Sunday 16 October 2011

[ Fiction ] ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ ความทรงจำที่ถูกลืม ]


ชื่อเรื่อง -:- ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ ความทรงจำที่ถูกลืม ]


ผู้แต่ง -:- นาฬิกาแก้ว [ Nalikakeaw ]


คำนำเรื่อง -:- ฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแนวแฟนตาซีหลายๆเรื่อง เพราะงั้นถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าเจออะไรคุ้นๆล่ะก็ อย่าแปลกใจค่ะ เพราอย่างน้อยเรือไข่มุกดำแห่งท้องทะเลย่อมจะมาจากหนังเรื่องที่มีป๋าเด็ปป์เป็นโจรสลัดสุดฮาแน่นอน


ส่วนชื่อเรื่อง ขอบอกว่าได้มาจากบทเพลงของพี่แหม่ม พัชริดา จำได้ว่าเป็นเพลงประกอบละครเมื่อนานมาแล้ว โดยส่วนตัวชอบเสียงพี่แหม่มมาก และเนื้อเพลงก็เข้ากับพล็อตพอดี ก็เลยเอามาเป็นชื่อเรื่องมันซะดื้อๆนี่แหละ


ใครอยากฟังไปเสิร์ชหากันเอาเองคะ










ท้องทะเลในยามใกล้รุ่งนั้นเหน็บหนาวนัก  ดวงตะวันยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้า แต่ยังทอแสงอบอุ่นลงบนผืนน้ำสีน้ำเงินเย็นเฉียบ เกิดเป็นไอขาวลอยเกาะกลุ่มอยู่เหนือผืนน้ำ


เรือใบสีดำซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มหมอกหนา ลอยลำนิ่งสงบ ผืนผ้าใบถูกพับเก็บไว้กับเสาเรือ รอคอยเวลา....


บนเรือนั้น   เด็กน้อยผู้ถูกทอดทิ้งให้เดียวดายอยู่บนเกาะต้องสาปยังคงหลับไหล อยู่บนเตียงสี่เสาทรงกลมทำด้วยไม้ รูปร่างคล้ายกระโจม คลุมกายด้วยผ้าห่มกำมะหยี่สีแดงเลือดนก ปักดิ้นเป็นลายรูปนกเพลิงสีทอง เช่นเดียวกับสีของผ้าม่านและเตียง


ผ้าม่านขยับไหวเปิดออก  บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีดำทั้งกายโน้มตัวเข้ามาเหนือเตียง ช้อนอุ้มร่างน้อยแนบอก พาเดินออกมายังหัวเรือ   สายลมเย็นยามอรุณรุ่งคงหนาวไป เด็กน้อยในอ้อมแขนจึงเบียดกายซุกกับอกหนาหาไออุ่น ร่างสูงกระชับอ้อมแขนขึ้นเล็กน้อยพร้อมกล่าวถ้อยคำที่เด็กน้อยไม่อาจได้ยิน


"ถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้ว  เด็กน้อยของข้า"


สมอเหล็กถูกดึงขึ้นจากน้ำ เสียงโซ่กระทบกับแผ่นไม้ครืดคราด ผ้าใบสีดำถูกปล่อยลงจากเสาจนกางเต็มใบ และโดยไม่มีผู้ใดควบคุม เรือสีดำหันหัวลอยลำกลับเข้าฝั่ง  ไปสู่เกาะต้องคำสาปอีกครา


ณ...ที่แห่งนั้น


มีใครบางคนกำลังตามหาเด็กน้อยผู้น่าสงสารนี้ ... ด้วยความรักและเป็นห่วงสุดหัวใจ







........................................................................










นายและนางยาบุมาถึงเกาะตั้งแต่เช้ามืด  นับตั้งแต่ได้รับข่าวร้ายจากญาติ ทั้งสองคนก็รีบเร่งเดินทางจากต่างประเทศเพื่อมาร่วมงานศพ แต่ปรากฏว่างานศพนั้นถูกจัดให้เสร็จภายในวันเดียวด้วยพิธีแบบง่ายๆ คุณนายยาบุที่แต่งงานและย้ายไปอยู่กับสามีนั้นจึงไม่ได้มีโอกาสพบกับพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย และข่าวที่ทำให้ใจหายยิ่งกว่า คือหลานชายตัวน้อย  ลูกคนเดียวของพี่ชายและพี่สะใภ้ถูกทิ้งให้เดียวดายอยู่บนเกาะที่ถูกทิ้งร้าง


ช่างใจดำอย่างร้ายกาจ  ...  ไม่คิดกันเลยว่าเด็กอายุเพียงห้าขวบจะอยู่ได้อย่างไร


หากต้องการทรัพย์สมบัติหล่อนจะไม่ยื้อไว้แม้แต่น้อยนิด  แต่นี่พากันหลบลี้หนีหน้ากลัวว่าจะถูกทวง กว่าคุณนายยาบุจะได้รู้ข่าวหลานชายก็ใช้เวลาเกือบสามวันแล้ว


และเมื่อมาถึงเกาะแล้วได้พบว่าคฤหาสน์หลังงามดูผิดแปลกไปจากภาพในความทรงจำ  แม้ว่ามันจะมีอายุยาวนานพอๆกับตระกูลของผู้ครอบครอง  แต่มันก็ได้รับการดูแลบูรณะอย่างดี ไม่มีส่วนใดสึกหรอไปตามกาลและเวลา ยังคงงดงามไม่เปลี่ยน


เพียงแต่... มันดูหม่นหมองเศร้าสร้อย คล้ายคนที่ต้องสาปให้พบแต่ความทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์


ในคฤหาสน์ไร้คนอาศัย  ไร้วี่แววของเด็กชายตัวน้อยที่น่าจะถูกทิ้งอยู่ที่นั่น แต่ตามหาสักเท่าไหร่ก็ไม่พบ  จนผู้เป็นน้าเริ่มวิตกว่าหลานชายของเธออาจจะเป็นอันตรายด้วยเหตุใดก็ตาม  จนสามีต้องคอยปลอบ


"อย่าคิดมากน่ะคุณ อาจมีใครสักคนมารับหลานไปดูแลแล้วก็ได้"


"แล้วใครกันล่ะคะ คนพวกนั้นน่ะเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ขนเอาไปแต่สมบัติไม่เหลียวแลหลานซักนิด ชาวประมงแถวนี้ก็เกลียดตระกูลเรายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ไม่มีใครคิดจะมาเหยียบที่นี่หรอกค่ะ"


หล่อนเริ่มร้องไห้ จนเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนของสามีต้องเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้  ยิ่งเห็นหน้าลูก ยิ่งทำให้นึกถึงหลานที่อายุไล่เลี่ยกัน เคยเห็นเพียงครั้งเดียวเมื่ออายุหนึ่งขวบเท่านั้นเอง


"โธ่!! หลานอา"


"คุณพ่อ คุณแม่  มีเรือมาล่ะ"


เด็กชายชี้มือไปยังทิศตะวันออก ในแสงอรุณที่ส่องผ่านหมอกหนา  เรือใบสีดำลำหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้าหาฝั่งช้าๆ ผ่านโขดหินโสโครกระเกะระกะใต้น้ำ เข้าเทียบหาดกรวดสีดำได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งๆที่เรือของคนทั้งสองนั้นลำเล็กกว่าเรือลำนี้หลายเท่านัก แต่กว่าจะเทียบท่าด้านข้างเกาะได้เรือก็กระแทกกับหินไปหลายครั้ง


นอกจากเด็กน้อยที่ดูจะตื่นเต้นกับเรือลำใหญ่ที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน  ผู้ใหญ่ทั้งสองก็ตื่นตะลึงไปกับความสง่างามของมัน และชายหนุ่มที่ยืนเด่นอยู่ตรงหัวเรือ


"เคย์จัง"


คุณนายยาบุอุทานเบาๆเมื่อมองเห็นชัดๆว่ามีใครอีกคนอยู่ในอ้อมแขนของผู้ที่อยู่บนเรือ หล่อนจำหลานชายได้แม่น แต่ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มผู้นั้นหล่อนไม่เคยพบมาก่อน และแน่ใจว่าไม่ใช่ญาติคนใดในตระกูลด้วย


ปีกนกสีดำแผ่สยายจากแผ่นหลังของชายหนุ่ม  ขยับปีกเพียงนิดร่างสูงสง่าก็ลอยขึ้นในอากาศ   ค่อยๆร่อนลงเหยียบบนพื้นกรวดคมอย่างนุ่มนวลและไร้เสียง  เป็นที่น่าประหลาดใจเหลือเกินหากเทียบกับขนาดใหญ่โตของปีกคู่นั้น


มนุษย์สามคนตื่นตะลึงกับร่างที่กำลังก้าวเข้ามาหา  สำหรับเด็กชายยาบุ โคตะ นั้นตื่นเต้นเพราะคิดว่าชายชุดดำคงเป็นนักมายากลหรืออะไรสักอย่าง  แต่กับผู้เป็นพ่อแม่นั้นเริ่มหวาดกลัว  เพราะตระหนักชัดเจนว่าชายหนุ่มผู้นั้นมิใช่มนุษย์


เสียงฝีเท้าหยุดลง  เรียกสติให้หวนคืน  คุณนายยาบุห่วงหลานใจแทบขาด แต่ก็หวาดกลัวจนไม่อาจจะเอ่ยคำใด  ผู้เป็นสามีกอดลูกชายไว้แน่นราวกับจะปกป้อง


"เจ้ามารับเด็กคนนี้มิใช่หรือ?"


ถ้อยคำและน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นมิตรนั้นทำให้ผู้เป็นน้าปัดความกลัวออกจากหัวใจไปได้ชั่วครู่  ขยับก้าวเข้าไปใกล้ แต่ก่อนจะได้รับหลานชายไว้ในอ้อมแขน  เด็กน้อยก็ลืมตาตื่นเสียก่อน


เมื่อได้รู้ว่าต้องลาจาก   เด็กน้อยร้องไห้โฮ  ยึดอ้อมแขนแกร่งไว้เสียแน่น  ดื้อรั้นจะไม่ไปท่าเดียวแม้ว่าผู้เป็นน้าจะคอยปลอบอย่างไรก็ไม่ฟัง


"ไม่เอา!!! ไม่ไป!!! พวกญาติๆใจร้ายทั้งนั้น ทุกคนห่วงแต่เงินกับสมบัติ ไม่มีใครรักจริงเลย"


ฟังคำหลานแล้วผู้เป็นน้าน้ำตาแทบร่วง เด็กอายุเท่านี้ต้องมาทนรับความเจ็บปวดจากความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่  ช่างน่าเศร้าและน่าสงสาร


"เมื่อคืน ... เราสัญญากันไว้ว่าอย่างไร ?เคย์"


ชายหนุ่มทวงถามกับเด็กน้อยที่สะอื้นอยู่กับอก แต่คำตอบที่ได้รับมีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่ยอมหยุดกับน้ำตาเม็ดโตที่ไหลไม่ขาดสาย


"เจ้าไม่เชื่อข้าแล้วหรือ?"


แก้มกลมถูกประคองให้เงยหน้า และเมื่อได้สบตา ก็พบเพียงความหวาดหวั่นราวกับว่า ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เด็กน้อยเชื่อใจได้แม้สักอย่างเดียว


"เชื่อ-เชื่อนะ แต่คุณไม่บอกนี่ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ แล้วถ้า-มันนานจนคุณลืมล่ะ"


"เคย์.." ร่างสูงถอนหายใจ " ..ข้า... รอเจ้าเพียงคนเดียวมาตลอด  และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ.."


เด็กน้อยไม่ได้รับรู้ความหมายลึกซึ้งใดๆในคำพูดนั้น  แค่เพียงร่างสูงบอกว่าจะรอ  ก็เป็นดั่งเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ทิ้งความชุ่มชื่นไว้บนผืนทรายที่แห้งผาก เด็กชายหยุดร้องไห้ทันที วาดแขนเล็กๆขึ้นโอบรอบคอร่างสูง โน้มใบหน้าลงมาชิด ประทับริมฝีปากลงไปบนแก้มสากเบาๆ ก่อนจะยอมผละจากอ้อมแขนของร่างสูงให้น้าสาวอุ้มแต่โดยดี


"จงดูแลเขาให้ดี .. จนกว่าจะถึงเวลาที่ข้าจะกลับมารับเขาอีกครั้ง"


"ฉันไม่ยอมหรอก!!"


คุณนายยาบุโพล่งออกมาทั้งๆที่ตัวสั่น ต่อให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นใครก็ตาม เธอก็จะไม่ยอมให้มาพรากหลานชายไปจากอกเป็นอันขาด แต่ผู้ที่รับฟังเพียงแต่ยิ้ม.. ยิ้มอย่างที่ผู้สูงวัยจะมอบให้กับเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู  ทั้งที่ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าหล่อนนั้น น่าจะอายุเพียงยี่สิบต้นๆ


"สิบห้าปีต่อจากนี้  เคย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าเขาจะไปกับข้าหรือไม่"







........................................................................









เรือยนต์เล็กแล่นออกจากเกาะต้องสาป ดวงตะวันขึ้นพ้นจากขอบฟ้า แสงจ้าทอลงบนเกลียวคลื่นเป็นประกายระยับ แต่กลุ่มหมอกที่ลอยหนานั้นยังไม่เลือนหาย เรือสีดำค่อยเคลื่อนเข้าไปจนเงาสีดำกลืนไปกับสายหมอก  รอคอยเวลาที่จะได้ปรากฏกายบนเกาะต้องสาปอีกครั้ง บนเรือใบสีดำในหมอกนั้น บุรุษในอาภรณ์สีดำมองไปยังเรือยนต์ที่กำลังห่างออกไป มือแกร่งยกขึ้นแตะแก้ม ตรงรอยจูบเล็กๆเปื้อนน้ำตาของเด็กน้อย ที่ทำให้เขานึกถึงอดีตอันไกลโพ้น


"เจ้าน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ..เด็กดีของข้า"


บนเรือเล็ก เด็กน้อยสองคนนั่งตรงเบาะด้านหลังคนขับเรือ ลมแรงปะทะใบหน้าจนชาเพราะผู้ขับเรือเร่งความเร็วสูงเพื่อไปให้พ้นจากเกาะ พ้นจากอำนาจของใครบางคนที่เขารู้ว่ายังคงคอยติดตามเด็กน้อยผู้เป็นหลาน แต่คุณนายยาบุกลับมีท่าทีนิ่งสงบ แตะไหล่สามีบอกให้ลดความเร็วลงเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นลูกหลานจะตกเรือไปเสียก่อน จนผู้เป็นสามีแปลกใจ


"คุณไม่กลัวเขามาพาหลานไปเหรอ"


"กลัวสิ..แต่ฉันเชื่อว่าเขาจะรอจนกว่าจะครบสิบห้าปีตามที่บอก  และถ้าวันนั้นมาถึงเคย์จังคงต้องไปกับเขาแน่ๆ"


นายยาบุมองหน้าภรรยาด้วยความประหลาดใจยิ่ง  แต่พอหันไปมองหลานตัวน้อยที่ยังคงเฝ้ามองไปทางเกาะต้องสาปด้วยความอาวรณ์แล้วก็พอเข้าใจ  ท่าทีที่เด็กหนุ่มและหลานตัวน้อยมีต่อกันนั้น ทำให้เขาเผลอคิดไปว่าทั้งสองรู้จักกันมานาน... นานมาก   และผูกพันกันมากเกินกว่าคนรู้จัก...


เรือเล็กลดความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงฝั่ง  เมื่อเรือจอดสนิททั้งสองคนก็อุ้มลูกอุ้มหลานเดินออกจากท่าเรือไปอย่างเร่งรีบ  หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปอย่างเร่งด่วนเสียยิ่งกว่าตอนที่เดินทางมา แต่ขั้นตอนการรับหลานมาเป็นบุตรบุญธรรมนั้นยุ่งยากกว่าที่คิด ทั้งที่ใจปรารถนาให้เป็นไปอย่างเงียบๆแต่ก็ยังล่วงรู้ไปถึงหูญาติๆจนได้


"คิดจะฮุบสมบัติไว้คนเดียวใช่มั๊ย ถึงได้รับเด็กคนนั้นไปเลี้ยงน่ะ-"


"ในเมื่อทุกคนไม่อยากจะรับเลี้ยงหลาน ทิ้งหลานเอาไว้บนเกาะ ฉันรับแกมาดูแลมันผิดตรงไหนละคะ หลานฉันทั้งคน อีกอย่างทรัพย์สินทั้งหมดก็เป็นของพี่ชายแท้ๆของฉัน ครึ่งหนึ่งของทั้งหมดนั่นก็ต้องเป็นของฉันอยู่แล้ว คุณเอาเวลาไปดูแลข้าวของที่พวกคุณขนไปจากเกาะเถอะ อ๋อ!! ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันไม่ทวงคืนหรอก ฉันให้ทาน!!!"


คุณนายยาบุกระแทกหูโทรศัพท์ลงกับเครื่อง จัดการดึงสายสัญญาณออก ไม่ให้ใครโทรฯเข้ามาได้ นี่ขนาดว่าปิดโทรศัพท์มือถือเอาไว้ ญาติๆจอมโลภทั้งหลายก็ยังส่งเสียงผ่านโทรศัพท์ของโรงแรมได้อีก คงรู้แล้วล่ะสิว่าที่ขนไปได้นั่นน่ะมันแค่เศษเสี้ยวของทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล ที่ทายาทโดยตรงอย่างหลานชายและตัวเธอเองจะได้รับสืบทอด


เพราะอย่างนี้  เพราะทุกคนเป็นแบบนี้ไงเล่า  ตัวหล่อนถึงได้ตัดสินใจแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่อเมริกา ไปให้ไกลเสียจากที่นี่ ไกลจากความละโมบของผู้ที่มีสายเลือดและใช้นามสกุลเดียวกัน ทิ้งทรัพย์สมบัติมากมายให้พี่ชายเป็นผู้ดูแลเพียงคนเดียว  แต่ไม่นึกเลยว่าผลร้ายกลับไปตกอยู่กับหลาน  บัดนี้...ลูกของพี่ชาย หลานชายเพียงคนเดียว โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบของมนุษย์ที่มีหัวใจโลภหลงในเงินตรา ดังเช่นที่พี่ชายของเธอเคยพบ


หันกลับไปมองหลานตัวน้อยที่นอนหลับสนิทเคียงข้างลูกชาย  พลันสายตาที่มีแต่ความรักและความสงสาร ก็แปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า


นับจากวันนี้..เธอจะพาครอบครัวหลีกหนีไปให้ไกล ให้พ้นจากเหล่ามนุษย์ที่ทำตัวเหมือนปลิง คอยแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อคนอื่นเพื่อสนองความต้องการของตนเอง


พ้นจากใครคนนั้น..บุรุษผู้เป็นเจ้าของเรือสีดำ ที่รอเวลาจะพรากหลานชายเพียงคนเดียวของเธอไป....









........................................................................








"เคย์ ... หากเราต้องจากกัน เจ้าจะลืมข้าหรือไม่?"


เด็กน้อยเงยหน้า สบตากับผู้เป็นเจ้าของอ้อมแขนอุ่นด้วยความสงสัย


"ผมจะลืมคุณได้ยังไงฮะ คุณใจดี ช่วยผมไว้ ผมไม่ลืมหรอก"


ถ้อยคำสุดท้ายที่เด็กน้อยเอ่ยก่อนจะหลับไหล ยังติดตรึงอยู่ในหัวใจของผู้ที่ยังคอยอยู่บนเรือสีดำ แม้เด็กชายจะให้คำสัญญาหนักแน่นเพียงใด  แต่เขาก็รู้ดี..


ข้ารู้...อย่างไรเสียเจ้าก็จะลืมข้า แต่ข้าจะไม่ลืม .. ไม่เคยลืมว่าเจ้าเคยรักข้ามากเพียงใด


ข้าจะรอ ... วันที่เจ้าจะจำได้ว่าเจ้ารักข้า และกลับมาหาข้าอีกครั้ง









........................................................................







เคย์...ข้าจะรอเจ้า...


เสียงเรียกจากที่ไหนสักแห่ง  ปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นขึ้นในกลางดึก ท่ามกลางความมืดในห้องพักแคบๆที่มีเพียงแสงไฟจากอาคารด้านนอกเล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาเพียงเลือนราง


ฝันแบบนี้อีกแล้ว....


เขาจำไม่ได้ ว่าฝันแบบนี้มานานแค่ไหน.. รู้เพียงแต่ว่าในความฝันนั้น มีใครบางคนเรียกเขา ... บอกเขาว่ายังรออยู่ ด้วยเสียงเพรียกที่เต็มไปด้วยความรัก ความคิดถึงจนหมดหัวใจ  มันทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องตื่นจากฝัน เจ็บที่ตัวเองจำใครคนนั้นไม่ได้  เจ็บ..เพราะรู้ว่าหัวใจของเขาเองก็คิดถึงและโหยหาเจ้าของเสียงในฝันนั้น แม้จะไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร..


จะนอนต่อก็หลับตาไม่ลง แม้ว่าตอนนี้เวลาเพิ่งจะตีสองเท่านั้น โคมไฟข้างเตียงสว่างขึ้น เด็กหนุ่มคว้าสมุดเสก็ตช์ภาพกับดินสอที่วางไว้ใกล้ๆกัน จัดหมอนให้สูง เอนหลังพิงกับหมอน ขยับตัวให้อยู่ในท่าสบายก่อนจะจับดินสอขีดเขียนลงไปบนกระดาษสีขาว


ยี่สิบนาทีต่อมา เด็กหนุ่มก็นั่งมองภาพวาดของตัวเองแล้วถอนใจ


ทำไมถึงต้องเป็นภาพนี้...?  ทำไมถึงต้องเป็นภาพเรือสีดำ เรือใบสีดำโบราณที่เคยเห็นแต่ในภาพยนต์ แต่กลับวาดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกชิ้นส่วน เสากระโดงเรือ กระดูกงู เชือกที่คอยยึดผืนผ้าใบไว้ยามที่กางเต็มใบรับลม กราบเรือ และทุกส่วนที่ประกอบกันเป็นเรือลำนั้น


ทุกครั้งที่มีเรื่องกังวลใจ พอได้วาดภาพเรือลำนี้ เขาจะรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นโคมไฟข้างเตียงก็ดับลงอีกครั้ง และเด็กหนุ่มก็หลับไปในที่สุด


จนรุ่งเช้าถึงได้ตื่นเพราะเสียงเคาะประตู ของคนคุ้นเคยที่มักจะแวะมามากกว่าสามเวลาต่อวัน


"ไง! โคตะ มาแต่เช้า"


"ทำไมนายเพิ่งตื่น?"


อิโนะโอะ เคย์ ปิดปากหาวเดินนำเข้าไปในห้องโดยไม่ตอบคำถาม เพราะรู้ว่าอย่างไรเสีย ลูกพี่ลูกน้องที่เติบโต เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก และยังรับหน้าที่ดูแลเขาด้วยในบางครั้งย่อมเดาได้ว่าทำไม


"อย่าบอกคุณอาเชียวนะ"


"ฉันเคยโกหกแม่ได้ซะที่ไหนล่ะ นายก็รู้ ยิ่งนายออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้แม่ยิ่งเป็นห่วงนะ"


"แค่ฝันเองน่า"


"ฝันเดิมๆซ้ำๆมาเป็นปีนี่ก็ไม่น่าจะเป็นแค่ฝันแล้วนะ  ที่จริงนะฉันว่านายควรจะ.."


ประโยคสุดท้ายลดเสียงลงอย่างระมัดระวัง  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่ยอมพูดต่อ เพราะเรื่องที่จะให้เคย์ลองไปปรึกษาจิตแพทย์เรื่องความฝันซ้ำซากที่เกิดขึ้นนั้น ทั้งตัวเขาเอง พ่อ แม่ เคยพูดกับเคย์อยู่หลายครั้ง แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมไปพบแพทย์ แม้ว่าจะยังคงฝันเดิมๆซ้ำมาเกือบสองปีแล้วก็ตาม


และโคตะก็เดาได้ว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เคย์ตัดสินใจย้ายออกมาอยู่ตามลำพังเมื่ออายุครบสิบแปด เหตุผลที่น้องบอกกับพ่อแม่ของเขาก็คืออยากออกไปเผชิญโลกกว้าง และหาเลี้ยงตัวเองตามธรรมเนียมเด็กอเมริกันอื่นๆ หากความจริงแล้วเป็นเพราะไม่อยากให้พ่อแม่เขาเป็นห่วงเรื่องความฝันซ้ำๆนี้ต่างหาก


"ถึงจะฝันซ้ำๆ แต่ฉันก็จำอะไรเกี่ยวกับฝันนั่นไม่ได้เลย แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารำคาญด้วย แต่ถ้าฉันรู้สึกว่าฝันมากจนใกล้จะเป็นบ้าเมื่อไหร่ ฉันจะไปพบจิตแพทย์ จะไปเช็คสมองอย่างละเอียดเลย รับรองได้"


"ฉันก็หวังว่าสไตล์การแต่งห้องแบบนี้จะไม่ได้มาจากความฝันนั่นด้วยก็แล้วกัน"


เข้ามาอยู่ในห้องนี้ทีไร โคตะก็ยิ่งรู้สึกว่าโทนสีในห้องนับวันจะมีแต่สีดำกับสีแดง ตรงมุมห้อง เตียงไม้ทรงกลมเสาทั้งสี่สลักลายงูสีดำพันเลื้อยลงจากด้านบน เกล็ดสีดำเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบเงาวับ ดวงตางูฝังด้วยพลอยสีแดงเป็นประกาย เหมือนจริงจนบางครั้งเขาคิดว่ามันขยับได้ ฟูกกลมกว้างตรงกลางปูด้วยผ้าสีขาว หมอนกลมสีนวลขลิบด้วยด้ายทอง ผ้าห่มที่ยังไม่ได้พับเก็บเป็นสีแดงเลือดนกปักด้ายทองรูปนกประหลาด เช่นเดียวกับผ้าม่านรอบเตียงที่ผูกโยงลงมาจากเพดานดูคล้ายกระโจมเล็กๆ ชายผ้าม่านรวบเก็บไว้กับเสาทั้งสี่ ด้วยเชือกเกลียวสีแดงสลับทองมีพู่ห้อย เครื่องใช้ตกแต่งเกือบทั้งหมดทำด้วยไม้ ทำให้รู้สึกเหมือนก้าวเข้ามาอยู่ในห้องยุคโบราณที่ไหนซักแห่ง จะมีก็แต่มุมที่จัดไว้เป็นครัว มีเครื่องใช้สมัยใหม่ผิดแผกจากมุมอื่นของห้อง


คนปกติเขาแต่งห้องกันแบบนี้หรือไง?


"นายไปเอาของพวกนี้มาจากไหน?"


"หืมม์ ของแต่งห้องเหรอ? ฮิคารุหามาให้น่ะ ที่บ้านของหมอนั่นรับซื้อเฟอร์นิเจอร์เก่าๆมาขายเอากำไรกับพวกเศรษฐี ของพวกนี้มันเก่าเกินไปจนไม่มีใครซื้อฉันก็เลยได้มาแบบราคาถูกสุดๆเลย"


คนเป็นน้องหันหลังเปิดตู้เย็นหยิบนมสด เล่าไปเรื่อยๆจึงไม่ทันได้เห็นว่า คิ้วของคนเป็นพี่ก็เริ่มจะขมวดเป็นปมมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จนกระทั่งหันกลับมาสบตากัน เคย์จึงคิดได้ว่าคุณนายยาบุ อาแท้ๆของเขาไม่ชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เก่าและโบราณ บางครั้งกลัวเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเรือสำเภาโบราณ สิ่งที่เขารักและผูกพันอย่างที่หาเหตุผลไม่ได้ ตอนอายุสิบสามเขาเก็บเงินซื้อเรือสำเภาจำลองที่อยากได้ แต่ชื่นชมได้ไม่ถึงวันอาสาวก็คว้ามันไปจากมือเขาแล้วเอาไปโยนทิ้ง โดยไม่บอกเหตุผลใดๆแม้แต่คำเดียว


และเขาก็ร้องไห้... ร้องเหมือนดวงใจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  ร้องจนล้มป่วยไปเป็นเดือนๆ แม้แต่หมอก็ยังหาสาเหตุไม่ได้  สุดท้ายคุณอาก็ต้องไปหาเรือจำลองลำนั้นมาคืนให้ อาการป่วยจึงหายไปอย่างอธิบายไม่ได้เช่นกัน


"นายจะบอกคุณอารึเปล่า ? เรื่องห้องนี่"


"บอกให้แม่เป็นลมไปอีกสิบตลบหรือไง? ไม่เอาล่ะ ยังไงก็ช่วยกลับไปกินข้าวทุกอาทิตย์ตามสัญญาด้วยก็แล้วกัน แม่จะได้ไม่ต้องตามมาถึงนี่"


เคย์รู้ว่าบางครั้งยาบุก็ค่อนข้างจะลำบากใจที่ต้องมาเป็นคนกลางระหว่างเขากับแม่ ทั้งๆที่ปัญหาระหว่างกันนั้นก็มีเพียงเรื่องเดียว  ยาบุมองว่าความชอบของน้องเป็นเรื่องส่วนตัว แม้ว่าบางครั้งจะดูหมกมุ่นไปบ้าง นั่นไม่ใช่ปัญหา  ...


"รู้ไหมเคย์ บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าแม่กลัวจนเกินเหตุ อย่างเรือสำเภานี่"  โคตะเดินไปหยิบเรือจำลองลำเล็กทำด้วยไม้ ที่วางประดับบนชั้นหนังสือข้างเตียงขึ้นมาดู "ฉันว่ามันก็สวยดี ไม่แปลกที่นายจะชอบ ถึงบางครั้งมันจะดูเยอะไปหน่อยก็เถอะ" ละสายตาจากเรือจำลองในมือ ไล่มองเรื่อยไปตั้งแต่โต๊ะข้างเตียง ชั้นหนังสือ โต๊ะกินข้าว ภาพวาดที่ประดับอยู่บนผนัง หรือแม้แต่บนหลังตู้เย็น


ทั่วทุกตารางนิ้วภายในห้อง........ ไม่มีที่ว่างให้สิ่งอื่นนอกจากเรือสำเภาสีดำลำนี้ บางทีแม้แต่ที่ว่างภายในหัวใจของเจ้าของห้องด้วยเช่นกัน










........................................................................








"มาแล้วว !! วู้วว!!!"


เด็กหนุ่มร่างผอมกระโจนเข้าห้องทันทีที่ประดูแง้มเปิด ตรงไปทักทายเจ้าของห้องที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่ได้สำเหนียกเลยแม้แต่น้อยนิดว่าใครเปิดประตูให้


"อ้าว!! นายอยู่นี่ด้วยเหรอ?"


ฮิคารุเอ่ยปากทักอย่างเสียไม่ได้ และโคตะก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย เคย์ถอนใจน้อยๆ  นึกสงสัยว่าทำไม คนสองคนที่ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อนถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ต่อกันได้  ฮิคารุ เพื่อนรักไม่ชอบหน้าพี่ชายเขา เพราะโคตะเป็นคนเข้มงวด คอยถามอยู่เสมอว่าไปไหน กลับเมื่อไหร่  ผิดกับฮิคารุที่รักอิสระอย่างสุดขั้ว จะไปไหนมาไหนไม่เคยต้องรายงานใคร พี่ชายเลยถูกเพื่อนรักค่อนแคะเอาบ่อยๆว่าเป็นตาแก่ แล้วคนถูกว่าก็ทำหูทวนลมเมินทั้งคำพูดและคนพูดไปเสียอย่างนั้น


"จะออกไปข้างนอกกันเหรอ"


โคตะเอ่ยถาม ไม่ใส่ใจเสียงจึ๊กจั๊กเป็นเชิงรำคาญของฮิคารุ


"ไปดูหนังน่ะ ไปด้วยกันมั๊ยล่ะ"


เคย์ถาม ไม่ใส่ใจเพื่อนรักที่ส่ายหน้าระรัวหัวจะหลุดอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันไปจ้องหน้าโคตะเป็นเชิงขู่


"ไปสิ"











........................................................................









ก็นึกอยู่แล้ว ว่าคงไม่ไปดูหนังกันแค่สองคนแน่ๆ เพราะเมื่อไปถึงหน้าโรงหนัง โคตะก็พบว่ามีใครอีกคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว มิน่าฮิคารุถึงไม่อยากให้เขามาด้วย


อาซากะ โคได  โคตะไม่ใส่ใจจะจำว่าหมอนี่เป็นญาติฝ่ายไหนของฮิคารุ  ที่รู้ๆคือหมอนี่คอยมาเกาะแกะกับน้องเขาได้พักหนึ่งแล้ว โดยมีฮิคารุคอยสนับสนุน ซึ่งโคตะจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าไอ้ร่างสูงตาตี่ที่ยืนอยู่ข้างหน้านี่ไม่ได้มีประวัติเพลย์บอยยาวเป็นหางว่าว


"นายมาด้วยเหรอ?"


"มาไม่ได้หรือไง?"


อีกฝ่ายเพียงแต่ยิ้มตอบรอยยิ้มยียวนของโคตะ แต่กลับไปทำตายักษ์ใส่ฮิคารุที่ทำสีหน้าเจื่อนๆ ยิ้มแหยๆเป็นเชิงขอโทษ


"พอดีว่าซื้อตั๋วไว้แค่สามใบน่ะ"


"งั้นก็ไปซื้อเพิ่มสิ ไปกันเถอะ เคย์"


สองพี่น้องเดินจูงมือกันไปเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ สองคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังจึงยิ้มออกมาอย่างมีชัย


"ฝันไปเถอะ หนังเรื่องนี้ถ้าไม่จองล่วงหน้าก็หวังว่าจะได้ดูเลย"


"ต่อให้โชคดีได้ตั๋วมา ก็คงไม่ได้นั่งแถวเดียวกันหรอก"


แต่ทั้งสองคนไม่เคยรู้หรอกว่าโคตะนั้นเป็นคนที่มีโชคอย่างเหลือเชื่อ สิบนาทีต่อมา สองพี่น้องก็จูงมือกันเดินกลับมาพร้อมตั๋วอีกหนึ่งใบในมือของโคตะ หมายเลขแถวและที่นั่งต่อจากตั๋วที่อยูในมือของอาซากะพอดีเป๊ะ!!!


"เฮ้ย!!!"


ฮิคารุมองตั๋วในมือพี่ชายเพื่อนตาแทบถลน อาซากะเองก็ถึงกับซ่อนอารมณ์หงุดหงิดไว้แทบไม่ได้


"พอดีมีคนจองแล้วยกเลิกไป โชคดีจริงๆเลยน๊า~"


แม้แต่เคย์ยังหัวเราะน้อยๆไปกับความโชคดีของพี่ชาย แต่อีกสองคนกลับหัวเราะไม่ออก ได้แต่เดินตามโคตะและเคย์เข้าไปในโรงหนังอย่างคับแค้นใจ










........................................................................








ฮิคารุกัดฟันเดินตึงๆออกมาจากโรงหนัง ทำมั๊ยยยยย!!! ทำไม!!! นานทีปีหนถึงจะมีโอกาสให้อาซากะกับเคย์ได้ใกล้ชิดกัน เหตุใดสวรรค์ถึงได้ส่งไอ้หน้าปลากระเบนนี่มาเป็นก้างซะได้  วางแผนเรื่องที่นั่งกันไว้ดิบดี ดันทำเสียเรื่องหมด ตอนจองตั๋ว ฮิคารุกะไว้ว่าจะให้เคย์นั่งตรงกลางระหว่างตัวเขากับอาซากะ พอมีคนเพิ่มเป็นสี่คน ฮิคารุก็คิดว่ายาบุจะต้องนั่งถัดจากเขา แต่หมอนั่นดันให้อาซากะเข้าไปนั่งก่อน พอเขาเผลอก็ผลักเขาลงไปนั่ง แล้วตัวเองก็นั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนให้เคย์นั่งท้ายแถว


แผนสำรองที่ฮิคารุจะแกล้งออกไปเข้าห้องน้ำแล้วให้เคย์ขยับเข้าไปใกล้อาซากะ เพื่อไม่ให้รบกวนคนดูอื่นๆตอนเขากลับเข้ามานั้นเป็นอันจบ!!


ส่วนแผนจะให้ทั้งสองคนไปดินเนอร์กันสองต่อสอง  ....  เลิกคิดไปได้เลยเพราะเคย์ตอบปฏิเสธคำเชิญของอาซากะด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและเกรงใจ


"มีนัดทานข้าวกับที่บ้านน่ะครับ"


อ๊ากกกกกก!!!!! แล้วชาตินี้ชาติไหนที่คนเก็บเป็นนิสัยตัวอย่างเพื่อนซี้จะมีเวลาออกไปเที่ยวไหนได้อีก ขัดใจจนอยากจะทึ้งหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอหมอนั่นพาเคย์เดินห่างออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมายิ้มให้เขาด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์แบบสุดๆ


"นายก็มาด้วยกันสิ ฮิคารุ"


"เอ๋?!"


"แม่ฉันอยากรู้จักนายแน่ะ"


งานเข้า!!! ไม่รู้ว่าหมอนี่ไปเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเขาไว้บ้าง คุณนายยาบุถึงอยากเจอหน้าเพื่อนของหลานชายขึ้นมา


"เร็วซิ ไปกัน"


ไม่พูดเปล่าเดินกลับมาจูงมือฮิคารุให้เดินตามไปด้วย ทิ้งอาซากะไว้เพียงคนเดียวโดดเดี่ยวอยู่หน้าโรงหนัง










........................................................................







ฮิคารุปล่อยให้โคตะจูงมือไปถึงบ้านแบบงงๆ จนคุณนายยาบุที่มาเปิดประตูต้อนรับถึงกับถามว่า


"นี่แฟนโคตะเหรอลูก?"


ฮิคารุร้องจ๊ากก!! สะบัดมือหนีไปเกาะอยู่ข้างหลังเพื่อน แนะนำตัวเองผิดๆถูกๆ ไม่กล้าสบตาเจ้าของบ้านกันเลยทีเดียว ไอ้หน้าเหลี่ยมข้างๆนี่ก็หัวเราะอยู่ได้


"ก็จูงมือกันมาตลอดทางนี่เนอะ ฉันเลยกลายเป็นส่วนเกินไปเลย"


"อย่ามาจับคู่ให้กันแบบนี้นะเคย์ ฉันไม่ชอบ"


"ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน"


น้ำเสียงเรียบๆแต่หนักแน่นจริงจัง ทำให้ฮิคารุพูดอะไรไม่ออก ยืนนิ่งจนโคตะต้องตบไหล่เบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ


"เคย์แค่บอกให้รู้ไว้เฉยๆ เขาไม่ได้โกรธนายหรอก"


"รู้แล้วน่ะ!!"


ฮิคารุตอบกลับห้วนๆ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเคย์เป็นคนแบบไหน แต่ที่ทำให้หงุดหงิดก็คือมือหนาที่ตบปุๆบนไหล่ของเขานี่ละ มันทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ยังไงบอกไม่ถูก


เคย์ร่าเริงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ร่วมโต๊ะทานอาหารพร้อมหน้ากับครอบครัว แต่หลังจากที่ฮิคารุเผลอบอกไปว่า หนังที่ไปดูด้วยกันวันนี้ มีแต่เรือสำเภาแบบโบราณอย่างที่เคย์ชอบเต็มไปหมด คุณนายยาบุทิ้งช้อนลงบนจานดังเคร้ง ใบหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นเครียดขรึม เธอจ้องมองลูกชายตัวเองอย่างตำหนิ ก่อนจะเอ่ยปากเตือนหลานชาย


"อาเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอาไม่ชอบ"


"แต่ผมชอบ"


เคย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ วางมือจากอาหารตรงหน้าขึ้นสบตากับอาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันตรงๆ


"ทำไม? ทั้งๆที่อาเคยขอไปแล้วว่าอย่ายุ่ง อย่าสนใจกับเรื่องพวกนี้ หลานอยากได้อะไร อยากทำอะไรอาตามใจทุกอย่าง แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ทำไมให้อาไม่ได้"


"เพราะผมไม่เข้าใจครับ ว่าทำไมคุณอาถึงห้าม คุณอาไม่เคยบอกเหตุผล"


"เด็กไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลไปเสียทุกอย่างหรอก แค่ทำตามที่ผู้ใหญ่บอกก็พอแล้ว"


"อีกไม่กี่เดือนผมก็อายุครบยี่สิบ นั่นยังเป็นผู้ใหญ่ไม่พอหรือครับ"


คุณนายยาบุนิ่งไปอย่างอับจนคำพูด แต่ยังมีสีหน้าดื้อรั้น เช่นเดียวกับแววตาดื้อรั้นในสีหน้าเรียบเฉยของหลานชาย โคตะสบตากับพ่อแล้วแทบจะกุมขมับ สองอาหลานนิสัยดื้อถอดกันมาไม่มีผิดเพี้ยน หากตัดสินใจอะไรลงไปแล้วจะไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ


"คุณอากลัวว่าผมจะจำอะไรได้หรือครับ หรือว่าสมบัติในกองมรดกของผมมีเรือแบบนั้นอยู่ด้วย"


คุณนายยาบุยกมือขึ้นทาบอก ทำท่าเหมือนจะเป็นลมและอยากจะร้องไห้พร้อมๆกัน  เป็นอย่างนี้เสียแล้วเคย์ก็จะใจอ่อนไปเสียทุกครั้ง เพราะอย่างไรเสีย เด็กหนุ่มก็รู้ว่าผู้เป็นอารักเขามากเพียงใด


"ต่อให้มีเรือแบบนั้นจริงๆ ป่านนี้ญาติๆทางโน้นคงจะเอาไปใช้พร้อมกับสมบัติอื่นๆแล้วละครับ คุณอาไม่ต้องห่วงว่าผมจะอยากได้คืนหรอก ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมไม่สนใจ"


"ที่จริง ยังมีทรัพย์สินบางส่วนที่พวกเขาไม่สามารถเอาไปได้ พ่อของหลานทำพินัยกรรมเอาไว้ก่อนตาย เมื่อหลานอายุครบยี่สิบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งจะตกเป็นของหลานโดยชอบธรรม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นของอาหญิง"


อาเขยของเคย์พูดขึ้นมาบ้างหลังจากที่นั่งเงียบๆอยู่นาน คนฟังถึงกับขมวดคิ้วเพราะไม่เคยได้รับรู้มาก่อน


"ถึงหลานจะไม่ใส่ใจ แต่ก็ต้องรับรู้ไว้บ้าง ทรัพย์สินพวกนั้นเป็นของพ่อหลานและมันจะกลายเป็นของหลานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า"


"แล้วก่อนหน้านั้นมันเป็นของใครมาก่อนหรือครับ คุณอาพูดเหมือนผมไม่รู้ว่าวงจรสมบัติในตระกูลของผมเป็นยังไง"


เคย์ถอนหายใจหนัก นึกถึงจุดจบของครอบครัว คิดถึงพ่อ แม่... และวันสุดท้ายที่ได้อยู่ร่วมกัน


"ผมไม่อยากเป็นแบบพ่อ"










........................................................................









"เคย์ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย"


ตั้งแต่ออกจากบ้านเขา ไปส่งเคย์ที่ห้อง ตลอดทางจากห้องของเคย์จนถึงบ้านของฮิคารุ  โคตะเพิ่งได้ยินเจ้าตัวพูดออกมาเป็นประโยคแรก แม้แต่ตอนที่เคย์บอกให้เขามาส่ง ทั้งๆที่เกลียดขี้หน้าเขา ฮิคารุก็ยังไม่ปฏิเสธซักคำ จนถึงประตูบ้าน


ที่แท้มัวแต่น้อยใจเรื่องนี้นี่เอง


"ทำไม? ทั้งๆที่เราสนิทกันขนาดนี้ หรือเคย์กลัวว่าฉันจะเป็นพวกเห็นแก่เงินเหมือนญาติๆที่โน่น ฉั-"


ประโยคตัดพ้อถูกปัดหายไปด้วยแรงผลักเบาๆที่ศรีษะจากคนที่เดินตามมา โคตะมองฮิคารุเหมือนเห็นตัวประหลาดน่าขัน ไม่สงสัยเลยว่าทำไมน้องถึงได้ขอให้เขามาส่งเพื่อนซี้จอมจุ้น เห็นร่าเริงแบบนี้ไม่รู้เลยว่าเป็นคนคิดมาก


"ผลักทำไมวะ?!"


"บ่นทำบ้าอะไรของนาย  ไร้สาระ"


"ไร้สาระตรงไหน ฉันรู้จักเคย์มากี่ปี เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่เขามีด้วยซ้ำ  เพื่อนกันมันต้องแชร์ความรู้สึกทั้งสุขและทุกข์ร่วมกันสิ แล้วทำไม?"


"ก็เพราะว่ามันไม่สำคัญไงล่ะ ไม่ใช่นาย! ฉันหมายถึงเรื่องมรดกแล้วก็ .. เรื่องญาติๆของเรา"


โคตะรีบพูดเพราะฮิคารุเริ่มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้


"เรื่องมันก็นานมาแล้ว ตอนนั้นทั้งฉันและเคย์ยังเด็ก จำอะไรได้ไม่มาก รู้แค่แม่แต่งงานกับพ่อแล้วก็ย้ายมาอยู่อเมริกา พอคุณลุงคุณป้าเสียก็ไปรับเคย์มาอยู่ด้วย  เรื่องสมบัติอะไรนั่นเราไม่เคยพูดถึงมัน ไม่เคยสนใจมันด้วย"


"ไม่จริงน่ะ สมบัติมากมายขนาดนั้น ทำเป็นไม่สนได้ไง"


"ถึงจะมีมากขนาดไหน ผ่านมาเกือบสิบห้าปี ป่านนี้คงไม่เหลือแล้วล่ะ"


"ก็ไหนว่าพินัยกรรม?"


"คนโลภแบบญาติๆฉันน่ะคงจะมีวิธีเอาไปได้อยู่แล้ว นายอย่าเป็นห่วงเรื่องพวกนั้นเลย พ่อ แม่ ฉัน หรือแม้แต่เคย์ ไม่เคยสนใจของนอกกายอย่างนั้น ไม่งั้นคงนั่งกินนอนกินบนกองมรดกไปนานแล้ว"


ฮิคารุฟังพลางคิดตาม ถ้าเคย์ไม่พูดถึงก็แสดงว่าไม่ได้ใส่ใจจริงๆ แต่ฮิคารุก็อดเสียดายแทนไม่ได้ ถ้าหากว่าไม่เกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวป่านนี้เคย์คงไม่ต้องลำบากทำงานส่งตัวเองเรียนเหมือนทุกวันนี้


แล้วความคิดก็แล่นไปหาใครอีกคนอย่างช่วยไม่ได้  เล่าให้อาซากะฟังดีมั๊ยนะ..


"อย่าได้คิดเชียวนะ"


โคตะขัดขึ้นมาทันที ฮิคารุทำหน้างง เมื่อกี๊เขาคิดดังไปเหรอ?


"ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว นายเป็นเพื่อนสนิท รู้ก็ไม่เป็นไร แต่อาซากะเป็นคนอื่น เคย์คงไม่ชอบหรอกถ้าเกิดหมอนั่นไปแกล้งทำเป็นเห็นอกเห็นใจเรื่องที่เจ้าตัวเค้าไม่อยากให้รู้น่ะ"


"ทำไมนายถึงมองอาซากะในแง่ร้ายแบบนั้น หมอนั่นไม่ใช่พวกหลอกลวงซักหน่อย"


โคตะเลิกคิ้วเป็นเชิงล้อเลียนคนพูด ขนาดคนที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกับอาซากะอย่างเขา กิตติศัพท์ความเจ้าชู้จีบไม่เลือกหน้ายังลอยมาเข้าหูอยู่บ่อยๆ


"นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้หมอนั่นก็ไม่ได้มีใครมาตั้งนานแล้ว"


"แค่นายไม่เห็น ไม่ได้แสดงว่าไม่มีนี่ อีกอย่างเคย์ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ชอบน่ะ"


ฮิคารุเปิดประตูเข้าบ้านไปอย่างหงุดหงิดใจ แต่ก็ยังไม่ลืมขอบคุณโคตะตามมารยาท ร่างสูงยืนรอจนประตูบ้านปิดสนิทจึงได้ออกเดินไปตามทางเดิมเพื่ออกไปสู่ถนน พลางครุ่นคิดถึงบางสิ่ง


เรือสีดำ..


เหมือนเคยเห็นที่ไหน?


แต่ความคิดทั้งหมดพลันวูบหายเมื่อโคตะเดินเลี้ยวออกจากหัวมุมถนน  สัมผัสหนักๆตรงท้ายทอยทำให้ร่างสูงล้มลงโดยที่ไม่ได้ร้องออกมาแม้แต่คำเดียว












........................................................................








เรือสีดำ...


เป็นอย่างที่คิด ... อดีตของเราต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรือสีดำแน่ๆ อาหญิงถึงได้คอยกันเราออกจากมันนัก และครั้งใดที่เขาถามถึงมัน คุณอาทั้งสองก็จะหาเรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจอยู่เรื่อย


แต่เขาไม่รู้.. ความทรงจำนี้อาจเป็นดังผืนทรายราบเรียบใต้ท้องทะเลลึก หนังที่ไปดูมาวันนี้ก็ทำได้แค่ปัดทรายนั้นให้ฟุ้งขึ้นมาชั่วครู่


เหมือนจะนึกออก แต่แล้วมันก็หายวับไป เป็นแบบนี้ทุกครั้งจนเหนื่อยใจไม่อยากคิดถึงมันอีก


"เฮ้อ~"


ร่างบางล้มตัวลงนอนบนฟูกสีขาวสะอาด คิดในใจว่าถ้าหากวันหนึ่ง.. ได้ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่บนเรือสีดำลำนั้น แล่นเรือท่ามกลางเสียงคลื่นและสายลม


คงจะดีไม่น้อย...



ในห้องเงียบสนิท มีเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของร่างบางที่หลับสนิทไปแล้ว ทำให้บางสิ่งในห้องเริ่มเคลื่อนไหว


ดวงตาของลายสลักรูปงูบนเสาเตียงทั้งสี่เริ่มเปล่งแสง เกล็ดสีดำเลื่อมพรายสะท้อนแสงจากภายนอกยามที่ค่อยๆเลื้อยลงมา งูทั้งสี่คาบปลายเชือกที่คล้องไว้กับเสาเตียงแล้วเลื้อยกลับไปด้านบน ปล่อยผ้าม่านที่ถูกรวบทั้งสี่ด้านไว้ลงมา


ปกป้องทุกสิ่งที่อาจรบกวนหรือทำร้าย ... ร่างบางที่กำลังหลับไหลนี้



...หลับเถิดนายท่าน...อีกไม่นานท่านจะได้สมปรารถนาในทุกสิ่งที่ต้องการ...







........................................................................




...ติดตามตอนต่อไป...





3 comments:

  1. เรือสีดำๆ ห้องอิเคย์แลดูน่ากลัวจริงๆนั่นแหละนะ 555+

    อ่าา รอตอนต่อไป อิอ้วนจะมารับรึยัง อิเคย์โตพร้อมใช้ละนะ 555+

    ReplyDelete
  2. เมื่อคืนนอนอ่านแบบแหกขี้ตา นึกว่าปี้เจ้าแต่งฟิคทาคาบุ บังเอิญจำคำว่าคุณและคุณนายยาบุมาพาหลานตัวน้อยไปเลี้ยงใช่ป่ะ น้องนึกว่าหลานที่คุณและคุณนายยาบุพาไปเลี้ยงจะใช้นามสกุลยาบุ กร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก พอเจอคอมเม้นมี๊ประถึงได้ตาสว่างกลับไปอ่านทวนอีกรอบ โอ๊ยยยย ฮาตัวเอง คิดไปนู่น แล้วไม่สงสัยเลยนะว่าอิบุกับชายมาอยู่ด้วยกันได้ไงอ่ะ

    ReplyDelete
  3. ปกติไม่อินคู่นี้
    แต่เรื่องนี้สนุกดี

    ลืมตาตื่นมาอีกทีจะไปโผล่กลางทะเลรึเปล่านะ

    แล้วบุโดนอาถรรพ์เข้าให้เหรอนั่น

    ReplyDelete