ชื่อเรื่อง -:- ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ อดีตที่หวนคืน ]
ผู้แต่ง -:- นาฬิกาแก้ว [ Nalikakeaw ]
คำนำเรื่อง -:-
ฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแนวแฟนตาซีหลายๆเรื่อง
เพราะงั้นถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าเจออะไรคุ้นๆล่ะก็ อย่าแปลกใจค่ะ
เพราะอย่างน้อยเรือไข่มุกดำแห่งท้องทะเลย่อมจะมาจากหนังเรื่องที่มีป๋าเด็ปป์เป็นโจรสลัดสุดฮาแน่นอน
ส่วนชื่อเรื่อง
ขอบอกว่าได้มาจากบทเพลงของพี่แหม่ม พัชริดา
จำได้ว่าเป็นเพลงประกอบละครเมื่อนานมาแล้ว โดยส่วนตัวชอบเสียงพี่แหม่มมาก
และเนื้อเพลงก็เข้ากับพล็อตพอดี ก็เลยเอามาเป็นชื่อเรื่องมันซะดื้อๆนี่แหละ
ตอนก่อนหน้าค่ะ
ร่างบางลืมตาตื่นกลางดึกเพราะความฝันอย่างทุกครั้ง มือเรียวเอื้อมไปเปิดสวิชต์โคมไฟ ตั้งใจจะวาดภาพเรือสีดำจากความฝันเช่นเคย หากแต่ลายเส้นที่ปรากฏบนกระดาษ กลับกลายเป็นเค้าโครงใบหน้าของใครคนหนึ่ง ที่เคย์จำไม่ได้ว่าเคยได้พบกันที่ไหน..หรือเมื่อไหร่...
แต่กลับจำได้อย่างเม่นยำ..
โครงร่างสูงสง่าที่ปรากฏตัวบนดาดฟ้าชั้นสองของเรือสีดำ....
เสียงรองเท้ากระทบพื้นเรือเมื่อร่างนั้นก้าวลงบันได... ปีกสีดำ
ปลายดินสอที่กำลังลากเส้นสายจรดนิ่งบนกระดาษ ก่อนที่สมุดภาพจะถูกโยนกลับไปไว้ที่โต๊ะตรงหัวเตียง
ทำไมกัน...
เคย์ไม่เข้าใจตนเองเลยว่าทำไม....
ทำไมอยู่ๆถึงจำความฝันได้อย่างแม่นยำนัก...ทั้งๆที่ไม่เคยจำได้มาก่อน
ความฝันในคืนวิวาห์บนเรือสีดำยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ...ใบหน้าหล่อเหลาของปีศาจยังประทับอยู่ที่ดวงตา
ยิ่งไปกว่านั้น....
ภาพร่างกายเปลือยเปล่าของคนสองคนกอดก่ายร้อนแรงอยู่บนเตียงสี่เสาสลักลายงูนั้น ... ชัดเจนเหมือนจริงเสียจนไม่สามารถสลัดออกจากความคิดได้ ไอร้อนจากอ้อมแขนแกร่งยังไม่จางหาย
ราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งคลายอ้อมกอดไปก่อนหน้าที่เขาจะตื่นจากฝันเพียงเสี้ยววินาที
เคย์เอนตัวลงนอนทั้งๆที่ยังร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ในใจสับสนครุ่นคิดถึงความฝัน ในความฝันนั้นเคย์คือเจ้าสาว ตัวสั่นหวาดกลัวยามที่ต้องอยู่ในอ้อมแขนของปีศาจ แต่ไม่รู้สึกรังเกียจ ตรงกันข้าม..แม้จะน่าละอายแต่ตัวเขาก็ยอมรับว่าตนเองที่ในฝันนั้นอ่อนไหวไปกับแรงปรารถนาของอีกฝ่าย
ร่างบางข่มความรู้สึกเขินอายที่ไม่รู้ว่าเกิดเพราะความฝันประหลาด หรือเป็นเพราะนายแห่งเรือสีดำในฝัน กันแน่ พลิกตัวไปมาอยู่นานจนกระทั่งหลับ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า
ปีศาจรูปงามในฝันนั้นได้เฝ้ามองร่างบางจากมุมหนึ่งในห้องด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่ร่างบางแสดงออกเมื่อครู่
“เจ้ารังเกียจข้างั้นหรือ?
...เคย์”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความฝันที่ชัดเจนเหมือนจริงนั้น ทำให้เกิดคำถามมากมาย เสียจนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนก่อน เคย์ลืมเรื่องของอาซากะไปเลยด้วยซ้ำ เพราะเพียงชั่วเวลาข้ามคืน เมื่อลืมตาตื่น ก็เอาแต่คิดถึงคนในฝัน ทีแรกคิดด้วยความสงสัยว่าตนเองอาจจะอ่านนิยายแนวแฟนตาซีมากเกินไปหน่อย เลยเก็บเอามาฝัน แต่หลังจากนั้น
เคย์ก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
ไม่ใช่เพียงแค่ฝันถึงคืนวิวาห์นั้นในหลายๆคืนต่อมา แต่ในฝันนั้น
เคย์ได้ยิน...เสียงกระซิบเรียกหาของปีศาจตนนั้น ชัดเจนเสียจนรับรู้ได้ถึงความคิดถึง....ห่วงหามากมายที่มีต่อเขา
เคย์....เด็กน้อยของข้า...
ประหลาดเหลือเกิน อยู่ดีๆน้ำตารื้น ในอกตื้นตันด้วยความคิดถึงคนที่ปรากฏตัวเพียงในฝัน
หลายวันแล้วที่เคย์เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ครุ่นคิดวกวนถึงแต่ความฝันและปีศาจตนนั้น แล้วสุดท้ายก็คิดอะไรไม่ออก ล้มตัวลงนอนบนเตียงสี่เสา กลับไปสู่ความฝันในคืนวิวาห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โดยไม่รู้เลยว่า..ผู้เป็นนายแห่งเรือสีดำนั้น ได้ปรากฏตัวอยู่เคียงข้าง มอบอ้อมแขนและไออุ่น คอยบันดาลฝันให้แก่ผู้ที่อยู่ในนิทราอยู่ทุกค่ำคืน
...เคย์ ข้าคิดถึงเจ้า...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อลืมตาขึ้นในตอนเช้าของวันใหม่
เคย์ก็ตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้ความสงสัยรบกวนจิตใจอีกต่อไป หลังจากที่ทานอาหารเช้า ซึ่งมีเพียงซีเรียลกับนม ร่างบางก็แต่งตัวคว้ากระเป๋าเป้คู่ใจ ออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่คิดว่าจะมีคำตอบให้แก่เขาได้
แต่หลังจากที่ใช้เวลาไปตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เคย์ก็ต้องพบกับความผิดหวัง หนังสือในหอสมุดของมหาวิทยาลัย
ไม่มีเล่มใดเลยที่เอ่ยถึงเรือปีศาจสีดำ
ทั้งในนิทาน ตำนานเก่าแก่ เรื่องเล่าหรือคำร่ำลือใดๆ
ราวกับว่าเรือลำนั้นไม่เคยปรากฏบนโลกนี้...
แต่ถ้ามันไม่เคยมีอยู่...เหตุใดเคย์จึงคอยแต่จะฝันถึงเล่า เขามั่นใจว่าเขาต้องเคยเห็น
หรืออ่านเรื่องราวของเรือลำนั้นจากที่ไหนซักแห่ง ไม่อย่างนั้นมันจะไม่อยู่ในความทรงจำจนทำให้เคย์ฝันเห็นอยู่ทุกคืนได้หรอก
เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด
จึงทำให้ไม่สังเกตเห็นใครบางคนที่เพิ่งเดินสวนไป
ทีแรกอาซากะพยายามจะถอยห่างเมื่อเห็นเคย์เดินมุ่งตรงเข้ามา ด้วยมีความผิดชนักติดหลังที่คิดจะทำร้ายเคย์เมื่ออาทิตย์ก่อน นัยน์ตาสีแดง เสียงหัวเราะเยือกเย็นของงูที่ยังฝังใจ ทำให้อาซากะเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดๆ แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาด้วยซ้ำ ความเจ็บแค้นก็เข้าแทนที่ความกลัว
ไม่ว่าเมื่อไหร่...อาซากะก็ไม่เคยได้มีตัวตนอยู่ในสายตาของเคย์ ความโกรธที่พลุ่งพล่านทำให้อาซากะก้าวตามหลังเคย์ไปอย่างรวดเร็ว จนระยะเหลือเพียงก้าวเดียวก่อนจะถึงตัว ก็มีใครบางคนเข้ามาขวางเอาไว้
ยามาชิตะ โฉะอง และอายูคาว่า
ไทโย คนหนึ่งเพื่อนร่วมชั้นของเคย์และเป็นญาติของฮิคารุที่อาซากะไม่อยากจะนับญาติด้วย คนหนึ่งเป็นเพื่อนสนิทของยาบุ โคตะ
ทั้งสองรู้จักสนิทสนมกับเคย์
และชังขี้หน้าอาซากะพอๆกับที่อาซากะเกลียดทั้งสองคน
และตอนนี้ไอ้คนที่ตัวสูงกว่าใครนั่นก็กำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาไม่ชอบใจ
อาซากะจำเป็นต้องออกจากตรงนั้นอย่างช่วยไม่ได้
“โธ่โว้ย!!!!!”
อาซากะเข่นเขี้ยวกับตัวเอง นึกเจ็บใจว่าคนอย่างเขา
เกิดมาโชคดีมีพร้อมทุกอย่าง
แต่กลับโชคร้ายเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว
ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก
เขาไม่เคยได้มีโอกาสได้พบหรือพูดคุยกับเคย์ตามลำพังเลย มักจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือใครบางคนมาขัดขวางไปเสียทุกครั้ง ถึงจะมีฮิคารุคอยช่วยแต่ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า
ราวกับมีใครสักคน...คอยบงการให้ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ช่างตื๊อจริงเจ้ามนุษย์นั่น เหตุใดท่านจึงไม่กำจัดเสียเล่า”
บัดนี้ไดกิยืนอยู่กลางห้องมืดๆ
บนชั้นสามของบ้านหลังหนึ่ง ตั้งอยู่บนถนนสายเก่าแก่ ที่สร้างด้วยมนตรา แทรกอยู่กลางมหานครอันทันสมัย ไม่มีมนุษย์ผู้ใดรับรู้ว่ามันมีอยู่ และเฉพาะคน”พิเศษ” บางคนเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้ามา
ที่แห่งนี้...เป็นที่อาศัยชั่วคราวของเหล่าภูตและปีศาจ ที่ติดตามนายของมันมาจากโลกของปีศาจ
เพื่อมาคอยปกป้องคุ้มครองเคย์ในแดนมนุษย์
ห้องมืดๆที่ไดกิยืนอยู่นั้นเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการ ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมตัวใหญ่ทำจากไม้สีเข้ม บนโต๊ะมีอ่างโลหะทรงกลมใส่น้ำ เมื่อร่ายมนต์ลงไป มันจะกลายเป๋นกระจกที่สะท้อนภาพสถานที่ใดๆ
หรือผู้ใดก็ได้
ตามแต่ความต้องการของผู้ร่ายมนต์
ภาพที่ปรากฏในกระจกวารี คือมนุษย์นามว่า อาซากะ โคได
สิ่งที่คนคนนี้ได้กระทำต่อเคย์ไม่ว่าจะในภพก่อน หรือภพนี้ ก็มีแต่ทำให้ผู้เฝ้าดูขุ่นเคือง
ทว่าผู้ที่ควรจะเดือดเนื้อร้อนใจจากการกระทำของอาซากะมากที่สุดนั้น กลับนั่งนิ่งไม่กล่าวอะไร ยิ่งทำให้ไดกิไม่พอใจหนัก
ในอดีตกาลนั้น
เคย์เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ยอมรับในตัวตนอันแปลกประหลาดของไดกิได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ทั้งสองจึงเป็นสหายสนิท และแม้เวลาผ่านไปกี่ร้อยปี มิตรภาพก็ไม่เคยลบเลือน
“ให้ข้าสร้างลมพายุหอบเจ้านั่นมาให้เคย์โตะจับมันแช่แข็งแล้วเอาไปโยนกลางทะเลดีไหม?
ไดจัง
แบบนี้อาซากะจะได้ไม่มากวนใจพี่สะใภ้อีก”
ไดกิตวัดสายตาขุ่นเคืองไปทางคนช่างพูด
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจกำจัดอาซากะไปได้ ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นยังมีจิตใจยึดมั่นอยู่กับเคย์ ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่สักกี่ครั้ง อาซากะ โคได
ก็จะตามรังควาญเคย์อย่างนี้เรื่อยไป
จนกว่าจะได้ในสิ่งที่หวัง
หรือไม่ก็เป็นฝ่ายถอดใจยอมแพ้เสียเอง
ซึ่งประการหลังนั้น เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก
“หึ! ฆ่าไม่ได้
แล้วยังต้องคอยคุ้มครองเจ้านั่นเสียด้วย
ไม่เช่นนั้น
อาซากะอาจจะตายซะก่อนจะได้ตัดใจ”
“เพราะเหตุใดกัน?”
คราวนี้ ยูยะ
ปีศาจผู้เป็นนายแห่งเรือสีดำเป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้างหลังจากเงียบมานาน
“ข้าคิดว่า
บุตรทั้งสามของท่าน
ได้ออกจากแดนปีศาจมาตามหาแม่ที่โลกมนุษย์นี่แล้วน่ะสิ ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของพวกเขา ตอนที่ไปบ้านของยาโอโตเมะ”
ใบหน้าเคร่งขรึมเริ่มกลายเป็นเคร่งเครียด
“ต่อให้พบกันตอนนี้ เคย์ก็ยังจำอะไรไม่ได้
มีแต่จะเสียใจก็เท่านั้น” ถอนใจพลางหั่นไปสั่งน้องชายทั้งสอง
“ไปตามหาพวกเขาแล้วพากลับไปยังแดนปีศาจเสีย หากยังดื้อรั้นไม่ยอมกลับ ข้าจะลงโทษทั้งสามสถานหนัก”
ยูโตะและเคย์โตะรับคำพี่ชาย จากนั้นปีศาจทั้งสามก็หายตัวไป
เหลือแต่ไดกิที่ยืนอยู่ในห้องมืดๆแต่เพียงผู้เดียว
ลงโทษสถานหนัก? ไดกิได้แต่สายหน้า
ปีศาจสามพี่น้องคงลืมไปแล้วกระมังว่าเคย์รักลูกๆทั้งสามมากเพียงใด ครั้งสุดท้ายที่พวกเด็กๆถูกลงโทษ
เคย์โกรธจนไม่ยอมพูดกับท่านหลายเดือนเชียวนะ ยูยะ..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่จริง..เคย์ก็รู้อยู่แกใจหรอก
ว่าพี่ชายกับเพื่อนรักไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่ แต่เคย์ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม้ว่าทั้งสองคนจะเอาแต่แยกเขี้ยวใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า เคย์ก็ไม่เห็นเป็นปัญหา
หรือว่าเขาจะคิดผิดไปนะ..
ยิ่งร้อนใจเท่าไหร่ เคย์ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดินช้าลงเท่านั้น หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากโฉะองและไทโย ดูเหมือนว่าโคตะจะมารอพบฮิคารุหลังเลิกเรียน แน่นอนว่าคุยกันไม่กี่คำก็ทะเลาะกัน จากนั้นโคตะก็ลากฮิคารุไปไหนไม่รู้ ลำพังพี่ชายเขาไม่ใช่นักเลงหัวไม้ใช้แต่กำลังอยู่แล้ว แต่ถ้าถูกฮิคารุกวนประสาทมากๆเข้า คนที่จะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะถูกแกล้งจนหัวปั่นก็เห็นจะเป็นฮิคารุอยู่ฝ่ายเดียว
แล้วนี่ทั้งสองคนก็ไม่รับโทรศัพท์ เคย์ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน แต่ไม่รู้ทำไม..ตอนนี้ในใจเขาคิดถึงสถานที่แห่งเดียวเท่านั้น...
หลังจากนั้นเคย์ก็พาตัวเองมายืนกระวนกระวายหน้าประตูบ้านฮิคารุ
หลังจากกดกริ่งไม่ถึงนาที แม่บ้านก็มาเปิดประตูรับ ด้วยสีหน้าโล่งใจเป็นที่สุดเมื่อเห็นหน้าเคย์
“คุณมาได้เวลาพอดี ทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันเสียงดังเชียวค่ะ “
เคย์ก้าวตามคุณแม่บ้านเข้าไปข้างในทันที
ทั้งสองก้าวเร็วๆเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่อยู่ถัดเข้าไปด้านในจากห้องรับแขก ซึ่งใช้เป็นที่รับรองเฉพาะคนสนิทของเจ้าบ้าน
และยังเป็นที่เก็บของเก่ารอทำความสะอาดหรือนำออกขายด้วย
เสียงโครมครามดังมาจากได้ในห้องก่อนที่ทั้งคู่จะไปถึงประตูเพียงก้าวเดียว
ประตูเปิดผาง ที่คิดว่าฮิคารุกำลังฟาดหัวฟาดฟางใส่โคตะนั้นผิดถนัด เพราะภาพที่เห็น
คือฮิคารุกำลังนอนหงายตะเกียกตะกายอยู่บนพรมขนสัตว์ ถูกโคตะทับอยู่ทั้งตัว แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่านั้น
คือทั้งคู่สังเกตเห็นว่าโคตะนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกเลยแม้แต่น้อย คุณแม่บ้านรู้งานวิ่งไปโทรศัพท์ตามหมอ
ส่วนเคย์ถลาเข้าไปประคองร่างพี่ชายให้ขึ้นไปนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา
ก่อนจะหันไปหาเพื่อนรักที่นั่งทำหน้าตาตื่นตกใจอยู่บนพรม
“ฮิคารุ เจ็บตรงไหนรึเปล่า? แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?”
“มะ-ไม่รู้ เราทะเลาะกันอยู่ ถูกเซ้าซี้มากๆ ฉันโมโหก็เลยตีไปทีนึง แล้วเขาก็ล้ม- ฉันไม่รู้”
สิ่งที่ฮิคารุใช้ตีโคตะ ตกอยู่ข้างๆโซฟา
มันคือหมอนสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดพอเหมาะที่วางเรียงประดับอยู่บนโซฟาไว้สำหรับพิงหรือกอดเล่น
แค่หมอนไม่น่าจะทำให้ถึงกับสลบได้เลย ต่อให้ตีสุดแรงก็เถอะ
“หรือว่าที่ถูกตีคราวก่อนนั่นยังไม่หายดีเหรอเคย์? “
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้ไปตรวจเลยด้วย”
ฮิคารุหน้าซีด เหงื่อตก
เคย์เห็นแบบนั้นก็ปลอบใจว่าโคตะคงไม่ได้เป็นอะไรมาก พักสักครู่ก็คงหาย แต่เพื่อนรักก็คิดไปไกลสุดกู่แล้ว นาทีต่อมาฮิคารุก็วิ่งออกจากห้องไปตามหมอด้วยอีกคน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่ฮิคารุออกจากห้องไป
เคย์ก็หันกลับไปหาพี่ชายที่ยังนอนนิ่งบนโซฟาด้วยสีหน้างอนๆ
“ถ้ายังไม่ลืมตาละก็ คราวนี้จะไม่ถูกตีด้วยหมอนแล้วนะ”
เสียงหัวเราะหึๆดังมาจากคนที่นอนอยู่บนโซฟา ยาบุหรี่ตาขึ้นมองนิดหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าฮิคารุไม่ได้แอบอยู่แถวนั้นก็ลืมตายิ้มแหยๆให้น้องชาย
“ว๊า~ถูกจับได้ซะแล้ว”
“ไม่ตลกนะ รู้ไหมว่าเมื่อกี๊ฉันตกใจจริงๆ “ เคย์บ่น
“แล้วนายแกล้งฮิคารุแบบนี้ทำไม”
“ก็มันน่าแกล้ง เล่นตัวดีนัก”
คนฟังถึงกับร้องหือ? โคตะจึงต้องอธิบายเพิ่มว่าตนอยากเห็นมีดสั้นและหีบโบราณที่เคยเห็นก่อนหน้านั้นอีกครั้ง แต่ฮิคารุกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ดู เลยทะเลาะกัน
จนถูกฮิคารุตีด้วยหมอน
โคตะเลยเอาคืนด้วยการแกล้งสลบให้อีกฝ่ายตกใจ
“จะให้ดูหรือไม่ให้ ก็เป็นสิทธิ์ของเขานี่ ที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์สักหน่อย
จะได้มาเดินเที่ยวดูโน่นดูนี่”
“หมอนั่นทำเพราะอยากแกล้งฉันต่างหาก”
เคย์ส่ายหน้าเอือมระอา
พี่ชายเขาบทจะดื้อขึ้นมาก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น แต่ที่จริงก็นิสัยเหมือนกันทั้งนั้น คุณอาหญิง
โคตะ หรือกระทั่งตัวเขาเอง
“นึกยังไงถึงอยากดูล่ะ นายไม่เคยสนใจของพวกนี้นี่?”
โคตะลุกขึ้นนั่ง
มองตาน้องชายก่อนจะตอบคำถามด้วยสีหน้าจริงจังผิดกับเมื่อครู่
“เพราะฉันสงสัยว่าของสองอย่างนั่น
มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรือสีดำในฝันของนายรึเปล่า”
เคย์กำลังจะปฏิเสธ แต่จู่ๆ
ความฝันในคืนวิวาห์บนเรือสีดำ ก็ฉายวาบเข้ามาในดวงตาเป็นฉากๆ
ร่างกายร้อนวูบวาบเมื่อนึกถึงอ้อมอ้อมกอดร้อนแรงของปีศาจรูปงามในฝัน
จนเคย์ต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อลบภาพเหล่านั้นออกไป
แต่ท่าทางที่แสดงออกก็ทำให้พี่ชายรู้แล้วว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
“แค่ความฝันน่ะ
ฉันคง..อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากเกินไป ก็เลยเก็บไปฝันเป็นเรื่องเป็นราว”
โคตะถอนหายใจยาว...
“ฉันไม่ห่วงเรื่องความฝันของนาย
ที่ห่วงคือการที่นายไม่ยอมตื่นจากฝันนั่นต่างหาก”
“หมายความว่ายังไง?”
“ไม่รู้ตัวเหรอ?
ว่าหลายวันที่ผ่านมานายแทบไม่พูดกับใครเลยนะ เรียนก็ไม่มีสมาธิ ใจลอย
เอาแต่เก็บตัวอยู่ในอพาร์ทเมนท์
ที่สำคัญ
นายลืมสัญญาที่ว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้านทุกอาทิตย์มาสองครั้งแล้ว คิดดูสิว่าแม่ฉันจะเป็นยังไง”
ท่าทางกระวนกระวายหวาดกลัวของอาหญิงแล่นเข้ามาในความคิดพร้อมๆกับความรู้สึกผิดที่เป็นเหมือนแรงกดทับให้ร่างกายหนักอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก นอกจากคำว่าขอโทษซ้ำๆ
“ฉันไม่ยอมรับคำขอโทษของนาย” โคตะทำเสียงดุจนน้องชายหน้าเสีย “
จนกว่านายจะรับปากว่าตั้งแต่วันนี้ไปจะกลับไปอยู่บ้านจนกว่าจะครบสองอาทิตย์ ให้แม่ฉันสบายใจแล้วนายจะกลับมาอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ก็ตามใจ”
พูดจบก็ไม่รอคำตอบ เอนตัวลงนอนเหยียดยาวลงบนโซฟาอีกครั้ง
เคย์เห็นพี่ชายทำท่าเหมือนจะหลับไปจริงๆก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรอีก ทั้งๆที่ใจก็สงสัยว่าโคตะยังมีอะไรปิดบังอยู่อีก แต่เสียงวิ่งโครมครามของฮิคารุที่กลับเข้ามาในห้องพร้อมหมอ ก็ทำให้เคย์ลืมมันไปในทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โคตะถูกพาขึ้นมาบนห้องนอนสำหรับแขกในบ้านของฮิคารุแบบมึนๆ
งงๆ แปลกใจที่อยู่ๆ ตัวเองก็เผลอหลับไปบนโซฟาที่
ทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกง่วง แถมยังหลับลึกจนคนรอบข้างตกใจ ฮิคารุ เคย์
และหมอที่ถูกตามมาช่วยกันเรียก ช่วยกันปลุกอยู่นาน กว่าจะตื่นได้ หากว่าตื่นช้ากว่านั้นอีกหน่อย
มีสิทธิ์ถูกหามไปโรงพยาบาลแน่ๆ
ฮิคารุจัดแจงให้ทั้งสองคนพักที่บ้าน เพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว อีกอย่างโคตะก็ดูเหมือนคนไม่ค่อยมีสติ ปล่อยให้กลับเองไม่รู้ว่าจะถึงบ้านรึเปล่า
“ใจดีจัง”
ฮิคารุฟังแล้วอยากจะหันกลับไปถีบไอ้คนพูดให้ตกบันไดไปนอนโรงพยาบาลจริงๆซะเหลือเกิน แต่ไม่อยากทะเลาะกับคนสติไม่สมประกอบ จึงเดินนำไปยังห้องพักรับรองบนชั้นสองด้านในสุด
“ห้องนี้แหละ พอจะมีที่ว่างอยู่” จากนั้นก็หันไปหาเคย์ “นายก็นอนห้องข้างๆนะ
ดึกๆก็อย่าลุกขึ้นมาเดินเพ่นพ่าน ล่ะ เกิดไปเตะถูกของพวกนี้พัง
เดี๋ยวจะได้ใช้หนี้กันตาเหลือก”
โคตะและเคย์เห็นสภาพข้าวของมากมายที่วางกองอยู่เต็มห้องแล้วก็คิดหนักว่าจะพาตัวเองให้ไปถึงเตียงได้ยังไงโดยไม่ให้ของเก่าพวกนี้ล้มลงมาทับตาย ที่บ้านของฮิคารุไม่ค่อยมีแขกมาให้รับรองมากนัก
ห้องพักแขกเลยกลายเป็นห้องเก็บของเก่าไปเกือบหมด ตามทางเดิน หรือ
แม้แต่ห้องนอนของฮิคารุก็มีแต่ของเก่าสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปวาง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เดือดร้อน กลับชอบใจที่ได้จับโน่นขนนี่มาแต่งห้อง
“ของเยอะขนาดนี้ ถ้าหยิบไปสักชิ้นสองชิ้นนายคงไม่รู้สินะ”
“ไม่หรอก”ฮิคารุยักไหล่ไม่สนใจ “ ได้ของคืนมาแล้วนั่นแหละถึงรู้ว่ามันหาย ”
“ทำไม?
จะบอกหัวขโมยพวกนั้นเจออาถรรพ์เลยเอาของมาคืนงั้นสิ”
แทนที่จะโกรธที่ถูกกวนประสาท
ฮิคารุกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ยาบุ
ท้าทายอีกฝ่ายด้วยสายตาว่า
ลองหยิบไปซักชิ้นสิ
แล้วจะรู้ว่าทำไม
“ไม่ยักรู้ว่านายก็เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย
อาถรรพ์ของเก่า มีแต่เจ้าของที่แท้จริงเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง”
คราวนี้ฮิคารุจ้องกลับอย่างเอาเรื่อง
“ฉันไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์
แค่คิดว่ามันต้องมีเหตุผลที่หัวขโมยพวกนั้นเอาของมาคืน”
“อาจเป็นเพราะว่า
ยังมีจิตสำนึกที่ดีอยู่ละมั้ง”
เคย์ตัดบทให้แต่ละคนแยกย้ายกันเข้านอนเพราะดึกมากแล้ว หลังจากประตูห้องปิด โคตะล้มตัวลงนอนและหลับสนิทไปทันที รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ได้ยินเสียงจากทางเดินด้านนอก ในห้องไม่มีนาฬิกาเขาเลยไม่รู้เวลา
แต่ก็เดาเอาจากสีของท้องฟ้าด้านนอกว่ายังไม่เช้า
ร่างสูงย่องไปที่ประตูห้อง
แนบหูกับบานประตู เสียงฝีเท้าเดี๋ยวดังเดี๋ยวหายชวนให้สงสัย
แต่นอกจากเสียงฝีเท้าแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นเลย
ทั้งๆที่ทางเดินด้านนอกนั้นมีแต่ข้างของวางเกะกะเต็มไปหมด ขนาดเจ้าของบ้านอย่างฮิคารุ กว่าจะเดินขึ้นมาถึงชั้นสองได้ยังเตะโน่นเตะนี่มาตลอดทาง
จะว่าเป็นคนในบ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนเสียงฝีเท้า...
คนนอก! ขโมยรึเปล่าหว่า??
โคตะค่อยๆแง้มประตูพอให้มีช่องเล็กๆ ทางเดินด้านนอกมืดสนิท
สายตาที่เริ่มชินกับความมืดมองเห็นเงาดำๆของใครบางคนกำลังย่องผ่านหน้าห้องของเขาไป ร่างนั้นก้มลงหยิบอะไรบางอย่างรูปร่างผอมๆ
ยาวๆ จากกองสมบัติที่วางสุมกันอยู่ตรงสุดทางเดิน
จากนั้นก็ย่องลงบันไดไป
โคตะแอบตามไปอย่างเงียบเชียบ
ซึ่งทำได้ยากเมื่อต้องย่องผ่านกองสมบัติที่วางอย่างไร้ระเบียบโดยไม่ให้ชนอะไรล้ม กว่าจะพาตัวเองลงมาถึงชั้นล่างได้ ร่างนั้นก็หายไปแล้ว
ทุกอย่างรอบตัวมืดสนิท ระหว่างที่โคตะลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขาก็สังเกตเห็นว่ามีแสงไฟจากห้องนั่งเล่น ร่างสูงนึกประหลาดใจ แต่ก็ออกเดินไปทางห้องนั้นทันที ผู้ที่อยู่ในห้องไม่รับรู้การมาถึงของโคตะ อาจเป็นเพราะนั่งหันหลังให้ประตูหรือไม่..ก็มัวแต่จดจ่อกับวัตถุที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยหน้าโซฟา
สิ่งที่ถูกหยิบออกมาจากกองสมบัติบนชั้นสอง คือดาบยาว เล่มหนึ่ง ที่ดูจะไม่ใช่ของใหม่
แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นของเก่าแก่เหมือนสมบัติชิ้นอื่นๆ มันสมบูรณ์แบบ .. ไม่มีร่องรอยสึกกร่อนผุพัง ฝักดาบทำด้วยสำริด สลักลวดลายคดโค้งดุจเกลียวคลื่นในท้องทะเล
มุกและอัญมณีที่ประดับไว้ยังอยู่ครบดังที่มันเคยเป็น ราวกับว่า กาลเวลา ...
ไม่อาจทำให้ดาบนี้สูญสลายไป
ความคิดถูกขัดจังหวะเพราะเสียงฮึดฮัดจากร่างที่นั่งหันหลังให้
ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังใช้สมาธิและกำลังอย่างสุดแรงเพื่อดึงดาบออกจากฝัก พยายามหลายครั้งก็ไม่เป็นผล จนเริ่มหมดแรง
“มีอะไรให้ช่วยไหม?”
โคตะจงใจไปยืนอยู่ด้านหลัง ยื่นหน้าข้ามไหล่เข้าไป
เพื่อให้อีกฝ่ายหันมาเจอเขาในระยะประชิด
หวังจะแกล้งให้ตกใจเล่นๆ แต่ผิดคาด
ไม่ยักกะตกใจแฮะ...
ฮิคารุเพียงแต่ทำตาโตในแบบที่โคตะเห็นแล้วนึกชมในใจว่าน่ารักดี ก่อนจะถามกลับมาด้วยน้ำเสียงข้องใจหน่อยๆว่าโคตะลงมาทำอะไรในเวลาแบบนี้
“ได้ยินเสียงแปลกๆ
แล้วยังออกมาเจอคนทำท่าทางลับๆล่อๆก็คิดว่าเป็นพวกย่องเบาน่ะสิ” โคตะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟายาว ฮิคารุสะดุ้งกระเถิบหนีไม่พอ
ยังคว้าหมอนสองสามใบมาวางกั้นตรงกลางอีกต่างหาก
“คนที่มาเดินด้อมๆมองๆตอนดึกๆในบ้านคนอื่นต่างหากที่เป็นขโมย”
โคตะอ้าปากจะถียง
แต่ขี้เกียจต่อความให้ยาวไปกว่านี้ เลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องดาบแทน ถามว่าได้ดาบมาจากไหน
“ยูโตะเอามาฝากให้ทำความสะอาด คงจะเอาไปจัดแสดงในงานคราวหน้ามั้ง”
ฮิคารุเล่าว่าครอบครัวของ
นากาจิมา ยูโตะ นั้น
มีงานอดิเรกเป็นการจัดแสดงของเก่า ที่ต้นตระกูลเก็บสะสมไว้
ฮิคารุเคยติดตามผู้เป็นพ่อไปงานนั้นหลายครั้ง
แต่ละครั้งก็จะได้ของเก่าชิ้นงามๆกลับบ้านมาหลายชิ้น
โดยมีเงื่อนไขว่าสามารถเอาไปขายต่อได้ในราคาที่ไม่ค้ากำไรจนเกินควร บิดาของฮิคารุรับปากและทำตามเงื่อนไขนั้นมาโดยตลอด
ทำให้กิจการรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน
ผิดกับพ่อค้าของเก่าคนอื่นที่ได้ของไปแล้วโก่งราคาสูงจนน่าเกลียด ตามที่ได้ยินมา ไม่มีใครรุ่งเรืองเลยสักคน
ระหว่างที่เล่า ฮิคารุก็พยายามออกแรงดึงดาบออกจากฝักไปด้วย แต่ก็เป็นเหมือนเดิมคือทำไม่ได้ ยาบุเลยฉวยดาบมาเสียเอง ฮิคารุร้องเสียงหลง
“ระวังหน่อย!! เดี๋ยวเพชรพลอยที่ประดับอยู่จะ-”
ฮิคารุมองดาบตาถลน โคตะเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กันที่ออกแรงเพียงเล็กน้อยดาบก็เลื่อนออกจากฝัก
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นฮิคารุพยายามดึงจนหน้าดำหน้าแดง มันก็ไม่ขยับ...
ใบดาบทำด้วยเหล็กกล้า ส่องประกายแวววาวไร้สนิมเกาะ โคตะยื่นดาบคืนให้ฮิคารุโดยไม่พูดอะไร อีกฝ่ายรับเอาไปแล้วก็ทำตาค้างอีกรอบเมื่อเห็นรอยสลักบนใบดาบ
ชื่อของใครคนหนึ่งที่สลักอยู่ตรงกลางดาบ...
โคตะรู้ดีว่าเป็นใคร
เขารู้..รู้ทันทีที่ได้เห็นดาบเล่มนั้น
รู้...ก่อนที่จะได้ดึงดาบออกจากฝักเสียอีก..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ดาบเล่มนี้
เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวและชิ้นสุดท้ายของข้า
หากว่ามันจะมีค่ามากพอก็จงรับเอาไป และจงมอบสิ่งที่ข้าต้องการมา”
ยาบุ โคตะ
ยื่นดาบออกให้เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ซึ่งไม่ใช่มิตร และอาจเป็นศัตรูตัวฉกาจ แต่โคตะก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
สามเดือนที่ล่องเรือในมหาสมุทรกว้างใหญ่
ระหว่างที่พาน้องสาวไปยังดินแดนที่จะสามารถอาศัยได้อย่างปลอดภัยก็พยายามหาข่าวคราวของน้องชายไปด้วย
แต่ก็ไร้วี่แวว
เรื่อที่พวกเขาโดยสารมา
เป็นเรือพาณิชย์ขนาดเล็ก และไม่ใช่เรือของตระกูลยาโอโตเมะ
แต่เป็นเรือเล็กที่ใช้เดินทางค้าขายในระยะใกล้เคียงของญาติสนิทคนหนึ่ง ยามาชิตะ
โฉะอง
แม้คนผู้นี้ไม่ได้ร่ำรวยเงินทองและอำนาจ
แต่ก็เป็นมิตรแท้ที่พึ่งพาได้ในยามยากเช่นนี้
ข้อเสนอของฮิคารุเป็นเหมือนคำแนะนำให้โคตะและแคลที่กำลังสับสน ทั้งคู่ได้แต่ทำตามโดยไม่มีคำโต้แย้ง เมื่อฮิคารุพาพวกเขาลงเรือของโฉะอง
โดยมีปลายทางคือเมืองท่าที่แผ่นดินใหญ่ทางฝั่งตะวันออก เพื่อจะขึ้นเรือลำอื่นเดินทางต่อไป
แต่โคตะยังไม่ได้คิดว่าจะเดินทางต่อไปยังที่ใด ฮิคารุและโฉะองก็เห็นพ้องกันว่าดี เพราะหากมีผู้ใดติดตามมาจริง
ก็จะทำให้อีกฝ่ายเดาทางไม่ถูก แม้ว่าก่อนหน้านั้นโคตะจะส่งเสื้อผ้าข้าวของของตนไปกับเรืออีกลำที่เดินทางไปทางตะวันตกก็ตาม ก็ใช่ว่าบิดาของโคตะจะหลงกลแผนนี้ได้ง่ายๆ
เคย์พูดไว้ไม่ผิด บิดาส่งคนติดตามมาอย่างแน่นอน แม้แต่โฉะองกับฮิคารุยังสังเกตเห็น โชคดีที่แคลนั้นแต่งตัวเป็นชายโคตะจึงไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหล
เขาไม่ต้องการให้บิดารู้ว่าผู้ที่ถูกส่งไปสังเวยแด่ปีศาจนั้นเป็นน้องชายไม่ใช่น้องสาว
ไม่เช่นนั้นบิดาคงส่งคนมาชิงตัวแคลกลับไปเป็นเจ้าสาวของปีศาจอีกเป็นแน่
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ทำให้สองพี่น้องเป็นกังวลมากเท่ากับความเป็นตายของน้องชายคนเล็ก แต่ไม่ว่าจะเฝ้าถามข่าวคราวสักเท่าไรก็ไร้ซึ่งความหวัง เมื่อใดที่เอ่ยถึงเรือปีศาจ ชาวเรือทั้งหลายก็หวาดกลัวจนไม่กล้าเอ่ยถึง แม้จะเสนอเงินทองมากมายสักเท่าใดก็เปล่าประโยชน์
ความท้อแท้สิ้นหวังของโคตะทำให้
โฉะองสงสาร จึงเสนอทางเลือกหนึ่งให้
“จะตามหามนุษย์ให้ถามมนุษย์ ตามหาเรือปีศาจก็จงถามจากปีศาจ”
นั่นเองทำให้พวกเขาได้รู้สิ่งที่โฉะองได้เก็บไว้เป็นความลับอย่างยิ่งยวด ทำให้พวกเขาต้องเดินทางขึ้นมาบนยอดผาริมทะเลเพื่อพบกับใครคนหนึ่ง
ซึ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าโคตะพร้อมสายลมเย็นเยือกที่ทำให้หนาวเหน็บไปทั้งร่าง
และใครคนนั้นได้เรียกร้องสิ่งตอบแทนเพื่อแลกกับข่าวของเรือสีดำและผู้ที่อาจจะถูกพาตัวไปอยู่บนนั้น
โคตะยื่นดาบออกไปโดยไม่นึกเสียดาย….
นัยน์ตาสีน้ำเงินดุจน้ำทะเลลึกเพียงแต่มองนิ่ง และโดยมิได้แตะต้องดาบในมือของโคตะ อีกฝ่ายก็สามารถบอกที่มาที่ไปของดาบนั้นได้
“ฝักดาบทำด้วยทองสำริด
ใบดาบตีจากเหล็กกล้า สลักนามผู้เป็นเจ้าของเอาไว้
บิดาของเจ้ามอบให้เป็นของขวัญเมื่ออายุครบสิบห้าปี ของสำคัญเช่นนี้ เจ้าไม่เสียดายหรือ?”
“ไม่เลย”
โคตะมองดาบในมืออย่างไม่แยแส
“หากว่ามันจะช่วยให้ข้าได้รู้ข่าวของน้องชาย”
อยู่ๆดาบในมือก็เย็นเฉียบ และเย็นลงเรื่อยๆจนโคตะต้องรีบปล่อยก่อนที่มือของเขาจะถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งไปพร้อมกับดาบ ปีศาจตาสีน้ำเงินยอมรับข้อแลกเปลี่ยนแล้ว
“หากว่าน้องชายของเจ้ามีใบหน้าเป็นพิมพ์เดียวกับหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ล่ะก็
ข้ารับรองได้ว่าเวลานี้เขาปลอดภัยดี”
แคลร้องไห้โฮ โผกอดพี่ชาย
ยามนี้นางไม่สนใจแล้วว่าเหตุใดปีศาจจึงรู้ว่าเป็นหญิงทั้งๆที่ตนแต่งตัวเป็นชาย แต่โคตะนั้นยังไม่เชื่ออย่างหมดใจ แม้ว่าอยากจะเชื่อ แต่ความสงสัยมากมายก็ผุดขึ้นในใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
“เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้
ข้าบอกได้เพียงว่าน้องเจ้าเป็นที่โปรดปรานของท่านผู้นั้น เห็นทีเขาคงจะไม่เบื่อน้องเจ้าง่ายๆหรอก”
“ถ้าเบื่อแล้วจะเป็นเช่นไร เพื่อนของข้าจะไม่ถูกฆ่าทิ้งรึ?”
ฮิคารุโพล่งออกไป
นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของปีศาจตนนั้นอย่างเอาเรื่อง
โฉะองอดนึกชื่นชมความห้าวหาญของญาติสนิทคนนี้ไม่ได้ เขาเองยังจำได้ถึงความหวาดกลัวที่รู้สึกเมื่อได้รู้ว่าผู้ที่ได้ช่วยเหลือเขาจากพายุกลางทะเลนั้นเป็นปีศาจ จนถึงวันนี้ความกลัวก็ยังไม่จางหายไป เพียงแต่....เมื่อเวลาผ่านไป
โฉะองก็เริ่มคิดว่าปีศาจนั้นไม่ได้ชั่วร้ายดังที่ใครๆพูดกัน
อย่างน้อย...ก็ไม่ใช่ปีศาจตนนี้
นัยน์ตา
สีน้ำทะเลลึกนั้นมองมาที่ฮิคารุ
เพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็ตัวสั่น
ไม่ใช่เพียงเพราะความหนาวเย็นที่จู่โจมทั่วร่าง
แต่การที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังที่ยากจะหยั่งถึงนั้นทำให้ฮิคารุกลัวขึ้นมาจริงๆ
น้ำหนักและความอบอุ่นจากมือของโคตะที่วางบนไหล่ ทำให้ฮิคารุใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อได้ยินว่าข้อเรียกร้องต่อไปของโคตะคืออะไร
ความกล้าหาญที่เพิ่งได้คืนมาก็หล่นลงไปอยู่ตรงปลายเท้า
“หากว่าข้าต้องการพาน้องข้ากลับมา ข้าต้องใช้สิ่งใดเป็นข้อแลกเปลี่ยน ท่านจึงจะช่วยข้า”
คำตอบที่ได้รับคือ
แม้มีสมบัติมากมายสักเท่าใดก็ไม่อาจทำให้ปีศาจตนนั้นตอบตกลงได้ โฉะองพอจะรู้ว่าเพราะเหตุใด ปีศาจนั้นมักใช้ชีวิตโดดเดี่ยว ไม่เกี่ยวข้องก้าวก่ายซึ่งกันและกัน แต่โฉะองรู้สึกว่ายังมีเหตุผลอื่นจึงรั้งรออยู่ต่อ หลังจากที่คนอื่นๆกลับไปยังที่พักแล้ว
“ที่ปฏิเสธ
ไม่ใช่เพราะปีศาจตนนั้นมีพลังอำนาจเหนือกว่าท่านหรอกหรือ? เคย์โตะ”
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง”
นัยน์ตาสีน้ำเงินมองไกลไปในท้องฟ้าและท้องทะเลยามราตรี “แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้าไม่อาจต่อกรกับท่านผู้นั้นได้ .... เพราะเขาเป็นพี่ชายของข้า”
โฉะองรับรู้ความจริงข้อนั้นด้วยความหวาดหวั่นยิ่งนัก
ไม่นึกว่าปีศาจที่ตามหาจะอยู่ใกล้ตัวถึงเพียงนี้
“เคย์เป็นเพื่อนรักของข้า”
“ข้ารู้...มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่ยอมเสี่ยงเปิดเผยความลับว่ามีสหายเป็นปีศาจ”
“เขาจะได้กลับมาไหม? เคย์จะมีชีวิตรอดกลับมาพบพี่น้องอีกไหม?”
“ไม่ว่าเมื่อไหร่
เจ้าก็ยังคิดว่าปีศาจเช่นเราชั่วร้ายเห็นชีวิตมนุษย์เป็นผักปลา”
“แล้วข้าคิดผิดงั้นรึ?”
“อีกไม่นานเจ้าจะได้รู้เอง
ว่ามนุษย์นั้นสามารถโหดเหี้ยมและชั่วร้ายได้ยิ่งกว่าปีศาจ” สายลมหนาวพัดวนรอบกาย
ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ โฉะองต้องถอยออกมาให้ห่าง “ส่วนเพื่อนรักของเจ้า ชะตาของเขาขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเขาเอง หากว่าเขาทำตัวให้เป็นที่รัก
เขาจะมีชีวิตรอดปลอดภัยจนได้กลับมาพบกับพี่น้องอย่างแน่นอน แต่เมื่อใดนั้น ข้าไม่อาจทำนายได้”
สายลมก่อตัวเป็นพายุหมุนรุนแรง ชั่วพริบตาพายุก็สลายไปพร้อมร่างของปีศาจ
เหลือไว้เพียงความหนาวเหน็บที่ก่อตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งตามต้นไม้และยอดหญ้าทั่วบริเวณ โฉะองปัดน้ำแข็งที่เกาะพราวอยู่ทั่วตัวพลางถอนใจ พบกันทีไร
เคย์โตะเป็นต้องทิ้งเกล็ดน้ำแข็งไว้แทนคำลาเสมอ แต่ในครั้งนี้กลับทิ้งความหวาดหวั่นเอาไว้ให้เขาด้วย
โฉะองมองออกไปยังทะเลและท้องฟ้า
ที่บัดนี้มืดมิดกลืนกินจนเป็นสิ่งเดียวกัน
นึกถึงเพื่อนรักว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรหนอ
ขอให้เจ้าปลอดภัยจนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งด้วยเถิด..เพื่อนรักของข้า..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขณะที่โฉะองกำลังอธิษฐานต่อดวงดาว อีกด้านหนึ่งของเส้นขอบฟ้า ด้านที่มีแสงจันทร์สาดส่อง เรือปีศาจล่องเรื่อยอยู่ในทะเลกว้าง เรือสีดำอาบแสงจันทร์จนกลายเป็นสีเงินแวววาวดุจไข่มุกอยู่กลางเวิ้งทะเลสีราตรี แต่ผู้ที่อยู่บนเรือมิได้มีใจชื่นชมกับความงามเช่นนี้นัก
สามเดือนแล้วที่เรือลำนี้ล่องอยู่กลางทะเล ไม่หยุดพัก
ไม่เทียบท่าแผ่นดินใด
ทำให้เคย์หมดทางหนี
“นี่เจ้าจะล่องตามแสงจันทร์อย่างนี้เรื่อยไปรึ?”
เรือลำนี้ไม่มีสิ่งชีวิตใดอาศัย...แม้แต่หนูสักตัว ช่วงเวลาที่ผ่านมา เคย์จึงได้แต่พูดอยู่กับตัวเอง และบางครั้งกับรูปสลักเทพีตรงหัวเรือ และคืนนี้ก็เช่นกัน...
เคย์ประหลาดใจนัก เรือปีศาจที่เล่ากันว่าจะปรากฏแต่ในคืนเดือนมืดเท่านั้นแต่กลับเผยตนใต้แสงจันทร์อยู่ทุกค่ำคืน ไม่ว่าคืนไหน
เคย์ก็จะมองเห็นแต่จันทร์เต็มดวงบนฟากฟ้า
ความรู้เรื่องวิถีโคจรแห่งดวงดาวที่ได้เคยร่ำเรียนมา
ทำให้พอรู้ว่าเรือลำนี้ล่องตามวิถีแห่งพระจันทร์ ซึ่งน่าแปลกยิ่ง
“แสงจันทร์ทำให้ทุกสิ่งในยามค่ำคืนงดงามขึ้น เจ้าไม่ชอบหรือ?”
ไม่ว่าเมื่อไร...
เคย์ก็ยังไม่คุ้นเคยกับการไปมาที่เงียบเชียบไร้สุ้มเสียงของปีศาจตนนี้ โดยเฉพาะดวงตาสีทอง ที่มองเขาราวกลับจะหลอมละลายเขาทั้งตัวนั่นด้วย
“มันเป็นเพียงภาพมายา” เคย์เบี่ยงใบหน้าหนีมือแกร่งที่เชยคางตนไว้
ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นจากปลายนิ้วที่สัมผัสได้ จะกลายเป็นความร้อนแรงในไม่ช้า “เมื่อใดสิ้นแสงจันทร์ ทุกอย่างจะอยู่ในความมืดมิดดังเดิม”
“แต่ก็มีบางสิ่ง...ที่งดงามแม้ว่าจะอยู่ในความมืด”
ผู้เป็นนายแห่งเรือสีดำรวบร่างบอบบางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ไล่สายตาไปตามเรือนร่างที่ตนได้ครอบครองมานานนับเดือนด้วยอย่างพึงพอใจ
เคย์อาจไม่ได้งามเลิศล้ำกว่าสตรีใดที่เขาได้เคยพบพานและสานสัมพันธ์ แต่กลับทำให้ยูยะต้องยอมรับกับตนเองว่าลุ่มหลงยิ่งนัก
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบแสงดาวมากกว่า ถ้าเช่นนั้นนับจากคืนนี้ไป
เจ้าจะได้เห็นฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราดังที่เจ้าเคยปรารถนา ดีหรือไม่”
“ท่านรู้ได้อย่างไรกัน?” ประหลาดใจจนลืมตัวเงยหน้าสบตากับปีศาจ นัยน์ตาสีทองที่มองตอบมานั้นทำให้เคย์ต้องหันไปมองทางอื่น
“ข้าเฝ้ามองเจ้ามานานนัก
นับตั้งแต่วันที่ข้ารู้ว่าอาซากะปรารถนาในตัวเจ้า ข้าไม่คิดชิงตัวเจ้ามาในทีแรก เพียงแค่เห็นอาซากะเจ็บปวดผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
เพราะเจ้ามิได้มีใจให้
ข้าก็สาแก่ใจนัก
แต่ไม่นึกว่าอาซากะจะคิดแค้นที่ถูกกีดกัน
นำเรือโจรสลัดมารุกรานจนพ่อของเจ้าต้องยอมส่งลูกสาวมาสังเวย ข้ารู้ว่าเจ้าแอบเปลี่ยนตัวกับพี่สาว และข้า...ไม่อาจยอมให้อาซากะสมหวังได้”
เรื่องราวที่ได้ฟังนั้นทำให้ร่างบางตัวสั่น
น้ำเสียงที่จอมปีศาจใช้ยามเอ่ยถึงอาซากะนั้นเยือกเย็น บาดลึกเข้าไปถึงกระดูก ความอาฆาตแค้นของปีศาจจะไม่มีวันจบสิ้น
ตราบเท่าที่อาซากะยังมีลมหายใจ
“และเจ้า
..จะต้องเป็นของข้าไปตลอดกาล..เคย์”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วยโพสท์ลงที่ exteen ด้วยได้มั้ยคะ
ReplyDeleteคือมือถือเราอ่าน blogspot ได้ไม่ครบ 100% น่ะค่ะ
แหะๆ (^_^;
/Hikanoo
ได้ค่าาา แต่อาจจะต้องรอหน่อยนะ เพราะว่ากำลังจะเปลี่ยนธีมบล็อกค่าาา
Deleteขอบคุณมากค่ะ ^^
Delete/HikaNoo
ลืมมาเม้นนนน
ReplyDeleteโห้ยยยยย ลุ้นนนน เมื่อไหร่คุณปีศาจจะเปิดตัวให้อิเคย์เห็นแบบเต็มตัว
อิเคย์มีใจให้บ้างน่า เชื่อเรา แกรนด์โอเพนนิ่งสักทีเถอะ 555+
รอตอนต่อไปน้าาาาาา
ฮืออ คุณปีศาจหล่อมากเลย คุณแต่งสนุกพล็อตเรื่องก็สนุก ภาษาดีมากด้วยค่ะ กลับมาอ่านรอบที่2แล้ว ชอบมากเลยนะคะ🥺❤
ReplyDelete