Fiction : The day we kissed .. Four
Pairing : Okadai,Takayabu
Rate : _ _ _?_ _ _
"ไดจัง! ลิฟท์อยู่ทางขวานะ เดินไปทางนั้นทำไม?"
"ไดจัง! นั่นมันผ้าถูพื้น ไม่ใช่หนังสือพิมพ์"
"ไดจัง!! ฉันบอกให้ไปเอารถเข็นกระเป๋า นายยกเก้าอี้ออกมาทำไม?"
"เฮ้ยยยยย!!!!! ไดจังงงง นั่นไม่ใช่กระติกน้ำร้อนโว้ยยย!!!!!"
ยูยะถลาเข้าไปแย่งแจกันทรงสูงราคาแพงที่ประดับอยู่ข้างลิฟท์ออกจากมือคนที่ยังละเมอฝันค้าง ก่อนที่จะตกแตก วันนี้ทั้งวันไดกิทำเขาหัวใจแทบวายไปหลายรอบ ไม่สิ วุ่นวายตั้งแต่เมื่อคืนแล้วต่างหาก หายไปโดยไม่บอกกล่าว ไม่รับโทรศัพท์ แล้วกลับมาทำงานตอนเช้าในสภาพที่ยับย่นไปทั้งตัว เหมือนไปฟัดกับร็อดไวเลอร์มาซักฝูง
เดือดร้อนถึงยาบุที่กำลังทำงานอยู่ในห้องอาหาร ต้องออกมาพาไดกิกลับไปพักก่อนที่คุณชายยูยะจะหัวฟูสติแตกไปมากกว่านี้
"ไดจัง.. นายเป็นอะไรมากไหม?"
สามวินาทีผ่านไป...
ห้าวินาทีผ่านไป...
สิบวินาทีผ่านไป...
"ไดจัง!!!!!"
"หือ?"
ยาบุอยากรู้จริงๆว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ไหนที่ทำให้น้องเขาอาการหนักขนาดนี้ ไม่สิ..ต้องถามว่าใครมากกว่า
"ยูยะอนุญาตให้หยุดได้สองวัน วันนี้ก็กลับไปก่อนเถอะ"
"อือ..ได้ งั้นกลับนะ"
ว่าง่ายไร้วี่แววเด็กดื้อเหมือนก่อน แต่เจ้าตัวก็ยังมีปัญหากับประตูจนได้ ยาบุถอนใจก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้น้อง
"ประตูนี่น่ะ มันต้องดึงเข้า นายผลักมันแบบนั้นแล้วมันจะเปิดได้ยังไง"
เฮ้อ...กรรม...
ยาบุหย่อนตัวนั่งบนโซฟาพลางนึดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนที่ไดกิจะหายไป ถ้าหากเป็นเขาคงไม่อาจทนรับได้เช่นกัน แต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ไดกิเข้มแข็งมาตลอดไม่ใช่หรือ
แล้วทำไม..ถึงได้เป็นอย่างนี้ไปได้
นั่งอยู่นานจนยูยะเยี่ยมหน้าเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
"ไดจังกลับไปแล้วเหรอ?"
"ไปได้ซักพักแล้วล่ะ ทำไมเหรอ"
"ก็..เมื่อกี๊ฉันเห็นไดจังยังอยู่ในชุดพนักงานเดินไปด้านหน้าโน่นน่ะสิ"
"ห๊า!!!!!!!!"
..........................................
..........................
..................
........
เวลานี้ไดกิกำลังเป็นหุ่นยนต์ แต่เป็นหุ่นที่ระบบสั่งการเออเร่อร์ ใครสั่งให้ทำอะไรก็ทำ สั่งให้ไปไหนก็ไป ยาบุบอกให้กลับบ้าน ก็เดินออกมาทั้งที่ยังอยู่ในชุดพนักงาน แล้วแทนที่จะออกทางด้านหลังก็เดินออกมาทางด้านหน้าเสียอย่างนั้น
ทำตัวลอยละล่องไม่รู้จะไปทางไหน ไม่มีจุดหมาย...
"ไดจัง! ระวัง!"
เสียงร้องจากทางด้านหลังกับแรงกระชากหนักๆ ทำให้ร่างบางได้สติตื่นจากฝัน พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนผอมบางของใครคนหนึ่งช่วยดึงเขาออกจากทางรถเก๋งสีดำคันงามที่พุ่งเข้ามาเทียบบันไดทางขึ้นได้อย่างหวุดหวิด
"ไอ้เด็กบ้า! เดินไม่ดูทางอยากตายรึไง!"
คนขับรถเอ็ดตะโรดังลั่นทันทีที่ก้าวลงจากรถ พร้อมๆกับที่ยูยะและยาบุวิ่งออกมาจากห้องโถงด้านหน้าของโรงแรมด้วยความเป็นห่วง
"ดูเหมือนโรงแรมนี้จะไม่ได้สอนวิธีเดินถนนให้พนักงานนะ"
ไดกิกัดฟันแน่นสะกดกลั้นความโกรธที่เกิดจากถ้อยคำถากถาง แต่อะไรก็ไม่เจ็บเท่าการได้มองเห็นบุคคลที่เพิ่งก้าวลงจากที่นั่งด้านหลังคนขับ เด็กหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตที่ฟ้าอ่อน กับกางเกงผ้าที่ตัดเย็บมาเป็นอย่างดี มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
ที่หวังจะให้นายมีน้ำใจกับฉันบ้าง...คงเป็นไปไม่ได้สินะ
"ขอโทษด้วยครับ"
ท่ามกลางความตกใจของพี่ชายและเพื่อนรัก ไดกิยอมก้มลงคำนับเพื่อตัดปัญหา สุดหายใจลึกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
ถ้านายไม่อยากจะรู้จักฉัน..ฉันสัญญา ว่าต่อไปนี้เราจะไม่ใช่คนรู้จักกันอีกต่อไป!
การกระทำของไดกิทำให้คนสามคนที่ยืนเคียงข้างลอบยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ยิ่งได้เห็นสายตาตกใจที่ซ่อนไว้ไม่มิดของอีกฝ่ายด้วยแล้ว
ฮิคารุถึงกับต้องเผยยิ้มออกมาด้วยความสะใจ
"ขอโทษแล้วคิดว่าเรื่องมันจะจบง่ายๆเหรอ? ถ้าเกิดอุบัติเหตุใครจะรับผิดชอบ"
"ผมจะรับผิดชอบเอง!" ฮิคารุก้าวออกมาเผชิญหน้ากับคนขับรถที่ยังไม่ยอมความง่ายๆ วันนี้เด็กหนุ่มแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีดำธรรมดาๆ ทับด้วยสูทสีดำกับกางเกงผ้าสีเดียวกัน ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่และน่าเกรงขามกว่าเคย
แต่ยังคงความเฮ้วนิดๆตามสไตล์ด้วย ลายหัวกะโหลกไขว้บนเสื้อยืดและรองเท้าผ้าใบคู่โปรด
"แต่เจ้านายคุณก็ยังไม่ตายนี่ ดูไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหนด้วย"
"คุณ!!!!"
"ระวังหน่อย.. ถึงผมจะไม่ได้เป็นคุณชายสูงส่งมาจากไหน แต่คุณต้องรู้เอาไว้นะ ว่าพ่อของผมกับเจ้านายของคุณมีธุรกิจที่ทำร่วมกันอยู่ แล้วก็เป็นหุ้นส่วนของโรงแรมนี้มากกว่าเจ้านายของคุณด้วย ถ้าหากว่าตัวผมบาดเจ็บมีแม้แต่รอยเท่าขนแมว ลำพังเงินเดือนพนักงานขับรถอย่างคุณคงรับผิดชอบไม่ไหว"
ฮิคารุก้าวเท้าเข้าไปหาอิโนะ เคย์ ด้วยความมาดมั่นและมั่นใจ ซึ่งเป็นบุคลิกที่ไดกิไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
"ผมเดาว่าคุณคงมาที่นี่เพราะพ่อของคุณสั่งให้มาช่วยยูยะดูแลโรงแรมนี้"
เคย์เพียงแต่พยักหน้ารับ ผิดกับคนขับรถที่ยืนอยู่ข้างๆที่อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ฮิคารุก็ใช้สายตาอย่างผู้ที่เหนือกว่าปิดปากอย่างง่ายดาย
"งั้นเราก็ต้องทำความรู้จักกันไว้บ้าง ถึงผมจะไม่อยากก็เถอะ"
"คุณ! ไร้มารยาท!"
แล้วก็ยังมีแต่คนขับรถที่ออกโรงปกป้องนาย แต่คนอย่างฮิคารุ หากตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างแล้วก็ไม่ยอมถอยง่ายๆเช่นกัน
"ตระกูลที่คุณทำงานด้วยเขาไม่ได้สอนมาเหรอ ว่าเวลาที่เจ้านายเค้าคุยกัน อย่าได้แส่!"
วาจาและแววตาหยามเหยียดจากฮิคารุคงทำให้อีกฝ่ายคับแค้นใจไม่น้อย จึงได้แต่กัดฟันกรอดๆ สงบปากสงบคำ
"ฉัน ยาโอโตเมะ ฮิคารุ นับตั้งแต่วันนี้ไปฉันจะมาทำงานที่นี่ในฐานะผู้ช่วยของยูยะ! ฉันไม่ยินดีที่ได้รู้จักนายหรอกนะ แต่มันจำเป็น หมดธุระกับนายแล้ว ฉันขอตัวก่อน"
เด็กหนุ่มหันหลังเดินออกมาโดยที่ยังมีไดกิอยู่ในอ้อมแขน กับเพื่อนสองคนที่เดินกระซิบกระซาบตามหลังมาอย่างแปลกประหลาดใจ
"ทาคาฮาระซัง ช่วยไปส่งไดจังด้วยครับ ส่งให้ถึงบ้านนะห้ามปล่อยลงข้างทางเด็ดขาด"
"ครับผม รับรองได้"
คนขับรถตระกูลยาโอโตเมะผู้มีอายุเกือบจะห้าสิบปี ยิ้มอย่างใจดีเปิดประตูให้ฮิคารุผลักเพื่อนรักเข้าไปนั่งที่ด้านหลังคนขับ จัดการปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย
"ฮิคารุ ฉันกลับเองก็ได้ ฉันไม่เป็นไร"
"งั้นยิ้มให้ฉันดูหน่อย"
ไดกิพยายามฉีกยิ้มให้มากที่สุด แต่คนมองก็รู้ดีว่ายังไงมันก็ฝืน เพราะรู้จักกันมานานถึงได้รู้ดีว่ารอยยิ้มของไดกิที่เป็นเหมือนพระอาทิตย์สว่างไสวเจิดจ้านั้น จะมีให้เห็นก็ต่อเมื่อเจ้าตัวมีความสุขเท่านั้นจริงๆ
และก็ไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นมานานแล้ว
"นี่เหรอยิ้ม..นายกำลังแยกเขี้ยวใส่ฉันอยู่นะไดจัง ให้ทาคาฮาระซังไปส่งน่ะดีแล้ว ทุกคนที่นี่จะได้ไม่ต้องห่วง"
ไดกิรู้สึกเหมือนว่าตอนนี้มือของเขา ที่ปลายนิ้วทั้งสิบมีสายใยบางๆนับไม่ถ้วนที่คอยเชื่อมโยงตัวเขา กับใครอีกหลายคนที่เขารักและรู้จัก เมื่อไรที่เขาเจ็บปวดหรือเสียใจ คนเหล่านี้จะคอยดึงเส้นใยจากอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อย้ำเตือนให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ความซาบซึ้งตื้นตันท่วมท้นขึ้นมาในอก กลั่นเป็นหยาดน้ำปริ่มอยู่ในดวงตาใส ไดกิยิ้ม..ยิ้มแม้จะมีน้ำตา ก่อนจะยื่นหน้าออกมาโบกมือลาทั้งสามคนยามที่รถเคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตา
...............................
....................
................
.....
หลังจากต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยกระบวนการฉีกหน้าแล้วทิ้งผู้เคราะห์ร้ายให้เดียวดายอยู่หน้าโรงแรมแล้ว คุณชายทั้งสองก็แอบมาแปะมือไฮไฟว์กันในห้องทำงานของยูยะ ที่นานๆทีเจ้าของห้องจะยอมเหยียบเข้ามา เพราะถ้าหากไม่มีเอกสารให้เซ็นแล้ว ยูยะมักจะไปเตร็ดเตร่อยู่รอบๆโรงแรมเสียมากกว่า
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อยากพัก ยูยะก็จะไปอาศัยนอนในห้องเล็กๆ ที่ยาบุกับไดกิอาศัยเป็นที่นอนเวลาที่ต้องเข้ากะงานช่วงดึกถึงเช้า
และถึงแม้จะถูกยาบุบ่นเอา ว่ามาเบียดเบียนที่นอนพนักงาน แต่ยูยะก็ยอมเพียงเพื่อเมื่อยามที่หลับตาจะได้ยินเสียงเปิดปิดประตู กับหอมกลิ่นแซนวิชและกาแฟที่ยาบุเอามาวางไว้ให้เสมอ
"อ๊า~ แซนวิชฝีมือนายนี่อร่อยสุดยอดเลยยาบุ ลาออกจากที่นี่แล้วไปเป็นพ่อครัวให้ฉันเหอะ"
ฮิคารุนอนแผ่บนโซฟาตัวยาวบุหนังอย่างดีที่ยูยะไม่ค่อยจะได้ใช้ซักเท่าไหร่ ปากยังคาบแซนวิช พลางสลัดเสื้อสูท ทิ้งมาดคุณชายผู้เย่อหยิ่งกลับมาเป็นคุณชายสุดเฮี้ยวตามเดิม
"เรื่องแน่ะ พ่อครัวบ้านนายมีตั้งเยอะ จะมาจ้างยาบุทำไม"
"ก็มันเบื่อนี่หว่า วันๆเอาแต่ถามว่าคุณหนูครับ! วันนี้คุณหนูอยากทานอะไร อาหารฝรั่งเศสมั๊ย หรืออาหารจีน โอ๊ย!!!! ไม่เคยคิดกันเลยว่าฉันอยากจะกินอะไรแบบธรรมดาๆกะเค้ามั่ง"
"โทษทีนะ ที่ฝีมือฉันมันธรรมดา"
ยาบุถอนใจ ... อยากให้พนักงานทุกคนมาเห็นสภาพยูยะตอนนี้จริงๆ โซฟาหรูๆมีไม่นั่ง กลับไปนอนกลิ้งบนพื้นพรมคาบแซนวิชไส้ไข่หวานเคี้ยวตุ้ยๆเท้าคางสบายอารมณ์
นึกถึงสมัยเรียน ทั้งฮิคารุและยูยะไม่เคยทำตัวเหมือนคนอื่นๆที่มาจากตระกูลร่ำรวย เวลาไปเรียนมีรถรับส่งไม่เคยนั่ง กลับชอบทำตัวเป็นลิงห้อยโหนบนรถไฟเบียดผู้คนในช่วงเวลาเร่งรีบ อาหารแต่ละมื้อหรูๆไม่เคยคิดจะแตะ กลับมาแย่งข้าวกล่องของพวกเขาสี่พี่น้องซะอย่างนั้น
พวกลูกเศรษฐีเค้าเป็นกันแบบนี้ทุกคนรึเปล่านี่?
"มันไม่เหมือนกันว่ะ พ่อครัวที่บ้านมีก็จริงแต่ก็เหมือนคอยทำให้กินตามหน้าที่ ไม่อร่อยเหมือนข้าวที่แม่นายเคยทำให้ อร่อยกว่ากันเยอะ ไม่รู้ทำไม"
"ฝีมือยาบุก็อร่อยนะ เสียดายไม่ค่อยมีเวลาทำให้กิน"
ยูยะพูดขึ้นลอยๆ ใจนึกไปถึงซุปมิโสะร้อนๆที่แม่ของยาบุเคยทำให้กินตอนที่เขาไปค้างที่บ้านนั้น ยาบุน่ะ มีหน้าที่ต้องดูแลน้องๆ เวลาที่แม่เข้าครัวก็เลยต้องเข้าไปฝืกทำอาหารด้วย แล้วยาบุก็ทำได้อร่อยมากจริงๆ
"วันหลังไปค้างที่บ้านนายมั่งสิ"
"แล้วเมื่อกี๊ทำไมไม่ไปพร้อมไดจัง"
"แล้วใครจะทำกับข้าวให้กินเล่า"
ไดจังตอนนี้น่ะ จะตักข้าวเข้าปากตัวเองถูกรึเปล่าก็ยังไม่รู้ จะให้หวังพึ่งเจ้าน้องโย่งยูโตะมันคงทำครัวพังซะก่อนจะได้กิน ส่วนฝีมือทำกับข้าวของยูริ...
คงมีไอ้เด็กไฮเปอร์นั่นคนเดียวแหละที่กินแล้วบอกว่าอร่อย
"ตั้งแต่วันนี้ไปฉันจะค้างที่นี่นะ ช่วยหาห้องให้ซักห้องสิ ไม่ต้องเอาอย่างดีๆก็ได้ เอ้า! ทำหน้างั้นทำไม? เมื่อกี๊ก็บอกแล้วไงว่าจะมาช่วยงานยูยะ"
"เฮ้ย!!!! นี่เอาจริงเรอะ!!!!"
"อื้อ^^"
ตาขวาของยาบุกระตุกรัวถี่ยิบเหมือนมีลางร้าย..................
+++++++++++++++++++++++++++
รถคันหรูจอดลงตรงหน้ารั้วบ้านสีอิฐไม่สูงนัก มองเข้าไปจะเห็นบ้านสองชั้นสีขาวสไตล์ยุโรปหลังใหญ่ ไดกิมองเห็นบ้านแล้วก็ใจหาย
เมื่อก่อน ..เราเคยอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่แค่ไหน..มีความสุขมากเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กลับเหลือกันอยู่แค่สี่คนเท่านั้น
"เชิญครับคุณหนูไดกิ"
"อย่าเรียกคุณหนูเลยครับ ฐานะของบ้านเรา ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว"
"แต่คุณก็ยังเป็นเพื่อนของคุณหนูอยู่ดี เรื่องนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนี่ครับ"
ผู้สูงวัยกว่ายิ้มให้อย่างอบอุ่นเหมือนเคย ทาคาฮาระซังคนนี้มีหน้าที่ขับรถให้ฮิคารุ ทั้งยังรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ในบางครั้ง ไดกิยังจำภาพความอลเวงของเหล่าทโมนที่แออัดกันอยู่ในรถคันนี้ได้ ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ความทรงจำในวันก่อนเก่าทำให้หัวใจเบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าในความทรงจำนั้น จะมีใครอีกคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดก็ตาม...
แต่ทุกภาพของความทรงจำนั้นจะทำให้ไดกิเข้มแข็งขึ้น....
โค้งคำนับส่งคนขับผู้แสนใจดี ก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าบ้าน ประตูรั้วไม่ได้ล็อค ไดกิคิดพลางเปิดเปิดประตูบ้านว่าวันนี้วันอะไรหนอ? น้องสองคนถึงได้กลับบ้านเร็ว
"ไดจางงงงงงงงงงงงง ไดจังๆๆๆๆๆๆๆ กลับมาพอดีเลย มานี่เร็วๆ"
ร่างบางตัวปลิวตามแรงฉุดของน้องชายตัวสูงเข้าไปในห้องรับแขกทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เพื่อไปพบกับใครคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่กลางห้อง ในชุดกระโปรงบานพองฟูสีเหลืองน้ำเงินคุ้นตา
เจ้าหญิงประเทศไหนมาอยู่ในบ้านเขาได้หว่า..?
"ตะลึงไปเลยใช่มั๊ยล๊า~ เห็นม๊า~! ยูริน่ะ บอกว่าสวยก็ไม่เชื่อ"
"อะไรเนี่ย?"
ไดกิงงเป็นไก่ตาแตก ยูโตะเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงจับยูริใส่ชุดนี้
"ยูริได้แสดงละครโรงเรียนล่ะ ได้บทเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ด้วยน๊า~ "
ความร่าเริงของยูโตะช่างต่างกับผู้รับบทสโนว์ไวท์ตัวจริงลิบลับ ยูริทำหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับ ตั้งแต่เล็กก็ถูกใครต่อใครทักว่าเป็นเด็กผู้หญิง พอโตแล้วก็ยังหนีไม่พ้นอยู่ดี
"ไดจัง ฉันไม่อยากเล่นอ่ะ"
ยูริโผเข้างอแงกับอกพี่ชาย พลางค้อนใส่คนตัวสูง เมื่อตอนที่ทุกคนในชั้นโหวตว่าบทเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ต้องเป็นยูริเท่านั้น นอกจากจะไม่ช่วยยูริปฏิเสธแล้ว ยังอ้าแขนรับแทนด้วยความยินดี ประกาศไปทั่วว่านี่แฟนผมๆ
ผิดวิสัยคนหวงแฟนยิ่งชีพ...
"คอยดูนะถ้ามีบทจูบละก็ จะจูบจริงให้ดู"
ยูริขู่ แต่คนตัวสูงยังยิ้มร่า
"ไม่มีทางซะล่ะ เพราะฉันก็แสดงด้วยเหมือนกัน"
"เห?!!!!!"
"อะไร บทต้นไม้หรือก้อนหิน"
"ไม่ใช่ซะหน่อยไดจังเนี่ย ไม่เชื่อใจกันบ้าง"
"แล้วบทอะไรล่ะ"
"บทคนแคระ"
ไดกิทำตาโตใส่สายตาวิ้งๆของยูโตะ
.....................................
..........................
..........
....
ร่างบางเดินขึ้นชั้นบนด้วยอาการหมดเรี่ยวหมดแรง วันนี้ทั้งวันมีแต่เรื่องหลากหลายให้อารมณ์ตีกันมั่วไปหมด แต่พอนึกถึงตอนที่ถามยูโตะได้บทคนแคระมายังไง
"ก็ลงไปนอนโวยวายชักดิ้นชักงอจนกว่าทุกคนจะยอมน่ะสิ"
ไม่รู้ว่าจะขำหรือว่าจะปวดหัวดี
ทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่ม หวังจะหลับสนิทไร้ฝัน แต่เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงก็ทำให้ภาพบางอย่างหวนกลับมา มันฉายซ้ำๆเป็นภาพช้าครั้งแล้วครั้งเล่า แม้อยากจะลืมก็ทำไม่ได้
เหมือนความฝัน...แต่ความอบอุ่นของริมฝีปากและอ้อมแขนแข็งแรงนั้นคือความจริง ผิวสัมผัสจากแผ่นหลังของร่างสูงยังติดอยู่ที่มือและปลายนิ้ว
กอดไปแล้ว....
ร่างบางร้อนผ่าวไปทั้งตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยามค่ำคืน ที่จำได้และที่จำไม่ได้ ทั้งที่ถูกทำและไม่ได้ทำ
ทุกอย่างเป็นเหมือนความฝัน..
พอนึกถึงตอนที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆข้างแก้มกับใบหน้าหล่อๆนั่นแล้ว...
......
....
...
คนบ้า...
"เกิดอะไรขึ้นเนี่ย"
ยูโตะกับยูริมองไดกิฟาดมือตุ้บตั้บกับหมอน สุดท้ายก็ขดตัวม้วนเป็นดักแด้อยู่ในผ้าห่ม สองคนมองหน้ากันงงๆ กระซิบถามกันเอง
"อะไรกัน! กะว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้เซอร์ไพรซ์ซักหน่อย"
"ช่างเถอะบางทีไดจังอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้เนอะ เราลงไปข้างล่างกันเถอะ"
"งั้นยูริมาช่วยดูนะ ว่าฉันใส่ชุดคนแคระแล้วหล่อไหม ไปกันๆ"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
"วันนี้กลับบ้านใช่ไหม? ไปด้วยคนสิ"
หากเป็นเมื่อก่อน ยามที่ยูยะเข้ามาในครัว ทุกคนจะเกร็งไม่เป็นอันทำงานเพราะกลัวถูกจับผิด แต่ยูยะหาได้สนใจ ยังคงเดินเข้าเดินออกจนเป็นเรื่องปกติ พอทักทายกันสองสามคำทุกคนก็จะหันไปทำงานตัวเองต่อ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง จนถึงตอนนี้ทุกคนในครัวก็อยากจะให้ยูยะเข้ามาบ่อยๆ เพราะนอกจากจะใช้เป็นยันต์กันผู้จัดการขี้ฟ้องได้แล้ว ยังได้ลูกมือคอยทำนั่นทำนี่อีกต่างหาก
"บ้านตัวเองมีไม่กลับ"
ยาบุก้มหน้าก้มตาเช็ดจานกองพะเนิน ไม่ยอมมองหน้ายูยะเลยฉวยทั้งผ้าทั้งจานมาทำต่อ ก้มหน้าหลบสายตาเคืองค้อนจากคนข้างๆ
"กลับไปก็ไม่มีใครอยู่ ไม่รู้จะกลับไปทำไม"
ทำหน้าตาหงอยเหงาประกอบคำพูด เงี่ยหูคอยฟังคำตอบจากคนปากแข็งแต่ใจอ่อน วิธีนี้ใช้ได้ผลบ่อยๆเวลาที่จะขอตามยาบุกลับบ้านด้วย แต่ครั้งนี้ยาบุกลับเงียบอยู่นานจนยูยะชักหวั่นใจ
"ถ้านายไม่สะดวก ฉันไม่กวนก็ได้"
ยูยะรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าตอนนี้เสียงทุกอย่างในครัวเงียบลง เหมือนทุกคนในที่นั้นกลั้นใจรอฟังคำตอบจากยาบุเช่นเดียวกันกับเขา
"ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ จะไปก็ไป แต่ต้องทำงานให้เสร็จก่อน"
ยูยะเก็บซ่อนรอยยิ้มไว้แทบไม่ได้ แต่รอยยิ้มนั้นเหือดหายไปแทบจะทันทีเมื่อยาบุยกจานที่ล้างแล้วอีกเกือบสิบแถวมากองไว้ตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มหวานๆจับใจ
"ถ้ายังเช็ดจานพวกนี้ไม่เสร็จ ก็ยังไม่ได้กลับนะยูยะ"
..................................
...........................
..............
....
"ปวดแขนเป็นบ้า!"
ยูยะทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีที่ก้าวเข้าห้อง ยาบุมองคนที่กำลังกลิ้งอยู่บนเตียงของเขาด้วยสายตาอ่อนโยนแต่แล้วก็ต้องหลบตาวูบอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายหันมา
"ไปอาบน้ำแล้วค่อยมานอนสิยูยะ"
"ไม่เอา! เหนื่อย ! ง่วง!"
"งั้นก็ออกไปนอนข้างนอก!"
"โห่! นายนี่มันใจร้ายเป็นบ้า อย่านึกว่าไม่รู้นะว่าเมื่อกี๊แกล้งกันน่ะ ใจร้ายๆๆๆๆๆๆ"
ขำก็ขำ แต่ก็หมั่นไส้ ตัวโตเป็นหมีแล้วยังมาทำท่าปัญญาอ่อนแบบนี้อีก มันน่าถีบจริงเชียว
"โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!"
คิดแล้วก็ทำจริง แต่ยาบุแค่ใช้ปลายเท้าสะกิด ยูยะก็ร้องเสียลั่นบ้าน
"เงียบเดี๋ยวนี้นะ นี่มันตีสองแล้วเดี๋ยวก็ตื่นกันทั้งบ้าน"
กระซิบขู่พลางปิดปากยูยะ แต่อีกฝ่ายแรงมากกว่าดิ้นหลุดไปจนได้ ยาบุเลยคว้าหมอนใบโตมาใช้ปิดปากยูยะแทนมือ แต่ดูจะมือหนักไปหน่อย กว่ายาบุจะยอมปล่อยยูยะแทบขาดใจตายไปจริงๆ
"สมน้ำหน้า เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง"
โดนด่าซ้ำให้อีกต่างหาก ยูยะแกล้งอิดออดนิดหน่อยให้ยาบุจูงมือไปส่งที่หน้าห้องน้ำเหมือนเด็กๆ นึกเล่นๆว่าจะแกล้งขอให้ยาบุอาบน้ำให้ด้วยคงจะโดนจับกดน้ำตายจริงๆ คิดเพลินๆ อยู่ๆผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าก็หล่นตุ๊บใส่หัว
"รีบๆอาบเข้า ฉันจะได้อาบต่อ ง่วงจะตายอยู่แล้ว"
แต่พอถึงเวลานอนจริงๆก็ยังมีอุปสรรค หลังจากที่อาบน้ำและเข้านอนได้ซักพัก ยาบุก็รู้สึกว่าคนที่นอนข้างๆนอนดิ้นไปมาไม่เป็นสุข
"อะไรของนาย! นอนได้แล้ว!"
พอหันไปเอ็ด ยูยะก็โผเข้ากอดยาบุทั้งตัว ซุกหน้าลงกับไหล่บาง สองร่างแนบชิดกันจนยาบุรู้สึกถึงจังหวะหัวใจของอีกฝ่าย มันรัว แรง จนผิดสังเกต
"เป็นอะไรไป?"
จากเสียงเอ็ดด้วยความโมโห กลายเป็นน้ำเสียงอ่อนโยนด้วยความเป็นห่วง ยูยะส่ายหน้าบุ้ยใบ้ไปทางหน้าต่าง
"ผีหลอกง่ะ"
ยาบุเกือบจะยกเท้ายันคนขี้กลัวเข้าให้ หากสายตาเหลือบไปเห็นเงาแว้บๆไหววูบอยู่ตรงหน้าต่าง ปกติแล้วยามที่เข้านอนยาบุจะปิดไฟหมดทุกดวง ทั้งบ้านจึงมืดสนิท มองเห็นเพียงเงาเลือนลางจากแสงไฟด้านนอก
แล้วไอ้เงาดำๆตรงหน้าต่างห้องนอนของเขานี่มันอะไรหว่า?
"ยาบุ?"
จะลุกออกไปดูให้ชัดๆ คนขี้กลัวก็กอดเอวไว้เสียแน่น นิสัยที่เป็นมาตั้งแต่เด็กแก้ไม่เคยหาย เคยชวนเข้าบ้านผีสิงครั้งหนึ่งเมื่อสมัยยังเด็ก สุดท้ายยาบุกระดูกแทบเคลื่อนเพราะแรงกอดมหาศาล แล้วตอนนี้ถ้าพยายามดิ้นหนีจากอ้อมแขนนี้ละก็...
กระดูกหักทั้งตัวแน่ๆ.....
ช่วยไม่ได้... งั้นก็..
"ผีสองตัวที่อยู่ข้างนอกน่ะถ้ายังไม่กลับเข้าไปนอนละก็พรุ่งนี้งดข้าวเช้า"
เมี๊ยว~
"ตัดค่าขนมหนึ่งอาทิตย์"
แง้ววววววววววววววว~
"วันหยุดห้ามออกนอกบ้าน!"
สิ้นเสียงตะโกนครั้งที่สาม ยาบุได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจ จากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าตึ๊กตั๊กวิ่งจากหน้าบ้านเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงประตูห้องเจ้าน้องเล็กปิดดังสนั่น
เมื่อจัดการสองซนประจำบ้านได้แล้ว ก็หันมาผลักคนที่ยังกอดไม่เลิกให้ออกห่าง
"ทีนี้ก็นอนได้แล้ว หลับไปเลยแล้วอย่าหาเรื่องมากวนฉันอีกนะ ฉันง่วง"
ยูยะล้มตัวลงนอน เคียงข้างร่างบางที่นอนหันหลังให้พลางจิ๊ปากอย่างขัดใจ
ไม่ไหว.. พึ่งไม่ได้เอาซะเลยสองคนนี่ ทั้งยูริทั้งยูโตะ กลัวอะไรหนักหนากับคำขู่ กะอีแค่ค่าขนม ถ้าโดนตัดค่าขนมจริงๆเขาเองจ่ายให้ทั้งปีก็ยังไหว
ไม่ได้เรื่องเล้ยยยยยย!!!!!!
To be con.........
ไดจี้ของเค้า เสียศุนย์ไปเลยอ่ะ
ReplyDeleteแต่แอบน่ารักนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
แล้วเคย์ไปทำอะไรไว้น้อ แต่แอบสะใจที่ไดจี้ทำเป็นไม่รู้จักอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
แล้วก็มาอีกแล้ว ความน่ารักของโอคาได ตอนไดจี้คิดถึงเคย์โตะมันน่ารักมากๆเลย
แล้วยิ่งปิดท้ายว่าคนบ้าด้วยแล้ว อยากจะบ้าตายจริงๆอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
ชอบจริงๆนะเรื่องเนี้ย