Monday 17 October 2011

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Five


Title : The day we kissed .. Five


Writer : Nalikakeaw


Pairing : Okadai,Takayabu,Nakachi

















หลังจากพักได้เต็มที่ไดกิก็กลับมาทำงานอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาสงสัยของพี่ชาย เพื่อนรัก และคนรอบข้าง


"แน่ใจว่าพกสติมาเต็มร้อย ถ้าวันนี้เอ๋ออีกรอบฉันจะส่งนายเข้าโรงพยาบาลจริงๆ"


ไดกิใช้สายตาถามกลับเป็นเชิงว่าดูตัวเองก่อนดีไหม ร่างสูงตอนนี้เสียงแหบสูดน้ำมูกฟุดฟิดเหมือนคนเป็นหวัด


"ไม่เหมือนหรอกแต่เป็นหวัดอย่างแรงเลยล่ะ เมื่อคืนเห็นว่าร้อนก็เลยเปิดแอร์ให้ พอตื่นขึ้นมาก็เป็นหวัดซะงั้น นายนี่มันแย่จริงๆ ทำไมไม่ลุกขึ้นมาปิดแอร์ หรือถ้าอยากได้ผ้าห่มทำไมไม่บอกฉันห๊ะ! ทนนอนหนาวทั้งคืนได้ยังไง!"


ร่างสูงทำตาปริบๆใส่ยาบุที่เดินเข้ามาในห้อง ใจจริงเขาก็อยากจะทำมันทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่จะปิดแอร์ก็กลัวว่ายาบุที่ห่มผ้าอยู่จะร้อน ลุกออกไปหาผ้าห่มเพิ่มก็หาไม่เจอ  แต่จะให้ปลุกคนที่กำลังหลับสบายขึ้นมาหยิบผ้าห่มให้ เขาก็ทำไม่ได้อีก


ยูยะรู้ว่ายาบุทำงานหนักแค่ไหน เวลาพักก็ได้แต่นอนอยู่ในห้องพักแคบๆนี่ เวลาที่จะได้หลับสบายๆบนเตียงอุ่นๆแทบจะไม่มีเลย


แล้วเขาจะใจร้ายปลุกยาบุได้ยังไง


"ก็นายหลับแล้ว เกรงใจไม่อยากปลุก"


"ถ้าเกรงใจขนาดนั้นวันหลังไม่ต้องไปนอนค้างที่บ้าน ไปแล้วไม่สบายแบบนี้ฉันไม่ชอบ ขี้เกียจดูแล เอ้า! นี่ยา กินซะ!"


ปากก็บ่นว่าแต่ก็ยังตามมาดูแลอยู่ดี ไดกิแอบเห็นคนถูกดุทำตาเป็นประกายวิ้งๆตอนที่รับยามาจากมือของพี่ชายเขา พนันได้เลยว่าถ้ายาบุไม่คอยคุมละก็ ยานั่นต้องลงไปอยู่ในถังขยะแทนที่ยูยะจะกลืนมันลงไปแน่ๆ


"เด็กฝึกงานเป็นยังไงบ้าง"


ยูยะถามหลังจากที่ดื่มน้ำลงไปแก้วใหญ่ หลังจากที่รู้ตัวว่ามีผู้ช่วยมาเพิ่มอีกสองคน ยูยะก็จัดการส่งไปเรียนรู้งานทุกแผนก เริ่มต้นที่ห้องอาหารเป็นที่แรก หัวหน้าห้องอาหารเลยมอบตำแหน่งพนักงานล้างจานให้


"แก้วแตกไปสาม จานคริสตัลอย่างดีแตกไปสอง ฝีมือฮิคารุ ส่วนอีกคนแพ้น้ำยาล้างจานก็เลยให้ช่วยเช็ดจานไปก่อน "


ละชื่ออีกคนหนึ่งไว้ เพราะไม่รู้จะเรียกแทนตัวว่าอะไร ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนอย่างนั้นแล้วว่าไม่ใช่น้องชายเขา


เราไม่รู้จักกัน..


"หมอนั่นน่ะแพ้ง่ายมาตั้งแต่เด็กๆแล้วนี่เนอะ ทั้งน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาถูพื้น สมกับเป็นคุณชายจริงๆ"


พูดถึงความทรงจำเก่าๆด้วยสีหน้าปกติราวกับว่าคนที่เอ่ยถึงนั้น ไม่ได้มีอิทธิพลต่อหัวใจเหมือนที่เป็นมาตลอด หลังจากที่ไดกิออกจากห้องไปแล้ว สองคนที่เหลือถึงได้มองหน้ากันอย่างแปลกใจ


"นายแน่ใจนะยาบุ ว่าไดจังไม่เป็นอะไรแล้ว อาการแบบนี้มันเหมือนคนที่เจ็บจนหัวใจชินชามากกว่าจะทำใจได้นะ"


"ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอก"


"หือ?"


ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้นทันทีด้วยความอยากรู้ ยาบุพูดแบบนี้ ยิ้มแบบนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ


"เปล่านี่"


"เดี๋ยวนี้มีความลับกับฉันเหรอ นี่แน่ะ! รู้อะไรมาบอกมาเดี๋ยวนี้"


ยาบุร้องลั่นเพราะถูกมือดีจับล็อกคอแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งคู่ล้มหงายหลังไปบนโซฟา คนตัวบางกว่าดิ้นขลุกขลักเพราะถึงยูยะจะไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่ถูกล็อกอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้สนุกเลยซักนิด ดิ้นไปดิ้นมาคนที่ยาบุนอนทับอยู่ก็ตวัดขายาวๆขึ้นมาล็อกไว้อีกหนึ่งชั้น


กะว่าชาตินี้จะไม่ให้หนีไปไหนแล้วหรือไง?


"โอ๊ยๆๆ บอกก็ได้ แต่ปล่อยก่อนได้รึเปล่า"


ยูยะปล่อยมือแล้วลุกขึ้นนั่งทันที ทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังยาบุเหมือนเด็กๆคอยฟังนิทาน


"ไม่รู้หรอก"


แล้วก็วิ่งออกจากห้องทันที แต่ก็ยังช้ากว่ายูยะที่กระโดดตามมาล็อกตัวไว้ได้อีกหน


"นึกแล้วว่าต้องมาไม้นี้ บอกมาซะดีๆ ไม่อย่างงั้นวันนี้อย่าหวังว่าจะได้ทำงาน"


"ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่รู้"


"ไม่จริงน่ะ นายต้องรู้อะไรมาแน่ๆไม่งั้นไม่พูดแบบนี้หรอก พี่น้องกันก็ต้องคุยกันทุกเรื่องอยู่แล้วนี่"


"ก็เรื่องนี้เจ้าตัวเค้ายังไม่ได้พูดอะไรนี่หว่า ฉันแค่เดาเอา"


"งั้นมันก็ต้องมีเหตุผลที่ทำให้นายเดาแบบนี้นั่นแหละ ว่ามาเลยอย่าช้า"


"ก็นี่ไง"


ยาบุจิ้มนิ้วลงบนต้นคอตัวเอง ยูยะก้มลงจนปลายจมูกแทบจะปัดถูกต้นคอคนในอ้อมแขน และอาจจะเป็นอย่างนั้นถ้านิ้วเรียวๆไม่เปลี่ยนเป้าหมายมาจิ้มตาเขาเสียก่อน


"อย่ามาทำซื่อ ฉันหมายถึงรอยที่คอไดจังต่างหาก ไม่สังเกตบ้างรึไง"


"รอยอะไรเหรอ?"


"ก็รอยจูบไงล่ะ นายคงไม่คิดว่าเคย์เป็นคนทำหรอกใช่ไหม"


ยูยะเอียงหัวอิงกับคนในอ้อมแขนด้วยความสงสัย รอยจูบงั้นเหรอ? จะว่าไปเขาก็เคยเห็นเหมือนกัน แต่ไม่ทันคิดว่าเป็นรอยที่ใครฝากเอาไว้กับไดกินี่ คิดว่าโดนตัวอะไรกัดมามากกว่า


"ถ้างั้นใคร?"


"นั่นแหละที่ไม่รู้"


ไม่ได้โกหกนะ แต่ยาบุไม่รู้จริงๆว่าคนที่เขาเคยพบที่บ้านคือใคร รู้จักหน้า รู้จักแค่ชื่อ แต่นอกเหนือจากนั้นเขาไม่รู้อะไรเลย


ถามจากไดกิก็ไม่ได้ด้วย  เมื่อเช้าลองถามถึงเคย์โตะ ผลที่ออกมาคือคนถูกถามอายม้วนหน้าแดงแล้วเดินหนีไปเลย


เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาดึงทั้งสองคนออกจากความคิด บริเวณที่พวกเขาอยู่เป็นพื้นที่ด้านหลังของโรงแรมที่มีแต่พนักงานเท่านั้นที่จะเข้ามาได้  หากแต่คนที่กำลังเดินตามทั้งสองคนมานั้นไม่ใช่พนักงานทั่วไป แต่เป็นว่าที่ผู้ช่วยคนหนึ่งของยูยะ ที่มีคนขับรถแสนจะเย่อหยิ่งคอยติดตาม


สองคนนั้นก้มหน้าทักทายยูยะเล็กน้อย แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็นยาบุที่ยืนอยู่ตรงนั้น และถ้าหากว่ายาบุไม่รั้งเอาไว้ ยูยะจะไปกระชากคอมาคุยกันให้รู้เรื่องเสียเดี๋ยวนั้น


"ช่างเถอะ  ฉันไม่ใส่ใจหรอก"


ไม่ใส่ใจ แต่ตายังคอยมอง "น้องชาย" ที่เป็นเพียงอดีตไปจนลับสายตา


"นายว่า เคย์จะได้ยินเรื่องที่เราคุยกันรึเปล่า"


"เขาไม่เห็นหัวแล้วยังจะเป็นห่วงอีกทำไม ได้ยินสิดี! จะได้รู้ซักทีว่ายังมีคนอื่นที่อยากดูแลไดจัง แล้วก็ดูแลได้ดีกว่าไม่ใช่บอกว่ารักแล้วทิ้งๆขว้างๆเหมือนหมอนั่น!"


ยาบุได้แต่ถอนใจ เขาเคยคิดว่าถ้าหากเคย์และไดกิยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันบ้าง ความผูกพันที่มีอาจทำให้เคย์ยอมกลับมาอยู่กับครอบครัวเหมือนเดิม แต่ตอนนี้...คงหมดหวังแล้วสินะ













+++++++++++++++++++++







หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างใจหายใจคว่ำ ยาบุเสริฟอาหารไปก็ต้องลุ้นไปว่าวันนี้จะได้ยินเสียงใครทำจานแตกหรือเปล่า แต่โดยรวมแล้วก็ทำได้ดี ฮิคารุถึงจะดูขัดๆ เก้งก้างทำอะไรไม่ถูกบ้างเพราะไม่เคยทำ แต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถ ส่วนอีกคน..ถ้าไม่ติดว่าแพ้สารเคมีเกือบทุกชนิดแล้วก็ถือว่าทำได้ดีพอตัว


สัปดาห์นี้ทั้งคู่จึงถูกเปลี่ยนให้มาทำหน้าที่เมดทำความสะอาด


"นี่มันแกล้งกันชัดๆ!"


ไม่ใช่ฮิคารุนี่นั่งกางหนังสือพิมพ์อ่านตรงโซฟาหรือว่าเป็นเคย์ที่กำลังศึกษาเอกสารต่างๆอยู่บนที่โต๊ะทำงานของยูยะ แต่เป็นคนขับรถที่คอยติดตามเคย์ที่โวยวายเมื่อได้ยินคำสั่งจากยูยะ


"แกล้งยังไง?"


ยูยะขมวดคิ้วยุ่ง พอๆกับฮิคารุ หรือแม้แต่เคย์ที่เงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมามองคนขับรถของตัวเองด้วยสีหน้าแปลกใจนิดๆ


"เจ้านายผมให้คุณเคย์มาทำงานเป็นผู้ช่วยคุณ แทนที่คุณจะให้ทำงานบริหาร กลับส่งไปทำงานที่เป็นของพวกคนรับใช้ งานไร้สาระแบบนี้ให้ใครมาทำก็ได้"


"ผมไม่คิดว่ามันไร้สาระหรอกนะ คุณจะบริหารโรงแรม คุณก็ต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรงแรมไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน นั่งบริหารอยู่แต่บนหอคอยงาช้างมันจะทำอะไรเป็นได้ยังไง เจ้านายคุณเค้ายังไม่ว่าอะไรเลยซักคำ อย่างว่าละนะ คนขับรถจะมาเข้าใจความคิดของคนระดับผู้บริหารได้ยังไง ถ้าไม่พอใจก็พาเจ้านายของคุณกลับไปซะสิ!"


ฮิคารุฉะกลับแบบไม่เกรงใจ คำพูดเหยียดหยามคนอื่นแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของฮิคารุเลย แต่กับคนตรงหน้านี้ฮิคารุอยากใช้วาจาเฉือนให้เป็นชิ้นๆนัก ให้รู้สำนึกเสียบ้างว่าคนขับรถไม่ควรพูดจาไร้มารยาทเช่นนี้


"คุณเคย์! กลับเถอะครับ! วันนี้ท่านสั่งให้กลับเร็วหน่อยเห็นว่ามีธุระสำคัญจะคุยด้วย"


ร่างบางจัดเอกสารเข้าแฟ้มเรียบร้อยก่อนจะลุกขึ้น ค้อมศรีษะนิดๆอย่างมีมารยาทก่อนจะเดินออกจากห้องไป ฮิคารุยังจ้องตามหลังคู่กรณีไปอย่างเอาเรื่อง


"พอเถอะฮิคารุ เรายังต้องทำงานร่วมกัน ฉันไม่อยากให้มีปัญหา"


"รู้แล้วน่า ฉันแค่สงสัยว่าหมอนั่นอยู่ในฐานะอะไรกันแน่!"


"หมายถึงใคร?"


"ก็..เคย์น่ะ ฉันสังเกตหลายทีแล้วนะ หมอนั่นทำตัวเหมือนเป็นหุ่นยนต์คอยแต่ฟังคำสั่งจากเจ้าคนขับรถนั่นอยู่ตลอดเวลา แล้วเวลาอยู่ที่บ้านน่ะจะเป็นแบบนี้ด้วยรึเปล่า"


ครั้งแรกที่ยอมเอ่ยปากเรียกชื่อตรงๆ ชื่อที่เคยเรียกเมื่อครั้งที่ยังเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้วันนี้จะอยู่ในฐานะที่ห่างเหินกันแค่ไหน แต่ความผูกพันที่มีเมื่อวัยเรียนก็ทำให้อดห่วงไม่ได้


ในเมื่อนายต้องการชีวิตที่ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่...ก็ขอให้นายมีความสุขกับมันนะ


เคย์...








.........................




..............



 ........



.....





"กลับมาแล้ว"


ทิ้งทั้งตัว ทั้งกระเป๋าลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง วันนี้ไดกิกลับบ้านมาคนเดียวเพราะวันนี้ห้องอาหารมีงานเลี้ยง กว่างานจะเลิกก็คงดึก ยาบุเลยทำงานสองกะรวดแล้วค่อยกลับบ้านตอนเช้า ปกติแล้วถ้ามีงานเลี้ยงไดกิจะอยู่ช่วยงานพี่ชายแล้วกลับบ้านพร้อมกันในตอนเช้า


แต่ตอนนี้ที่ห้องอาหารมีคนมาช่วยถึงสองคน ไดกิก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ให้อึดอัดมากไปกว่านี้ ยอมรับตรงๆก็ได้ว่ากลัว ไม่อยากพบหน้า ถึงจะทำเป็นไม่สนใจยามที่ได้เจอ แต่เมื่อไหร่ที่เผลอสบตา รอยแผลในหัวใจก็เจ็บขึ้นมาทุกครั้ง


แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่อาจเทียบเท่าความหวั่นไหวยามที่ได้สบตากับใครอีกคน ..


คนที่เป็นเจ้าของลมหายใจอุ่นที่รินรดลงบนพวงแก้ม สัมผัสนุ่มนวลบนต้นคอและริมฝีปาก ทั้งอ้อมแขนแข็งแรงและแผงอกกว้าง ...


ทุกสัมผัสในค่ำคืนนั้นยังชัดเจน ไม่เลือนหายแม้ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าไร..


เสียงเตือนข้อความดึงร่างบางออกจากภวังค์ ไดกิกดรับแล้วก็ต้องขมวดคิ้วกับเบอร์ผู้ส่งที่ไม่คุ้นตา ในข้อความที่ส่งมานั้นมีเพียงหนึ่งคำ แต่เป็นหนึ่งคำที่ทำให้แก้มร้อนฉ่าและรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของข้อความ


"Kiss~"


ไดกิยกสองมือขึ้นทาบแก้มไม่ให้มันร้อนมากไปกว่านี้ คืนนั้นเขาทำเรื่องน่าอายเหลือเกิน... น่าอายเสียจนต้องคอยหลบหน้า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ร่างบางรู้ว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงไหนจะมีสายตาคมๆคอยมองตาม คอยหาจังหวะที่จะเข้ามาคุยด้วย  แต่ไดกิก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีไปเสียทุกครั้ง เขารู้ว่าเคย์โตะต้องการจะพูดอะไร แต่เขายังไม่พร้อมนี่


ไม่พร้อมที่จะรื้อฟื้นเหต์การณ์ในคืนนั้น


คนบ้า!!!!...


"ไดจัง..ไม่สบายเหรอ?"


ยูริถามออกมาอย่างหวาดๆ พักนี้พี่ชายเขาดูแปลกๆ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ บางทีก็ดูเหมือนจะเพี้ยนๆด้วย ไดกิตบๆแก้มตัวเองสองสามทีเรียกสติตัวเอง


"ยูริมีอะไรเหรอ?"


"ไม่มีอะไรหรอก เห็นไดจังหน้าแดง นึกว่าเป็นไข้ซะอีก"


"ไม่เป็นไร นี่เพิ่งกลับบ้านกันเหรอ? กลับค่ำจัง"


"ก็ซ้อมละครไงล่ะ ไดจังลืมแล้วเหรอ"


จะบอกว่าลืมคนฟังคงเสียใจแย่ พูดถึงงานโรงเรียนแล้วก็นึกขึ้นได้ ยูโตะกับยูริชวนไดกิ ยาบุ ยูยะกับฮิคารุไปด้วยนี่นา


"ไดจางงงงงงงงง  แล้วเรื่องที่ถามเมื่อวานล่า~ งานโรงเรียนน่ะ จะไปใช่มั๊ย? ไปนะๆๆๆๆ"


"ยังไม่ได้ถามยาบุเลย แต่ถ้าติดงานก็คงไปไม่ได้หรอกมั้ง"


สงสัยว่าจะตัดรอนไปหน่อย คนฟังเลยหน้าม่อยทั้งคู่ เฮ้อ.. ปีนี้สองคนนี้ได้แสดงละครในงานโรงเรียนซะด้วยสิ ถ้าไม่ไปให้กำลังใจคงไม่ดีสินะ ไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีเหมือนกัน


"ไปก็ได้ แต่อย่าทำให้ฉันขายหน้านะ ถ้าไปหกล้มบนเวทีละก็ฉันจะลุกออกจากโรงละครเลย"


"เย้~!!!!!"


พูดก็พูดเถอะ ไดกิยังเดาไม่ออกเลยว่าละครเวทีเรื่องสโนว์ไวท์ที่มียูโตะเป็นคนแคระ มันจะออกมาเป็นยังไง







++++++++++++++++++++++++++








บรรยากาศในห้องอาหารวันนี้ไม่เป็นเหมือนเคย แต่ยูยะกลับภาวนาขอให้ทุกอย่างมันกลับไปน่าเบื่อเหมือนเดิมมากว่าที่จะเป็นแบบนี้  ตอนนี้พนักงานทุกคนเกือบจะเป็นโรคชักกระตุกเพราะท่าเสริฟ์อาหารเหินเวหาตีลังกาหมุนตัวสามตลบของฮิคารุให้คอยลุ้นทุกวินาทีว่าอาหารเครื่องดื่มจะถูกเสริฟถึงโต๊ะโดยสวัสดิภาพ



"ฉันจะบ้าตาย! นี่เสริฟ์ธรรมดาแบบชาวบ้านเค้าเป็นมั๊ยห๊ะ!!"



"ให้เดินนิ่งๆเป็นหุ่นยนต์แล้วก็มีมารยาททุกกระเบียดนิ้วแบบหมอนั่นเหรอ? ทำไม่เป็นว่ะ  เป็นแต่แบบนี้"



แล้วถาดที่บรรจุเหยือกกาแฟก็ลอยหวือข้ามหัวยูยะไป ฮิคารุถือถาดด้วยมือข้างเดียว เดินปร๋อไปเสิรฟ์เครื่องดื่มที่โต๊ะใกล้ๆ แขกในงานเลี้ยงพากันหัวเราะ มีฮิคารุบรรยากาศก็สดใสขึ้นทันตา



แต่ถ้าไม่ต้องคอยลุ้นว่าถ้วยชามจะแตกหรืออาหารจะหล่นใส่หัวบรรดาแขกผู้ใหญ่ไฮโซทั้งหลายด้วยก็จะดีมาก



"โอ๊ย!!! ไอ้เด็กไม่มีมารยาท"



นั่นไง! เป็นเรื่องจนได้  ยูยะรีบเดินเข้าไปหาฮิคารุที่ยืนกุมแขนตัวเองเพราะถูกกาแฟร้อนลวก สีน้ำตาลของกาแฟเปื้อนซึมแขนเสื้อเกือบทั้งแขน ฮิคารุจ้องหน้านักธุรกิจสูงวัยที่เดินไม่ดูทางมาชนตัวเองอย่างไม่ยอมความ



"ได้ไง! คุณเป็นฝ่ายเดินมาชนผมเองนะ!!!"



ยูยะเองก็เห็นเช่นกัน ว่าแขกคนนั้นเป็นฝ่ายเดินมาชนฮิคารุที่กำลังรินกาแฟให้สตรีสูงวัยคนหนึ่งอยู่อย่างแรง ยังดีที่ฮิคารุไหวตัวทันกาแฟจึงหกรดแขนตัวเองแทน



"ดูท่าว่าพนักงานโรงแรมนี้คงจะไม่ได้รับการอบรมเรื่องมารยาทมาสินะ ตอนที่รับเข้ามาคงไม่ได้สอบประวัติล่ะสิ หละหลวมแบบนี้คงไปไม่รอดแน่ ไม่รู้ท่านประธานคิดยังไงให้เด็กเมื่อวานซืนมาดูแลกิจการ "



ยูยะหัวเราะหึๆกับถ้อยคำถากถางจากผู้สูงวัยกว่า จะว่าอย่างนั้นมันก็ใช่ แต่น่าแปลกที่เด็กเมื่อวานซืนอย่างเขากลับได้รับความไว้วางใจจากท่านประธานมากกว่านักธุรกิจที่มีประสบการณ์ในงานบริหารและเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสามอย่างคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เสียอีก


"ขอโทษด้วยครับ คราวหลังผมจะบอกให้พนักงานระวังมากกว่านี้"


ยูยะส่งสายตาปรามเพื่อนที่กำลังจะอ้าปากค้าน เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษก่อนแม้ว่าจะไม่ได้เป็นฝ่ายผิดก็ตาม เหตุผลหนึ่งนั้นด้วยมารยาท ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง...


"ฉันไม่คิดว่าเธอจำเป็นต้องขอโทษหรอกนะ"


สตรีสูงวัยที่ฮิคารุเพิ่งเสริฟกาแฟให้เอ่ยกับยูยะ และฮิคารุ ยูยะจำได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับอาของเขาเช่นกัน แต่เป็นธุรกิจในส่วนอื่นที่ไม่ใช่การโรงแรม  แม้จะอายุมากแต่ความน่าเกรงขามนั้นยังมีสมกับที่เป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหญิงเหล็กแห่งวงการ


"คุณเองก็เหมือนกัน ทำไมต้องไปหาความกับเด็กด้วย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง"


ในสายตาของแขกคนอื่นๆผู้น้อยอย่างเขาย่อมได้รับความเห็นใจมากกว่าแขกที่เรี่องมากเอาแต่ใจจอมหาเรื่องอยู่แล้ว


"ผมแค่สั่งสอนเด็กเท่านั้น ว่าวันหน้าวันหลังอย่ารับกุ๊ยกระจอกข้างถนนเข้ามาทำงานให้โรงแรมเสียชื่อ"


"ขอโทษนะ แต่บังเอิญว่ากุ๊ยกระจอกที่คุณพูดถึงนั่นเป็นลูกชายผม!"


ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาอยู่กลางวงอย่างงามสง่า น้ำเสียงเรียบๆแต่ดุดันนั้นก้องไปทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยงที่ไม่รู้ว่าเงียบลงตั้งแต่ตอนไหน เพียงแค่มองนิ่งๆก็ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าสบตา  แขกทุกคนใจห้องจัดเลี้ยงต่างเดินเข้ามาทักทายผู้มาใหม่อย่างนอบน้อม และยังทักทายนักธุรกิจหญิงเลยไปจนถึงฮิคารุและยูยะด้วย  แต่กลับเมินอีกหนึ่งนักธุรกิจใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นไปอย่างสิ้นเชิง


และหลังจากที่ทักทายทุกคนจนครบแล้ว ยาโอโตเมะผู้พ่อ ถึงได้มีโอกาสได้เอ่ยปากกับลูกชายคนเดียวเสียที


"มัวยืนทำอะไร? ไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วกลับมาทำงานต่อสิ"


เท่านั้นฮิคารุก็หันหลังเดินออกไปโดยไม่เอ่ยปากทักทายพ่อสักคำ จากนั้นผู้สูงวัยกว่าจึงได้หันมาทักทายยูยะพลางเอ่ยชมว่ายูยะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีพอตัว


"ถ้าเธอไม่อยู่ ลูกชายฉันคงต่อยปากหุ้นส่วนของฉันไปแล้ว ธุรกิจก็แบบนี้ ต่อให้อีกฝ่ายน่าชังยังไงซะก็ยังมีผลประโยชน์ ไม่มีปัญหาต่อกันน่ะดีที่สุด"


ยูยะรับคำพลางคิดตามอย่างเงียบๆ เดินตามผู้สูงวัยไปจนถึงห้องทำงานของเขาเอง คอยดูแลความสะดวกให้เรียบร้อยจึงขอตัวออกมาทำงานต่อ แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากห้อง พ่อของฮิคารุก็พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ยูยะคิ้วกระตุกทันที


"ตามเพื่อนเธอคนนั้นมาพบฉันด้วยนะ ยาบุคุงน่ะ บอกเขาว่าฉันมีเรื่องจะพูดด้วย"








++++++++++++++++++++++++++++++++









เวลาผ่านไปเพียงสิบนาที แต่ยูยะกลับรู้สึกเหมือนว่าผ่านไปซักชาตินึงได้ ตอนนี้เขาไม่เป็นอันทำการทำงานได้แต่เดินกระวนกระวายอยู่ในห้องอาหาร ห่วงแสนห่วงคนที่ถูกเรียกพบ เขารู้มานานว่าพ่อของฮิคารุไม่ชอบหน้ายาบุและบรรดาพี่น้องสักเท่าไหร่ เขาไม่เคยรู้ว่าเป็นเพราะอะไร และเพราะความไม่รู้นี่เองที่ทำให้เขาจะเป็นบ้าอยู่แล้ว


"พ่อนายเรียกยาบุเข้าไปหาทำไม?"


คำถามเดิมๆที่ฮิคารุก็ตอบไม่ได้ ได้แต่มองเพื่อนรักเดินไปเดินมาจนเวียนหัว ยูยะเอ๊ย! เคยรู้สึกตัวบ้างไหมว่าแสดงออกมากเกินไปจนชาวบ้านเค้ารู้หมดแล้วว่าคิดยังไง ยาบุก็มัวแต่ทำงานงกๆไม่เคยเงยหน้าขึ้นมารับรู้อะไรบ้างเล้ยยย!!!


แล้วชาตินี้เมื่อไหร่จะลงเอยกันวะ!!!!!


"ทาคาคิคุง ยาบุคุงออกมาจากห้องแล้วล่ะ กำลังเดินไปที่ห้องพักด้านหลังแน่ะ!"


ยูยะเอ่ยคำขอบคุณพนักงานที่มาส่งข่าวแล้ววิ่งออกจากห้องไปแบบสายฟ้าแลบ ไม่สนใจฮิคารุที่ตะโกนตามหลังไปแม้แต่น้อย


"ดูมัน! พอสายมาส่งข่าวก็เหาะไปหากันเลยนะ ไม่คิดบ้างรึไงว่าฉันก็อยากรู้เรื่องเหมือนกันนะโว้ย!!!"




.............................


................




........



....




"เธอรู้รึเปล่า ว่าฉันไม่ชอบเท่าไหร่ที่เห็นลูกชายฉันไม่สนใจเรียนเอาแต่ตะลอนๆหนีเที่ยวไปกับพวกเธอ"


"ครับ"


ยาบุรับคำ ไม่คิดจะแก้ตัวทั้งๆที่ความจริงแล้วฮิคารุกับยูยะต่างหากที่เป็นหัวโจก พาเขากับน้องๆโดดเรียน


"เธอคงรู้สินะว่าฉันไม่พอใจที่ลูกชายไม่ยอมกลับบ้าน เมื่อไหร่ๆก็ไปนอนค้างที่บ้านพวกเธอ ไม่เคยโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นเลย"


"ทราบครับ"


ทั้งฮิคารุและยูยะเลยล่ะ เหตุผลของทั้งสองคนคือกลับไปก็เจอแต่บ้านที่ว่างเปล่ากับคนรับใช้ เลยไม่รู้จะกลับไปทำไม


"แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันเกลียดพวกที่มาทำตีสนิทกับลูกชายฉันเพื่อจะหาผลประโยชน์ แล้วไอ้ลูกชายตัวดีมันก็เอาฐานะลูกชายฉันไปบังคับทีมทนายประจำตระกูลเพื่อช่วยให้พวกเธอได้บ้านคืนมา"


"ครับ"


ยาบุกำมือแน่น จริงอยู่เมื่อครั้งที่บ้านของพวกเขาพี่น้องกำลังจะถูกยึดไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของคนที่พ่อแม่ของเขาไว้ใจมากที่สุด ฮิคารุได้ยื่นมือเข้ามาช่วยไว้อย่างที่ผู้สูงวัยพูดจริงๆ และถ้าไม่นับเงินที่พวกเขายืมมาตอนที่ยูริป่วยหนัก เขาก็ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากใครอีกเลย  คำพูดนี้จึงยากที่จะทำใจให้ยอมรับได้


"แล้วนี่ ลูกชายฉันก็ดิ้นรนจะมาทำงานที่นี่ ทั้งๆที่กิจการอื่นๆในเครือมีตั้งเยอะแยะ แต่ก็ยังจะเอาชีวิตมาผูกติดกับพวกเธอ แล้วเธอคิดว่าลูกฉันจะมีอนาคตแบบไหน?"


"ท่านต้องการจะพูดอะไรครับ?"


"ฉันจะพูดอะไรได้ ได้ข่าวว่าเธอเป็นคนโปรดของทาคาคิคุงนี่ พูดอะไรผิดหูไปเรื่องคงไปถึงหูท่านประธาน ฉันก็จะถูกท่านเคืองซะเปล่าๆ"


"ผมไม่-"


เช็คใบหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ แม้เป็นกระดาษเพียงใบเดียว แต่จำนวนตัวเลขที่อยู่บนนั้นมันมากเสียจนยาบุตกใจ ความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมาจนปวดหัว แม้ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร แต่เขาก็เลื่อนเช็คกลับคืนไปให้พ่อของฮิคารุ



"เธอรู้เหรอว่าฉันให้เช็คใบนี้เพราะอะไร"


"ไม่ทราบครับ แต่ผมไม่อยากได้"


"หยิ่งยโสจริงนะ ฉันแค่อยากจะขอบคุณ"


"หา?ครับ?"


"ฉันอยากจะตอบแทนครอบครัวเธอบ้าง ที่คอยดูแลฮิคารุมาตลอด ส่วนเรื่องบ้านนั่นน่ะฉันไม่ได้ใส่ใจหรอก ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่ฮิคารุยังพึ่งพ่อที่เอาแต่ทำงานอย่างฉัน เพราะนอกจากเรื่องเงินแล้วเจ้าเด็กดื้อนั่นไม่เคยขออะไรจากฉันอีกเลย"


ยาบุรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม หนึ่งนาทีก่อนหน้านี้เขายังโกรธสุดขีดอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไหลออกจากสมองไปหมด จนในหัวมีแต่อากาศว่างเปล่า


"ดูเหมือนว่าหลายปีมานี่ฉันเข้าใจพวกเธอผิดไปสินะ ไอ้ตัวดีนั่นก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฉันฟังเลยทั้งเรื่องบ้านแล้วก็เรื่องเงิน"


"ถ้าท่านมีเวลาได้อยู่กับลูกบ้าง ฮิคารุคงจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง โอ๊ะ! ขอโทษครับ ผมไม่ควรพูดแบบนี้"


แต่ผู้สูงวัยกว่ากลับหัวเราะชอบใจมากกว่าจะรู้สึกขุ่นเคือง ยาบุจึงถอนหายใจโล่งอกได้


"แล้วเช็คนี่ล่ะ เธอจะไม่เก็บไว้เหรอ"


"ผมขอรับไว้แค่คำขอบคุณได้ไหมครับ"


"หึๆ งั้นก็ตามใจ แต่เวลาฉันให้อะไรใครแล้วก็ไม่รับคืนเหมือนกัน เอาเป็นว่าเช็คใบนี้ฉันจะให้ฮิคารุเก็บไว้จนกว่าเธอจะมารับไปก็แล้วกัน"


ยาบุรับคำเพื่อไม่ให้เสียมารยาท แต่ใจจริงเขาไม่อยากได้เลยซักนิด  แต่น่าแปลก แท้ที่จริงแล้วพ่อของฮิคารุเรียกเขามาเพื่อเช็คใบนี้งั้นหรือ


"เธอฉลาดมาก ที่จริงแล้ว ฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องบอกเธอ"





.............................



 .................




 ...........


...





ร่างบางเอนกายลงบนโซฟาเก่าๆที่เอามาใช้เป็นที่นอนชั่วคราวให้ห้องแคบๆทึบๆนี้อย่างอ่อนแรง สิบนาทีที่ได้พูดคุยกับพ่อของเพื่อนรักทำเอาเรี่ยวแรงหายไปหมด ยาบุเองดีใจที่มีผู้ใหญ่เอ็นดูให้ความช่วยเหลือ แต่เรื่องที่เขารับรู้หลังจากนั้นมันชวนให้เป็นกังวลอยู่ไม่น้อย


"ฮอนดะซังน่ะหรือครับ?"


"ใช่ ฉันคิดว่าเธอน่าจะพอรู้แล้วว่าคนที่รับน้องชายเธอไปเป็นลูกบุญธรรมเป็นคนแบบไหน"


"รู้ไม่มากไปกว่าที่เห็นในวันนี้หรอกครับ"


"งั้นฉันจะบอกเธอก็แล้วกัน คนๆนั้นน่ะ ร่ำรวยมาจากการทำลายธุรกิจของคนอื่น เธอเข้าใจไหม? แทรกแซงการบริหารให้ล้มเหลวแล้วก็ฮุบกิจการมาเป็นของตัวเองซะ กิจการทุกอย่างที่เป็นของฮอนดะเขาไม่ได้สร้างด้วยมือของตัวเอง ไม่เหมือนธุรกิจของฉันหรือของท่านประธานที่ทุกคนในครอบครัวร่วมใจกันสร้างขึ้นมา"


ยาบุพยักหน้าหงึกๆ พยายามคิดตามให้ทันทุกประเด็น


"แล้วฉันก็คิดว่าเป้าหมายต่อไปของคนๆนั้น ก็คือที่นี่แหละ เห็นชัดๆจากที่เขาส่งคนของเขามาเป็นผู้จัดการโรงแรม ซึ่งก็ดูไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย ทุกอย่างที่นี่ทาคาคิคุงเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด"


"งั้นทำไมท่านไม่บอกเรื่องนี้กับยูยะล่ะครับ ทำไมถึงบอกผม"


"เพราะเธอเกี่ยวข้องด้วยน่ะสิ เหตุผลแรก เธอเป็นคนที่ทาคาคิคุงไว้ใจที่สุด ยังไงเรื่องนี้เธอก็ต้องบอกเขาอยู่แล้ว ให้ฉันบอกเองเดี๋ยวจะมีใครคาบไปรายงานฝั่งโน้น  เหตุผลอีกข้อ คือน้องชายของเธอกลายไปเป็นคนของฮอนดะและเขาก็ส่งน้องชายเธอมาทำงานที่นี่"


"จะให้ผมถามจากเคย์เหรอครับ"


"ถ้าเธอทำได้นะ"


ให้ไปง้างปากปลาวาฬยังจะง่ายเสียกว่า ทุกวันนี้น้องไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ แถมยังมีคนคอยติดตามทุกฝีก้าว แค่จะถามว่าสบายดีไหมยังไม่มีโอกาสเลย


"อีกไม่นานเธอจะมีโอกาส เชื่อฉัน ทางที่ดีที่สุดคือเธอต้องดึงน้องชายกลับมาให้ได้ ท่านประธานและฉันจะคอยช่วยอยู่ห่างๆ"


คุณป๋าของยูยะรู้เรื่องนี้แล้วสินะ


"ถึงโรงแรมนี้จะไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไร แต่มันก็ถูกสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราทั้งสองกรุ๊ป ทั้งฉันและท่านประธานถึงไม่อยากสูญเสียมันไป ที่สำคัญฉันไม่อยากให้ฮอนดะใช้มันเป็นฐานเพื่อไปทำลายใครด้วย"


"แล้ว..ฮิคารุรู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่าครับ"


"ต้องรู้สิ! ไม่อย่างนั้นไอ้ตัวแสบจะดิ้นรนมาทำงานที่นี่ทำไมกัน!"




.............................




.....................




 ..........



.......






ยาบุเอาแขนก่ายหน้าผากอย่างหนักใจ เขาเป็นห่วงน้อง ห่วงโรงแรมนี้ สองปีที่ทำงานที่นี่เขาผูกพันและรักโรงแรมนี้มากจริงๆ อาจเป็นเพราะได้เห็นความพยายามและทุ่มเทของยูยะมาตลอดก็เป็นได้


แล้วเขาควรทำอย่างไร?


แว่วเสียงประตูเปิดด้วยฝีมือคนที่ยาบุรู้ดีว่าเป็นใคร จึงไม่จำเป็นต้องลืมตาขึ้นมามอง นอนนิ่งๆให้ใครคนนั้นแตะมือบนหน้าผากและแก้ม  มือนั้นอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใยเหมือนทุกครั้ง สัมผัสที่ได้รับนั้นทำให้ร่างบางรู้ว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาจะมีมือคู่นี้ให้พึ่งพาเสมอ


"ตัวไม่ร้อน ... นายปวดหัวเหรอยาบุ"


"เปล่านี่ แค่เครียดนิดหน่อย"


ยาบุลุกขึ้นให้ยูยะได้นั่งลงข้างๆกัน เอนตัวพิงกับไหล่หนาอย่างเหนื่อยอ่อน ยูยะแนบอกอุ่นกับแผ่นหลังบาง วาดแขนสองข้างขึ้นโอบไหล่บางเอาไว้ กระชับอ้อมแขนเบาๆให้กำลังใจ ทุกครั้งที่ยาบุรู้สึกท้อหรือเสียใจยูยะจะกอดเอาไว้แบบนี้


ตอนที่พ่อกับแม่ตายก็เหมือนกัน....


ยาบุสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่ก็ยังช้าเกินไป หยดน้ำอุ่นๆร่วงลงบนแขนทำยูยะใจหาย พ่อของฮิคารุว่าอะไรยาบุงั้นหรือถึงได้ร้องไห้แบบนี้


"อยู่ดีๆคิดถึงพ่อแม่ขึ้นมาน่ะ ท่านน่ะไม่ได้เรียกฉันไปว่าหรอก"


"งั้นบอกมาสิ ว่าเรียกไปคุยเรื่องอะไร เราไม่มีความลับต่อกันใช่รึเปล่า"


แน่นอนว่ายาบุต้องบอกอยู่แล้ว เรื่องสำคัญแบบนี้ แต่เขาควรเริ่มต้นจากตรงไหนดี?









+++++++++++++++++++++++++++++++











แล้วปัญหาทั้งหมดนี่...



มันเกี่ยวกับงานโรงเรียนตรงไหน?...



หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด  ประโยคแรกที่ยูยะบอกกับเขาหลังจากที่นิ่งอยู่นานคือ...



"เดือนหน้ามีงานโรงเรียนใช่รึเปล่า ในฐานะศิษย์เก่านายกับไดจังน่าจะไปนะ ฉันไปไม่ได้แต่เดี๋ยวฉันจะฝากของที่ระลึกไปให้อาจารย์ด้วย"



"ยูยะ?"



"นายน่าจะพักผ่อนซะบ้างนะ เครียดมากๆเดี๋ยวจะปวดท้องอีก แล้วอย่าลืมถ่ายรูปยูริกับยูโตะมาให้ด้วยนะ เอาแบบชัดๆล่ะ"



"จะขยายเอาไปติดฝาบ้านหรือไง?"



จริงสินะ ยาบุก็ลืมนึกไปว่าโรงแรมนี้เป็นกิจการของครอบครัวยูยะ พนักงานอย่างเขาไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไรไปมากกว่าหน้าที่ของตัวเอง คิดได้ดังนั้นจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของยูยะทันที แต่มีหรือที่ยูยะจะยอมปล่อยง่ายๆ



"จะเอาไปติดที่ห้องอาหารเลยล่ะ อย่าเพิ่งงอนน่ายาบุ"



"เปล่านี่"



ไม่ได้งอนแต่แอบประชดนะเมื่อกี๊ ..  ยูยะรั้งร่างบางให้อิงแอบกับอกอีกครั้ง สำหรับเขาแล้วยาบุไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นคนใกล้ที่เขาสามารถจะวางใจเล่าทุกเรื่องให้ฟังได้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ก็มียาบุคนเดียวเท่านั้น



"ฉันไม่ได้คิดจะกันนายออกจากปัญหาพวกนี้หรอกน่า แค่อยากให้นายไปพักสมองบ้าง เครียดมากๆแล้วนายจะเอาหัวที่ไหนมาช่วยฉันคิดล่ะ"



"แล้วไม่ไปด้วยกันเหรอ?"



"ก็อยากไปนะ แต่ไม่มีใครดูที่นี่น่ะสิ นายก็รู้"



ยาบุถอนใจหนักๆระบายความเครียดในอก นึกอยากย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกสักครั้ง จะได้มีความสุขกับชีวิตไปวันๆ ไม่ต้องคิดอะไร



พอเป็นผู้ใหญ่แล้วมันเหนื่อยจริงๆ....







...............................



.................



...........



.....









บรรยากาศในหอประชุมเงียบลงทันทีที่ดวงไฟทุกดวงดับมืด ตามลำดับการแสดงในสูจิบัตร รายการที่จะแสดงต่อจากนี้คือผลงานละครเวทีจากนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สาม เรื่อง "สโนว์ไวท์"



"ยูริน่ะฉันไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่ยูโตะนั่นล่ะจะทำให้ขายหน้า คนคัดนักแสดงคิดยังไงให้ยูโตะเล่นเป็นคนแคระ ให้เป็นต้นไม้ฉันจะไม่ว่าซักคำ"



คำพูดของยาบุช่างเต็มไปด้วยความภูมิใจและชื่นชมเสียจนคนฟังภูมิใจแทนยูโตะเสียจริงๆ แต่ไดกิก็เข้าใจว่าทำไมยาบุถึงได้เป็นห่วงหนักหนา ก็ขนาดเวลาอยู่ที่บ้านข้าวของที่อยู่ของมันเฉยๆ ยูโตะยังทำให้มันพังได้  ไม่อยากนึกเลยว่าละครเวทีวันนี้ จะมีอะไรให้ตื่นเต้นกว่าที่บ้านหรือเปล่า



"พูดเกินไปละมั้ง บางทีมันอาจไม่เป็นอย่างที่นายคิดก็ได้"



"หึ! คอยดูไปเถอะ"



เสียงปรบมือดังต้อนรับฉากแรกเบื้องหลังผ้าม่านที่ค่อยๆเลื่อนขึ้น ผู้ชมยิ่งปรบมือและส่งเสียงชื่นชมกับความงดงามและอลังการของปราสาทยุคโบราณท่ามกลางประกายระยับของหิมะ



ท่ามกลางความงามเหล่านั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งผิวขาวดั่งหิมะ ริมฝีปากแดงดั่งสีชาด เส้นผมยาวดำขลับราวเส้น ยามแย้มยิ้ม สะกดให้ทุกคนในที่นั้นจ้องมองจนแทบลืมหายใจ งดงามเปล่งประกายโดยไม่ต้องพึ่งพาแสงไฟแม้แต่น้อยเสียงปรบมือดังก้องยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ยูริคำนับ ย่อตัวลงพร้อมกับยิ้มให้คนดูอย่างอ่อนหวาน ทำเอาผู้ชมที่นั่งอยู่แถวหน้าหัวใจละลายสิ้นชีพไปตามๆกัน



ยูริทำได้ดีมากจริงๆ สามารถสะกดสายตาคนดูได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว แม้ในหอประชุมจะมืดแต่ไดกิก็รู้สึกได้ว่าทุกคนคอยลุ้นให้กำลังใจสโนว์ไวท์แสนสวยคนนี้อยู่ทุกขณะ



ส่วนตัวเขากับยาบุนั้น ต้องคอยลุ้นฉากที่อยู่หลังจากนี้ต่างหาก ...



สโนว์ไวท์หลบหนีจากปราสาท ร่อนเร่อยู่ในป่าจนมาพบกับบ้านของคนแคระทั้งเจ็ด และตอนนี้สโนว์ไวทืกำลังหลับปุ๋ยรอเวลาให้คนแคระกลับจากเหมือง



คนแคระเดินพาเหรดเรียงแถวเข้ามาในฉาก ทุกคนต่างมีอุปกรณ์สำหรับขุดเหมืองพาดอยู่บนบ่า ร้องเพลงเดินตามกันเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี



โครม!!!!!



เนื่องด้วยว่าตัวบ้านนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนดูมองออกว่าเป็นบ้านของคนแคระ เพราะฉะนั้นนักแสดงซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นเด็กมัธยมปลายที่ตัวกำลังยืดเต็มที่ ต้องก้มตัวเพื่อให้ลอดพ้นประตูไปได้



แต่ไม่ใช่กับคนแคระที่เดินอยู่ท้ายสุด..



จังหวะที่ก้มตัวลอดประตูนั้น ยูโตะไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงได้ชนประตูเสียงดังสนั่น บานประตูข้างหนึ่งหลุดจากบานพับเอียงกะเท่เร่  และด้วยความตกใจยูโตะวิ่งกลับเข้าไปหลังฉากเพื่อไปหาฆ้อนมาซ่อมประตู ผลก็คือคราวนี้ประตูหลุดอออกมาทั้งบานเลย!!



ยาบุและไดกิตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ อุทานออกมาโดยพร้อมเพรียง



ว่าแล้วววววววว!!!!!!!



ไม่ใช่ละครแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ  ไม่ใช่ละครสยองขวัญชวนหวีด แต่สองพี่น้องก็พร้อมใจยกสูจิบัตรในมือปิดบังใบหน้าตัวเองไปเสียครึ่ง ป้องกันเหตุการณ์หวาดเสียวที่เกิดขึ้นในฉากต่อๆมา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยูโตะเหยียบชายกระโปรงของยูริจนร่างเล็กสะดุดล้มหน้าคว่ำเกือบตกเวที ยูโตะคว้าเอวยูริไว้ทันและรับผิดชอบด้วยการหิ้วเจ้าหญิงสโนว์ไวท์เข้าหลังเวทีไปทั้งอย่างนั้น



"ถ้ายูริตกเวทีละก็ฉันจะหักคอแก ยูโตะ!!!!"



ไดกิคำราม



หรือตอนที่ยูโตะโบกไม้โบกมือให้กับยาบุและไดกิจนเผลอปัดถูกวิกผมของยูริกระเด็นหวือไปทางคนดู



"โอ๊ยยย!! กรรม!!" ยาบุอุทานเสียงแผ่ว



โชคยังดีนักที่ยูรินั้นมีรอยยิ้มเป็นอาวุธ เพียงแค่เห็นรอยยิ้มหวานๆ ทุกคนก็พร้อมจะลืมทุกข้อผิดพลาดบนเวที ลอยละล่องไปกับนิทานดังเดิม



เรื่องราวดำเนินมาถึงฉากสุดท้าย ทุกคนในโรงละครถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่ช่วยกันลุ้นคนแคระตัวโย่งให้แสดงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี บทเจ้าชายที่แสดงโดย ยามาดะ เรียวสุเกะ นักเรียนร่วมชั้นคนดังนั้นทำให้สาวๆหลายคนถึงกับเพ้อจนลืมความจริงไปข้อหนึ่งว่า ความสูงของเจ้าชายและเจ้าหญิงกับความสูงของคนแคระนั้นช่างกลับตาลปัตรกันจนน่าใจหาย



ม่านปิดลง ด้วยภาพอันน่าประทับใจ ด้วยฝีมือยูโตะที่สะดุดล้มชนกับฉากจนล้มครืนเป็นทอดๆเหมือนโดมิโนเป็นการส่งท้าย









+++++++++++++++++++++++











"ฉันอยากจะบ้า!!!!"



ละครเรื่องนี้ไม่ได้จรรโลงใจให้หายเครียดได้เลยจริงๆ มีแต่จะทำให้ปวดหัวมากขึ้นละสิไม่กว่า



"นายก็คิดซะว่ามันเป็นละครตลกสิ ยูโตะคงไม่ได้ตั้งใจให้งานออกมาเป็นแบบนี้หรอก ยังดีที่ไม่ป่วนจนไฟไหม้เวทีเหมือนที่เกือบทำไฟไหม้บ้านตอนที่เข้ามาอยู่กับเราใหม่ๆน่ะ โอ๊ะ! การแสดงต่อไปจะเริ่มแล้วล่ะ"



ไดกิอุทานอย่างตื่นเต้น เมื่อกี๊อ่านในสูจิบัตร การแสดงต่อไปคือร้องเพลงประสานเสียงโดยชมรมขับร้องประสานเสียงประจำโรงเรียน ชมรมโปรดของไดกิสมัยเรียน แต่หลังจากที่เรียนจบ ไดกิก็ไม่ได้ติดต่อรุ่นน้องคนไหนอีกเลย ป่านนี้คงจะโตๆกันหมดแล้วละมั้ง



เสียงไวโอลินดังแผ่ว แสงไฟสีฟ้าสาดส่องลงบนร่างกลุ่มนักร้องทั้งสิบเอ็ดคนบนเวที เด็กทุกคนอยู่ในชุดสูทสีขาวท่ามกลางสายหมอกสีฟ้าชวนฝัน เสียงใสๆขับขานโดดเด่น ประสานกับเสียงไวโอลิน และเสียงกีตาร์โปร่ง ไดกิไล่สายตามองกลุ่มนักร้องไปทีละคน  บางคนร่างบางรู้จักและคุ้นเคย แต่บางคนก็ไม่คุ้นหน้า คงจะเป็นสมาชิกใหม่ที่เข้ามาทดแทนคนที่จบไปในแต่ละรุ่น  มองเรื่อยไปจนถึงนักดนตรีที่บรรเลงเพลงอยู่ด้านหลังสุดของเวที



เสียงไวโอลินเพราะจับใจนั้นจะเป็นของใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ โกโต ฮิโรมิ สมาชิกชมรมดนตรีคลาสสิค ...



"ไดจัง! นั่น!"



ต่อให้ยาบุไม่ได้สะกิด ไดกิก็รู้ได้ว่าคนที่กำลังนั่งเล่นกีตาร์โปร่งอยู่บนเวทีเคียงข้างกับนักไวโอลินคนนั้นคือใคร และแม้ว่าร่างสูงจะนั่งอยู่ในมุมสลัว แต่กลับโดดเด่นด้วยการแต่งตัวที่แตกต่าง ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาๆสวมทับกับเสื้อกล้ามสีดำ สวมกางเกงยีนส์สีเข้ม กับรองเท้าผ้าใบ



เพียงเท่านั้น ..



ร่างบางก็ลืมทุกสิ่งรอบตัว เสียงเพลงเลือนหาย ได้ยินเพียงเสียงกีตาร์ใสๆจากปลายนิ้วคอยบรรเลง สายตาจับจ้องอยู่แต่ใบหน้าคมคายที่เคยได้แนบชิด และราวกับว่าจะรู้ ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับไดกิได้อย่างพอดิบพอดี สายตาอบอุ่นจากอีกฝ่ายนั้นสะกดให้ไดกินิ่งไปราวกับต้องมนต์ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มน้อยๆราวกับจะย้ำเตือนถึงสัมผัสที่ได้ฝากไว้ที่ริมฝีปากคู่นี้



และเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น...





..............................





..................





........





...





หลังจากการแสดงในหอประชุมจบยาบุปลีกตัวไปจัดการธุระที่ยูยะฝากมา คือการนำเช็คเงินสนับสนุนที่คุณป๋าของยูยะมอบให้โรงเรียนเป็นประจำทุกปี ไปมอบให้กับอาจารย์ใหญ่



โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีลูกหลานของคนในแวดวงธุรกิจเข้ามาเรียนอยู่มากมาย เพราะฉะนั้นค่าเทอมจะสูงแค่ไหนไม่ต้องพูดถึง  ถ้าหากไม่มีพ่อกับแม่ ไดกิกับพี่น้องคงไม่ได้เข้ามาเรียนที่นี่



ไดกิเดินเข้าห้องโน้นห้องนี้ ดูนิทรรศการไปเรื่อยๆฆ่าเวลาระหว่างที่รอยาบุ จนมาถึงอาคารกลาง อาคารสูงเจ็ดชั้นรูปตัวแอลมี่ชั้นแรกถูกจัดให้เป็นห้องทำกิจกรรมของชมรมต่างๆ ชั้นสองเป็นห้องคอมพิวเตอร์ ชั้นสามถึงชั้นเจ้ดเป็นห้องสมุดที่มีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน ที่นั่นเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของไดกิและเคย์..



คนๆนั้นน่ะ เป็นหนอนหนังสือประจำบ้าน เพราะเป็นแพ้สารเคมีเกือบทุกชนิด เวลาที่พี่น้องทำงานบ้านก็ได้แต่นั่งมองเพราะช่วยอะไรไม่ได้ ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านก็ถูกแมลงกัดจนเป็นผื่นไปทั้งตัว จึงมีแต่หนังสือเท่านั้นที่ทำให้ไม่เหงา



แต่เพราะแบบนี้ถึงทำให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ..



เก่งสมกับที่เป็นนายแล้วนะ... เคย์



เดินเรื่อยไปจนถึงห้องด้านในสุดของอาคาร หยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม้สีน้ำตาลซีดๆที่ร่างบางจำได้ดี ตลอดเวลาหลายปีที่เรียนที่นี่ เขาวิ่งเข้าออกห้องนี้อยู่เป็นประจำ



ชมรมขับร้องประสานเสียง



เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจากด้านในทำให้ไดกิชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู เขาจบจากโรงเรียนนี้มาสองปีแล้ว ในชมรมยังจะมีใครจำเขาได้อยู่ไหมนะ



เสียงบานประตูเลื่อนเปิด ไดกิก้าวถอยหลังไปนิดหนึ่งเพื่อหลีกทางให้คนในห้อง แต่ใครคนนั้นกลับยืนขวางประตูนิ่งจนร่างบางต้องเงยหน้าขึ้นมอง



"ในที่สุดก็ได้เจอกันนะ"



ร่างบางยืนตะลึง ตกใจยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นร่างสูงอยู่บนเวทีเสียอีก ทั้งทั้งที่หลบหน้ามาได้ตลอดแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้มาตกม้าตายเอาตรงนี้..



แต่ก่อนที่ร่างสูงจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เสียงวี๊ดว้ายชื่นชมก็ดังมาจากทางเดินที่ไดกิผ่านมา นักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ บางคนในกลุ่มนั้นดูเขินอายต่างคนต่างเกี่ยงกันว่าใครจะพูดก่อนอยู่นาน จนเคย์โตะเป็นฝ่ายถามขึ้นเสียเอง



"คือ..อยากขอถ่ายรูปด้วยค่ะ"



ร่างสูงเพียงแต่มองไปทางสาวๆกลุ่มนั้นด้วยความแปลกใจ แต่ก็ตอบตกลงแต่โดยดี จึงถูกสาวๆลากแขนไปหามุมถ่ายรูปที่นิทรรศการด้านนอก แต่ก่อนไปเคย์โตะหันมาบอกกับคนที่ยังยืนนิ่งเป็นรูปปั้นว่า



"เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้าน รอก่อนนะ"



น้ำเสียงนุ่มๆที่ร่างสูงใช้กับไดกินั้น มันบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองคนจนทำให้สาวๆรอบข้างแอบจิ๊ปากด้วยความขุ่นเคืองและอิจฉา แต่เท่านั้นคงยังไม่พอ เคย์โตะเพิ่มดีกรีความอิจฉาของสาวๆให้ร้อนขึ้นอีกด้วยริมฝีปากที่ประทับบนกลีบปากนุ่ม ซึมซับความหวานเพียงชั่วครู่ กระซิบคำขู่ที่ทำให้ไดกิหัวใจเต้นแรงจนแทบเป็นลมไปตรงนั้น



"ถ้าหนีหน้าอีกละก็....จะตามไปหาถึงบ้านเลย แล้วคราวนี้..จะไม่จูบอย่างเดียวแล้วนะ"



....................



.........



....







"ไม่ได้เรื่องเลยยยยย"



สองพี่น้องโมริโมโตะโวยวายใส่ไดกิเป็นอย่างแรกหลังจากที่ไดกิก้าวเข้ามาในห้อง



"ทำไมปล่อยให้คนอื่นฉกแฟนไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้เล่า! เนี่ยอุตส่าห์พามาหลบในห้องชมรมแล้วยังโดนลากออกไปจนได้"



"แฟนเหรอ?"



"ก็แฟนไดจังไง สาวๆกลุ่มนั้นน่ะมาคอยตามเคย์โตะเป็นเดือนๆตั้งแต่ตอนซ้อมเลยน๊า~ มีแฟนหล่อก็ลำบากแบบนี้แหละ แต่ดูไดจังไม่หึงเลยอ่ะ ใจกว้างเป็นแม่น้ำไปได้ เอ๊ะ! หรือว่ายูโตะกับยูริไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง?"



ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่เรื่องไหนๆทั้งยูริกับยูโตะก็ไม่ได้บอกไดกิเลยซักนิด สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าเคย์โตะได้เบอร์กับเมลล์เขามาจากไหน ที่แท้สายสืบก็อยู่ใกล้ตัวนี่เอง เดี๋ยวจะคิดบัญชีให้ทำความสะอาดบ้านทั้งเดือนเลย!!!



"ยูโตะกับยูริอยู่ไหนเหรอ เห็นบ้างรึเปล่า"



"ก็คงถูกสาวๆลากไปถ่ายรูปอยู่ตรงซุ้มไหนซักซุ้มละมั้ง คนดังนี่! ชิ! "



ไดกิมองใบหน้าเชิดๆของริวทาโร แล้วก็หันไปสบตาชินทาโร ชินทาโรแอบจุ๊ปากรอจนริวทาโรเดินออกจากห้องไปแล้วถึงได้กระซิบบอกกับไดกิว่า



"ไม่เกี่ยวกับสองคนนั้นหรอก ริวน่ะ แอบหึงยามะจังล่ะ"



ร่างบางรับฟังอย่างไม่เชื่อหู ไอ้คู่กัดข้ามทศวรรษอย่างยามาดะกับริวทาโรนี่น่ะหรือ จำได้ว่าสมัยเรียนไม่มีวันไหนที่ไม่ตีกัน ไม่เว้นเสาร์อาทิตย์และปิดเทอม วันดีคืนดีก็ตามไปทะเลาะกันที่บ้านของไดกิด้วย วันไหนไปวันนั้นบ้านแทบระเบิด



แล้วไปทันกิ๊กกันตอนไหนเนี่ย?....











+++++++++++++++++++++









ความรักนี่เกิดได้ทุกที่ทุกเวลา กับทุกคนจริงๆนะ กามเทพแสนซนช่างเล่นกลกับเราได้น่าตีนัก ทำไมความรักของยามาดะกับริวทาโรถีงได้เกิดขึ้นได้ ทั้งๆที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่กับไดกิ ความรักของเขาที่เกิดขึ้นแล้วกลับไม่มีทางเป็นไปได้



"โอ๊ะ!!"



เดินไม่ดูทางจนเกือบจะชนใครคนหนึ่งเข้า มือเรียวของใครคนนั้นประคองไดกิไว้ไม่ให้ล้ม ร่างบางไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมองก็จำมือคู่นี้ได้



ทำไมต้องได้พบกันอีก...



ถ้าหากไม่เจอกัน หัวใจก็ไม่ต้องเจ็บอีกแล้วแท้ๆ ความทรงจำที่ทั้งสองเคยเคียงข้างกันภายในรั้วโรงเรียนหวนกลับมาตอกย้ำให้หัวใจเจ็บร้าวขึ้นมาอีก ร่างบางหันหลังกลับแล้ววิ่งออกจากที่ตรงนั้นทันที เสียงเรียกที่แว่วตามหลังมาไกลๆนั้นคงเป็นเสียงจากหัวใจเขาเองที่ร่ำร้องให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม



แต่มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว....







................................





..............







.....





นี่เขาวิ่งหนีอะไรอยู่นะ?



หนีใคร? คนที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดทั้งหมดนี่ หนีความเจ็บปวดทั้งหมดที่มี หรือหนีความจริง....



ฝีเท้าชะลอลงเมือยามที่คิด ไดกิเพิ่งรู้ตัวว่าเขาวิ่งมาจนถึงสวนด้านหลังของโรงเรียน สถานที่ที่พวกเขาพี่น้องมักจะมานั่งกินข้าวกล่องกันตอนพักเที่ยง  ในความทรงจำของไดกิมีเคย์อยู่ด้วยเสมอ ไม่ใช่แค่ที่บ้าน หรือที่โรงเรียนเท่านั้น ยิ่งวิ่งหนีมันไปซักเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น



แล้วอยู่ๆน้ำจากฟ้าก็โปรยปรายลงมา ร่างบางวิ่งหลบสายฝนที่กระหน่ำลงมาแบบไม่ทันตั้งตัวไปที่อาคารที่ใกล้ที่สุด อาคารเล็กๆที่ใช้เก็บอุปกรณ์การเรียนเก่าๆที่ไม่ได้ใช้ถูกล็อคไว้จากด้านนอก ไดกิจึงอาศัยชายคาที่ยื่นออกมาเล็กน้อยเป็นที่หลบฝน แต่สายลมก็พัดเอาละอองน้ำเข้ามากระทบผิวกายให้หนาวได้อยู่ดี



ฝนตกหนักแบบนี้คงจะตกไม่นานหรอก ไดกิยืนพิงผนัง ค่อยๆหลับตาลง ปล่อยความคิดล่องลอยไปกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิต ทั้งเรื่องที่ทำให้ดีใจและเสียใจ



จริงสินะ ... เรื่องที่เจ็บปวดกว่านี้ก็เจอมาแล้ว เขายังทำใจผ่านพ้นมันมาได้ กับเรื่องนี้ก็ต้องผ่านไปได้เช่นกัน



แล้วไดกิจะเข้มแข็งขึ้น...



ผ่านไปครู่ใหญ่ สายลมเย็นกับละอองฝนก็หายไป แต่เสียงสายฝนกระทบพื้นดินกลับดังกว่าเดิม และแสงสว่างจางๆที่รับรู้ภายใต้เปลือกตาบางนั้นก็มืดลง



ร่างบางลืมตาขึ้นด้วยความแปลกใจ



ภาพที่เห็นนั้น ช่างเหมือนกับคราวแรกที่ได้พบกัน ต่างกันเพียงในวันนี้สิ่งที่มองเห็นข้ามผ่านไหล่กว้างของร่างสูง เป็นท้องฟ้าสีเทาครึ้มฝน แทนที่จะเป็นสีส้มทอง เคย์โตะวางมือสองข้างยันกำแพงคร่อมร่างเล็กกว่าเอาไว้ ให้ละอองฝนพรมลงบนแผ่นหลัง



"บอกแล้วไงว่าอย่าร้องไห้"



คำปฎิเสธจากริมฝีปากบาง ยังช้ากว่าสองแขนแกร่งที่เลื่อนลงตวัดกอด รั้งร่างเล็กให้แนบชิด กดริมฝีปากเบาๆซับละอองน้ำทั่วใบหน้าใส ไดกิหลับตารับทุกสัมผัสด้วยใจสะท้าน ไม่อาจปฎิเสธคำขอแสนหวานที่จรดอยู่ตรงริมฝีปาก  รสจูบอุ่นเจือสายฝนเย็นฉ่ำดึงดูดให้สองร่างแนบแน่นแทบกลายเป็นคนเดียวกัน ไดกิไล้มือไปบนแผ่นอกแกร่งอย่างเผลอไผล  มอบริมฝีปากตอบแทนความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้....



อย่างเต็มใจ...







+++++++++++++++++++++







"จูบเก่งขึ้นนะ"



คำพูดแรกหลังจากจูบแสนหวานผ่านพ้น คนฟัง ฟังแล้วทั้งโกรธทั้งอายจนต้องฟาดมือลงบนอกคนพูดแรงๆเพื่อเอาคืน คนถูกตีก็ไม่ร้องสักคำ กลับกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก



เมื่อตอนที่ริมฝีปากผละจากกัน ไดกิดูงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนดวงตากลมๆจะฉายชัดถึงความเจ็บปวดและสับสน ซึ่งร่างสูงรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร   เขาจงใจมอบจูบหวานๆเพื่อหลอกล่อให้ร่างบางมึนงงและจูบตอบ แต่กลับทำให้ร่างบางเจ็บปวดหนักขึ้นไปอีกเพราะต้องจูบกับใครอีกคน ทั้งๆที่มีคนรักอยู่แล้ว..



เพราะอย่างนั้น...ถึงจะถูกตีมากกว่านี้ก็จะไม่ว่าสักคำ



"รู้ได้ไงว่าอยู่ตรงนี้"



"ก็ตามมา"



ตามมางั้นหรือ?.. ไดกิคิดอย่างปวดใจ ทำไมคนที่คอยห่วง คอยกอด คอยปลอบเขาตอนที่ร้องไห้ถึงไม่ใช่เคย์



แต่เป็นคนคนนี้?..



หยดน้ำไหลร่วงลงบนแก้มใสทำให้ร่างบางต้องเงยหน้าขึ้น ถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้ร่างสูงเปียกปอนไปเสียครึ่งตัว ผมที่เซ็ทเอาไว้เพื่อการแสดงเปียกฝนลีบลู่ลงแนบแก้ม แผ่นหลังเปียกชุ่มจนมองเห็นเสื้อกล้ามที่ซ้อนไว้ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาว



เพราะไดกิใช่ไหม? เพราะวิ่งตามเขามา..?..  เพราะยืนบังฝนให้ถึงได้เปียกแบบนี้ใช่รึเปล่า?



"เห็นแล้วใช่ไหม?..คนที่ทำให้ฉันร้องไห้"



กลั้นใจสะกดความเจ็บปวดยามพูดถึง  พร้อมๆกับพึ่งอกอุ่นเพื่อกลั้นน้ำตา ถ้าตามตั้งแต่แรกก็คงได้เห็นแล้วสินะ



"อืม..แต่ดูแล้วไม่เหมือนคนใจร้ายใจดำเลยนะ"



"ก็ไม่ใช่น่ะสิ"



"งั้นทำไมถึงพูดว่าเขาทำให้ร้องไห้ล่ะ"



"ไม่รู้"



ความสัมพันธ์ระหว่างไดกิและเคย์ เริ่มตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อกับแม่จูงมือเคย์มาที่บ้าน ตอนที่พ่อกับแม่บอกว่าไดกิจะมีพี่ชายอีกคน ไดกิดีใจที่สุด เพราะยาบุนั้นถึงจะใจดีแต่ก็เข้มงวด ไดกิไม่ได้เกลียดยาบุที่เป็นแบบนั้น แต่เขาเองก็อยากมีเพื่อนเล่นบ้าง เคย์จึงเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ชาย และเมื่อโตขึ้นก็กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ไดกิยังจำได้ดีว่าพ่อ แม่ และยาบุทำหน้าตาประหลาดน่าขำแค่ไหน ตอนที่ไดกิบอกว่า เคย์ไม่ได้เป็นแค่พี่ชายของเขาอีกต่อไปแล้ว



แล้วทั้งสองคนก็อยู่ข้างๆกันเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่...



แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเมื่อพ่อแม่ตาย ทรัพย์สินและเงินที่มากพอจะทำให้พี่น้องทุกคนเรียนจบมหาวิทยาลัยได้กลับถูกคนที่พ่อแม่รักและไว้ใจที่สุดใช้เล่ห์กลยึดเอาไป เหลือเพียงแต่บ้านเท่านั้น  ตอนที่ทุกคนตัดสินใจว่าจะช่วยกันรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายนี้เอาไว้ด้วยกัน เคย์กลับบอกว่าจะออกจากบ้าน แล้วเคย์ก็จากไปจริงๆ ไม่มีเหตุผล ไม่มีคำลาแม้แต่คำเดียว



วันนั้น.. ไดกิถึงได้รู้ว่า เขาไม่เคยรู้จักตัวตนของคนที่บอกว่ารักเขาเลยสักนิด



"เขาอาจ..มีความจำเป็นก็ได้มั้ง"



ก่อนที่จะวิ่งตามไดกิมา ตอนนั้นทันได้เห็นหน้า และแววตาของใครคนนั้นอยู่แวบหนึ่ง ร่างนั้นยืนนิ่ง มือสองข้างค้างอยู่ในอากาศราวกับพยายามจะไขว่คว้าบางสิ่งแต่ก็ไม่อาจทำได้ จึงได้แต่มองตามไปอย่างเจ็บปวด



"ทำไมเข้าข้างกันจัง พูดแบบนี้ถ้าฉันกลับไปดีกับเคย์แล้วนายจะไม่เสียใจเหรอ"



"เอ๋?"



"ก็นายชอบฉันนี่  หรือไม่ใช่"



เพิ่งรู้ว่านอกจากจะมีสายตาที่มองทะลุหัวใจได้แล้ว ยังเปลี่ยนอารมณ์เร็วได้เหมือนกดรีโมท เมื่อกี๊จะร้องไห้อยู่แล้วแท้ๆกลับเปลี่ยนโหมดมาสอบสวนเขาได้ซะงั้น



"ใช่มั๊ยล่ะ ถ้าไม่ชอบจะยอมเปียกฝนตามมาถึงนี่ มายืนบังฝนให้ทำไม เมื่อกี๊แกล้งให้อายจะได้ลืมเรื่องเคย์ใช่ไหม?.."



ไม่ยักพูดถึงเรื่องที่ถูกจูบด้วยนะ แต่ถ้าพูดไปตอนนี้ร่างสูงคงถูกตบตายศพไม่สวยแน่ๆ



"ถ้าบอกว่าใช่แล้วจะทำยังไงล่ะ"



ฟังคำถามแล้วไดกินึกด่าตัวเอง ไม่น่าถามให้เรื่องเข้าตัวเลยจริงๆ จะทำยังไงน่ะเหรอ?.. ในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากความรู้สึกที่เรียกว่า"รัก"น่ะ เป็นยังไง ไดกิก็ไม่อยากจะทำร้ายคนอื่น



ตราบเท่าที่ยังลืมเคย์ไม่ได้...



"ช่างเถอะ" ร่างสูงพูดขึ้นมาหลังจากที่ไดกิเงียบไปนาน "ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบวันนี้หรอก"



"แต่ให้นายรอ มันไม่ยุติธรรม ถ้าฉันกลับไปคืนดีกับเคย์แล้วนายจะทำยังไง"



"ไม่ต้องห่วง"



ไดกิไม่อยากเชื่อเลย!!! มีด้วยหรือคนบนโลกนี้ที่จะยอมเป็นที่พักใจของใครสักคน เพื่อให้คนๆนั้นจากไปโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน มันเป็นไปไม่ได้!!



"ฉันไม่ให้นายไปหรอก"



"ห๊ะ!!"



ร่างสูงก้มลงสบตากับคนในอ้อมกอดด้วยแววตาอย่างที่ไดกิไม่เคยเห็นมาก่อน  ดวงตาคู่นั้นดูมุ่งมั่นและดื้อรั้นเอาแต่ใจในคราวเดียวกัน



"คนอย่างฉัน อยากได้อะไรก็ต้องได้ ที่ฉันบอกว่าจะรอ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้นายไปกับคนอื่นนี่ เพราะฉะนั้นเรื่องจะกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าน่ะ เลิกคิดไปได้เลย"



คำพูดที่เหมือนเด็กเอาแต่ใจนั้นไม่ได้ทำให้ร่างบางนึกชังอย่างที่เคยรู้สึก เพราะร่างสูงเอานิ้วจิ้มลงบนจมูกเล็กเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มนิ่งๆ ที่ไดกิสาบานได้ว่าอาจทำให้สาวๆละลายได้ทั้งโลก



และก็ทำให้เขาอายจนไม่รู้จะทำอะไร เลยได้แต่บ่นเสียงอู้อี้อยู่ในอกแกร่ง



"พูดแบบนี้รู้สึกเหมือนว่านายเหมือนฮิคารุกับยูยะเปี๊ยบเลย"











++++++++++++++++++++++++++++









ไดกิพาร่างสูงกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะต่างคนต่างเปียกฝนจนกลายเป็นลูกหมาตกน้ำเสียทั้งคู่ ถูกยาบุที่กลับมาถึงก่อนแล้วดุว่าหายไปไม่บอกทำให้เป็นห่วง ร่างบางยิ้มร่ายอมรับแต่โดยดี เพราะถือว่ามีคนคอยห่วงยังดีกว่าที่ไม่มีใครเลย ก่อนจะถูกไล่ให้ไปอาบน้ำ



ยาบุวางถ้วยนมร้อนบนโต๊ะ ให้คนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เคย์โตะสวมเสื้อผ้าของยูโตะที่ยาบุขอยืมมาให้ เพราะดูแล้วขนาดตัวคงจะใกล้เคียงกันที่สุด



"แล้วของไดกิล่ะ?"



"รอให้ลงมาก่อนค่อยยกมาให้ คนนั้นน่ะ อาบน้ำนาน ยิ่งอารมณ์ดีแบบนี้คงแช่อยู่ในห้องน้ำซักชั่วโมงล่ะ อุ่นนมหลายรอบมันไม่อร่อย"



คนฟังหัวเราะหึๆ ขอบคุณเจ้าของบ้านแล้วยกแก้วนมขึ้นดื่ม  หลังจากนั้นยาบุถึงได้เริ่มต้นพูดธุระของตัวเอง



"รู้แล้วใช่ไหมว่าพวกเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ"



เคย์โตะพยักหน้ารับ ตอนที่กลับบ้านมาด้วยกัน ไดกิเล่าเรื่องที่บ้าน พี่น้องและครอบครัวให้ฟัง ถึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วบ้านนี้มีแต่เด็กที่ถูกรับเลี้ยงจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก่อนหน้านั้นก็รู้จากยูโตะกับยูริมาบ้าง แต่ที่ไม่รู้ก็คือเรื่องที่ยาบุจะพูดต่อจากนี้



"รู้แล้วก็ยังจะคบกับไดจังต่อไปเหรอ?"



เคย์โตะขมวดคิ้วกับคำถาม ไม่เข้าใจว่ายาบุกำลังจะพูดถึงอะไรกันแน่



"ถึงเราจะไม่รู้จักกัน แต่ฉันก็พอดูออก ว่านายคงเป็นคุณหนูมาจากครอบครัวร่ำรวยแน่ๆ ถ้าคบกับเด้กกำพร้าอย่างไดจังแล้วพ่อแม่นายจะว่ายังไง"



คนฟังเกือบหลุดหัวเราะกับสีหน้าจริงจังของยาบุ ที่แท้ก็กังวลเรื่องนี้เองหรอกหรือ นึกว่าจะหวงน้องจนไม่อยากให้คบกันซะอีก



"ครอบครัวอื่นฉันไม่รู้ แต่ครอบครัวของเราไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลย ที่บ้านน่ะสอนเสมอว่าถ้าอยากได้ดีก็ต้องขยันเรียน ขยันทำงาน ถึงฉันก็ไม่ได้เกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มสร้างธุรกิจ แต่ก็จะใช่ว่าจะถูกเลี้ยงมาอย่างสุขสบายหรอกนะ  อีกอย่าง ฉันกับไดกิก็ยังไม่ได้คบกันหรอก"



คราวนี้ยาบุเป็นฝ่ายที่ต้องแปลกใจบ้าง ยังไม่ได้คบกันงั้นหรือ แล้วความสัมพันธ์ที่เขาเห็นล่ะ



"บอกตามตรงนะ ฉันน่ะฉวยโอกาสที่ไดกิอ่อนแอถึงได้เป็นอย่างที่นายเห็น  แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เราไม่มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าจูบ"



"ทำไมถึงบอกฉันล่ะ ไม่กลัวถูกชกเลยนะ"



"เพราะฉัน .. อยากคบกับไดกิอย่างจริงจังนับจากนี้เป็นต้นไป ตอนนี้เขาก็ไม่มีใครแล้วนอกจากนาย ฉันถึงต้องบอกนายเอาไว้ ว่าฉันชอบไดกิ..และจะทำทุกทางให้ไดกิยอมรับความรู้สึกของฉันให้ได้"



คนๆนี้...ช่างแตกต่างกับอีกคนที่เคยนั่งอยู่ตรงหน้าเขาลิบลับ ตอนที่ไดกิบอกว่ารู้สึกกับเคย์มากเกินกว่าความเป็นพี่น้อง เคย์ไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้ารับอย่างเดียวเท่านั้น แต่กับเคย์โตะ ยาบุรู้สึกได้ถึงความมั่นคง และมั่นใจว่าหากเป็นคนคนนี้ ไดกิจะไม่มีวันร้องไห้



"ฉัน..ไปเอานมร้อนมาให้นะ"



ยาบุเลี่ยงไปทันทีที่ได้ยินเสียงใครสักคนก้าวลงบันไดมา ไดกิมองคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างสงสัย



"พวกนายพูดอะไรกัน?"



"ฉันเพิ่งบอกพี่ชายนายไปว่าจะขอคบกับนายน่ะ"



แก้มใสร้อนวูบขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งนมร้อนซักนิด เคย์โตะหัวเราะ ขอตัวกลับก่อนที่ร่างบางจะแก้มแดงไปมากกว่านี้ แต่ไดกิกลับบอกว่าจะตามไปส่งที่สถานี



"ก็นายอุตส่าห์มาส่งถึงบ้านนี่!"



ดื้อแบบนี้น่ะสิถึงได้อยากแกล้งนัก เคย์โตะโน้มตัวเข้าไปใกล้กระซิบขู่ว่าถ้าจะไปส่งต้องส่งให้ถึงโรงแรม แล้วก็ไม่ต้องกลับบ้านอีกเลยคืนนี้ ก่อนจะก้มลงจูบแต่ร่างบางก็ยกหมอนขึ้นมากันไว้ได้



"อย่ามาแกล้งกันนะ รู้หรอกว่าไม่ทำจริง"



"ก็ไม่แน่หรอก ถ้านายมาร้องไห้ให้ปลอบบ่อยๆซักวันหนึ่งฉันอาจห้ามใจไม่ได้ ทำอะไรมากกว่าจูบนะ"



"ถ้าฉันร้องไห้ นายก็ใจอ่อนไม่กล้าทำอะไรหรอก คืนนั้นก็เหมือนกัน นายแค่จูบฉันนี่ "



"นั่นสินะ ถ้างั้นคืนนี้...ก็คงจะเหมือนกัน"



ปากเก่งจนได้เรื่อง ไดกิได้แต่เบิกตากว้างตอนที่ถูกร่างสูงดึงตัวขึ้นไปนั่งบนตัก  ริมฝีปากถูกประกบจูบรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ความอ่อนหวานที่ได้รับทำให้หมดเรี่ยวแรงไปเสียเดี๋ยวนั้น ริมฝีปากอุ่นหยอกเย้าให้คล้อยตามจนลืมทุกสิ่ง...



"ราตรีสวัสดิ์"



ถอนริมฝีปากออกมากระซิบลาเบาๆ อุ้มร่างบางไปส่งจนถึงเตียง มอบจูบลึกล้ำให้อีกครั้งก่อนจะจากกันในค่ำคืนนี้







+++++++++++++++++++++++++















To Be Con ....


1 comment:

  1. โอยยยยยยยยยยย

    มดขึ้นจริงๆ กับความหวานของคู่นี้ อ่านไปก็ยิ้มไป

    ฮาน้ำตาไหลกับฉากแสดงละครเวที ทำไมยูโตะมันซุ่มซ่ามขนาดนั้นกันะ

    เล่นเอาฮาเลย แต่ชอบเคย์โตะจริงๆ ชอบมากๆ รักไดกิจริงๆสินะ

    ทาคาบุก็ใช่ย่อยนะ ยังกะสามีภรรยา นี่ก็น่ารัก ยิ่งอ่านยิ่งชอบล่ะพี่หนิง

    จะต่อตอนต่อไปเมื่อไรคะ ตอนที่เจ็ดน่ะ ตอนนี้ขออนุญาตเอาลิ้งค์นี้ให้น้องไปอ่านนะคะ

    สนุกจริงๆ หนูชอบภาษาที่ใช้บรรยายของพี่หนิงมากๆเลยค่ะ

    รออ่านอยู่นะคะ

    ReplyDelete