีแฟนโผล่มา มันก็เชื่อยากหน่อยล่ะ



"ใช่ ชัวร์100% ! " ยูโตะตอบอย่างมั่นใจ มียูริพยักหน้าสนับสนุนอย่างแข็งขัน "ถ้าไม่ใช่แฟนกันจะมาตามถึงบ้าน จะยอมเจ็บตัวปกป้องไดจัง จะจูบกัน จะกอดกันทั้งคืนเหรอ"



"ห๊ะ!!!!!"



"จริงๆนะยาบุคุง คืนนั้น ตอนที่ฉันรับโทรศัพท์น่ะ นึกว่าไดจังโทรมาตามกลับบ้าน กลัวโดนด่าแทบตาย ที่ไหนได้เป็นแฟนไดจังโทรฯ มา  บอกว่าไดจังลืมโทรศัพท์ไว้ บ้านอยู่ที่ไหนจะเอาไปคืน แล้วก็บลาๆๆๆๆๆๆ" ยูโตะเล่าเรื่องราวเป็นฉากๆประหนึ่งว่าได้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ไม่สนใจมือเล็กที่สะกิดไหล่ยิกๆจนกระทั่งนาทีต่อมา



"มีอะไรเหรอยูริ เหวออออออออออ!!!!!!!!!!!! "



ลืมตัวกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักยาบุด้วยความตกใจ ทันทีที่เห็นว่าไดกินั่งอยู่ตรงโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างๆ



"ไดจัง~ มาตั้งแต่เมื่อไหร่"



"นี่ยูโตะ"



"อะไรเหรอ"  ขานรับแบบเหงื่อแตกพลั่กๆ ไดกิโหมดนิ่งน่ากลัวกว่าโหมดโหดเป็นไหนๆ แง้~ พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วยยยย



"เล่าเรื่องเมื่อกี๊ให้ฟังอีกทีได้ไหม"







+++++++++++++++++++







สองวัน...



สองวันแล้วที่ได้ฟังเรื่องทุกอย่างจากยูโตะ  หลังจากนั้น ไดกิก้กลับเข้าห้องโดยไม่พูดอะไร ไม่ตอบคำถามใครซักคำ



สองวัน...



ที่ต้องมานั่งกลุ้ม ว่าควรจะทำยังไงดี ที่จริงไดกิจะปล่อยให้มันผ่านไป ถือซะว่าความช่วยเหลือในวันนั้นลบล้างหายกันกับที่เขาเกือบจะถูกทำมิดีมิร้ายเพราะความเข้าใจผิด แต่ในใจส่วนลึกกลับบอกว่าอย่างน้อยเขาก็ควรจะขอบคุณ ที่ฝ่ายนั้นยอมเจ็บตัวเพื่อช่วยเขา



ก็เลยต้องพาตัวเองมาอยู่หน้าห้องเดิม  หน้าบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ติดหมายเลข 1412 เป็นตัวอักษรสีทอง แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ ไดกิไม่กล้าเคาะประตูเรียกคนข้างใน สองวันมานี่พาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องซักยี่สิบหนได้ แต่พอตัดสินใจจะเคาะประตู  ขาเจ้ากรรมดันพาเดินหนีมาซะเฉยๆ



ทำไมไอ้คนที่อยู่ข้างในถึงไม่รู้จักโผล่หน้าออกมาจากห้องบ้างนะ!



"มีอะไรรึเปล่า?"



ร่างบางกลับหลังหันด้วยความเร็วแสง พอเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใครก็ตกใจก้าวถอยหลังชนประตูเสียงดังสนั่น



"โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!"



น้ำตาแทบร่วง  เจ็บหลังไม่พอยังเอาหัวโขกประตูอีก  ร่างสูงรีบประคองอีกคนเอาไว้ไม่ให้ล้ม



"เจ็บมากรึเปล่า"



"เพราะคุณนั่นแหละ โผล่มาเงียบๆทำไม"



"ไหนขอดูหน่อย หัวแตกรึเปล่า อยู่นิ่งๆซิ"



ฮึดฮัดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะก้มหัวให้อีกฝ่ายดู แต่ก็สะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ปลายนิ้วอุ่นกดลงตรงบริเวณที่ถูกกระแทก  ขยับนิ้วกดหนักเบาสลับกันไปช้าๆ  จากที่เจ็บก็คลาย สบายจนอยากจะหลับมันซะตรงนี้เลยจริงๆ



"สงสัยต้องหาอะไรประคบด้วย"



เงียบ...



ร่างสูงละสายตาจากกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน เอียงคอมองใบหน้าที่ยังก้มต่ำด้วยความกังวล แล้วก็ต้องอมยิ้ม เพราะคนที่เพิ่งโวยวายว่าเจ็บนักหนากำลังหลับตาพริ้มสบาย  เหมือนลูกแมวเวลามีใครมาเกาคางให้ยังไงยังงั้น



"มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ"



เสียงแหบๆต่ำๆ อย่างคนสูงวัย ทำให้ไดกิต้องลืมตาพรึ่บ ตัวแข็งไม่กล้าขยับไปไหน



ทำไมหนอ ..ทำไม ต้องมาเจอตาแก่ผู้จัดการจอมเคร่ง หัวงู เอาตอนนี้ด้วย  คราวก่อนแค่คุยกับลูกค้าไม่กี่คำก็โดนเรียกพบ หาว่าทำตัวไม่เหมาะสม เล่นหัวกับลูกค้า ถูกดุก็ไม่เท่าไหร่ แต่ต้องไปอยู่กันสองต่อสองในห้องทำงานของตาแก่ลามกนั่นต่างหากที่น่ากลัว คราวที่แล้วรอดมาได้เพราะมียูยะ แต่คราวนี้คงไม่รอดแหง..



ทำไงดี?...



ไม่มีทางเลือก  มือบางคว้าคอเสื้อคนตรงหน้า ดึงเข้าหาตัว หวังใช้แผงอกหนากับไหล่กว้างเป็นที่กำบัง



"ช่วยบังผมไว้ที"



"หืมม์?"



เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าพูดอยู่กับอกเขา เสียงที่ได้ยินจึงเป็นแค่เสียงงึมงำจับใจความไม่ได้ ร่างสูงจึงต้องก้มหน้าลงไปจนชิดแก้มใส เพื่อฟังให้ชัดๆ



"อย่าให้ตาแก่นั่นเห็นหน้าผมนะ  ช่วยที  ขอร้องล่ะ"



ถึงยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ร่างสูงก็ยอมให้ความร่วมมือโดยโอบกอดร่างเล็กไว้ ให้ใบหน้าน่ารักซ่อนอยู่ในวงแขนแกร่ง และไดกิก็ซบใบหน้าลงกับอกอุ่นเป็นการตอบรับ



แล้วหลังจากนั้น...



ทุกอย่างก็ดูจะเบลอไปชั่วขณะ ร่างบางรับรู้ได้เพียงไออุ่นที่โอบล้อมกาย กับพิษไข้ที่ดูจะไม่หายขาดสักที เสียงสนทนาของร่างสูงกับเสียงอึกอักของใครอีกคนก็เป็นเหมือนเสียงวิทยุที่สัญญาณขาดๆหายๆ แว่วเสียงสัญญาณปลดล็อคจากคีย์การ์ด ก่อนที่ทุกอย่าง จะค่อยๆเลือนหายไป....









+++++++++++++++++++++










"ไม่สบายขนาดนี้แล้วยังจะมาทำงานอีก"



นี่เป็นเสียงแรกที่ได้ยินชัดเจนหลังจากที่เข้ามาอยู่ในห้องแล้ว ร่างบางยอมถูกตำหนิโดยไม่ปริปากซักคำ ขอให้คนอื่นช่วย แต่เกือบจะทำเสียเรื่องซะเอง  อยู่ดีๆก็ไข้กลับเกือบจะเป็นลมไปซะอย่างนั้น ทำให้ร่างสูงพลอยตกใจไปด้วย พอประคองกันเข้ามาในห้องได้ ก็กุลีกุจอหาผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้เช็ดหน้า



ซึ่งไดกิก็ไม่มีอะไรจะพูดนอกไปจากคำว่าขอบคุณ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



"เอ้านี่"



ร่างสูงยื่นขวดน้ำเย็นให้ เปิดฝาให้พร้อม ไดกิรับมาดื่มอย่างว่าง่าย  ปกติแล้วไดกิแทบจะไม่แตะอะไรในตู้เย็นของห้องพักในโรงแรมถึงแม้ว่าแขกที่มาพักจะเต็มใจและอนุญาตก็ตาม เพราะรู้ว่าราคาของพวกนี้บวกกับเซอร์วิซชาร์จแล้วมันแพงแค่ไหน  แต่ครั้งนี้สายตาที่เป็นกังวลและห่วงใยของอีกฝ่ายสามารถเอาชนะความดื้อดึงของร่างบางได้ดียิ่งกว่าคำขู่เสียอีก



"ขอบคุณ"



"คำนั้นน่ะพูดแค่ครั้งเดียวก็พอแล้วล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว"



น้ำเสียงที่ติดจะหงุดหงิดนิดๆทำให้ร่างบางต้องเงียบไปอีก แล้วต่างฝ่ายก็เงียบกันไปจนกระทั่งร่างสูงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นก่อน



"น่ากลัวมากเลยเหรอ ผู้จัดการคนนั้น"



"ก็..ไม่เชิงหรอก แต่มายืนคุยกับลูกค้าแบบนี้มันไม่ค่อยจะเหมาะ"



นัยน์ตาคมหรี่มองอย่างสงสัย  คนที่เขาได้พบเมื่อครู่ ไม่มีคุณสมบัติใดๆที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้จัดการโรงแรมหรูแบบนี้ได้เลย ทั้งการแต่งตัว ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อสูทเก่าๆดูก็รู้ว่าผ่านการซักรีดมาแบบไร้การเอาใจใส่ บุคลิกภาพ แม้ไม่ถึงขั้นเดินหลังค่อมถือไม้เท้า แต่ไหล่ก็งองุ้ม ไม่น่ามอง พนักงานต้อนรับหน้าประตูยังดูมีสง่าราศีกว่าซะอีก  รักษามารยาทต่อหน้าลูกค้าก็ทำไม่เป็น  ขนาดว่าไดกิอยู่ในอ้อมกอดของเขา ยังพยายามจะชะโงกหน้าเข้ามามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น



และที่สำคัญ....



พูดภาษาอังกฤษไม่ได้.. เป็นไปไม่ได้ว่าคนที่มีตำแหน่งระดับนี้จะพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น  เมื่อกี๊ลองพูดขอยาแก้ปวดเป็นภาษาอังกฤษ  นอกจากจะฟังเขาไม่รู้เรื่องแล้ว  ยังเดินหนีอีกต่างหาก



มีผู้จัดการแบบนี้  ถ้าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมคงปวดหัวตาย



ไดกินั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง นั่งมองอีกฝ่ายที่กำลังขมวดคิ้วยุ่ง ด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบ ถึงตอนนี้ก็สองครั้งแล้วที่ได้รับความช่วยเหลือ คนๆนี้ก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก



ถ้าไม่นับเรื่องที่ซื้อบริการจนเข้าใจผิดเกือบจะปล้ำเขา!



"ทำไมคุณถึงคิดว่าผมขายตัว?"



"มีคนโทรมาเสนอ ฉันตอบตกลง แล้วนายก็มาเคาะประตูห้องฉันน่ะสิ"



ไม่รู้อะไรดลใจให้ไดกิถามทะลุความเงียบขึ้นมาแบบนั้น ซึ่งเป็นการทำพลาดอย่างยิ่ง  เพราะคำตอบที่ได้รับ ทำให้ความรู้สึกดีๆที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหายวับไปเกือบหมด พ่อคุณเล่นตอบหน้าตาเฉย เหมือนเคยทำเป็นเรื่องปกติ



"อย่าทำหน้าแบบนั้นน่า เพื่อนฉันเคยมาพักที่นี่แล้วก็มีโทรศัพท์แบบนี้เหมือนกัน ฉันเลยอยากรู้ว่ามันจริงรึเปล่า ก็แค่นั้น"



ไดกิหัวเราะหึๆแบบไม่เชื่อสุดฤทธิ์ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระของเขาที่จะต้องรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เขามาที่นี่เพื่อขอบคุณและก็ได้ทำไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องไปเสียที



"ผมต้องไปแล้ว "



ร่างสูงเดินมาส่งจนถึงประตู คอยดูข้างนอกก่อนที่ร่างบางจะออกจากห้องเผื่อมีใครเดินผ่านมาเห็น แต่ก่อนหน้านั้น...



"เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม?"



ร่างบางอึ้งไปกับคำขอที่ไม่คาดว่าจะได้ยิน  ความคิดแรกที่แวบขึ้นมาคือ  คนๆนี้ไว้ใจได้แค่ไหน? ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้าผุดขึ้นมาตีกันให้วุ่นวาย ถ้าเป็นแค่คนรู้จัก ไดกิอาจจะตอบรับได้โดยไม่ต้องคิดอะไร  แต่ความเป็นเพื่อนสำหรับเขา  มันมีความหมายมากเกินกว่าจะมอบให้ใครง่ายๆ



แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ไดกิก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกับมือหนาที่ยื่นออกมารออยู่ก่อนแล้ว



มือนั้นอุ่น...อุ่นจนแก้มร้อนขึ้นมาอีกแล้ว...



"ฉันชื่อเคย์โตะ ยินดีที่ได้รู้จัก"



ตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก้มหน้ามองพื้นโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ทำไม แต่พอเห็นรอยยิ้มของร่างสูงที่มอบให้แล้วมันเขิน  ยิ่งได้สบตาคู่นั้นแล้วก็ต้องหลบสายตา เหมือนกลัวว่าสายตาคมๆนั่นจะมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจ ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรซ่อนไว้ซักหน่อย



"ถ้างั้น  ไว้เจอกันใหม่นะ"



ร่างสูงเปิดประตูให้ ผายมือไปด้านข้าง ทำท่าเหมือนพนักงานต้อนรับที่ประตูหน้า คอยเปิดประตูให้แขกที่มาพัก กล่าวกล่าวคำต้อนรับว่า  "เชิญครับคุณผู้หญิง"  ไม่มีผิดเพี้ยน



ร่างบางขมวดคิ้วฉับ รู้สึกขุ่นใจขึ้นมาซะเฉยๆ ก้าวพ้นประตูไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งท้ายคำพูดให้ร่างสูงได้ย้อนกลับมาว่า



"ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยนะ ผมจะถือซะว่าหายกันกับที่คุณเข้าใจผิด  แต่เรื่องจูบน่ะ  ไม่ยกโทษให้หรอกนะ!"



"ฉันก็ยืนยันคำเดิมเหมือนกัน  ว่าไม่ขอโทษ"



ร่างสูงแกล้งยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แล้วก็หัวเราะน้อยๆ ตอนที่แก้มใสเริ่มพองด้วยความโกรธ  ก่อนจะแก้วหูสะเทือนเพราะเสียงปิดประตูโครมใหญ่



น่ารักจริงๆน๊า~








++++++++++++++++++++++++++++





To be con............

1 comment:

  1. กรี๊ดดดดดดดดด

    ไดจังน่ารักกกกกก

    "ฉันขอโทษ ที่เข้าใจนายผิด แต่เรื่องจูบน่ะ ไม่ขอโทษหรอกนะ"

    ขอบประโยคนี้มากๆเลยค่า ฮ่าๆๆๆ ละลาย ชอบสุดๆตอนที่เข้าบ้านมาปุ๊บ

    เคย์โตะก็เดินมาจูบปิดปากปั๊บ มันใช่จริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ

    แล้วอีตาแก่ผู้จัดการนั่นเป็นใคร ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะฮ้า

    แต่ยิ่งอ่าน โอคาไดิ่งน่ารักอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

    ยิ่งอ่านยิ่งชอบ

    ReplyDelete