Sunday 2 March 2014

[Fiction]ด้วยแรงอธิษฐาน[อดีตที่หวนคืน]

ชื่อเรื่อง   -:-            ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ อดีตที่หวนคืน ]


ผู้แต่ง      -:-            นาฬิกาแก้ว [ Nalikakeaw ]


คำนำเรื่อง     -:-      ฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแนวแฟนตาซีหลายๆเรื่อง เพราะงั้นถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าเจออะไรคุ้นๆล่ะก็ อย่าแปลกใจค่ะ เพราะอย่างน้อยเรือไข่มุกดำแห่งท้องทะเลย่อมจะมาจากหนังเรื่องที่มีป๋าเด็ปป์เป็นโจรสลัดสุดฮาแน่นอน


                    ส่วนชื่อเรื่อง ขอบอกว่าได้มาจากบทเพลงของพี่แหม่ม พัชริดา จำได้ว่าเป็นเพลงประกอบละครเมื่อนานมาแล้ว โดยส่วนตัวชอบเสียงพี่แหม่มมาก และเนื้อเพลงก็เข้ากับพล็อตพอดี ก็เลยเอามาเป็นชื่อเรื่องมันซะดื้อๆนี่แหละ






                ร่างบางลืมตาตื่นกลางดึกเพราะความฝันอย่างทุกครั้ง     มือเรียวเอื้อมไปเปิดสวิชต์โคมไฟ  ตั้งใจจะวาดภาพเรือสีดำจากความฝันเช่นเคย   หากแต่ลายเส้นที่ปรากฏบนกระดาษ กลับกลายเป็นเค้าโครงใบหน้าของใครคนหนึ่ง    ที่เคย์จำไม่ได้ว่าเคยได้พบกันที่ไหน..หรือเมื่อไหร่...


                แต่กลับจำได้อย่างเม่นยำ..


                โครงร่างสูงสง่าที่ปรากฏตัวบนดาดฟ้าชั้นสองของเรือสีดำ....    เสียงรองเท้ากระทบพื้นเรือเมื่อร่างนั้นก้าวลงบันได...  ปีกสีดำ


                ปลายดินสอที่กำลังลากเส้นสายจรดนิ่งบนกระดาษ  ก่อนที่สมุดภาพจะถูกโยนกลับไปไว้ที่โต๊ะตรงหัวเตียง



                ทำไมกัน...


                เคย์ไม่เข้าใจตนเองเลยว่าทำไม....


                ทำไมอยู่ๆถึงจำความฝันได้อย่างแม่นยำนัก...ทั้งๆที่ไม่เคยจำได้มาก่อน  


                ความฝันในคืนวิวาห์บนเรือสีดำยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ...ใบหน้าหล่อเหลาของปีศาจยังประทับอยู่ที่ดวงตา


                ยิ่งไปกว่านั้น....


                ภาพร่างกายเปลือยเปล่าของคนสองคนกอดก่ายร้อนแรงอยู่บนเตียงสี่เสาสลักลายงูนั้น  ... ชัดเจนเหมือนจริงเสียจนไม่สามารถสลัดออกจากความคิดได้    ไอร้อนจากอ้อมแขนแกร่งยังไม่จางหาย  ราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งคลายอ้อมกอดไปก่อนหน้าที่เขาจะตื่นจากฝันเพียงเสี้ยววินาที


                เคย์เอนตัวลงนอนทั้งๆที่ยังร้อนวูบวาบไปทั้งตัว  ในใจสับสนครุ่นคิดถึงความฝัน   ในความฝันนั้นเคย์คือเจ้าสาว  ตัวสั่นหวาดกลัวยามที่ต้องอยู่ในอ้อมแขนของปีศาจ   แต่ไม่รู้สึกรังเกียจ   ตรงกันข้าม..แม้จะน่าละอายแต่ตัวเขาก็ยอมรับว่าตนเองที่ในฝันนั้นอ่อนไหวไปกับแรงปรารถนาของอีกฝ่าย


                ร่างบางข่มความรู้สึกเขินอายที่ไม่รู้ว่าเกิดเพราะความฝันประหลาด  หรือเป็นเพราะนายแห่งเรือสีดำในฝัน กันแน่  พลิกตัวไปมาอยู่นานจนกระทั่งหลับ  โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า  ปีศาจรูปงามในฝันนั้นได้เฝ้ามองร่างบางจากมุมหนึ่งในห้องด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่ร่างบางแสดงออกเมื่อครู่


                “เจ้ารังเกียจข้างั้นหรือ? ...เคย์”







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







                ความฝันที่ชัดเจนเหมือนจริงนั้น  ทำให้เกิดคำถามมากมาย  เสียจนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนก่อน  เคย์ลืมเรื่องของอาซากะไปเลยด้วยซ้ำ  เพราะเพียงชั่วเวลาข้ามคืน  เมื่อลืมตาตื่น  ก็เอาแต่คิดถึงคนในฝัน  ทีแรกคิดด้วยความสงสัยว่าตนเองอาจจะอ่านนิยายแนวแฟนตาซีมากเกินไปหน่อย  เลยเก็บเอามาฝัน   แต่หลังจากนั้น  เคย์ก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว 


                ไม่ใช่เพียงแค่ฝันถึงคืนวิวาห์นั้นในหลายๆคืนต่อมา  แต่ในฝันนั้น  เคย์ได้ยิน...เสียงกระซิบเรียกหาของปีศาจตนนั้น  ชัดเจนเสียจนรับรู้ได้ถึงความคิดถึง....ห่วงหามากมายที่มีต่อเขา


                เคย์....เด็กน้อยของข้า...


                ประหลาดเหลือเกิน   อยู่ดีๆน้ำตารื้น  ในอกตื้นตันด้วยความคิดถึงคนที่ปรากฏตัวเพียงในฝัน


                หลายวันแล้วที่เคย์เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง  ครุ่นคิดวกวนถึงแต่ความฝันและปีศาจตนนั้น  แล้วสุดท้ายก็คิดอะไรไม่ออก  ล้มตัวลงนอนบนเตียงสี่เสา   กลับไปสู่ความฝันในคืนวิวาห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


                        โดยไม่รู้เลยว่า..ผู้เป็นนายแห่งเรือสีดำนั้น  ได้ปรากฏตัวอยู่เคียงข้าง   มอบอ้อมแขนและไออุ่น  คอยบันดาลฝันให้แก่ผู้ที่อยู่ในนิทราอยู่ทุกค่ำคืน


                ...เคย์ ข้าคิดถึงเจ้า...







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







                เมื่อลืมตาขึ้นในตอนเช้าของวันใหม่   เคย์ก็ตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้ความสงสัยรบกวนจิตใจอีกต่อไป  หลังจากที่ทานอาหารเช้า ซึ่งมีเพียงซีเรียลกับนม  ร่างบางก็แต่งตัวคว้ากระเป๋าเป้คู่ใจ  ออกจากห้อง   มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่คิดว่าจะมีคำตอบให้แก่เขาได้


                แต่หลังจากที่ใช้เวลาไปตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  เคย์ก็ต้องพบกับความผิดหวัง  หนังสือในหอสมุดของมหาวิทยาลัย ไม่มีเล่มใดเลยที่เอ่ยถึงเรือปีศาจสีดำ  ทั้งในนิทาน  ตำนานเก่าแก่  เรื่องเล่าหรือคำร่ำลือใดๆ


                ราวกับว่าเรือลำนั้นไม่เคยปรากฏบนโลกนี้...


                        แต่ถ้ามันไม่เคยมีอยู่...เหตุใดเคย์จึงคอยแต่จะฝันถึงเล่า   เขามั่นใจว่าเขาต้องเคยเห็น  หรืออ่านเรื่องราวของเรือลำนั้นจากที่ไหนซักแห่ง  ไม่อย่างนั้นมันจะไม่อยู่ในความทรงจำจนทำให้เคย์ฝันเห็นอยู่ทุกคืนได้หรอก


                เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด  จึงทำให้ไม่สังเกตเห็นใครบางคนที่เพิ่งเดินสวนไป 


                ทีแรกอาซากะพยายามจะถอยห่างเมื่อเห็นเคย์เดินมุ่งตรงเข้ามา  ด้วยมีความผิดชนักติดหลังที่คิดจะทำร้ายเคย์เมื่ออาทิตย์ก่อน  นัยน์ตาสีแดง เสียงหัวเราะเยือกเย็นของงูที่ยังฝังใจ  ทำให้อาซากะเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดๆ  แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาด้วยซ้ำ  ความเจ็บแค้นก็เข้าแทนที่ความกลัว


                ไม่ว่าเมื่อไหร่...อาซากะก็ไม่เคยได้มีตัวตนอยู่ในสายตาของเคย์   ความโกรธที่พลุ่งพล่านทำให้อาซากะก้าวตามหลังเคย์ไปอย่างรวดเร็ว  จนระยะเหลือเพียงก้าวเดียวก่อนจะถึงตัว  ก็มีใครบางคนเข้ามาขวางเอาไว้


                ยามาชิตะ โฉะอง  และอายูคาว่า  ไทโย  คนหนึ่งเพื่อนร่วมชั้นของเคย์และเป็นญาติของฮิคารุที่อาซากะไม่อยากจะนับญาติด้วย  คนหนึ่งเป็นเพื่อนสนิทของยาบุ  โคตะ  ทั้งสองรู้จักสนิทสนมกับเคย์  และชังขี้หน้าอาซากะพอๆกับที่อาซากะเกลียดทั้งสองคน   และตอนนี้ไอ้คนที่ตัวสูงกว่าใครนั่นก็กำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาไม่ชอบใจ


                อาซากะจำเป็นต้องออกจากตรงนั้นอย่างช่วยไม่ได้


                “โธ่โว้ย!!!!!


                อาซากะเข่นเขี้ยวกับตัวเอง  นึกเจ็บใจว่าคนอย่างเขา เกิดมาโชคดีมีพร้อมทุกอย่าง  แต่กลับโชคร้ายเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว  ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก  เขาไม่เคยได้มีโอกาสได้พบหรือพูดคุยกับเคย์ตามลำพังเลย  มักจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง  หรือใครบางคนมาขัดขวางไปเสียทุกครั้ง  ถึงจะมีฮิคารุคอยช่วยแต่ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า 



                ราวกับมีใครสักคน...คอยบงการให้ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







                “ช่างตื๊อจริงเจ้ามนุษย์นั่น  เหตุใดท่านจึงไม่กำจัดเสียเล่า”


                        บัดนี้ไดกิยืนอยู่กลางห้องมืดๆ บนชั้นสามของบ้านหลังหนึ่ง ตั้งอยู่บนถนนสายเก่าแก่  ที่สร้างด้วยมนตรา แทรกอยู่กลางมหานครอันทันสมัย  ไม่มีมนุษย์ผู้ใดรับรู้ว่ามันมีอยู่  และเฉพาะคน”พิเศษ”  บางคนเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้ามา


                ที่แห่งนี้...เป็นที่อาศัยชั่วคราวของเหล่าภูตและปีศาจ  ที่ติดตามนายของมันมาจากโลกของปีศาจ เพื่อมาคอยปกป้องคุ้มครองเคย์ในแดนมนุษย์  ห้องมืดๆที่ไดกิยืนอยู่นั้นเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการ  ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมตัวใหญ่ทำจากไม้สีเข้ม  บนโต๊ะมีอ่างโลหะทรงกลมใส่น้ำ   เมื่อร่ายมนต์ลงไป  มันจะกลายเป๋นกระจกที่สะท้อนภาพสถานที่ใดๆ หรือผู้ใดก็ได้  ตามแต่ความต้องการของผู้ร่ายมนต์


                        ภาพที่ปรากฏในกระจกวารี   คือมนุษย์นามว่า อาซากะ  โคได  สิ่งที่คนคนนี้ได้กระทำต่อเคย์ไม่ว่าจะในภพก่อน หรือภพนี้  ก็มีแต่ทำให้ผู้เฝ้าดูขุ่นเคือง  ทว่าผู้ที่ควรจะเดือดเนื้อร้อนใจจากการกระทำของอาซากะมากที่สุดนั้น  กลับนั่งนิ่งไม่กล่าวอะไร  ยิ่งทำให้ไดกิไม่พอใจหนัก 


                 ในอดีตกาลนั้น  เคย์เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ยอมรับในตัวตนอันแปลกประหลาดของไดกิได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ  ทั้งสองจึงเป็นสหายสนิท  และแม้เวลาผ่านไปกี่ร้อยปี  มิตรภาพก็ไม่เคยลบเลือน


                “ให้ข้าสร้างลมพายุหอบเจ้านั่นมาให้เคย์โตะจับมันแช่แข็งแล้วเอาไปโยนกลางทะเลดีไหม? ไดจัง  แบบนี้อาซากะจะได้ไม่มากวนใจพี่สะใภ้อีก”


                ไดกิตวัดสายตาขุ่นเคืองไปทางคนช่างพูด  รู้ทั้งรู้ว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจกำจัดอาซากะไปได้  ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นยังมีจิตใจยึดมั่นอยู่กับเคย์  ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่สักกี่ครั้ง  อาซากะ โคได ก็จะตามรังควาญเคย์อย่างนี้เรื่อยไป  จนกว่าจะได้ในสิ่งที่หวัง  หรือไม่ก็เป็นฝ่ายถอดใจยอมแพ้เสียเอง  ซึ่งประการหลังนั้น เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก


                “หึ! ฆ่าไม่ได้  แล้วยังต้องคอยคุ้มครองเจ้านั่นเสียด้วย  ไม่เช่นนั้น  อาซากะอาจจะตายซะก่อนจะได้ตัดใจ”


                “เพราะเหตุใดกัน?”


                คราวนี้ ยูยะ ปีศาจผู้เป็นนายแห่งเรือสีดำเป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้างหลังจากเงียบมานาน


                “ข้าคิดว่า บุตรทั้งสามของท่าน  ได้ออกจากแดนปีศาจมาตามหาแม่ที่โลกมนุษย์นี่แล้วน่ะสิ  ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของพวกเขา  ตอนที่ไปบ้านของยาโอโตเมะ”


                ใบหน้าเคร่งขรึมเริ่มกลายเป็นเคร่งเครียด “ต่อให้พบกันตอนนี้ เคย์ก็ยังจำอะไรไม่ได้  มีแต่จะเสียใจก็เท่านั้น” ถอนใจพลางหั่นไปสั่งน้องชายทั้งสอง “ไปตามหาพวกเขาแล้วพากลับไปยังแดนปีศาจเสีย หากยังดื้อรั้นไม่ยอมกลับ ข้าจะลงโทษทั้งสามสถานหนัก”


                ยูโตะและเคย์โตะรับคำพี่ชาย  จากนั้นปีศาจทั้งสามก็หายตัวไป  เหลือแต่ไดกิที่ยืนอยู่ในห้องมืดๆแต่เพียงผู้เดียว


                ลงโทษสถานหนัก?  ไดกิได้แต่สายหน้า  ปีศาจสามพี่น้องคงลืมไปแล้วกระมังว่าเคย์รักลูกๆทั้งสามมากเพียงใด  ครั้งสุดท้ายที่พวกเด็กๆถูกลงโทษ   เคย์โกรธจนไม่ยอมพูดกับท่านหลายเดือนเชียวนะ  ยูยะ..







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







                ที่จริง..เคย์ก็รู้อยู่แกใจหรอก ว่าพี่ชายกับเพื่อนรักไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่  แต่เคย์ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่  แม้ว่าทั้งสองคนจะเอาแต่แยกเขี้ยวใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า  เคย์ก็ไม่เห็นเป็นปัญหา


                หรือว่าเขาจะคิดผิดไปนะ..


                ยิ่งร้อนใจเท่าไหร่  เคย์ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดินช้าลงเท่านั้น  หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากโฉะองและไทโย  ดูเหมือนว่าโคตะจะมารอพบฮิคารุหลังเลิกเรียน  แน่นอนว่าคุยกันไม่กี่คำก็ทะเลาะกัน  จากนั้นโคตะก็ลากฮิคารุไปไหนไม่รู้  ลำพังพี่ชายเขาไม่ใช่นักเลงหัวไม้ใช้แต่กำลังอยู่แล้ว  แต่ถ้าถูกฮิคารุกวนประสาทมากๆเข้า  คนที่จะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะถูกแกล้งจนหัวปั่นก็เห็นจะเป็นฮิคารุอยู่ฝ่ายเดียว


                แล้วนี่ทั้งสองคนก็ไม่รับโทรศัพท์  เคย์ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน  แต่ไม่รู้ทำไม..ตอนนี้ในใจเขาคิดถึงสถานที่แห่งเดียวเท่านั้น...


                 หลังจากนั้นเคย์ก็พาตัวเองมายืนกระวนกระวายหน้าประตูบ้านฮิคารุ   หลังจากกดกริ่งไม่ถึงนาที  แม่บ้านก็มาเปิดประตูรับ  ด้วยสีหน้าโล่งใจเป็นที่สุดเมื่อเห็นหน้าเคย์ 


                “คุณมาได้เวลาพอดี  ทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันเสียงดังเชียวค่ะ “


                เคย์ก้าวตามคุณแม่บ้านเข้าไปข้างในทันที  ทั้งสองก้าวเร็วๆเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่อยู่ถัดเข้าไปด้านในจากห้องรับแขก   ซึ่งใช้เป็นที่รับรองเฉพาะคนสนิทของเจ้าบ้าน และยังเป็นที่เก็บของเก่ารอทำความสะอาดหรือนำออกขายด้วย   เสียงโครมครามดังมาจากได้ในห้องก่อนที่ทั้งคู่จะไปถึงประตูเพียงก้าวเดียว


                ประตูเปิดผาง  ที่คิดว่าฮิคารุกำลังฟาดหัวฟาดฟางใส่โคตะนั้นผิดถนัด  เพราะภาพที่เห็น  คือฮิคารุกำลังนอนหงายตะเกียกตะกายอยู่บนพรมขนสัตว์  ถูกโคตะทับอยู่ทั้งตัว   แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่านั้น  คือทั้งคู่สังเกตเห็นว่าโคตะนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกเลยแม้แต่น้อย   คุณแม่บ้านรู้งานวิ่งไปโทรศัพท์ตามหมอ  ส่วนเคย์ถลาเข้าไปประคองร่างพี่ชายให้ขึ้นไปนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา  ก่อนจะหันไปหาเพื่อนรักที่นั่งทำหน้าตาตื่นตกใจอยู่บนพรม 


                “ฮิคารุ  เจ็บตรงไหนรึเปล่า?  แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?”


                “มะ-ไม่รู้  เราทะเลาะกันอยู่  ถูกเซ้าซี้มากๆ ฉันโมโหก็เลยตีไปทีนึง  แล้วเขาก็ล้ม- ฉันไม่รู้”


                สิ่งที่ฮิคารุใช้ตีโคตะ  ตกอยู่ข้างๆโซฟา   มันคือหมอนสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดพอเหมาะที่วางเรียงประดับอยู่บนโซฟาไว้สำหรับพิงหรือกอดเล่น  


                        แค่หมอนไม่น่าจะทำให้ถึงกับสลบได้เลย  ต่อให้ตีสุดแรงก็เถอะ


                “หรือว่าที่ถูกตีคราวก่อนนั่นยังไม่หายดีเหรอเคย์?  “


                “ไม่รู้สิ  ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้ไปตรวจเลยด้วย”


                ฮิคารุหน้าซีด เหงื่อตก  เคย์เห็นแบบนั้นก็ปลอบใจว่าโคตะคงไม่ได้เป็นอะไรมาก พักสักครู่ก็คงหาย  แต่เพื่อนรักก็คิดไปไกลสุดกู่แล้ว  นาทีต่อมาฮิคารุก็วิ่งออกจากห้องไปตามหมอด้วยอีกคน







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





                        หลังจากที่ฮิคารุออกจากห้องไป  เคย์ก็หันกลับไปหาพี่ชายที่ยังนอนนิ่งบนโซฟาด้วยสีหน้างอนๆ


                “ถ้ายังไม่ลืมตาละก็  คราวนี้จะไม่ถูกตีด้วยหมอนแล้วนะ”


                        เสียงหัวเราะหึๆดังมาจากคนที่นอนอยู่บนโซฟา  ยาบุหรี่ตาขึ้นมองนิดหนึ่ง  เมื่อแน่ใจแล้วว่าฮิคารุไม่ได้แอบอยู่แถวนั้นก็ลืมตายิ้มแหยๆให้น้องชาย


                “ว๊า~ถูกจับได้ซะแล้ว”


                “ไม่ตลกนะ  รู้ไหมว่าเมื่อกี๊ฉันตกใจจริงๆ “ เคย์บ่น “แล้วนายแกล้งฮิคารุแบบนี้ทำไม”


                “ก็มันน่าแกล้ง  เล่นตัวดีนัก”


                คนฟังถึงกับร้องหือ?  โคตะจึงต้องอธิบายเพิ่มว่าตนอยากเห็นมีดสั้นและหีบโบราณที่เคยเห็นก่อนหน้านั้นอีกครั้ง  แต่ฮิคารุกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ดู  เลยทะเลาะกัน  จนถูกฮิคารุตีด้วยหมอน  โคตะเลยเอาคืนด้วยการแกล้งสลบให้อีกฝ่ายตกใจ


                “จะให้ดูหรือไม่ให้  ก็เป็นสิทธิ์ของเขานี่  ที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์สักหน่อย จะได้มาเดินเที่ยวดูโน่นดูนี่”


                “หมอนั่นทำเพราะอยากแกล้งฉันต่างหาก”


                เคย์ส่ายหน้าเอือมระอา  พี่ชายเขาบทจะดื้อขึ้นมาก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น  แต่ที่จริงก็นิสัยเหมือนกันทั้งนั้น  คุณอาหญิง  โคตะ  หรือกระทั่งตัวเขาเอง


                “นึกยังไงถึงอยากดูล่ะ  นายไม่เคยสนใจของพวกนี้นี่?”


                โคตะลุกขึ้นนั่ง  มองตาน้องชายก่อนจะตอบคำถามด้วยสีหน้าจริงจังผิดกับเมื่อครู่


                “เพราะฉันสงสัยว่าของสองอย่างนั่น มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรือสีดำในฝันของนายรึเปล่า”


                เคย์กำลังจะปฏิเสธ  แต่จู่ๆ  ความฝันในคืนวิวาห์บนเรือสีดำ ก็ฉายวาบเข้ามาในดวงตาเป็นฉากๆ  ร่างกายร้อนวูบวาบเมื่อนึกถึงอ้อมอ้อมกอดร้อนแรงของปีศาจรูปงามในฝัน  จนเคย์ต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อลบภาพเหล่านั้นออกไป  แต่ท่าทางที่แสดงออกก็ทำให้พี่ชายรู้แล้วว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ


                “แค่ความฝันน่ะ  ฉันคง..อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากเกินไป   ก็เลยเก็บไปฝันเป็นเรื่องเป็นราว”


                โคตะถอนหายใจยาว...


                “ฉันไม่ห่วงเรื่องความฝันของนาย  ที่ห่วงคือการที่นายไม่ยอมตื่นจากฝันนั่นต่างหาก”


                “หมายความว่ายังไง?”


                “ไม่รู้ตัวเหรอ?  ว่าหลายวันที่ผ่านมานายแทบไม่พูดกับใครเลยนะ  เรียนก็ไม่มีสมาธิ  ใจลอย  เอาแต่เก็บตัวอยู่ในอพาร์ทเมนท์  ที่สำคัญ  นายลืมสัญญาที่ว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้านทุกอาทิตย์มาสองครั้งแล้ว  คิดดูสิว่าแม่ฉันจะเป็นยังไง”


                        ท่าทางกระวนกระวายหวาดกลัวของอาหญิงแล่นเข้ามาในความคิดพร้อมๆกับความรู้สึกผิดที่เป็นเหมือนแรงกดทับให้ร่างกายหนักอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก  นอกจากคำว่าขอโทษซ้ำๆ


                “ฉันไม่ยอมรับคำขอโทษของนาย”  โคตะทำเสียงดุจนน้องชายหน้าเสีย “ จนกว่านายจะรับปากว่าตั้งแต่วันนี้ไปจะกลับไปอยู่บ้านจนกว่าจะครบสองอาทิตย์  ให้แม่ฉันสบายใจแล้วนายจะกลับมาอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ก็ตามใจ”


                พูดจบก็ไม่รอคำตอบ  เอนตัวลงนอนเหยียดยาวลงบนโซฟาอีกครั้ง  เคย์เห็นพี่ชายทำท่าเหมือนจะหลับไปจริงๆก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรอีก  ทั้งๆที่ใจก็สงสัยว่าโคตะยังมีอะไรปิดบังอยู่อีก  แต่เสียงวิ่งโครมครามของฮิคารุที่กลับเข้ามาในห้องพร้อมหมอ  ก็ทำให้เคย์ลืมมันไปในทันที







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                โคตะถูกพาขึ้นมาบนห้องนอนสำหรับแขกในบ้านของฮิคารุแบบมึนๆ งงๆ  แปลกใจที่อยู่ๆ ตัวเองก็เผลอหลับไปบนโซฟาที่ ทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกง่วง  แถมยังหลับลึกจนคนรอบข้างตกใจ  ฮิคารุ  เคย์  และหมอที่ถูกตามมาช่วยกันเรียก ช่วยกันปลุกอยู่นาน  กว่าจะตื่นได้   หากว่าตื่นช้ากว่านั้นอีกหน่อย มีสิทธิ์ถูกหามไปโรงพยาบาลแน่ๆ


                ฮิคารุจัดแจงให้ทั้งสองคนพักที่บ้าน  เพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว อีกอย่างโคตะก็ดูเหมือนคนไม่ค่อยมีสติ  ปล่อยให้กลับเองไม่รู้ว่าจะถึงบ้านรึเปล่า


                “ใจดีจัง”


                ฮิคารุฟังแล้วอยากจะหันกลับไปถีบไอ้คนพูดให้ตกบันไดไปนอนโรงพยาบาลจริงๆซะเหลือเกิน  แต่ไม่อยากทะเลาะกับคนสติไม่สมประกอบ  จึงเดินนำไปยังห้องพักรับรองบนชั้นสองด้านในสุด


                “ห้องนี้แหละ  พอจะมีที่ว่างอยู่”  จากนั้นก็หันไปหาเคย์  “นายก็นอนห้องข้างๆนะ ดึกๆก็อย่าลุกขึ้นมาเดินเพ่นพ่าน ล่ะ  เกิดไปเตะถูกของพวกนี้พัง  เดี๋ยวจะได้ใช้หนี้กันตาเหลือก”


                        โคตะและเคย์เห็นสภาพข้าวของมากมายที่วางกองอยู่เต็มห้องแล้วก็คิดหนักว่าจะพาตัวเองให้ไปถึงเตียงได้ยังไงโดยไม่ให้ของเก่าพวกนี้ล้มลงมาทับตาย  ที่บ้านของฮิคารุไม่ค่อยมีแขกมาให้รับรองมากนัก  ห้องพักแขกเลยกลายเป็นห้องเก็บของเก่าไปเกือบหมด ตามทางเดิน  หรือ แม้แต่ห้องนอนของฮิคารุก็มีแต่ของเก่าสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปวาง  ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เดือดร้อน  กลับชอบใจที่ได้จับโน่นขนนี่มาแต่งห้อง


                “ของเยอะขนาดนี้  ถ้าหยิบไปสักชิ้นสองชิ้นนายคงไม่รู้สินะ”


                “ไม่หรอก”ฮิคารุยักไหล่ไม่สนใจ “  ได้ของคืนมาแล้วนั่นแหละถึงรู้ว่ามันหาย ”


                        “ทำไม? จะบอกหัวขโมยพวกนั้นเจออาถรรพ์เลยเอาของมาคืนงั้นสิ”


                แทนที่จะโกรธที่ถูกกวนประสาท ฮิคารุกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ยาบุ   ท้าทายอีกฝ่ายด้วยสายตาว่า  ลองหยิบไปซักชิ้นสิ  แล้วจะรู้ว่าทำไม


                        “ไม่ยักรู้ว่านายก็เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย อาถรรพ์ของเก่า มีแต่เจ้าของที่แท้จริงเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง”


                คราวนี้ฮิคารุจ้องกลับอย่างเอาเรื่อง “ฉันไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์  แค่คิดว่ามันต้องมีเหตุผลที่หัวขโมยพวกนั้นเอาของมาคืน”


                “อาจเป็นเพราะว่า ยังมีจิตสำนึกที่ดีอยู่ละมั้ง”


                เคย์ตัดบทให้แต่ละคนแยกย้ายกันเข้านอนเพราะดึกมากแล้ว  หลังจากประตูห้องปิด  โคตะล้มตัวลงนอนและหลับสนิทไปทันที   รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ได้ยินเสียงจากทางเดินด้านนอก  ในห้องไม่มีนาฬิกาเขาเลยไม่รู้เวลา  แต่ก็เดาเอาจากสีของท้องฟ้าด้านนอกว่ายังไม่เช้า


                ร่างสูงย่องไปที่ประตูห้อง แนบหูกับบานประตู  เสียงฝีเท้าเดี๋ยวดังเดี๋ยวหายชวนให้สงสัย แต่นอกจากเสียงฝีเท้าแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นเลย  ทั้งๆที่ทางเดินด้านนอกนั้นมีแต่ข้างของวางเกะกะเต็มไปหมด  ขนาดเจ้าของบ้านอย่างฮิคารุ  กว่าจะเดินขึ้นมาถึงชั้นสองได้ยังเตะโน่นเตะนี่มาตลอดทาง


                จะว่าเป็นคนในบ้าน  ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนเสียงฝีเท้า...


                คนนอก! ขโมยรึเปล่าหว่า??


                โคตะค่อยๆแง้มประตูพอให้มีช่องเล็กๆ   ทางเดินด้านนอกมืดสนิท  สายตาที่เริ่มชินกับความมืดมองเห็นเงาดำๆของใครบางคนกำลังย่องผ่านหน้าห้องของเขาไป   ร่างนั้นก้มลงหยิบอะไรบางอย่างรูปร่างผอมๆ ยาวๆ จากกองสมบัติที่วางสุมกันอยู่ตรงสุดทางเดิน  จากนั้นก็ย่องลงบันไดไป 


                โคตะแอบตามไปอย่างเงียบเชียบ ซึ่งทำได้ยากเมื่อต้องย่องผ่านกองสมบัติที่วางอย่างไร้ระเบียบโดยไม่ให้ชนอะไรล้ม   กว่าจะพาตัวเองลงมาถึงชั้นล่างได้  ร่างนั้นก็หายไปแล้ว


                ทุกอย่างรอบตัวมืดสนิท   ระหว่างที่โคตะลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อไป  เขาก็สังเกตเห็นว่ามีแสงไฟจากห้องนั่งเล่น  ร่างสูงนึกประหลาดใจ แต่ก็ออกเดินไปทางห้องนั้นทันที  ผู้ที่อยู่ในห้องไม่รับรู้การมาถึงของโคตะ  อาจเป็นเพราะนั่งหันหลังให้ประตูหรือไม่..ก็มัวแต่จดจ่อกับวัตถุที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยหน้าโซฟา


                สิ่งที่ถูกหยิบออกมาจากกองสมบัติบนชั้นสอง  คือดาบยาว เล่มหนึ่ง  ที่ดูจะไม่ใช่ของใหม่  แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นของเก่าแก่เหมือนสมบัติชิ้นอื่นๆ   มันสมบูรณ์แบบ .. ไม่มีร่องรอยสึกกร่อนผุพัง  ฝักดาบทำด้วยสำริด สลักลวดลายคดโค้งดุจเกลียวคลื่นในท้องทะเล มุกและอัญมณีที่ประดับไว้ยังอยู่ครบดังที่มันเคยเป็น  ราวกับว่า กาลเวลา ... ไม่อาจทำให้ดาบนี้สูญสลายไป


                ความคิดถูกขัดจังหวะเพราะเสียงฮึดฮัดจากร่างที่นั่งหันหลังให้  ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังใช้สมาธิและกำลังอย่างสุดแรงเพื่อดึงดาบออกจากฝัก  พยายามหลายครั้งก็ไม่เป็นผล จนเริ่มหมดแรง


                “มีอะไรให้ช่วยไหม?” โคตะจงใจไปยืนอยู่ด้านหลัง ยื่นหน้าข้ามไหล่เข้าไป เพื่อให้อีกฝ่ายหันมาเจอเขาในระยะประชิด  หวังจะแกล้งให้ตกใจเล่นๆ  แต่ผิดคาด


                ไม่ยักกะตกใจแฮะ...


                ฮิคารุเพียงแต่ทำตาโตในแบบที่โคตะเห็นแล้วนึกชมในใจว่าน่ารักดี  ก่อนจะถามกลับมาด้วยน้ำเสียงข้องใจหน่อยๆว่าโคตะลงมาทำอะไรในเวลาแบบนี้


                “ได้ยินเสียงแปลกๆ แล้วยังออกมาเจอคนทำท่าทางลับๆล่อๆก็คิดว่าเป็นพวกย่องเบาน่ะสิ”  โคตะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟายาว  ฮิคารุสะดุ้งกระเถิบหนีไม่พอ ยังคว้าหมอนสองสามใบมาวางกั้นตรงกลางอีกต่างหาก


                “คนที่มาเดินด้อมๆมองๆตอนดึกๆในบ้านคนอื่นต่างหากที่เป็นขโมย”


                โคตะอ้าปากจะถียง แต่ขี้เกียจต่อความให้ยาวไปกว่านี้ เลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องดาบแทน  ถามว่าได้ดาบมาจากไหน


                “ยูโตะเอามาฝากให้ทำความสะอาด  คงจะเอาไปจัดแสดงในงานคราวหน้ามั้ง”


                ฮิคารุเล่าว่าครอบครัวของ นากาจิมา ยูโตะ นั้น  มีงานอดิเรกเป็นการจัดแสดงของเก่า ที่ต้นตระกูลเก็บสะสมไว้  ฮิคารุเคยติดตามผู้เป็นพ่อไปงานนั้นหลายครั้ง  แต่ละครั้งก็จะได้ของเก่าชิ้นงามๆกลับบ้านมาหลายชิ้น  โดยมีเงื่อนไขว่าสามารถเอาไปขายต่อได้ในราคาที่ไม่ค้ากำไรจนเกินควร  บิดาของฮิคารุรับปากและทำตามเงื่อนไขนั้นมาโดยตลอด ทำให้กิจการรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน  ผิดกับพ่อค้าของเก่าคนอื่นที่ได้ของไปแล้วโก่งราคาสูงจนน่าเกลียด  ตามที่ได้ยินมา ไม่มีใครรุ่งเรืองเลยสักคน


                ระหว่างที่เล่า  ฮิคารุก็พยายามออกแรงดึงดาบออกจากฝักไปด้วย  แต่ก็เป็นเหมือนเดิมคือทำไม่ได้  ยาบุเลยฉวยดาบมาเสียเอง  ฮิคารุร้องเสียงหลง


                “ระวังหน่อย!!  เดี๋ยวเพชรพลอยที่ประดับอยู่จะ-


                ฮิคารุมองดาบตาถลน  โคตะเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กันที่ออกแรงเพียงเล็กน้อยดาบก็เลื่อนออกจากฝัก  ทั้งที่ก่อนหน้านั้นฮิคารุพยายามดึงจนหน้าดำหน้าแดง  มันก็ไม่ขยับ...


                ใบดาบทำด้วยเหล็กกล้า  ส่องประกายแวววาวไร้สนิมเกาะ    โคตะยื่นดาบคืนให้ฮิคารุโดยไม่พูดอะไร   อีกฝ่ายรับเอาไปแล้วก็ทำตาค้างอีกรอบเมื่อเห็นรอยสลักบนใบดาบ


                ชื่อของใครคนหนึ่งที่สลักอยู่ตรงกลางดาบ... โคตะรู้ดีว่าเป็นใคร  เขารู้..รู้ทันทีที่ได้เห็นดาบเล่มนั้น


                รู้...ก่อนที่จะได้ดึงดาบออกจากฝักเสียอีก..








++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++








                “ดาบเล่มนี้ เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวและชิ้นสุดท้ายของข้า   หากว่ามันจะมีค่ามากพอก็จงรับเอาไป และจงมอบสิ่งที่ข้าต้องการมา”


                ยาบุ โคตะ  ยื่นดาบออกให้เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า  ผู้ซึ่งไม่ใช่มิตร และอาจเป็นศัตรูตัวฉกาจ  แต่โคตะก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว


                สามเดือนที่ล่องเรือในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ระหว่างที่พาน้องสาวไปยังดินแดนที่จะสามารถอาศัยได้อย่างปลอดภัยก็พยายามหาข่าวคราวของน้องชายไปด้วย  แต่ก็ไร้วี่แวว


                เรื่อที่พวกเขาโดยสารมา เป็นเรือพาณิชย์ขนาดเล็ก    และไม่ใช่เรือของตระกูลยาโอโตเมะ แต่เป็นเรือเล็กที่ใช้เดินทางค้าขายในระยะใกล้เคียงของญาติสนิทคนหนึ่ง   ยามาชิตะ  โฉะอง   แม้คนผู้นี้ไม่ได้ร่ำรวยเงินทองและอำนาจ แต่ก็เป็นมิตรแท้ที่พึ่งพาได้ในยามยากเช่นนี้  ข้อเสนอของฮิคารุเป็นเหมือนคำแนะนำให้โคตะและแคลที่กำลังสับสน  ทั้งคู่ได้แต่ทำตามโดยไม่มีคำโต้แย้ง  เมื่อฮิคารุพาพวกเขาลงเรือของโฉะอง  โดยมีปลายทางคือเมืองท่าที่แผ่นดินใหญ่ทางฝั่งตะวันออก  เพื่อจะขึ้นเรือลำอื่นเดินทางต่อไป


                แต่โคตะยังไม่ได้คิดว่าจะเดินทางต่อไปยังที่ใด  ฮิคารุและโฉะองก็เห็นพ้องกันว่าดี  เพราะหากมีผู้ใดติดตามมาจริง ก็จะทำให้อีกฝ่ายเดาทางไม่ถูก  แม้ว่าก่อนหน้านั้นโคตะจะส่งเสื้อผ้าข้าวของของตนไปกับเรืออีกลำที่เดินทางไปทางตะวันตกก็ตาม  ก็ใช่ว่าบิดาของโคตะจะหลงกลแผนนี้ได้ง่ายๆ


                เคย์พูดไว้ไม่ผิด บิดาส่งคนติดตามมาอย่างแน่นอน  แม้แต่โฉะองกับฮิคารุยังสังเกตเห็น  โชคดีที่แคลนั้นแต่งตัวเป็นชายโคตะจึงไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหล  เขาไม่ต้องการให้บิดารู้ว่าผู้ที่ถูกส่งไปสังเวยแด่ปีศาจนั้นเป็นน้องชายไม่ใช่น้องสาว  ไม่เช่นนั้นบิดาคงส่งคนมาชิงตัวแคลกลับไปเป็นเจ้าสาวของปีศาจอีกเป็นแน่


                แต่เรื่องนี้ก็ไม่ทำให้สองพี่น้องเป็นกังวลมากเท่ากับความเป็นตายของน้องชายคนเล็ก  แต่ไม่ว่าจะเฝ้าถามข่าวคราวสักเท่าไรก็ไร้ซึ่งความหวัง  เมื่อใดที่เอ่ยถึงเรือปีศาจ  ชาวเรือทั้งหลายก็หวาดกลัวจนไม่กล้าเอ่ยถึง  แม้จะเสนอเงินทองมากมายสักเท่าใดก็เปล่าประโยชน์


                ความท้อแท้สิ้นหวังของโคตะทำให้ โฉะองสงสาร  จึงเสนอทางเลือกหนึ่งให้ 


                “จะตามหามนุษย์ให้ถามมนุษย์  ตามหาเรือปีศาจก็จงถามจากปีศาจ”


                นั่นเองทำให้พวกเขาได้รู้สิ่งที่โฉะองได้เก็บไว้เป็นความลับอย่างยิ่งยวด  ทำให้พวกเขาต้องเดินทางขึ้นมาบนยอดผาริมทะเลเพื่อพบกับใครคนหนึ่ง  ซึ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าโคตะพร้อมสายลมเย็นเยือกที่ทำให้หนาวเหน็บไปทั้งร่าง  และใครคนนั้นได้เรียกร้องสิ่งตอบแทนเพื่อแลกกับข่าวของเรือสีดำและผู้ที่อาจจะถูกพาตัวไปอยู่บนนั้น


                โคตะยื่นดาบออกไปโดยไม่นึกเสียดาย….


                นัยน์ตาสีน้ำเงินดุจน้ำทะเลลึกเพียงแต่มองนิ่ง  และโดยมิได้แตะต้องดาบในมือของโคตะ  อีกฝ่ายก็สามารถบอกที่มาที่ไปของดาบนั้นได้


                “ฝักดาบทำด้วยทองสำริด ใบดาบตีจากเหล็กกล้า สลักนามผู้เป็นเจ้าของเอาไว้  บิดาของเจ้ามอบให้เป็นของขวัญเมื่ออายุครบสิบห้าปี  ของสำคัญเช่นนี้  เจ้าไม่เสียดายหรือ?”


                “ไม่เลย” โคตะมองดาบในมืออย่างไม่แยแส  “หากว่ามันจะช่วยให้ข้าได้รู้ข่าวของน้องชาย”


                อยู่ๆดาบในมือก็เย็นเฉียบ  และเย็นลงเรื่อยๆจนโคตะต้องรีบปล่อยก่อนที่มือของเขาจะถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งไปพร้อมกับดาบ  ปีศาจตาสีน้ำเงินยอมรับข้อแลกเปลี่ยนแล้ว


                “หากว่าน้องชายของเจ้ามีใบหน้าเป็นพิมพ์เดียวกับหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ล่ะก็   ข้ารับรองได้ว่าเวลานี้เขาปลอดภัยดี”


                แคลร้องไห้โฮ  โผกอดพี่ชาย ยามนี้นางไม่สนใจแล้วว่าเหตุใดปีศาจจึงรู้ว่าเป็นหญิงทั้งๆที่ตนแต่งตัวเป็นชาย  แต่โคตะนั้นยังไม่เชื่ออย่างหมดใจ  แม้ว่าอยากจะเชื่อ  แต่ความสงสัยมากมายก็ผุดขึ้นในใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น


                “เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้  ข้าบอกได้เพียงว่าน้องเจ้าเป็นที่โปรดปรานของท่านผู้นั้น  เห็นทีเขาคงจะไม่เบื่อน้องเจ้าง่ายๆหรอก”


                “ถ้าเบื่อแล้วจะเป็นเช่นไร  เพื่อนของข้าจะไม่ถูกฆ่าทิ้งรึ?”


                ฮิคารุโพล่งออกไป  นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของปีศาจตนนั้นอย่างเอาเรื่อง  โฉะองอดนึกชื่นชมความห้าวหาญของญาติสนิทคนนี้ไม่ได้   เขาเองยังจำได้ถึงความหวาดกลัวที่รู้สึกเมื่อได้รู้ว่าผู้ที่ได้ช่วยเหลือเขาจากพายุกลางทะเลนั้นเป็นปีศาจ  จนถึงวันนี้ความกลัวก็ยังไม่จางหายไป  เพียงแต่....เมื่อเวลาผ่านไป  โฉะองก็เริ่มคิดว่าปีศาจนั้นไม่ได้ชั่วร้ายดังที่ใครๆพูดกัน


                อย่างน้อย...ก็ไม่ใช่ปีศาจตนนี้


                นัยน์ตา สีน้ำทะเลลึกนั้นมองมาที่ฮิคารุ  เพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็ตัวสั่น ไม่ใช่เพียงเพราะความหนาวเย็นที่จู่โจมทั่วร่าง  แต่การที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังที่ยากจะหยั่งถึงนั้นทำให้ฮิคารุกลัวขึ้นมาจริงๆ


                น้ำหนักและความอบอุ่นจากมือของโคตะที่วางบนไหล่  ทำให้ฮิคารุใจชื้นขึ้นมาบ้าง  แต่เมื่อได้ยินว่าข้อเรียกร้องต่อไปของโคตะคืออะไร  ความกล้าหาญที่เพิ่งได้คืนมาก็หล่นลงไปอยู่ตรงปลายเท้า


                “หากว่าข้าต้องการพาน้องข้ากลับมา   ข้าต้องใช้สิ่งใดเป็นข้อแลกเปลี่ยน  ท่านจึงจะช่วยข้า”


                คำตอบที่ได้รับคือ  แม้มีสมบัติมากมายสักเท่าใดก็ไม่อาจทำให้ปีศาจตนนั้นตอบตกลงได้  โฉะองพอจะรู้ว่าเพราะเหตุใด  ปีศาจนั้นมักใช้ชีวิตโดดเดี่ยว  ไม่เกี่ยวข้องก้าวก่ายซึ่งกันและกัน  แต่โฉะองรู้สึกว่ายังมีเหตุผลอื่นจึงรั้งรออยู่ต่อ  หลังจากที่คนอื่นๆกลับไปยังที่พักแล้ว


                “ที่ปฏิเสธ  ไม่ใช่เพราะปีศาจตนนั้นมีพลังอำนาจเหนือกว่าท่านหรอกหรือ?  เคย์โตะ”


                “นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง” นัยน์ตาสีน้ำเงินมองไกลไปในท้องฟ้าและท้องทะเลยามราตรี  “แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้าไม่อาจต่อกรกับท่านผู้นั้นได้  .... เพราะเขาเป็นพี่ชายของข้า”


                โฉะองรับรู้ความจริงข้อนั้นด้วยความหวาดหวั่นยิ่งนัก  ไม่นึกว่าปีศาจที่ตามหาจะอยู่ใกล้ตัวถึงเพียงนี้  


                “เคย์เป็นเพื่อนรักของข้า”


                “ข้ารู้...มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่ยอมเสี่ยงเปิดเผยความลับว่ามีสหายเป็นปีศาจ”


                “เขาจะได้กลับมาไหม?  เคย์จะมีชีวิตรอดกลับมาพบพี่น้องอีกไหม?”


                “ไม่ว่าเมื่อไหร่  เจ้าก็ยังคิดว่าปีศาจเช่นเราชั่วร้ายเห็นชีวิตมนุษย์เป็นผักปลา”


                “แล้วข้าคิดผิดงั้นรึ?”


                “อีกไม่นานเจ้าจะได้รู้เอง  ว่ามนุษย์นั้นสามารถโหดเหี้ยมและชั่วร้ายได้ยิ่งกว่าปีศาจ”  สายลมหนาวพัดวนรอบกาย ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ  โฉะองต้องถอยออกมาให้ห่าง  “ส่วนเพื่อนรักของเจ้า  ชะตาของเขาขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเขาเอง  หากว่าเขาทำตัวให้เป็นที่รัก  เขาจะมีชีวิตรอดปลอดภัยจนได้กลับมาพบกับพี่น้องอย่างแน่นอน  แต่เมื่อใดนั้น  ข้าไม่อาจทำนายได้”


                สายลมก่อตัวเป็นพายุหมุนรุนแรง  ชั่วพริบตาพายุก็สลายไปพร้อมร่างของปีศาจ  เหลือไว้เพียงความหนาวเหน็บที่ก่อตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งตามต้นไม้และยอดหญ้าทั่วบริเวณ  โฉะองปัดน้ำแข็งที่เกาะพราวอยู่ทั่วตัวพลางถอนใจ  พบกันทีไร  เคย์โตะเป็นต้องทิ้งเกล็ดน้ำแข็งไว้แทนคำลาเสมอ  แต่ในครั้งนี้กลับทิ้งความหวาดหวั่นเอาไว้ให้เขาด้วย


                โฉะองมองออกไปยังทะเลและท้องฟ้า ที่บัดนี้มืดมิดกลืนกินจนเป็นสิ่งเดียวกัน  นึกถึงเพื่อนรักว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรหนอ


                        ขอให้เจ้าปลอดภัยจนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งด้วยเถิด..เพื่อนรักของข้า..








++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++








                ขณะที่โฉะองกำลังอธิษฐานต่อดวงดาว  อีกด้านหนึ่งของเส้นขอบฟ้า  ด้านที่มีแสงจันทร์สาดส่อง  เรือปีศาจล่องเรื่อยอยู่ในทะเลกว้าง  เรือสีดำอาบแสงจันทร์จนกลายเป็นสีเงินแวววาวดุจไข่มุกอยู่กลางเวิ้งทะเลสีราตรี  แต่ผู้ที่อยู่บนเรือมิได้มีใจชื่นชมกับความงามเช่นนี้นัก 


                สามเดือนแล้วที่เรือลำนี้ล่องอยู่กลางทะเล  ไม่หยุดพัก  ไม่เทียบท่าแผ่นดินใด  ทำให้เคย์หมดทางหนี


                “นี่เจ้าจะล่องตามแสงจันทร์อย่างนี้เรื่อยไปรึ?”


                เรือลำนี้ไม่มีสิ่งชีวิตใดอาศัย...แม้แต่หนูสักตัว  ช่วงเวลาที่ผ่านมา  เคย์จึงได้แต่พูดอยู่กับตัวเอง  และบางครั้งกับรูปสลักเทพีตรงหัวเรือ   และคืนนี้ก็เช่นกัน...


                เคย์ประหลาดใจนัก   เรือปีศาจที่เล่ากันว่าจะปรากฏแต่ในคืนเดือนมืดเท่านั้นแต่กลับเผยตนใต้แสงจันทร์อยู่ทุกค่ำคืน  ไม่ว่าคืนไหน  เคย์ก็จะมองเห็นแต่จันทร์เต็มดวงบนฟากฟ้า  ความรู้เรื่องวิถีโคจรแห่งดวงดาวที่ได้เคยร่ำเรียนมา  ทำให้พอรู้ว่าเรือลำนี้ล่องตามวิถีแห่งพระจันทร์ ซึ่งน่าแปลกยิ่ง


                “แสงจันทร์ทำให้ทุกสิ่งในยามค่ำคืนงดงามขึ้น  เจ้าไม่ชอบหรือ?”


                ไม่ว่าเมื่อไร... เคย์ก็ยังไม่คุ้นเคยกับการไปมาที่เงียบเชียบไร้สุ้มเสียงของปีศาจตนนี้  โดยเฉพาะดวงตาสีทอง  ที่มองเขาราวกลับจะหลอมละลายเขาทั้งตัวนั่นด้วย


                “มันเป็นเพียงภาพมายา”  เคย์เบี่ยงใบหน้าหนีมือแกร่งที่เชยคางตนไว้  ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นจากปลายนิ้วที่สัมผัสได้  จะกลายเป็นความร้อนแรงในไม่ช้า  “เมื่อใดสิ้นแสงจันทร์  ทุกอย่างจะอยู่ในความมืดมิดดังเดิม”


                “แต่ก็มีบางสิ่ง...ที่งดงามแม้ว่าจะอยู่ในความมืด”


                ผู้เป็นนายแห่งเรือสีดำรวบร่างบอบบางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน  ไล่สายตาไปตามเรือนร่างที่ตนได้ครอบครองมานานนับเดือนด้วยอย่างพึงพอใจ


                เคย์อาจไม่ได้งามเลิศล้ำกว่าสตรีใดที่เขาได้เคยพบพานและสานสัมพันธ์  แต่กลับทำให้ยูยะต้องยอมรับกับตนเองว่าลุ่มหลงยิ่งนัก


                “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบแสงดาวมากกว่า  ถ้าเช่นนั้นนับจากคืนนี้ไป  เจ้าจะได้เห็นฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราดังที่เจ้าเคยปรารถนา  ดีหรือไม่”


                “ท่านรู้ได้อย่างไรกัน?” ประหลาดใจจนลืมตัวเงยหน้าสบตากับปีศาจ  นัยน์ตาสีทองที่มองตอบมานั้นทำให้เคย์ต้องหันไปมองทางอื่น


                “ข้าเฝ้ามองเจ้ามานานนัก  นับตั้งแต่วันที่ข้ารู้ว่าอาซากะปรารถนาในตัวเจ้า  ข้าไม่คิดชิงตัวเจ้ามาในทีแรก  เพียงแค่เห็นอาซากะเจ็บปวดผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเจ้ามิได้มีใจให้  ข้าก็สาแก่ใจนัก  แต่ไม่นึกว่าอาซากะจะคิดแค้นที่ถูกกีดกัน  นำเรือโจรสลัดมารุกรานจนพ่อของเจ้าต้องยอมส่งลูกสาวมาสังเวย  ข้ารู้ว่าเจ้าแอบเปลี่ยนตัวกับพี่สาว และข้า...ไม่อาจยอมให้อาซากะสมหวังได้”


                   เรื่องราวที่ได้ฟังนั้นทำให้ร่างบางตัวสั่น น้ำเสียงที่จอมปีศาจใช้ยามเอ่ยถึงอาซากะนั้นเยือกเย็น  บาดลึกเข้าไปถึงกระดูก  ความอาฆาตแค้นของปีศาจจะไม่มีวันจบสิ้น ตราบเท่าที่อาซากะยังมีลมหายใจ


                        “และเจ้า ..จะต้องเป็นของข้าไปตลอดกาล..เคย์”








++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++










                

5 comments:

  1. ช่วยโพสท์ลงที่ exteen ด้วยได้มั้ยคะ
    คือมือถือเราอ่าน blogspot ได้ไม่ครบ 100% น่ะค่ะ
    แหะๆ (^_^;



    /Hikanoo

    ReplyDelete
    Replies
    1. ได้ค่าาา แต่อาจจะต้องรอหน่อยนะ เพราะว่ากำลังจะเปลี่ยนธีมบล็อกค่าาา

      Delete
    2. ขอบคุณมากค่ะ ^^

      /HikaNoo

      Delete
  2. ลืมมาเม้นนนน

    โห้ยยยยย ลุ้นนนน เมื่อไหร่คุณปีศาจจะเปิดตัวให้อิเคย์เห็นแบบเต็มตัว
    อิเคย์มีใจให้บ้างน่า เชื่อเรา แกรนด์โอเพนนิ่งสักทีเถอะ 555+

    รอตอนต่อไปน้าาาาาา

    ReplyDelete
  3. ฮืออ คุณปีศาจหล่อมากเลย คุณแต่งสนุกพล็อตเรื่องก็สนุก ภาษาดีมากด้วยค่ะ กลับมาอ่านรอบที่2แล้ว ชอบมากเลยนะคะ🥺❤

    ReplyDelete