Monday 17 October 2011

[Fiction](¯`·._.·[ ❤The day we kissed❤ ]·._.·´¯) Six


Title  -:-                The day we kissed .. Six



Writer  -:-             Nalikakeaw



Pairing   -:-           Okadai, Takayabu, Nakachii, Yamaryu














“นายว่า....พักนี้ห้องอาหารเราลูกค้าเยอะผิดปกติไปรึเปล่า?”





ยูยะถามขึ้นในค่ำวันหนึ่ง ขณะที่กำลังช่วยยาบุเช็ดจานกองพะเนินอยู่ในห้องครัว  พักนี้ห้องอาหารของโรงแรมมีงานยุ่งอยู่เกือบตลอดเวลา  โดยเฉพาะช่วงกลางวันและช่วงหัวค่ำไปจนถึงดึก   ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะในช่วงเวลานี้ จะมีพนักงานจากบริษัทในละแวกใกล้ๆมาเป็นลูกค้าอยู่เสมอๆ





แต่การที่มีลูกค้าเต็มเอี๊ยดแม้กระทั่งช่วงเช้านี่...มันก็น่าคิด





หรือจะเป็นเพราะช่วงไฮซีซั่น...





ก็ไม่ใช่อีก...





โรงแรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ ลูกค้าที่มาพักส่วนใหญ่ก็เป็นนักธุรกิจที่มาติดต่องานมากกว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว จึงมียอดจองเต็มอยู่ตลอดทั้งปี..





“มันผิดปกติเฉพาะตอนที่สองคนนั่นได้เปลี่ยนลงมาฝึกงานที่ห้องอาหารต่างหาก”





จะพูดยังไงดี..เวลาที่ทั้งสองคนนั่นอยู่ด้วยกัน  บรรยากาศรอบๆนั้นก็เปลี่ยนไป เหมือนกับความสดใสของแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน  สาดลงบนผืนหิมะอันเยือกเย็นในฤดูหนาว  สองสิ่งที่ต่างกัน  กลับอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนจนน่าประหลาดใจ





อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่เย็นสดชื่นแบบนี้  ที่ทำให้ลูกค้าเลือกเข้ามาที่นี่  จนพนักงานแทบไม่มีเวลาได้พัก





แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี.... เพราะแสงอาทิตย์ที่สดใสอย่างฮิคารุ  บางครั้งก็ร้อนแรงจนเกินไป เวลาที่เจอลูกค้าจู้จี้เรื่องมาก     ฮิคารุก็แทบจะเอาผ้าเช็ดโต๊ะยัดปากลูกค้าแทนอาหาร  ส่วนหิมะอย่างเคย์นั้น  ก็เย็นเสียจนกลายเป็นความเย็นชาแม้แต่หน้าลูกค้าก็ยังไม่มอง..





และอีกเรื่องที่ทำให้ยาบุไม่ค่อยจะพอใจนัก  ก็คือลูกค้าบางคนที่ทำตัวก้อร่อก้อติกมือไว จีบไม่เลือก โดยเฉพาะเคย์ที่ดูจะถูกใจตาเฒ่าหัวงูบางคนมากเป็นพิเศษ  ถ้าเป็นกรณีอย่างนี้ ยาบุจะปล่อยให้ฮิคารุฟาดถาด ราดน้ำร้อนใส่ลูกค้าคนนั้นซะก่อน  ถึงจะออกมาห้าม  เพราะยังไงซะตาแก่ทั้งหลายคงไม่กล้าโวยวายทำเป็นเรื่องใหญ่ให้เมียที่บ้านตามมาเชือดคอเป็นแน่





“โรคหวงน้องกำเริบ”





ยูยะเอ่ยลอยๆทำไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาดุๆของคนข้างๆ





ถึงไม่ใช่พี่น้องกันโดยสายเลือด แต่ก็ไม่ได้สำคัญเท่าความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมา  ยูยะรู้ว่ายาบุรักน้องมากแค่ไหน  เขาจึงไม่อยากทำให้ยาบุไม่สบายใจ  แต่หากฝ่ายนั้นทำให้ยาบุไม่สบายใจแม้แต่น้อยนิด ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะเห็นแก่ความเป็นเพื่อน





“ไม่ลองมาเป็นฉันล่ะ”





“นายก็ปล่อยๆไปซะบ้างเถอะน่า เคย์น่ะโตแล้ว และเขาก็เลือกทางเดินของตัวเองแล้วด้วย”





“นั่นแหละที่น่าห่วง”





ยิ่งได้รู้เบื้องหลังของครอบครัวที่รับเลี้ยงน้องชายเขาแล้วยิ่งห่วงขึ้นมากเป็นสิบ .. เป็นร้อยเท่า..





“ยาบุ!!!”





จานกระเบื้องเคลือบเนื้อดีเกือบหลุดจากมือ ยูยะร้องจ๊ากผวากอดจานทั้งกอง  หันไปมองไดกิวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องครัว





“ยาบุ ช่วยฉันด้วย”

























“ไดจัง  เป็นอะไรไปน่ะ?”





เพราะน้องทำหน้าตาตื่นตกใจไปขอความช่วยเหลือ ยาบุถึงยอมทิ้งงาน ปล่อยให้ไดกิลากออกมาจากห้องครัว แต่พอทั้งสองคนมาถึงห้องพักพนักงานด้านหลัง น้องกลับเอาแต่อ้ำๆอึ้งๆ ไม่ยอมพูดอะไรซักที  ครั้งหรือสองครั้งที่พยายามจะพูด แต่ก็กลับทำหน้าแดงพูดไม่ออกไปซะอย่างนั้น ทำให้เขากังวลจนต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาหลังจากนั่งรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง





“ไดจัง ใครทำอะไรนาย!”





ถึงจะไม่ได้พูดอะไร  แต่ยาบุก็รุ้ว่าคำถามนี้ตรงประเด็น  เพราะไดกิเม้มริมฝีปากแน่น แก้มเป็นสีจัดเหมือนเวลาที่กำลังโกรธใครสักคนมากๆ   นั่นพลอยทำให้ยาบุรู้สึกโกรธไปด้วยแม้จะยังไม่รู้สาเหตุของท่าทางแบบนี้ก็ตาม





แต่ถึงจะโกรธ  เขาต้องเก็บมันไว้ก่อนเพราะมันคงไม่ทำให้อะไรๆดีขึ้น และคงไม่ทำให้ไดกิยอมเล่าอะไรให้เขาฟังง่ายขึ้นด้วย





“ถ้าไม่เล่าให้ฟัง แล้วฉันจะช่วยนายได้ยังไงล่ะไดจัง”





ไดกิจับมือตัวเองแน่น ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะยอมพูดออกมา





“ถ้าฉันบอก..นายต้องไม่โกรธนะ  จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่หมอนั่น-“





“หมอนั่น?”





“ก็เคย์-“





“เคย์? เคย์ทำอะไรนาย?”





คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันฉับ แต่ไดกิรีบโบกมือห้ามเอาไว้ บอกให้ฟังให้จบเสียก่อน





“ไม่ใช่เคย์นะ  คือ- ฉันหมายถึง ค-เคย์โตะน่ะ “





คิ้วที่ขมวดเป็นปมเมื่อครู่ดีดผึงออกจากกันทันใด  เคย์โตะน่ะหรือ ?  คนที่มาขอคบกับไดกิด้วยคำพูดที่หนักแน่นมั่นคง และสายตาจริงจังจนเขาต้องยอมแพ้  เป็นไปได้หรือที่เคย์โตะจะทำร้ายไดจัง  หมอนั่นทำอะไร น้องเขาถึงได้หน้าตาตื่นวิ่งมาขอความช่วยเหลือแบบนี้





“เขาไม่ได้ทำร้ายฉันนะ  อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ก็แค่...”





“หืม?”





“หมอนั่นจูบฉัน”





พอไดกิพูดจบ  ทุกอย่างก็เงียบทันที  ยาบุอึ้งไปสักอึดใจ ก่อนจะทวนคำเหมือนว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี๊  เขาฟังผิดไป





“เมื่อกี๊..ไดจังบอกว่า  เคย์โตะ  จูบเหรอ?”





ไดกิพยักหน้า หลบสายก้มลงมองพื้นแทนที่จะมองหน้าพี่ชาย  ที่ยังจับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ถูก





“คือ-ไดจัง ฉันจำได้ว่านายตกลงคบกับเคย์โตะแล้วไม่ใช่เหรอ?  แค่จูบ..ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ”





“ก็ฉันไม่ชอบนี่ !”





ยาบุอยากจะถามเหลือเกินว่า แล้วที่ยอมให้เคย์โตะจูบครั้งแล้วครั้งเล่านั่นก็ไม่ชอบเหมือนกันใช่ไหม





“หมอนั่นน่ะ  เจอหน้ากันทีไรก็จูบ ไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่  เดินไปเจอกันตรงไหนเป็นไม่ได้เลย  ฉันถึงต้องใส่ผ้าปิดปากเนี่ย”





ยาบุอยากจะกลั้นใจตาย ที่แท้อาการหน้าแดงกับผ้าปิดปากที่เขาเห็นมาสองสามวันนี่  มีเหตุมากจากเรื่องนี้เองหรอกหรือ





“แล้ว-มันช่วยได้เหรอ?”





“ก็ไม่ได้น่ะสิ! ฉันถึงต้องมาขอให้นายช่วยไง นะๆๆๆ ยาบุ ช่วยทีสิ  พูดกับเคย์โตะให้ทีจะขู่หรืออะไรก็ได้  นะๆๆ”





“อะ-อื้อ ได้-ได้สิ”





พอยาบุตอบตกลง ไดกิก็หน้าชื่นขึ้นทันที แล้วก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ  ทิ้งยาบุที่กำลังจะซี่โครงหักเพราะพยายามกลั้นหัวเราะแทบตายไว้ในห้อง





คนเป็นพี่หงายหลังลงไปนอนบนโซฟา ก่อนจะพลิกตัวคว่ำใช้เบาะของโซฟากลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองไม่ให้เล็ดรอดออกไปถึงหูคนที่อาจจะเดินผ่านไปมาด้านนอก





แต่กลับทำให้ใครอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใจหายใจคว่ำ





“นายปวดท้องอีกแล้วเหรอ”





ยาบุส่ายหน้า ทำเสียงอู้อี้อยู่กับเบาะโซฟาเก่าๆยิ่งทำให้เป็นห่วง แต่พอพลิกร่างบางให้หันกลับมาแล้วพบว่าเจ้าตัวกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ยิ่งทำให้ห่วงมากขึ้นอีก





นี่ทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน  สมองเลยเพี้ยนไปแล้วหรือนี่?





“สมองฉันยังปกติอยู่เว้ย!! แค่หัวเราะมันผิดรึไง”





“หัวเราะเหมือนคนบ้านี่นะ เป็นอะไรของนาย แล้วไดจังล่ะ”





พอถามถึงน้อง ยาบุยิ่งหัวเราะจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน  ปิดปากซบหน้าลงกับไหล่หนาของคนได้แต่นั่งทำหน้าเอ๋อเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย  ได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ให้อย่างงงๆ กว่าจะหยุดหัวเราะได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบสิบนาที





“แล้วเรื่องไดจังล่ะ ว่ายังไง?”





“ไม่มีอะไรหรอก ไดจังแค่มีเรื่องไม่เข้าใจกันกับแฟนนิดหน่อย ฮ่าๆๆๆ”





ยูยะพยักหน้ารับรู้  ถ้ายาบุพูดอย่างนี้แล้วเขาคงไม่ต้องห่วง  แต่ที่น่าห่วงคือคนที่อยู่ข้างๆเขานี่แหละ   จับไปเช็คสมองซักครั้งจะดีไหมนะ?

























วันนี้ไดกิกลับบ้านแต่หัววัน  หลังจากที่ใช้ห้องเล็กๆด้านหลังโรงแรมเป็นที่ซุกหัวนอน มาหลายวัน  วันนี้ก็จะได้นอนเตียงนุ่มๆสบายๆสักที  แต่ระหว่างที่ร่างบางกำลังลัลลาเปิดประตูรั้วอยู่นั้น  เสียงหัวเราะร่าเริงก็ดังมาจากข้างในบ้าน





วันนี้วันเสาร์นี่นะ...น้องๆคงอยู่บ้านกัน





แต่ว่า..ไอ้เสียงหัวเราะแหลมๆแสบแก้วหูนี่เป็นเสียงของใคร?





“กลับมาแล้ว”





ห้องนั่งเล่นเงียบลงทันที ไดกิกวาดสายตามองรอบห้อง  แล้วพบว่านอกจากยูโตะกับยูริแล้วยังมีคนคุ้นเคยอย่างยามาดะ ริวทาโร ชินทาโร





และ..





และตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากยาบุเมื่อวาน  ที่วันนี้ไม่มาให้เจอ  เป็นเพราะอย่างนี้เองสินะ





เคย์โตะนั่งอยู่บนโซฟา  มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ไดกิไม่คุ้นหน้าเกาะแขนแนบชิดสนิทสนม มองไปทางซ้าย    ยูโตะที่อยู่ใกล้ๆก็นั่งเบียดกับเด็กสาวอีกคนหนึ่งทั้งๆที่บนโซฟามีที่ว่างเหลืออยู่เป็นวา   มองไปทางขวายามาดะเองก็ตกที่นั่งลำบากไม่แพ้กัน





เพราะสายตาของยูริและริวทาโร ที่ดูเหมือนว่าจะต้องระเห็จลงมานั่งบนพื้นพรมกับเด็กสาวอีกกลุ่มหนึ่งอย่างไม่เต็มใจนั้นน่ากลัวขึ้นทุกที  ส่วนชินทาโรนั้นหลังจากที่ต้องอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดมาครึ่งค่อนวัน   พอเห็นหน้าไดกิก็รีบวิ่งมาหาทันที





“ไดจังงงง”





ไดกิยิ้มตอบรุ่นน้องเป็นทำนองว่าเข้าใจแล้ว  ยูโตะพยายามจะแก้ไขสถานการณ์โดยแนะนำเพื่อนใหม่ให้ไดกิรู้จัก แต่มันยิ่งแย่ลงเมื่อเธอทั้งสามเพียงแต่พยักหน้าให้แล้วหันกลับไปสนใจเรื่องของตัวเองต่อ  ยูโตะเหงื่อแตกพลั่กพยายามแกะมือที่เกาะหนึบเป็นตุ๊กแกตราช้างออกแต่ไม่สำเร็จ จึงหันไปหาตัวช่วยที่นั่งอยู่ข้างๆกัน  ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยในเมื่อความสนใจของยามาดะพุ่งตรงไปยังคนที่ทำหน้าเชิดอยู่บนพื้นนั่นแล้ว





ไดกิรู้สึกสะใจเล็กๆที่ได้เห็นว่าเด็กสาวที่กอดแขนยามาดะอยู่นั้นมีท่าทีขุ่นเคืองที่ตัวเองถูกเมิน  และกำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะดึงความสนใจของคนข้างๆกลับมา





“ยามาดะคุง  ภาษาอังกฤษข้อนี้แปลว่าอะไรคะ”





“ไม่รู้สิ ฉันไม่เก่งวิชานี้ ถามเคย์โตะสิ”





 นอกจากจะเมินแล้ว ยามาดะยังลุกหนีมาแบบไม่ใยดีเสียด้วย





“ไดจัง  ออกไปซื้อของกันเถอะ”



















“นายจะซื้อไปกินทั้งปีหรือไง”





ไดกิปรามรุ่นน้องที่กำลังจะจะโยนถุงขนมอบกรอบสารพัดยี่ห้อในอ้อมแขนลงในรถเข็น  ไหนว่าจะมาหาซื้อของสดไปให้เขาทำกับข้าวไงล่ะ





“เอาน่าๆ ไม่ได้กินคนเดียวซักหน่อย ซื้อไปเผื่อแฟนไดจังด้วยไง  หมอนั่นกินเยอะจะตาย”





“ไม่น่าเชื่อ! ในโลกนี้ยังมีคนที่กินได้เยอะกว่านายอีกเหรอ? ยามาดะ”





คนพูดไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นริวทาโรคู่กัดตลอดกาลที่เดินตามอยู่ไม่ห่างนัก  ขนาบข้างด้วยยูริและชินทาโร พอบอกว่าจะออกมาซื้อของทั้งสามคนก็ขอตามมาด้วย   ทิ้งอีกสองหนุ่มเอาไว้ที่บ้าน





“ปล่อยให้อยู่อย่างนั้นแหละดีแล้ว  เพราะยูโตะนั่นแหละอยากทำตัวใจดีเป็นสุภาพบุรุษชวนพวกนั้นมาติวหนังสือที่บ้านดีนัก”





ยูริว่าอย่างนั้นตอนที่อยู่ในรถ ไดกิก็เลยไม่ถามอะไรต่อ เพราะแค่เสียงของยามาดะกับริวทาโรก็ทำเขาหนวกหูจะแย่อยู่แล้ว





“อย่ามาแย่งกินก็แล้วกัน”





“ใครจะอยากแย่งของนาย  ดูกินแต่ละอย่าง ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย มิน่า..”





“อะไร?”





“สมองถึงไม่ค่อยพัฒนา”





แรงงงง!!!  ไดกิแอบอุทานในใจ  ไม่เจอกันแค่สองปี เดี๋ยวนี้ริวทาโรพัฒนาฝีปากไปถึงขั้นที่ทำให้ยามาดะเถียงไม่ออกเลยหรือ





“เค้าก็ลับฝีปากกันอยู่สองคนนั่นแหละไดจัง ขนาดว่าอยู่บ้านนะ ยังทะเลาะกันผ่านโทรศัพท์เลย”





ชินทาโรกระซิบบอก  แล้วไดกิก็ทิ้งรถเข็นไว้ให้เป็นหน้าที่ของริวทาโร  แล้วก็มาเดินตามหลังอยู่กับน้องทั้งสอง เฝ้ามองยามาดะโวยวายใส่ริวทาโรที่เก็บขนมกลับไปใส่คืนชั้น แล้วก็หยิบนมสดขวดใหญ่มาแทน





“กินซะบ้างน่ะ เผื่อว่ามันจะทำให้หัวดีแล้วก็ตัวสูงกว่านี้  แต่ก็..คงไม่ทันแล้วมั้ง”





ไดกิกลั้นหายใจ หันซ้ายขวาหาที่กำบัง เผื่อว่ายามาดะเกิดบ้าอาละวาดขึ้นมา จะได้หลบได้ทัน





แต่ยามาดะกลับยิ้มหวาน จนริวทาโรที่เตรียมตั้งรับเต็มที่ต้องกระพริบตาแบบงงๆ





“ริวจังนี่เป็นห่วงฉันจังเลยน๊า~ “





“เอ๊ะ!!!”





“ถ้าริวไม่ชอบ ฉันไม่กินก็ได้  ริวอยากให้ฉันกินอะไรก็เลือกมาก็แล้วกัน  แล้วก็....จ่ายตังให้ด้วยนะ”





แล้วยามาดะก็เดินจากไป  ทิ้งริวทาโรไว้กับข้าวของมากมายเต็มรถ





















ริวทาโรยังคงอารมณ์ไม่ดีตอนที่นั่งรถกลับบ้าน  และยูริก็ทำหน้าบูดบึ้งกว่าเดิมเมื่อพบว่าเหล่าแฟนคลับสาวยังไม่ยอมกลับบ้าน ทั้งที่ตอนนี้มันก็เย็นมากแล้ว





“พวกเราจะค้างที่นี่กันน่ะ”





“อะไรนะ!!!” ยูริร้องเสียงสูง “บ้านฉันไม่ใช่โรงแรมนะ ที่นึกอยากจะมาค้างก็ทำได้น่ะ”





“ไม่เห็นเป็นไรนี่  ยามาดะคุงกับริวทาโรคุงก็จะค้างที่นี่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพวกชั้นจะทำไม่ได้ล่ะ





“แต่ว่า-”





“ไม่เป็นไรหรอกยูริ “





ไดกิยิ้มหวานให้กับเด็กสาวทั้งกลุ่ม   แต่คนอื่นที่เหลือนั้นพร้อมใจกันอุทาน “หา”  ด้วยความรู้สึกต่างๆกัน   เคย์โตะหันไปมองหน้าสีหน้าแปลกใจของยามาดะและชินทาโร  ท่าทางตกใจระคนโกรธของริวทาโร  ยูโตะยิ่งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก  แต่ยูริ..





ยูริกลับยิ้ม...





ราวกับจะรู้ว่า..ไดกิจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร





“ถ้าจะพักที่นี่ ก็คงต้องช่วยกันทำอาหารนะครับ คนเยอะขนาดนี้ผมคงทำคนเดียวไม่ไหว แล้วก็คงต้องโทรศัพท์ไปขออนุญาตผู้ปกครองด้วยนะ”





แค่รู้ว่าจะต้องช่วยทำกับข้าว คุณหนูทั้งหลายก็ทำหน้าเบ้เสียแล้ว  พวกเธอจะทำอะไรได้ในเมื่อเกิดมาไม่เคยทำ แต่ประโยคหลังนั้นกลับทำให้ตกใจยิ่งกว่า





“ไม่ต้องหรอก พวกเราบอกพ่อกับแม่แล้วว่าจะมาค้างบ้านเพื่อน”





“แต่คงไม่ได้บอกว่าเป็นบ้านที่มีแต่ผู้ชายอย่างนี้แน่  น่าจะโทรฯไปบอกซักหน่อยนะ”





ไดกิยิ้มระเรื่อย รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างบันเทิงใจ  แต่เขาไม่อยากรอนานนัก  เพราะนี่ก็จวนจะค่ำ  กว่าเขาจะทำกับข้าว กว่าจะได้กิน กว่าจะได้เก็บกวาดคงจะดึก  ไดกิอยากพักผ่อนเร็วๆมากกว่าจะมาเสียเวลาแบบนี้





“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมโทรฯให้เอง  ยูริ”





“อะไรเหรอไดจัง?”





“โทรศัพท์หาคุณครูประจำชั้น  แล้วขอเบอร์บ้านของทุกคนมาหน่อยซิ”





ผลคือพวกสาวๆพากันย้ายตัวเองออกจากบ้านไป โดยที่ยูริยังไม่ได้ต่อสายถึงคุณครูเสียด้วยซ้ำ







เล่นกับใครไม่เล่น..





















มื้อเย็นผ่านไปด้วยดี... ไดกิอยากจะพูดว่าอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว





ยูรินั้นยิ้มให้ทุกคนรอบโต๊ะ ยกเว้นก็แต่ยูโตะคนเดียว แล้วยูโตะก็เฝ้าแต่ง้องอนยูริจนแทบจะไม่แตะข้าว ไดกิต้องดุเอาหลายหนถึงจะกินแต่ก็ไม่วาย





“สาวๆเค้าเป็นแฟนคลับของเคย์โตะต่างหาก ไม่เกี่ยวกับฉันซักหน่อยนี่ ยูริ”





“ไม่ต้องมาพูดเลย ตอนที่บอกว่าจะมาติวหนังสือที่บ้าน ยูโตะเป็นคนชวนยายพวกนั้นมานี่ เคย์โตะเค้าไม่เห็นพูดอะไรซักคำเลย”





หน้าตาที่พยายามทำให้ดูใสซื่อม่อยลงทันใด





อีกสองคนก็คอยแต่จะทะเลาะกันเรื่องของกิน  ถ้าหากไดกิไม่ได้สังเกตเห็นว่า ยามาดะนั้นคอยแต่จะคีบอาหารทุกชิ้นที่ริวทาโรจะกิน แย่งกันไปมาซักพักยามาดะก็เป็นฝ่ายยอมให้ คีบอาหารชิ้นนั้นไปวางไว้ในถ้วยของริวทาโรไปเสียทุกทีละก็   คืนนี้ทั้งคู่คงจะถูกอบรมเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารเป็นแน่





คนที่ดูจะมีความสุขมากที่สุดคงจะเป็นชินทาโร ที่นั่งอยู่ระหว่างไดกิกับเคย์โตะ  เพราะไม่ว่าอยากจะกินอะไรก็มีคนคีบให้ทั้งซ้ายขวา





“เคย์โตะคุงกับไดจังใจดีจังเลยน๊า~ เหมือนเป็นคุณพ่อกับคุณแม่เลยล่ะ”





หันไปเห็นรอยยิ้มนิดๆของคนที่นั่งอยู่อีกข้างของชินทาโรแล้วก็พาลหมดอร่อย นึกอยากจะเขกกะโหลกไอ้เด็กช่างพูดนี่จริงๆเชียว



....................







..........





.....





..





“โกรธฉันเรื่องอะไรเหรอ”





“เอ๊ะ?”





“ก็นายน่ะตั้งแต่เข้าบ้านมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่พูดกับฉันเลยสักคำนี่ เลยสงสัยว่านายกำลังโกรธอะไรอยู่รึเปล่า”





“เปล่านี่”





ไดกิเงยหน้าจากกองผ้าตรงหน้าขึ้นมองคนที่กำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงของตัวเอง  คืนนี้ทั้งสองคนต้องนอนห้องเดียวกันอีกครั้ง  เพราะไดกิไม่อยากให้น้องๆถามอะไรให้มากความ  และหลังจากเข้ามาในห้องไดกิก็นั่งคัดแยกผ้าที่จะซักในคืนนี้  พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำงานบ้านอีก





“นึกว่าโกรธเรื่องสาวๆพวกนั้นซะอีก”





ไดกิหรี่ตามองคนพูดอย่างนึกหมั่นไส้  รู้หรอกว่าพ่อคุณหน้าตาดี มีฐานะ แต่มันชักจะหลงตัวเองมากไปแล้วมั้ง แต่หมั่นไส้อยู่ได้แค่นาทีเดียวก็ต้องตกใจเพราะเจ้าตัวเลื่อนตัวลงจากเตียงมานั่งใกล้ๆ  ไดกิไหวตัวทันยกผ้าขนหนูที่อยู่ในตะกร้าขึ้นมากันใบหน้าหล่อๆนั้นไว้





“แค่จะทักทายเอง”





“ทักทายก็ทำไปสิ ทำไมต้องจูบด้วยเล่า”





“จูบแฟนตัวเองมันผิดตรงไหนล่ะ”





ไม่ผิด! แต่เป็นตัวไดกิเองที่ไม่ชินกับการแสดงออกแบบนี้  เพราะที่ผ่านมา ... กับคนที่เคยคบกันก่อนหน้า..อย่างมากก็แค่จับมือเท่านั้นเอง  แต่ความรู้สึกที่อ่านได้จากสายตาของใครคนนั้น .. เมื่อตอนนั้น



ดูมีค่ากว่าการแสดงออกแบบนี้เป็นไหนๆ





“นายอาจคิดว่าฉันฉวยโอกาส  แต่สำหรับฉัน ที่ฉันจูบนายเพราะฉันอยากบอกให้รู้ว่าฉันชอบนายมากแค่ไหน”





หัวใจดวงน้อยเต้นถี่แรงจนเจ็บ แต่กลับรู้สึกดีกับสายตาและคำพูดของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า





ราวกับว่าบานประตูหนาหนักที่เคยปิดสนิท กำลังจะเปิดแง้มออกช้าๆ  และแม้ว่ามันจะยากเย็นและเนิ่นนานเพียงใด คนคนนี้  จะใช้ความพยายามทั้งหมดที่มี เปิดมันให้จงได้  เพื่อวันหนึ่ง จะสามารถเข้าไปอยู่ข้างในหัวใจของไดกิได้อย่างสมบูรณ์





“ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะจูบนาย เพราะฉะนั้น  ทำใจให้ชินกับเรื่องนี้ซะเถอะ”





ไดกิไม่รู้จะตอบโต้คำพูดเอาแต่ใจนั้นอย่างไร  ได้แต่จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาใกล้เข้ามา





ใกล้...





จนไม่เหลือระยะห่างใดๆ  ระหว่างกัน...





ร่างบางหวั่นไหวกับดวงตาที่แน่วแน่และคมกล้าเสียจนไม่อาจจะสบตาอีกฝ่ายได้อีก  จึงหลับตาลง  ปล่อยหัวใจให้ล่องลอยไปกับความอบอุ่นนุ่มนวลที่จะโอบล้อมกายทั้งสองคนเอาไว้..ตลอดทั้งคืน





....................



..........



.....



..



ที่หน้าประตูห้อง  มีใครบางคนกำลังแนบหูกับประตูด้วยความอยากรู้ว่าคนในห้องกำลังทำอะไรกัน  ส่วนอีกคนก็ยืนมองอย่างเหนื่อยหน่าย





“จะมาแอบฟังชาวบ้านเขาแล้วทำไมต้องลากฉันมาด้วยเนี่ย”





“ช่วยไม่ได้นี่หว่า  ยูโตะกับยูริไม่ยอมมา”





“ก็คราวที่แล้วไปแกล้งหลอกรุ่นพี่ทาคาคิจนถูกยาบุคุงดุมานี่นา ถ้าโดนจับได้อีกคงถูกลดค่าขนมไปทั้งเดือนแน่ๆ”





“ถึงได้ชวนนายมาด้วยไงเล่า! อย่ายืนอยู่เฉยๆซิ มาช่วยกันฟังหน่อย”





“ไม่เอาล่ะ  ง่วงจะตายอยู่แล้ว อยากสอดรู้ก็เชิญอยู่คนเดียวไปเถอะ”





ยามาดะแยกเขี้ยวใส่คนที่เพิ่งจะหันหลังเดินออกไป  พอเห็นว่าริวทาโรเข้าไปในห้องนอนแล้วถึงหันมาแนบหูกับประตูอีกครั้ง  แต่อยู่ๆดวงไฟตรงทางเดินก็ดับพรึ่บ  ยามาดะสะดุ้งสุดตัว เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้น  แต่ไฟก็เริ่มดับทีละดวง..  ทีละดวง..





จนมืดสนิททั้งบ้าน..





“จ๊ากกกกก!!!! ผีหลอกกกกกก!!!!”





ยามาดะวิ่งเข้าห้องไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ กระโดดเข้าซุกตัวกับหมอนผ้าห่มจนเตียงไหว เกือบทำให้อีกสองคนที่นอนอยู่ก่อนแล้วกลิ้งตกเตียง





“เป็นบ้าอะไรของนาย!”





หลังจากที่เห็นว่าชินทาโรยังหลับสนิท  ริวทาโรห็หันไปเอ็ดเบาๆ ใส่ร่างหนา ที่อยู่ดีๆก็วิ่งเข้ามาผิดห้อง





“กลับไปนอนห้องนายซิ”





“ไม่ๆๆๆ กลัวผีโว้ย”





“เงียบนะ ถ้าทำน้องฉันตื่นล่ะก็..”





ริวทาโรแยกเขี้ยวใส่ แต่ร่างหนาก็คว้าหมอนมาปิดหัวเสียจนมิดด้วยความกลัว  ไม่มีทีท่าว่าจะย้ายตัวเองออกจากห้องด้วย





“งี่เง่า!! บ้านนี้ตั้งระบบปิดไฟอัตโนมัติไม่รู้หรือไง ผีเผอที่ไหนเล่า!!”





ยามาดะส่ายหัวอยู่ในหมอนอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายแล้วริวทาโรก็ต้องปล่อยเลยตามเลย  นอนเตียงเดียวกันกับคู่กัดตลอดกาลจนถึงเช้า

























ยูริไม่แปลกใจนักที่จะเห็นพี่ชายตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อซักผ้าในวันหยุด และแม้ว่าคนที่ถือตะกร้าผ้าอยู่ข้างๆไดกิจะไม่ใช่ยาบุเหมือนอย่างเคย ยูริก็จะไม่ถาม





เพราะยังไงซะ..ก็จะมีคนคอยถามให้อยู่แล้ว





“ไหนว่าจะซักตั้งแต่เมื่อคืนไงล่ะ? ไดจัง”



“เมื่อคืนเหนื่อย ก็เลยเผลอหลับไปก่อนน่ะ”





นอกจากจะอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง  แล้วยังต้องใช้สายตาขู่คนข้างๆที่กำลังจะหลุดหัวเราะด้วย  ยูริกับยูโตะไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่มองแพนดาฝาแฝดที่กำลังเดินลงบันไดมา





“นอนไม่หลับเหรอทั้งสองคน”





“ก็ริวน่ะสิ  ทำอะไรอยู่กับยามาดะคุงก็ไม่รู้ เตียงไหวทั้งคืนเลย”





“เจ้าบ้านั่นคนเดียวต่างหากที่ทำ ฉันนอนอยู่เฉยๆก็เอาแขนขามาพาด นอนดิ้นอีกต่างหาก กว่าจะหลับได้ก็เกือบเช้าแล้วเนี่ย”





“ไม่ใช่เพราะริวหรือไงที่ปิดไฟแกล้งยามาดะคุงน่ะ  สงสัยที่นอนดิ้นเพราะฝันร้ายแน่เลย”





“ฉันไม่ได้ทำ! เจ้าบ้านั่นซื่อบื้อกลัวไปเองต่างหาก บ้านหลังนี้มีผีที่ไหนกัน”





“งั้นเมื่อคืนใครปิดไฟล่ะ?”





ไดกิจำได้ว่าเวลาที่ตั้งปิดไฟอัตโนมัติเป็นเวลาสี่ทุ่มของทุกวัน  พ่อกับแม่ที่จากไปเป็นคนตั้งกฎไว้เพื่อไม่ให้ลูกๆนอนดึกจนเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อประหยัดไฟด้วย  ไดกิและน้องๆก็ทำตามมาจนถึงตอนนี้





แต่เมื่อวานไฟปิดตอนสามทุ่มนี่นา..





“เมื่อวานไดจังเรียกช่างเข้ามาไม่ใช่เหรอ สงสัยลืมตั้งเวลาให้ใหม่มั้ง คงต้องเรียกช่างมาอีกทีแล้วล่ะ”





“ตรวจเช็คระบบประจำปีน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันไปปรับเองก็ได้”





พอปัดประเด็นนี้ไปได้ ยูริกับยูโตะแอบถอนหายใจโล่งอก ไดกิเดินออกไปทางหลังบ้านเพื่อไปตากผ้า  เคย์โตะอุ้มตะกร้าใบโตเดินตามไปด้วย พอเดินมาถึงตัวยูริ ร่างสูงก็พูดขึ้นเบาๆพอให้ได้ยินกันสามคน





“แค่ปรับเวลาใครก็ปรับได้นะ คงไม่ใช่ฝีมือช่างหรอก จริงไหม?”





“เคย์โตะคุงจะบอกไดจังมั๊ยล่ะ”





เคย์โตะยิ้มน้อยๆ ตอบรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของยูริกับยูโตะ  พลางฟังเสียงของไดกิที่เรียกมาจากหลังบ้าน





“ถือซะว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน”





“ที่จริงแล้วต้องเลี้ยงข้าวเราสองคนหรอก  ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ไง”





ยูโตะบ่นตามหลังจากที่เคย์โตะเดินออกไปแล้ว  ยูริย่นจมูกใส่ บอกว่าถ้าอยากให้ไดกิรู้ก็เชิญเลย





“ฉันไม่ได้ทำเพราะอยากกินข้าวฟรีซักหน่อย”





เพียงแต่...





ยูริเฝ้ามองพี่ชายทำสายตาขุ่นเขียวใส่คนที่ถือตะกร้าผ้าเดินตามต้อยๆ  คนหนึ่งแกล้ง อีกคนหนึ่งก็งอน  แม้ใบหน้านั้นไม่ได้เปื้อนยิ้มแต่ก็ดูมีชีวิตชีวา ยูริไม่ได้เห็นไดกิที่เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว





นับตั้งแต่วันที่เคย์ออกจากบ้านไป...





ถ้าหาก..





เคย์โตะจะสามารถทำให้พี่ชายของยูริลืมความเจ็บปวดและกลับมาเป็นไดกิที่มีรอยยิ้มเจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ได้  ยูริก็จะขอทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ไดกิเปิดใจยอมรับความรักครั้งใหม่นี้ให้ได้เช่นกัน





“อ๊า!!!!”





ยูริสะดุ้งโหยงหลุดออกจากภวังค์ความคิดเพราะเสียงร้องลั่นของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ  ยูโตะเขย่าตัวยูริจนหัวแทบหลุด ชี้นิ้วไปยังคนสองคนเบื้องหน้า ตะกร้าผ้าที่ว่างเปล่าแล้วหล่นอยู่บนพื้น ยูริเห็นไดกิกำลังดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง เบี่ยงหน้าหนีจมูกโด่งของอีกคนที่ก้มลงมาใกล้ สุดท้ายก็ซุกหน้าลงกับอกแกร่ง เพื่อไม่ให้เคย์โตะฉวยโอกาสจูบได้อีก





แต่ก็ถูกกอดไปทั้งตัว...แล้วก็หน้าแดงไปหมดแล้วด้วย





ได้ยินเสียงบ่นลอยมาแว่วๆ





“จะจูบแฟนตัวเองทั้งที..ลำบากจริงน๊า~”





ยูริอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าไม่ได้หันมาเจอกับแววตาใสปิ๊งออดอ้อนของคนข้างๆแล้วล่ะก็..





“ยูริจ๋า~”





“ฝันไปเถอะ!! ฉันยังไม่หายโกรธเรื่องเมื่อวานหรอกนะ”













To Be Con>>>

1 comment:

  1. พี่หนิง โอคาไดน่ารักมากกกกก

    น้องชอนก็น่าร๊ากกกกกก

    อยากเห็นยามะริวหวานกันจัง

    จะมีมั้ยเนี่ย ขอตามไปอ่านก่อนน้าาา

    ReplyDelete