Monday 17 October 2011

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Three


Fiction

Title : The day we kissed..Three

Pairing : _ _ _ x _ _ _

Rate : ---?---










"ขายตัว!!!!!"


หลุดอุทานเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ ไดกิต้องจุ๊ปากให้เงียบ ก่อนจะลุกไปเปิดประตูสำรวจด้านนอกให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น  ถึงได้กลับมานั่งที่เดิมอย่างหงุดหงิด


"จะตะโกนให้รู้กันทั้งโรงแรมเลยหรือไง"


"ขอโทษที  แต่ว่าเรื่องที่นายเล่ามัน.."


เหลือเชื่อ... ยาบุฟังแล้วแทบไม่อยากเชื่อว่า โรงแรมหรูๆแบบนี้ จะมีบริการพิเศษชนิดที่ให้พนักงานขึ้นไปบริการแบบส่วนตัว เนื้อแนบเนื้อกันถึงในห้อง แถมยังมีคอลเซ็นเตอร์ไว้บริการเฉพาะเรื่องอย่างว่าด้วย


ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่า คือเรื่องของพ่อหนุ่มอัศวินม้าขาวในค่ำคืนนั้น


"ไดจังจะบอกว่า คนนั้นน่ะไม่ใช่แฟน  แค่บังเอิญรู้จักกันเพราะความเข้าใจผิดงั้นเหรอ?"


"ใช่! รู้แล้วก็เลิกถามกันซักที!"


สองสามวันที่ที่ผ่านมานี่ไดกิแทบจะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข อยู่บ้านยูโตะกับยูริก็คอยซักไซ้ว่าแฟนไปไหน ทำไมไม่มา หรือไม่ก็หายโกรธแฟนหรือยัง เลิกกันแล้วเหรอ? มาถึงที่ทำงานยาบุกับยูยะก็เฝ้าแต่ถามว่า แฟนเขาเป็นใครมากจากไหน คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่  โดยเฉพาะยูยะที่อยากจะเห็นหน้าคนทีถูกเข้าใจผิดว่าเป็น"แฟน"เขาเสียเหลือเกิน


อยากจะบ้าตายวันละสามเวลา


วันนี้เลยสบโอกาสทั้งสองคนมาทำงานพร้อมกัน ไดกิอาศัยช่วงเวลาพักสั้นๆระหว่างทำงาน ลากยาบุมาที่ห้องเก็บของเล็กๆที่อยู่ด้านหลัง ใกล้ๆกับห้องครัวของโรงแรม ที่สองคนพี่น้องได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนชั่วคราวได้


"ไม่เชื่อ! แล้วที่เขาตามไปหานายถึงบ้านล่ะ"


"ก็อย่างที่ยูโตะเล่าให้ฟังไง"


"แล้วเรื่องจูบล่ะ?"


"ก็บอกว่าเข้าใจผิดไงเล่า!"


อะไรวะ! ยิ่งพูดยิ่งถาม ยิ่งอธิบายยิ่งมีเรื่องให้สงสัย จูบครั้งแรกนั่นคงเกิดจากความเข้าใจผิดจริงๆ แล้วจูบที่สองที่มียูริเป็นพยานกับจูบที่สามที่เขาเห็นล่ะ


แต่ยาบุเห็นหน้าตาหงิกงอของไดกิแล้วก็ต้องรีบหักเลี้ยวเบี่ยงประเด็นในทันใด  ไม่งั้นอาจจะโดนกินหัวเอาได้


"แล้วเรื่องขายตัว นายว่า..หมอนั่นโกหกรึเปล่า"


"ไม่รู้สิ"


ถึงไม่อยากเชื่อ  แต่สายตาของหมอนั่นในตอนนั้นน่ะ ก็ไม่มีแววโกหกซักนิดเลย อันที่จริงก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาโกหกด้วย


แต่ว่า..เรื่องแบบนี้ ตลอดสองปีที่ทำงานอยู่ที่นี่ ไดกิก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน..


"ยังไงก็เถอะ อย่าเพิ่งให้ยูยะรู้เรื่องนี้ก็แล้วกัน ขี้เกียจฟังหมอนั่นโวยวายแล้วเรื่องมันจะไปกันใหญ่"


"แล้วจะปล่อยไปแบบนี้เหรอ ถ้าเกิดมันเป็นเรื่องจริงล่ะ"


ทุกวันนี้ธุรกิจโรงแรมทุกแห่งแข่งขันกันรุนแรงรอบด้าน ทั้งความหรูหรา การบริการและชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมหรูๆอย่างที่นี่  ความด่างพร้อยเพียงนิดอาจทำให้ลูกค้าของเรากลายเป็นลูกค้าของโรงแรมอื่นไปอย่างง่ายดาย


"คอยๆดูไปก่อนเถอะ บางทีอาจจะมีคนมาสร้างเรื่องทำลายชื่อเสียงของโรงแรมนี้ก็ได้ เรื่องแบบนี้มีให้เห็นบ่อยๆ"


"งั้นฉันไปทำงานก่อนก็แล้วกัน หลบมานานๆเดี๋ยวจะโดนตาแก่นั่นหาเรื่องไล่ออก"


"อะไร? ใครไล่ใครออก?"


ยูยะเปิดประตูเข้ามาทันได้ฟังเพียงแค่ประโยคสุดท้าย ทำหน้าหงิกทันที  ไดกิได้แต่ส่ายหน้าแล้วออกจากห้องไป ยาบุเองก็กำลังจะลุกตาม แต่ยูยะเดินมานั่งตรงโซฟา แล้วเอนตัวลงนอนหนุนตักยาบุแบบหน้าตาเฉย


"ฉันจะไปทำงานแล้ว"


"พักอีกหน่อยไม่มีใครว่านายหรอกน่า หรือว่ามี?"


"เปล่า" ต่อให้มีก็คงไม่มีใครกล้าพูดให้ได้ยิน แต่ทุกคนก็รู้กันทั้งนั้น ว่าหากไม่ใช่เพราะยูยะ คนที่จบแค่ชั้นมัธยมปลายมีพื้นฐานภาษาอังกฤษค่อนข้างย่ำแย่อย่างยาบุกับไดกิคงไม่สามารถเข้ามาทำงานที่นี่ได้  แม้ว่าจะเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆอย่างเด็กเสริฟ์หรือเด็กยกกระเป๋า แต่ทั้งสองคนก็ขยันและทำงานหนักกว่าใคร คนอื่นจึงไม่อาจว่าอะไรได้


"ถ้างั้นคิดอะไรอยู่"


"นายว่าเป็นไปได้ไหมที่คนเราจะจูบกับใครซักคนโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย"


"....?...."


ยาบุก้มลงมองหน้าคนที่กำลังนอนหนุนตักเขา แต่แล้วก็ต้องตาลายเพราะดูเหมือนสายตาของอีกฝ่ายจะมีเครื่องเหมายคำถามกระเด้งออกมาเต็มไปหมดจนรู้สึกเวียนหัว ...


แล้ว...


สัมผัสบางอย่างก็กดประทับลงบนริมฝีปาก ทั้งนุ่มนวลและรุ่มร้อนอ่อนหวานในคราวเดียว ความละมุนละไมนั้นทำให้ยาบุหลับตาลงในทีแรก แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับจูบที่ยูยะมอบให้  และตกใจที่ตัวเองเผลอหวั่นไหวกับสัมผัสนั้น


"ทำบ้าอะไรของนาย!"


"ก็นายถามฉันก็ตอบแล้วไง  โอ๊ย!!!"


ผลักทีเดียว คุณชายยูยะก็กลิ้งตกจากโซฟากระแทกพื้น แต่ยังกลิ้งตัวหลบเท้ายาบุได้อย่างฉิวเฉียด


"ฉันหมายถึงคนที่ไม่เคยรู้จักกัน!  ไม่ใช่คนที่เป็นเพื่อนกัน!  ไอ้บ้า!!!"


ถ้ายกโซฟาตัวนี้ได้ ยาบุคงยกทุ่มใส่คนตรงหน้านี่ไปแล้ว แต่ก็ทำได้แค่กระแทกเท้าปึงปังจากไป ทิ้งยูยะไว้ในห้องเล็กๆเทาทึบหมองหม่น ที่เงียบเสียจนได้ยินเสียงถอนใจของตนเอง


ก็นายอยากรู้ไม่ใช่หรือ  นี่ไงล่ะคำตอบ คนสองคนที่จูบกันได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรน่ะ  ไม่มีหรอกนะยาบุ...








++++++++++++++++++++++









ห้ามอะไรก็ห้ามได้   แต่ห้ามความคิดคนมันช่างยากเหลือแสน  ให้แม่น้ำไหลเปลี่ยนทิศเสียยังจะง่ายกว่า


ถึงยาบุจะบอกให้ดูๆไปก่อน  แต่ในหัวของไดกิก็คิดไปไกลเกินจะกู่กลับ  คิดเพียงแค่ว่าหากโรงแรมนี้ถูกโหมกระหน่ำด้วยข่าวลือเลวร้ายว่าเบื้องหลังโรงรมหรูกลับซุกซ่อนการค้าบริการผิดกฏหมาย ชื่อเสียงที่สร้างสมมาและความไว้วางใจจากลูกค้าคงย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี


เมื่อไม่มีลูกค้า โรงแรมก็ไม่อาจอยู่ได้ แล้วพนักงานอย่างเขาจะอยู่ได้ยังไง


คิดเลยไปจนถึงน้องสองคนที่ยังเรียนไม่จบ เขาไม่อาจทนดูน้องต้องออกจากโรงเรียนได้แน่ๆ


แล้วจะค้นหาความจริงของเรื่องนี้ได้ยังไง?  ควรเริ่มต้นที่ตรงไหน?


ที่สุดแล้ว ขาก็นำพามาตามใจคิด ตอนนี้ไดกิหยุดยืนอยู่หน้าห้องหมายเลข 1412  หน้าประตูบานเดิมที่ตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้อีกเป็นครั้งที่สาม


แต่คราวนี้ คงไม่มีอะไรน่าหนักใจอีกแล้วละมัง  ก็เป็นเพื่อนกันแล้วนี่..


"มีอะไรเหรอ"


เสียงกระซิบใกล้ๆหูทำเอาหันหลังขวับด้วยความตกใจ แต่ร่างบางก็ถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่งก่อนที่จะได้ถอยหลังเอาหัวโขกประตูให้เจ็บตัวอย่างคราวก่อน


"มาเงียบๆอีกแล้ว เป็นแวมไพร์รึไงเนี่ยคุณ"


คนตัวสูงกว่าได้แต่ส่ายหน้า ใจนึกอยากจะปล่อยให้ร่างบางที่กำลังบ่นอู้อี้อยู่ในอ้อมแขนเจ็บตัวไปเสียจริงๆ ช่วยไว้แล้วยังไม่ได้ดีอีก แล้วตอนที่เขามา ก็ไม่ได้เงียบเลยซักนิด เสียงพื้นรองเท้าผ้าใบที่กระทบกับพื้นพรมหนาสีเทาเข้มที่ปูจนสุดทางเดินแม้ไม่ทำให้เกิดเสียงรบกวนแขกในห้องพัก  แต่มันก็ทำให้เกิดเสียงก้องอยู่ในทางเดินนี้พอสมควร


"นายยืนใจลอยเองต่างหาก แล้วนี่มีอะไรเหรอ"


"ขอเข้าไปข้างในก่อนได้ไหม?"


เคย์โตะอึ้งไปนิดหนึ่งกับคำขอนั้น เขาไม่เข้าใจว่าไดกิยังจะมีธุระอะไรอื่นที่จะต้องคุยกัน แต่ดูจากท่าทางแล้วคงเป็นเรื่อที่ทำให้ร้อนใจเป็นแน่ ไม่อย่างนั้น..ไดกิคงไม่ขอเข้ามาในห้องนี้


ห้องที่ถูกเขาช่วงชิงริมฝีปากแสนหวาน..เมื่อยามที่เจอกันครั้งแรก



........................


............


......


...



พลาดไปแล้ว...


เขาไม่น่ายอมให้คนๆนี้เข้ามาในห้องเลย  เพราะตอนนี้เขากำลังถูกสอบสวนเหมือนตัวเองกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคดีร้ายแรงก็ไม่ปาน


ไดกิไม่หยุดถามเลยตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง บางเรื่องเขาก็จำได้แต่บางเรื่องเขาก็นึกไม่ออก ต้องเค้นความทรงจำตัวเองซะจนมึน  ยิ่งไปกว่านั้นพอมองเห็นริมฝีปากแดงๆขยับมากๆเข้า ใจมันก็นึกอยากจูบขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถึงรอยช้ำที่ไดกิฝากไว้จะยังไม่จางก็เถอะ!


"อะไรเล่า แค่นี้ก็จำไม่ได้"


พูดอย่างนี้มันน่าจูบปิดปากเสียดีไหม เคย์โตะไม่เข้าใจว่าไดกิจะถามย้ำอะไรหนักหนาเรื่องเวลาที่มีคนโทรศัพท์มาเสนอบริการอย่างว่าที่ห้องเขา เล่นถามเวลาเป๊ะเป็นวินาทีแบบนี้ใครจะจำได้ อยากรู้ขนาดนั้นไปถามบันทึกการโทรจากโอเปอเรเตอร์ไม่ดีกว่าหรือไง


"ถ้าเกิดเค้าถามกลับมาว่าทำไมถึงอยากรู้? จะให้ตอบว่าไง"


เอ่อ..เรื่องนี้เขาเองก็สงสัยเหมือนกัน อย่าบอกนะว่ากำลังทำตัวเป็นนักสืบไขคดีนี้น่ะ ดูเหมือนร่างบางจะเชื่อจริงจังเหลือเกินว่าเรื่องนี้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่มากไปกว่าความเข้าใจผิด


"ไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันอาจจะโกหก เรื่องนั้น.."


ไม่คิด..ไม่เคยคิดเลยสักนิดเดียว  แต่ตอนนี้ไดกิชักไม่แน่ใจ  รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายนั้นช่างต่างจากวันที่เอ่ยขอโทษเขาลิบลับ ดวงตาคมที่เคยมั่นคงยามนี้กลับแฝงแววเจ้าเล่ห์จนไดกิเผลอกระถดตัวหนี เมื่อดวงตาคู่นั้นเคลื่อนเข้ามาหา


แต่ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเตียงนี่หว่า...


พั่บ!


หมอนใบโตถูกโปะลงบนใบหน้าหล่อเหลาแบบเต็มๆ แถมยังถูกผลักจนหน้าหงายลงไปกองบนพื้นอีกแล้ว


"อย่ามาล้อเล่น! ผมจริงจังนะ!"


ตาคู่สวยเริ่มวาวเป็นแม่เสือ เคย์โตะต้องถอยกลับไปตั้งหลักที่โซฟาตัวเดิม พร้อมหมอนใบโตที่ติดมือมาด้วย


โกหกไม่เนียนเลยแฮะเรา...


"รู้ได้ไงว่าโกหก"


"ไม่รู้สิ มองตาเอามั้ง  แต่ก็โกหกจริงๆใช่มั๊ยล่ะ"


เคย์โตะมองสายตาขุ่นค้อนของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแปลกๆ จะเรียกว่าความประทับใจก็คงใช่ละมัง...


ไม่นึกเหมือนกันว่าดวงตาใสๆนั่น จะเฉียบคมจนถึงขั้นมองทะลุเข้าไปในใจเขาได้









++++++++++++++++++++++++++++++









หลังจากวันนั้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบ หรือพูดคุยกันอีก พอได้ข้อมูลที่อยากรู้ ไดกิก็ไม่มาเจออีกเลย  แต่เคย์โตะกลับรู้สึกว่าตัวเองมีพฤติกรรมที่แปลกไป เวลาที่เขากลับมาถึงห้อง สายตามักจะหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานเดิมที่ว่างเปล่า ราวกับคาดหวังว่าจะได้เห็นใครยืนทำหน้ามุ่ย คิ้วผูกโบ ยืนอยู่ตรงนั้น


นั่งๆนอนๆอยู่ในห้องก็น่าเบื่อ ร่างสูงเลยพาตัวเองลงมานั่งเล่นอยู่ที่ห้องอาหาร ไม่นานอาหารที่สั่งก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ


"แซนวิชแซลมอนกับนมได้แล้วครับ เอ่อ คุณ.."


เคย์โตะเงยหน้าจากหนังสือเล่มโปรด แล้วก็พบว่าคนที่นำอาหารมาเสริฟ์ให้เขา คือพี่ชายของร่างบางช่างคิดมากคนนั้น เจ้าตัวเองก็คงจะจำเขาได้  ทั้งสองคนเลยยิ้มให้และทักทายกันสองสามคำ


"ขอบคุณครับที่วันนั้นช่วยไดจังเอาไว้"


"อื้อ .. ไม่เป็นไรหรอก"


"ยาบุคุง!!!!!"


ทั้งสองคนหันไปทางต้นเสียงพร้อมกันในทันใด  ยาบุทำหน้าเหนื่อยหน่าย ถึงไม่เห็นหน้าก็ยังจำเสียงแหบๆ น่าเกลียดของผู้จัดการโรงแรมได้  แอบบ่นในใจว่าซวยอีกแล้ว ... คราวนี้คงถูกดุเรื่องบ้าบอว่าอย่าได้ทำตัวตีเสมอลูกค้า เพียงเพราะเขาทักทายลูกค้าตามมารยาทเท่านั้นเอง


ตั้งแต่ผู้จัดการคนนี้เข้ามาก็มีแต่กฏหยุมหยิมไร้สาระจนพนักงานปวดหัวไม่เว้นวัน


เฮ้อ.. ไม่รู้ว่าโรงแรมนี้มีนโยบายแบ่งชนชั้นระหว่างพนักงานกับแขกตั้งแต่ตอนไหน  แล้วที่มายืนด่าเขาต่อหน้าลูกค้านี่ไม่เสียมารยาทเลยสักนิดเดียวสินะ


"บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเธอมีหน้าที่เสริฟ์อาหารอย่างเดียว อย่าได้ทำอะไรเกินหน้าที่ หรือว่าเธอไม่ชอบงานนี้อยากจะเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นที่ต้องนอนทำ แต่รายได้ดี"


เคย์โตะลุกพรวดขึ้นจนเต็มความสูง เก้าอี้ถูกผลักไปข้างหลังกระทบกับเก้าอี้ของโตะข้างๆกันจนเกิดเสียงโลหะกระทบกันดังสะท้อนไปทั้งห้องอาหาร  เสียงพูดคุยเงียบหาย ทุกคนในที่นั้นหันมามองเป็นตาเดียว


เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองผู้จัดการโรงแรมด้วยอารมณ์ไม่ชอบใจ  การที่พนักงานทักทายลูกค้าถือเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว คนๆนี้ต่างหากที่จงใจหาเรื่องให้ยาบุอับอายมากกว่าจะสั่งสอน


ใช้เพียงสายตา ผู้จัดการเฒ่าก็รู้สึกว่าตัวเองหดลีบเหมือนเป็นสิ่งของไร้ค่า เด็กหนุ่มคนนี้สูงไล่เลี่ยกับยาบุ อายุน้อยกว่าตนมากโข หากแต่มีอะไรบางอย่างในสายตาและท่าทางที่แตกต่างจากคุณหนูผู้ร่ำรวยคนอื่นๆที่เคยมาพัก ทำให้ผู้สูงวัยต้องนึกเกรงจนต้องถอยออกมายืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์  แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่ยาบุอย่างนึกชิงชัง


เคย์โตะนึกอยากจะทิปให้ยาบุหนักๆ ให้คนที่ยังมองไม่เลิกอิจฉาจนเส้นเลือดในสมองแตกไปเสียบ้าง แต่นึกอีกทีเขาก็ไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเหตุให้ยาบุถูกหาเรื่องทีหลัง



ที่สำคัญ...



เขายังไม่อยากถูกใครบางคนงับหัวเอาน่ะสิ...








++++++++++++++++++++++++








ควันออกหู..


ยูยะรับรู้เรื่องราวจากปากยาบุด้วยอารมณ์ที่เหมือนภูเขาไฟกำลังจะระเบิด


"ฉันจะรายงานป๋า!"


ป๋าที่พูดถึง คืออาแท้ๆผู้เป็นเจ้าของโรงแรมตัวจริง แต่ยาบุกับไดกิไม่เคยได้พบเลยสักครั้ง เพราะเจ้าตัวมีธุรกิจในเครืออยู่มากมาย แล้วยังมีธุรกิจอื่นมูลค่ามหาศาลที่ร่วมลงทุนกับเพื่อน ทำให้แต่ละวันมีงานล้นมือ เลยไม่มีเวลามาสนใจโรงแรมที่ใช้เงินลงทุนสร้างไปไม่ถึงร้อยล้านนี่หรอก


"ก็เลยส่งตาแก่นั่นมาดูแลแทน"


ไดกิเอ่ยแบบเซ็งๆ ไหนตอนแรกยูยะบอกว่าตาแก่นั่นมาอยู่ขัดตาทัพแค่ไม่กี่เดือน แล้วผู้บริหารตัวจริงจะมาไงล่ะ นี่สองปีแล้วยังไม่มีวี่แวว


"ก็พี่นะสิ  อยากเรียนนั่นเรียนนี่อยู่ได้ ไม่ยอมกลับมาซักที เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว"


ยูยะเองก็ถูกส่งให้มาเรียนรู้งานเช่นกัน แต่เป็นงานที่ค่อนข้างจะหนักเอาการอยู่ วันๆก็ต้องคอยสู้รบปรบมือกับความเรื่องมากของแขกที่มาพัก สารพัดปัญหาจุกจิกยิบย่อย ซึ่งผู้จัดการเฒ่าก็ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้เบาลงเลย


และทุกครั้งที่อยากจะรายงานให้คุณป๋ารู้  ยาบุกับไดกิต้องห้ามไว้ทุกทีสิน่า


"อย่าเอาปัญหาเล็กๆไปกวนใจท่านเลยนะ"


"อีกหน่อยนายก็ต้องช่วยพี่นายดูแลที่นี่ ปัญหาเล็กๆแค่นี้ยังแก้ไม่ได้แล้วจะเป็นผู้จัดการได้ไง"


เฮ้อ...


จริงๆแล้วเขาเองก็มีส่วนในความไม่ลงรอยนี้เหมือนกัน เพราะตัวเขาเองก็ใช้อำนาจของหลานเจ้าของโรงแรมเพื่อให้ยาบุกับไดกิได้ทำงานที่นี่


แต่ตอนนั้นตาแก่นั่นก็พยายามใช้ตำแหน่งผู้จัดการรับคนของตัวเองเข้ามาทำงานที่นี่เหมือนกัน


เพียงแค่ว่าผู้จัดการคนเก่ารับเพื่อนเขาสองคนเข้ามาก่อน  เลยไม่มีตำแหน่งเหลือไว้ให้คนของผู้จัดการแม้แต่ตำแหน่งเดียว


ยาบุกับไดกิเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ถึงได้ขยันทำงานหนัก และยอมอยู่เงียบๆโดยไม่มีปากเสียงกับใคร


"ถ้าทนไม่ไหวเมื่อไหร่ก็บอกก็แล้วกัน"


ยูยะโยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาตัวข้างๆพร้อมกับเอนตัวลงนอน แต่ร่างหนากลับถูกยันไว้ด้วยสองแขนผอมบางของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ


"พักหน่อยเดียวไม่ได้หรือไง?"


"ค่ำนี้มีงานเลี้ยง ลืมแล้วเหรอ  นี่ก็ใกล้เวลาแล้วด้วย"


"น่าเบื่อ"


ยูยะเบ้หน้า เขาไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนี้ มีแต่พวกนักธุรกิจใส่หน้ากากเข้าหากัน คอยแต่จ้องจะหาผลประโยชน์


"รู้จักไว้ก็ไม่เสียหายหรอกน่า  ไปเถอะ!"


ยาบุออกแรงฉุดคนที่ยังทำอิดออดเหมือนเด็กๆให้ออกไปทำงานเสียที


ยาบุนั้นเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน เพราะงั้นก็เลยมีวิธีจัดการนิสัยคุณหนูเอาแต่ใจอย่างยูยะได้ชะงัดนัก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ยาบุดื้อรั้นบ้าง  ยูยะก็จะจัดการปราบความรั้นนั้นได้เช่นกัน


แบบนี้เค้าเรียกว่าแพ้ทางกันรึเปล่านะ








++++++++++++++++++++++++++++








เมื่อไหร่ที่โรงแรมรับจัดงานเลี้ยง ไดกิจะถูกเรียกให้ไปช่วยงานอยู่เสมอ ไดกิไม่ชอบบรรยากาศของงานเพราะมีความรู้สึกว่ามันเป็นงานที่พวกนักธุรกิจ คุณหญิงคุณนายใช้เป็นโอกาสอวดตัวยกระดับตัวเองเสียมากกว่า


น่าเบื่ออย่างที่ยูยะบ่นไว้จริงๆ


"ไดจัง!"


ไดกิเกือบเสียหลักทำถาดอาหารในมือหล่นแตกซะแล้ว ไม่ใช่เพราะฮิคารุโผล่มาจ๊ะเอ๋เงียบๆจากด้านหลัง แต่เป็นเพราะวันนี้เพื่อนรักแต่งตัวดีผิดหูผิดตา เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ทับด้วยเสื้อสูทเนื้อดีสีเทาอ่อน  กับกางเกงเข้าชุดกัน และรองเท้าหนังราคาแพง  ไดกิอ้าปากตะลึงค้าง  ยาบุที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันก็กระพริบตาถี่ๆเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง มีแต่ยูยะที่ยิ้มให้น้อยๆทั้งที่ใจจริงอยากจะหัวเราะก๊ากให้สะใจ


ฮิคารุเกลียดเสื้อผ้าแบบนี้เป็นที่สุด เกลียดยิ่งกว่าหนอนหรือแมลงสาบ ให้แก้ผ้าเสียยังจะดีกว่า แต่วันนี้กลับต้องกลืนน้ำลายตัวเอง


"ฮิคารุ? มาได้ไง?"


"ตามพ่อมาสิ คนไม่อยากมาก็บังคับให้มา เซ็งโว้ย!!!!"


ประโยคหลังนั้นจงใจจะให้คนที่นั่งอยู่ด้านในสุดของห้องได้ยิน แต่ผู้เป็นพ่อกลับให้ความสนใจเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะกันมากกว่า


"เพราะหมอนั่นแหละ ถึงไม่อยากร่วมโต๊ะด้วย"


ทีแรก ทั้งสามคนคิดว่าฮิคารุแค่รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศมาดผู้ดีของคุณหนูไฮโซที่นั่งโต๊ะเดียวกัน หรือไม่ก็หมั่นไส้ที่พ่อตัวเองสนใจคนอื่นมากกว่าตามประสาเด็กขาดความอบอุ่น แต่เมื่อมองหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นให้ชัดๆ


ถึงรู้ว่าไม่ใช่...


ใบหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่เพียงแค่คุ้นตา ทั้งสี่คนต่างมองใบหน้านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง  สำหรับยูยะ เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเพียงเพื่อนร่วมรุ่นจากโรงเรียนเดียวกัน กับฮิคารุหมอนั่นก็แค่คนเคยเรียนห้องเดียวกัน ส่วนยาบุก็เห็นคนๆนั้นเป็นเพียงคนรู้จักที่เคยอยู่บ้านเดียวกัน


แต่กับไดกิ....


"ชิ! ทำเป็นวางมาดลูกผู้ดีตีสองหน้า พวกนายรู้ไหม? เจ้านั่นน่ะทำเหมือนไม่เคยเจอ ไม่เคยรู้จักฉันมาก่อน โธ่เอ๊ย! นึกว่าฉันอยากจะเสวนาด้วยหรือไง"


"ตอนที่หมอนั่นเดินเข้ามาในงานก็ทำเป็นมองไม่เห็นฉันเหมือนกัน"


"ตอนที่เจอกันที่ธนาคารก็ทำเหมือนว่าเราเป็นคนอื่น หรือว่าไม่อยากคุยกับเราเพราะกลัวความจะแตก คนอื่นจะรู้ว่าไม่ได้เป็นคุณหนูไฮโซมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นเด็กที่เค้ารับมาเลี้ยงกันแน่"


แวบหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองถูกจ้องมอง เด็กหนุ่มคนนั้นละสายตาจากคู่สนทนา มองไปรอบๆจนมาหยุดอยู่ตรงที่ทั้งสี่คนยืนอยู่


และเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น สายตาคู่นั้นก็ผ่านเลยไป เหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน


เหมือนมีดคมๆกรีดบาดแผลเล็กๆลงบนหัวใจ อาจเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่หากคมมีดนั้นกรีดซ้ำๆลงบนแผลเก่าๆ ความเจ็บปวดนั้นก็เกินจะทานทน..


เราไม่รู้จักกันจริงๆแล้วใช่ไหม..


เคย์?.....




..............................



..............




........



....



คืนนั้นไดกิต้องฝืนใจอดทนกับการทำงานมากกว่าครั้งไหนๆในชีวิต ครั้งหรือสองครั้งที่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน รู้ว่าจะทำให้หัวใจเจ็บปวด แต่ก็ยังทำ


เมื่องานเลิก ยามที่โค้งคำนับแขกเหรื่อที่ทยอยออกจากงาน คนๆนั้นก็เพียงเชิดหน้าเอ่ยคำขอบคุณอย่างห่างเหิน เช่นเดียวกับที่ทำกับพนักงานคนอื่นๆ แล้วก็ก้าวผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว


"ฉันกลับแล้วนะไดจัง แล้วจะโทรหา"


ฮิคารุตบบ่าเพื่อนรักเบาๆก่อนก้าวเท้าตามบิดาไปยังรถคันหรูที่มาจอดเทียบ  ไม่สนใจเสียงซุบซิบจากเหล่าผู้ดีจอมปลอมรอบข้างและสายตาไม่ชอบใจของบิดา


หลังจากนั้นยูยะก็ให้เขาไปพักผ่อนได้


"กลัวฉันได้โอทีเยอะรึไง ไล่กันจัง"


แกล้งแหย่เพื่อนอย่างอารมณ์ดี แต่ทั้งยูยะและยาบุก็รู้ว่าตอนนี้ น้ำตาของไดกิท่วมท้นอยู่ในใจสักแค่ไหน


ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าห้องพักของพนักงาน ยังไม่ทันจะปิดล็อคประตู น้ำตาก็ร่วงรินอาบแก้ม สองปี.. สองปีมาแล้วที่ไม่ได้พบกัน ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวจากคนที่เขาคอยห่วงใยอยู่ทุกวินาที ค่าของความคิดถึง ได้รับการตอบแทนเป็นเพียงความผิดหวังจากความเฉยชาอย่างนี้น่ะหรือ..


นายใจร้ายกับฉันมากเลยนะ... เคย์...


น้ำตาหมดไปสักเท่าไหร่ไม่อาจรู้.. ไดกิปล่อยให้มันไหล ภาวนาว่าหากน้ำตาหมดไปแล้วเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกหรือไม่เขาอาจจะสะอื้นจนขาดใจไปเลยก็ยิ่งดี


แต่คำขอนั้นไม่เคยเป็นจริง..


ไดกิพาตัวเองที่ไร้เรี่ยวแรงเดินไปที่ห้องน้ำ พอล้างหน้าล้างตาแล้วคงจะสดชื่นขึ้นบ้าง


แต่แล้ว...


เสียงครวญครางแผ่วๆ ที่ไดกิเดาว่ามันดังมาจากห้องน้ำด้านในสุด ทำให้สองขาต้องหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆย่องเงียบเหมือนแมวขโมยเข้าไปใกล้ๆ


อา..


ฮื้ม..


....เด็กดี  แบบนี้สิถึงสมกับค่าตัว...


ร่างบางปิดปากกลั้นเสียงอุทานไม่ให้เล็ดรอดไปถึงหูคนที่อยู่ข้างใน ขาสองข้างถูกตรึงยึดด้วยเสียงสวบสาบของเสื้อผ้า เสียงครางกระเส่าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง...


เพียงเท่านั้นก็ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป ไดกิวิ่งออกจากตรงนั้นแบบไม่คิดชีวิต และไม่สนด้วยว่าเสียงดังโครมครามที่เกิดขึ้นจะทำให้คนข้างในนั้นได้ยิน  ตอนนี้ในหัวของเขาคิดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น







++++++++++++++++++++++++++++








ประตูห้องพักหมายเลข 1412 ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งจากคนที่กำลังตาปรือด้วยความง่วงงุน เพราะถูกรบกวนเวลานอนจากเสียงเคาะประตูรัวสนั่นนานนับนาที


"คุณ!ๆๆๆๆ ไปกับผมหน่อย! มีคน- แหวะจะอ้วก ไปดูกับตาเถอะ เร็วซี่คุณ ! อย่าทำตัวเป็นหอยทาก! "


พยายามขืนตัวพลางห้ามไดกิที่กำลังฉุดกระชากเขาไปที่ไหนก็ไม่รู้แบบมึนๆเบลอๆ เพราะสมองคนเพิ่งตื่นยังจูนคลื่นไม่เข้าที่ สิ่งที่ได้ยินเลยขาดๆหายๆจับใจความไม่ได้ซักนิด


"มีคนขายตัวจริงๆ!"


"หา?"


คราวนี้ตาสว่าง แต่ยังยืนเฉยจนร่างบางแว้ดเข้าให้ เคย์โตะปลดแขนจากการเกาะกุมของร่างบางเลื่อนมืออุ่นๆมาประคองสองแก้มนิ่ม ใช้สายตาลบความตื่นเต้นตกใจในดวงตากลมใสคู่นั้น


"นายแตกตื่นมาซะขนาดนี้ คงไม่มีใครอยู่รอเราแล้วล่ะ อีกอย่าง ลงไปทั้งแบบนี้มันคงไม่ดีเท่าไหร่"


ร่างสูงก้มมองตัวเองที่มีเพียงชุดคลุมอาบน้ำผืนเดียวคลุมกาย ไดกิหัวเราะแหะๆแก้เก้อ นึกอายที่ตื่นตูมจนเกินเหตุ วิ่งมาปลุกอีกฝ่ายในเวลาครึ่งค่อนคืนแบบนี้ ก่อนจะเดินตามร่างสูงเข้าไปในห้องอย่างว่าง่าย



.....................................


.........................



...............


..........





"เช็ดหน้าเช็ดตาซะ"


"ขอบคุณ"


ไดกิรับผืนผ้านุ่มๆมา ความเย็นที่ลูบไปตามผิวหน้าและลำคอทำให้รู้สึกดีขึ้น ความตื่นเต้นตกใจก็พลอยลดลง ลำดับเหตุการณ์ที่เจอให้ร่างสูงฟังรู้เรื่องกว่าเมื่อกี๊


"แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นการขายตัว อาจจะเป็นคู่รักที่อยากเปลี่ยนสถานที่ก็ได้"


"ก็ได้ยินว่ามีค่าตัวด้วยนี่นา คนรักกันเค้าจ่ายค่าตัวให้กันด้วยเหรอ อีกอย่างนั่นมันห้องน้ำเฉพาะพนักงานนะ ลูกค้าที่ไหนจะไปใช้ห้องน้ำนั่นล่ะ"


ร่างบางเถียงอย่างดื้อดึง พยายามเค้นหาเหตุผล แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่พูดเป็นประเด็นให้ร่างสูงเอามาล้อเขาเสียอย่างนั้น


"ฟังละเอียดถึงขนาดนี้เลย?"


"ไม่ได้ตั้งใจนะ ก็มันตกใจก้าวขาไม่ออก"


ตกใจจนหัวใจแทบวายเลยด้วยซ้ำ  กระทั่งตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าถ้าคนที่อยู่ในห้องน้ำออกมาเจอเขาจะเกิดอะไรขึ้น


เคย์โตะพ่นหัวเราะ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าใส แล้วเผลอเลยไปตรงต้นคอขาวที่เขาเคยฝากรอยเอาไว้ ตอนนี้รอยจางหายไปหมดแล้ว  ก่อนจะสังเกตใบหน้าน่ารักนั้นให้ชัดๆ เพราะเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป


"ทำไมตาแดงแบบนั้น นี่ทำงานอดหลับอดนอนหรือว่าร้องไห้เพราะถูกแฟนทิ้งมา?"


ร่างสูงตกใจสุดขีดเมื่ออยู่ๆหยดน้ำใสๆก็ร่วงพรูลงอาบแก้ม เขาไม่รู้เลยว่าน้ำตาของไดกินั้นเป็นเหมือนน้ำที่ถูกอัดไว้ในลูกโป่ง   คำพูดของเขาที่เพียงแต่จะแหย่เย้าให้อีกฝ่ายโมโหเล่น กลับเป็นความจริงที่เหมือนปลายเข็มสะกิดทำให้ลูกโป่งนั้นแตกกระจาย


"ฉันขอโทษ อย่าร้องไห้เลยนะ"


ยิ่งเพียรเช็ด น้ำตายิ่งไหล  ยิ่งอ่อนโยน ร่างบางยิ่งสะอื้นหนักเหมือนจะขาดใจ  เคย์โตะรู้สึกเหมือนว่าน้ำตาของคนตรงหน้านี้เป็นเหมือนหยดน้ำร้อนๆ หรือน้ำกรดที่ร่วงลงในหัวใจเขา ยิ่งเห็นยิ่งทรมาน


และเขาไม่อาจทนได้...


ฝ่ามือแกร่งเลื่อนขึ้นซ้อนกับมือบางที่เฝ้าปาดเช็ดน้ำตาจนดวงตาบวมช้ำ ประคองใบหน้าให้ดวงตาปริ่มหยาดน้ำสบตา เงาน้ำในดวงตาสะท้อนแววเจ็บปวดระริกไหว


"อย่าร้อง"


วินาทีนั้น ไดกิมองเห็นใบหน้าแห่งความทุกข์ของตัวเองเลื่อนเข้ามาหาช้าๆ  ใกล้จนร่างบางต้องหลับตาลงเพื่อหนีความจริง


สัมผัสนิ่มอุ่นคุ้นเคยแตะลงบนหน้าผาก ดวงตา และสองแก้ม ไดกิรู้ว่ามันคืออะไร แต่ยังยินยอมปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น ยามที่ร่างถูกดันให้เอนลงสัมผัสกับเตียงนิ่ม ไดกิก็ไม่ได้ขัดขืน กลับหลงอยู่ในเสียงกระซิบแผ่วที่สะท้องก้องอยู่ในโสตประสาท


"อย่าร้อง  เวลาที่นายร้องไห้ มันทำให้ฉันอยากปลอบ อยากกอด อยากจูบนาย เพราะงั้นอย่าร้องเลยนะ"


แต่น้ำตาช่างดื้อรั้นนัก ยิ่งอีกฝ่ายร้องขอ หยดน้ำใสยิ่งท่วมท้นหยดลงบนเตียงเป็นรอยซึมกว้าง


"อื้อ~"


ร่างบางครางด้วยความอึดอัด ด้วยทั้งความรุ่มร้อนกับน้ำหนักร่างกายที่ทาบทับเสียดสี ค่อยผ่อนลมหายใจช้าๆยามที่ริมฝีปากถูกครอบครอง สองมือปัดป่ายอยู่กับไหล่กว้างจิกดึงเสื้อคลุมร่างสูงร่นลงมาจนถึงข้อศอก  เบี่ยงใบหน้าตอบรับกับสัมผัสเจ็บแปลบอุ่นร้อนที่ต้นคอขาว สิบนิ้วจิกลงกับแขนแกร่งทิ้งรอยเล็บไว้ตามแรงอารมณ์หวามไหว


ในสมองขาวโพลนว่างเปล่า ไดกิไม่รับรู้สิ่งใดอีกนอกจากเสียงครางแผ่วคลอเคล้ากับเสียงริมฝีปากที่บดเบียดเข้าหากันอย่างไม่มีวันจบสิ้น...


















To BE Con...................

1 comment:

  1. ไดจี้ เสร็จเคย์โตะแล้วววว

    เฮ้ออออออออ สุดยอดจริง

    ยิ่งอ่านยิ่งชอบ คู่นี้น่ารักมากๆเลย

    ไปอ่านอีกตอนล่ะนะค้าาาาาา

    ปล.ใช้ภาษาสวยจังค่ะ

    ReplyDelete