Thursday 14 February 2013

[Fiction]ด้วยแรงอธิษฐาน[คืนวิวาห์]

ชื่อเรื่อง   -:-            ด้วยแรงอธิษฐาน~ [ คืนวิวาห์ ]


ผู้แต่ง      -:-            นาฬิกาแก้ว [ Nalikakeaw ]


คำนำเรื่อง     -:-      ฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแนวแฟนตาซีหลายๆเรื่อง เพราะงั้นถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าเจออะไรคุ้นๆล่ะก็ อย่าแปลกใจค่ะ เพราะอย่างน้อยเรือไข่มุกดำแห่งท้องทะเลย่อมจะมาจากหนังเรื่องที่มีป๋าเด็ปป์เป็นโจรสลัดสุดฮาแน่นอน


                    ส่วนชื่อเรื่อง ขอบอกว่าได้มาจากบทเพลงของพี่แหม่ม พัชริดา จำได้ว่าเป็นเพลงประกอบละครเมื่อนานมาแล้ว โดยส่วนตัวชอบเสียงพี่แหม่มมาก และเนื้อเพลงก็เข้ากับพล็อตพอดี ก็เลยเอามาเป็นชื่อเรื่องมันซะดื้อๆนี่แหละ
                              

                      ใครอยากฟังไปเสิร์ชหากันเอาเองค่ะ










ตอนก่อนๆนะคะ










ฮิคารุนั่งสำนึกผิดอยู่ในห้องนั่งเล่น  ที่บ้านของตัวเอง 


                ไม่ควรเลย..


                ฮิคารุไม่ควรรับปากว่าจะช่วยเหลืออาซากะเรื่องเคย์  เขาควรจะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้  ยาบุ  โคตะ  คนนั้นพูดถูกแล้ว  เคย์ไม่มีวันมีใจให้อาซากะ  เหมือนที่ไม่เคยชายตาแลคนอื่นๆที่เข้ามาจีบ


                และเขาควรจะรู้ดีที่สุด...


                ว่าคนอย่างอาซากะ  ที่เคยได้ทุกอย่างดังใจตลอดมา  หากไม่สมหวัง  จะทำเช่นไร..


                ทำลายทุกสิ่ง...


                วันนี้อาซากะไปตามตื๊อเคย์ถึงร้านอาหารที่เคย์ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นั่น  จนทำให้เกิดเรื่องชกต่อยกับพนักงานชายอีกคนที่ดูจะสนใจเคย์เหมือนกัน   ในที่สุดก็ถูกใครบางคนเหวี่ยงออกจากร้านด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าสะบักสะบอม


                ฮิคารุไม่ได้ห่วงอาซากะ  เขาห่วงเคย์ที่ต้องลาออกจากงานเพื่อตัดปัญหาและแสดงความรับผิดชอบ  ทั้งๆที่ไม่มีใครกล่าวโทษ  และเจ้าของร้านไม่อยากให้ลาออกด้วยซ้ำ  แต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันหนักแน่น  ใครก็ห้ามไม่ได้


                เขาอยากจะขอโทษ... อย่างน้อยฮิคารุก็ไม่ควรทำให้อาซากะมีความหวังด้วยการรับปากว่าจะช่วย  แต่เขาก็พูดไม่ออก


                เพราะไม่มีใครสนใจฟังเขาเลย...


                สองพี่น้อง..โคตะกับเคย์เอาแต่สนใจสำรวจของเก่าที่พ่อของเขาเพิ่งจะขนเข้าบ้านมาอย่างสนอกสนใจ  ทิ้งให้เขานั่งเป็นตอไม้ไร้ค่าอยู่บนโซฟาคนเดียว  สำหรับเคย์น่ะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเจ้าตัวก็สนใจของเก่าเก็บมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  แต่อีกคนน่ะ  ไม่รู้ทำไมถึงมาสนใจเอาตอนนี้  ความที่ถูกเมินอยู่เป็นชั่วโมงๆ ทำให้คนที่เกิดมาเป็นลูกคนเล็กของบ้าน ที่มีแต่คนคอยสนใจตามใจ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย



                “นายสองคนจะสนใจของพวกนั้นอีกนานมั๊ย?”


                สองคนที่ว่าหันกลับมามองอีกคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ  แล้วก็เหมือนจะรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ฝันที่ไกลแสนไกล  เคย์หันมายิ้มบางให้เพื่อน   เดินกลับมานั่งตรงโซฟา  แต่ฮิคารุมุ่งความสนใจไปยังอีกคนที่จดๆจ้องๆหีบโบราณใบเก่าขนาดใหญ่ที่วางอยู่รวมกับของเก่าอื่นๆที่ถูกยกมาพร้อมกัน


                “หีบนี่เก่ามากแค่ไหน?”


                “ไม่รู้สองสามร้อยปีมั๊ง หรืออาจจะนานกว่านั้นก็ได้  ถามทำไม?”


                “เหมือนเคยเห็นมาก่อน”


                “สมบัติเก่าต้นตระกูลที่ญาตินายเอามาขายกินละมั้งถึงได้คุ้น”


                ว่ากระทบคนหนึ่ง  แต่กลับลืมว่าอีกคนก็ถูกกระทบด้วยเพราะได้ชื่อว่าเป็นญาติเหมือนกัน  ฮิคารุหันไปหัวเราะแหะๆให้เพื่อน   ไม่ทันจะเอ่ยปากขอโทษ  เคย์ก็ทำคิ้วขมวดใส่เขา  ฮิคารุใจเสียเพราะนึกว่าถูกโกรธเข้าแล้ว  แต่เพื่อนรักกลับหันไปปรึกษาหารือกับลูกพี่ลูกน้องของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


                “นายคิดว่าใช่รึเปล่า? โคตะ”


                “หือ? ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้เกิดที่โน่น  ไม่ได้อยู่คฤหาสน์ในเกาะกลางทะเลเหมือนนาย ไม่เคยเห็นสมบัติของเก่าเก็บของพวกญาติๆทางโน้นเลยสักที  ว่าแต่นายเถอะรู้สึกยังไงกับเจ้าหีบนี่”


                “คุ้นนะ คุ้นมากเลย  แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่บ้านเก่ามีหีบสมบัติแบบนี้รึเปล่า  ตอนนั้นฉันอายุไม่กี่ขวบ  ผ่านมาสิบห้าปีแล้วก็เลยจำอะไรไม่ค่อยได้”


                ร่างบอบบางลุกเดินกลับไปยังหีบใบเก่านั้นอีกครั้ง  มองสำรวจอย่างถี่ถ้วน  มือเรียวยกฝาหีบหนักอึ้งให้เปิดอ้า  หีบใบนี้ทำขึ้นจากไม้ชิ้นเดียวไร้รอยเชื่อมต่อ  ขนาดใหญ่พอที่จะให้คนที่ตัวไม่ใหญ่นักลงไปนอนคุดคู้ข้างในได้ น่าทึ่งมากเมื่อคิดถึงขนาดของต้นไม้ที่ผู้ทำโค่นลงมาขุดเนื้อในออกเพื่อสร้างมัน  หุ้มขอบด้วยเหล็กเนื้อหนากันกระแทกระหว่างหีบกับฝา  ตัวล็อคและกุญแจแม้จะมีสนิมเขรอะก็ยังใช้การได้ดี  เหล็กและไม้ถึงจะเก่าคร่ำคร่า  แต่ก็นับได้ว่ามีสภาพดี ถ้าเทียบกับอายุของมัน


                “เจ้าของเดิมคงดูแลดี”


                โคตะพูดขึ้น  สองพี่น้องเห็นตรงกันว่าญาติๆจอมละโมบนั้น  ไม่น่าจะมีเวลามาดูแลรักษาของเก่าพวกนี้ได้  และอย่างที่ฮิคารุว่าคงขายกินซะตั้งแต่วินาทีแรกที่ตกถึงมือ


                “เจ้าของคงเปลี่ยนมือกันมาหลายคน”


                ฮิคารุนั่งเงียบๆตั้งใจฟังสองพี่น้องสนทนากัน  ในหัวกำลังคิดว่าหากหีบใบนั้นเป็นสมบัติเก่าแก่ในกองมรดกของเคย์จริงๆละก็  เขาอาจจะมีวิธีเอากลับมาคืนให้เคย์ได้  แต่ก็อย่างที่เห็น  โคตะกับเคย์ดูจะสนใจประวัติความเป็นมาของหีบใบนั้นมากกว่าจะอยากได้คืนจริงๆ


                “ถ้ามันเป็นของพวกนายจริง  ยังไงซะก็ต้องได้กลับคืนไปแน่ๆ”






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                “หมายความว่ายังไง?”


                สองพี่น้องพร้อมใจกันถามพลางขมวดคิ้ว   ฮิคารุถอนหายใจเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน


                “ของเก่าพวกนั้นน่ะ  พ่อไม่ได้จะเอามาขายต่อหรอก  แต่มีคนจ้างให้เอามาทำความสะอาด เพื่อที่จะเอากลับไปคืนเจ้าของเดิม”


                “นายหมายถึง-เอาไปขาย?”


                “เอาไปคืน! ช่วยเข้าใจอะไรให้มันง่ายๆหน่อย”


                ยิ่งพูด คนฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ  ฮิคารุเองก็งงเหมือนกันตอนที่มีคนมาจ้างให้ทำความสะอาดของเก่าแล้วบอกว่าจะเอาไปคืนเจ้าของ  ของเก่า ยิ่งเก่ายิ่งมีคุณค่า  พ่อของฮิคารุช็อคไปเลยตอนที่รู้ว่าของเก่าที่ตีค่าเป็นเงินได้มหาศาลบางชิ้น ถูกนำไปคืนกับผู้ที่ถูกเชื่อว่าเป็น “เจ้าของเดิม”  ไปแบบเปล่าๆ ไร้สิ่งตอบแทน


                “คนแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ?”


                โคตะถาม  ทั้งสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อสักนิด ทำให้ฮิคารุรู้สึกเหมือนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโกหกพิกล แต่ไม่ทันจะได้อธิบายหรือตอบโต้  เสียงโวยวายที่ดังมาจากประตูหน้าบ้านทำให้ทั้งสามคนชะงัก


                เคย์มีสีหน้ากังวล หันไปมองโคตะที่ทำหน้าเครียดขรึม  ส่วนฮิคารุเองก็ตกใจ เพราะรู้แน่ๆแล้วว่าใครกันที่มาตะโกนอยู่หน้าบ้าน


                “มาก็ดี  มีเรื่องต้องเคลียร์หลายเรื่อง”


                โคตะพูดเสียงเย็น  เฉียบขาด  ซึ่งน้อยครั้งนักที่เจ้าตัวจะแสดงอารมณ์อย่างนี้ออกมา   แต่ยืนรออยู่นาน เสียงของอาซากะก็ไม่ใกล้เข้ามาสักที  ฮิคารุจึงเฉลยว่าวันนี้อาซากะเข้าบ้านไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนสั่งห้าม


                “งั้นฉันจะออกไปคุยกับเจ้านั่นเอง  เคย์รออยู่ที่นี่แหละ”


                “ฉันอุตส่าห์สั่งคนในบ้านไว้ว่าไม่ให้อาซากะเข้ามา  แล้วนายยังจะออกไปหาหมอนั่นอีกทำไม?”


                “ก็ไปจบเรื่องวุ่นวายที่เกิดเพราะอาซากะไงล่ะ หรือว่าอยากจะเห็นเคย์ถูกตามรังควาญไปตลอดชีวิต”


                “ออกไปตอนนี้ก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกน่า  คิดเหรอ?ว่าอาซากะจะยอมฟังนาย  หมอนั่นไม่ฟังใครทั้งนั้นแหละ”


                สองคนจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร น่าเป็นห่วงว่าจะทะเลาะกันเองเสียก่อนที่จะได้ออกไปเจอกับอาซากะ  เคย์เข้าไปยืนขวางระหว่างทั้งสองคน


                “โคตะ ฮิคารุพูดถูกนะ  อาซากะกำลังโกรธ พูดอะไรไปก็ไม่เข้าหูทั้งนั้นแหละ”


                “เพราะนายใจอ่อนแบบนี้ไงล่ะ ถึงได้ถูกตามตื๊อไม่เลิกราสักที “  โคตะหันไปดุน้อง  “ถ้าพูดดีด้วยไม่ได้  ก็ต้องใช้วิธีอื่น”


                “ถ้าคิดจะใช้กำลัง  นายไม่ได้ออกจากห้องนี้ไปแน่!


                “ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู!


                ต่างคนต่างไม่ยอมแพ้  คนที่อยู่ตรงกลางจึงตกที่นั่งลำบาก  ยื้อยุดกันไปมาไม่นาน คนกลางก็ถูกผลักลงไปกองอยู่กับพื้น  แม้ว่าไม่เจ็บตัว แต่ก็ทำให้อีกสองคนที่ทะเลาะกันอยู่ชะงักไปด้วยความตกใจ  และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างโคตะและฮิคารุก็หงายหลังลงไปในหีบใบใหญ่  ฝาหีบที่เปิดอ้าอยู่ตั้งแต่แรก ถูกกระแทกปิดปัง


                เคย์นั่งนิ่ง  เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนทำอะไรไม่ถูก กว่าจะได้คิดได้ว่าคนข้างในไม่อาจเปิดหีบออกมาเองได้ ก็เสียเวลาไปเกือบห้านาที  โชคร้ายที่เขาไม่อาจเปิดฝาหีบใบใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียวเหมือนตอนแรก  ฝาหีบไม้หนักอึ้งราวกับเหล็ก ทำอย่างไรก็เปิดไม่ได้ จนปัญญาต้องวิ่งออกไปนอกห้องเพื่อขอแรงคนในบ้านมาช่วย


                หลังจากเคย์ออกไปแล้ว  เสียงที่ไร้ร่างดังแว่วมาจากมุมด้านในสุดของห้อง  เสียงหนึ่งปราม แต่อีกสองเสียงตอบโต้ด้วยความขุ่นเคือง


                “เจ้าทั้งสองไม่ควรทำอย่างนั้นนะ ถ้าท่านพ่อรู้เข้าถูกลงโทษอีกแน่”


            “ก็มันผลักท่านแม่”


             “พี่ไม่พูด  ข้าไม่พูดเรื่องนี้ไม่ถึงหูท่านพ่อหรอกน่ะ”


            “แน่ใจหรือ? เจ้าดูซิ ที่หน้าบ้านนั่น  ใครมา?”


            “โอ๊ะ!!!


            “แย่แล้ว”

           
            “รีบไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ เร็วเข้า!!!


                จากนั้นเสียงกระซิบนั้นก็หายไป ทิ้งมนุษย์สองคนในหีบไว้กับความมืดมิด และภาพความทรงจำในอดีตกาลของตนเอง








+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++








                ร่างสูงเซไปตามแรงหมัด  ล้มลงกระแทกหีบใบใหญ่ ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านั้นคือเด็กหนุ่มอีกคนที่กำมือแน่นด้วยความโกรธ  ยาบุ โคตะ  เดินทางมาพบเขาพร้อมข่าวร้ายที่ฮิคารุไม่อาจทนรับได้


                “หนีมาแต่เพียงผู้เดียวรึ?  ขี้ขลาด!  เคย์ไม่ควรเกิดมามีพี่อย่างเจ้า !!


                เพื่อนของเขา.. เพื่อนรักเพียงคนเดียว  ถูกส่งไปสังเวยให้ปีศาจ  ป่านนี้เคย์จะทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสสักเพียงไหน  ต่อให้ฮิคารุบั่นคอคนตรงหน้าให้ตาย ก็ไม่อาจชดเชยได้สาสมกับสิ่งที่เคย์ได้รับ


                โคตะนั่งนิ่งราวกับไร้วิญญาณ  เพียงแต่มือทั้งสองข้างกำแน่น  แม้เล็บจิกลึกเข้าไปในฝ่ามือแต่กลับไม่รู้สึกรู้สา  เสียงทึบๆจากหีบใบใหญ่ด้านหลัง  ทำให้โคตะฝืนทนความเจ็บปวดสิ้นหวังในใจ ลุกยืนขึ้นเผชิญหน้ากับฮิคารุ


                หากจะต้องตาย  ก็ขอให้ภารกิจสุดท้ายนี้ได้ลุล่วง  แล้วเขาจะก้มหน้ายอมรับคมดาบของฮิคารุด้วยความยินดี


                หีบใบใหญ่... สัมภาระเพียงชิ้นเดียวที่โคตะนำมาด้วยถูกเปิดออก  ฮิคารุเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้นชัดเจน   ร่างหญิงสาว  ถูกมัดมือมัดเท้า  ผูกปาก  นอนคุดคู้อยู่ในนั้น   รอยช้ำที่ข้อมือและข้อเท้าแสดงให้เห็นว่านางพยายามดิ้นรนเพื่ออิสรภาพอย่างสุดชีวิต  และเมื่อเห็นฮิคารุดวงตาของนางจึงเบิกกว้างด้วยความยินดี


                “แคล!!!!


                เมื่อทั้งมือเท้าเป็นอิสระ  เด็กสาวถูกประคองให้ออกมาจากหีบ  แคลเกาะแขนฮิคารุเอาไว้แน่น  พร่ำพูดด้วยความดีใจ  ไม่ทันสังเกตสีหน้าของฮิคารุและพี่ชาย


                “ในที่สุดเจ้าก็มาทันเวลา  พี่คงหาส่งจดหมายของเคย์ไปถึงมือเจ้าจนได้สินะ   ข้านึกว่าจะต้องเป็นเจ้าสาวของปีศาจจริงๆแล้วเสียอีก”


                “เจ้าสาวของปีศาจ? เจ้าน่ะหรือ? แคล”


                “ใช่  เป็นความประสงค์ของท่านพ่อ  ข้าไม่มีทางเลือก” เด็กสาวสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้า  ดวงตาคู่งามคลอหยาดน้ำแต่เปี่ยมความมุ่งมั่น  “แต่ความคิดของข้าเปลี่ยนไป นับตั้งแต่ที่เคย์จับข้าขังไว้ในหีบใบนี้   แล้วปลอมตัวเป็นเจ้าสาวแทนข้า  ยอมตายแทนข้า”


                “ข้าจะไม่ยอมตายเพื่อคนที่ไม่เคยห่วงใยในตัวข้า  แต่จะมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่รักข้าเท่านั้น”


                ภายในห้องมีเพียงความเงียบงัน  แคลวาดรอยยิ้มกว้าง  ยังคงไม่รับรู้ถึงกระแสความรู้สึกอึดอัด และโศกเศร้าของคนที่เหลือ  โคตะและฮิคารุก็ไม่มีความกล้าพอที่จะทำลายรอยยิ้มแสนสุขนั้น


                “เคย์  ยอมเป็นเจ้าสาวแทนอย่างนั้นหรือ?”


                ฮิคารุรำพึงแผ่วกับตัวเอง  รับรู้ความจริงและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นช้าๆ   และเมื่อสบตากับโคตะ  ได้มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นก็ได้เห็นหัวใจที่แตกระแหงและแห้งผาก  สำหรับโคตะไม่ว่าจะต้องสูญเสียเคย์หรือแคลก็เป็นทางเลือกที่เจ็บปวดทั้งนั้น   หนำซ้ำยังเป็นความเจ็บที่บิดาได้มอบให้  หากเป็นฮิคารุเขาคงเลือกที่จะตายเสียดีกว่า  และโคตะเอง ที่ยังยืนอยู่ได้  ก็เพราะยังมีน้องสาวที่ต้องคอยดูแลปกป้องเท่านั้น


                “เจ้า  รู้เมื่อไหร่ว่าเคย์-?”


                “ก่อนออกเดินทาง  ข้าอยากพบน้องเป็นครั้งสุดท้ายจึงไปส่งที่ท่าเรือ”


                “มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีกหรือไม่?”


                “ไม่มี  แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่รู้  ไม่เคยมีใครแยกฝาแฝดคู่นี้ออกนอกจากข้า ยิ่งเคย์สวมเสื้อผ้าของสตรีอย่างนั้น”


                คำพูดที่เหลือขาดหายไป  แต่ฮิคารุพอจะเข้าใจ  ยามที่แคลรวบผมเก็บในหมวกหรือยามที่เคย์ถูกจับแต่งตัวเป็นหญิงเพื่อให้แคลได้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก  คนรับใช้ในบ้านยังแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร  บางครั้งฮิคารุเองยังสับสน  เขาเคยหัวเราะขบขันที่เพื่อนรักแต่งกายเป็นหญิง  แต่ตอนนี้กลับหัวเราะไม่ออกเสียแล้ว


                “เคย์อยู่ไหนกันเล่า  ข้าจะลงโทษเขาสักหน่อย โทษฐานที่จับข้าขังไว้อย่างนั้น  ถ้าเจ้ามาช่วยเราไว้ไม่ทันข้าคงขาดใจตายไปแล้ว”


                เด็กสาวพูดอย่างนึกสนุก  แต่ไม่นานรอยยิ้มงดงามก็เลือนหาย  เมื่อรับรู้ความจริงว่าเคย์ได้จากไปแล้ว 


                “ไม่! ฮิคารุ  อย่าหลอกข้าแบบนี้  ข้าไม่เชื่อ-ข้าไม่เชื่อ”


                ความเหนื่อยล้า  ความตกใจ  ความสะเทือนใจ  ทำให้เด็กสาวล้มลงก่อนที่จะทันได้ร้องไห้เสียอีก  ฮิคารุคว้าตัวเอาไว้ได้ก่อนที่จะล้มฟาดพื้น  หลังจากที่พาไปพักผ่อนและดูแล้วว่าแคลเพียงแค่สลบไป  โคตะกับฮิคารุจึงได้พูดคุยกับอีกครั้ง


                “แคลต้องโทษตัวเองเรื่องนี้แน่”


                “ข้ารู้  ดูจากสีหน้าของนางยามหลับ  นางคงฝันร้าย”


                “เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”


                “ข้าจะพาแคลไปจากที่นี่”


                “เจ้าจะทิ้งเคย์ไปทั้งๆอย่างนี้รึ? เจ้า-“


                ท่าทีที่อ่อนลงเมื่อครู่กลับแข็งกร้าวขึ้นมาอีก  ฮิคารุเกลียดนักคำพูดที่ดูไร้ความรู้สึกอย่างนี้


                “ข้าจะต้องตามหาน้องแน่!  แต่ต้องหลังจากที่พาแคลพ้นจากที่นี่ไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว  ข้าไม่รู้ว่าหากปีศาจตนนั้นรู้ว่าเคย์ไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริง  จะตามล่าแคลหรือไม่  ความปลอดภัยของแคลสำคัญต่อข้าที่สุดในยามนี้”


                เหตุผล  อาจเป็นสิ่งเดียวในตัวของโคตะที่ฮิคารุเกลียด ไม่ว่าเมื่อไรที่โคตะยกความเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมาพูด  ฮิคารุก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียทุกครั้ง   ครั้งนี้ก็เช่นกัน  ฮิคารุเข้าใจดีแล้วว่าเหตุใดเคย์จึงยอมเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้


                ฮิคารุพ่นลมหายใจระบายความโกรธ


                “ถ้าเช่นนั้น  ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า”










+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++








                แสงจ้าจากภายนอกทำให้ต้องกระพริบตาถี่ๆ  เมื่อสายตาชินกับแสงไฟ สิ่งแรกที่เห็นก็คือสีหน้ากังวลใจระคนเป็นห่วงของน้องชาย


                “โคตะ ! ฮิคารุ! เป็นยังไงบ้าง”


                คำถามนั้นทำให้โคตะระลึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้  เขาและฮิคารุล้มลงไปในหีบโบราณ  ข้างๆตัวเขา  ฮิคารุกำลังกระพริบตาเหมือนเพิ่งได้สติ  อ้าปากหอบหายใจเหมือนปลาขาดน้ำ  ซ้ำยังเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว  ท่าทางมึนงง ไม่พูดไม่จาของทั้งคู่ทำให้เคย์ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นอีก


                ทั้งสองถูกพาไปนั่งพักที่โซฟา  หลังที่พักหายใจหายคอจนรู้สึกดีขึ้นแล้ว ถึงเห็นว่าในห้องรับแขกนั้นไม่ได้มีแค่พวกเขาสามคน    


                ตรงมุมห้อง ที่ฮิคารุใช้เป็นที่วางของเก่าที่ผ่านการทำความสะอาดและซ่อมแซมแล้ว  นากาจิมา ยูโตะ  ก้มๆเงยๆสำรวจของเหล่านั้นแล้วจึงหันไปพยักหน้ากับอีกคนด้วยสีหน้าพอใจ  แต่เมื่อหันกลับมาพบว่าตัวเองถูกจ้องมองเหมือนเป็นตัวประหลาด  จึงฉีกยิ้มกว้าง  ทักทายอย่างร่าเริง  จากนั้นถึงได้แนะนำคนข้างๆ


                “นี่เคย์โตะ  น้องชายผมเอง”


                โคตะ  ฮิคารุ  และเคย์  กลอกตาไปซ้ายที  ขวาที  มองพี่น้องที่หลุดออกมาจากคนละพิมพ์เดียวกัน  ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนอกจากความสูง  คนหนึ่งตาโตผมดำขลับ  รูปร่างสูงโย่ง  บุคลิกสนุกสนานร่าเริง  แต่อีกคน แม้จะสูงไล่เลี่ยกันแต่ดวงตาเรียวรี  ผมสีน้ำตาลอ่อนๆ  ไหล่กว้างกับบุคลิกเงียบขรึม  เปรียบเทียบแล้วช่างเป็นพี่น้องที่คล้ายกันเสียนี่กระไร


“ฮั่นแน่มองหน้าเคย์โตะแบบนี้  กำลังจะถามใช่มั๊ยล่า~ ว่าเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า รู้ทันหรอกน่า”


โคตะและฮิคารุมีสีหน้าเจื่อนๆที่ถูกรู้ทัน  แต่เคย์เพียงแค่หัวเราะเบาๆ  ตอบไปว่าเคยพบกันมาก่อนจริงๆ  ทำให้ถูกยูโตะซักไซ้ไล่เรียงยกใหญ่ เคย์จึงอธิบายสั้นๆว่าตอนที่อาซากะมีเรื่องชกต่อยกับพนักงานในร้านที่เคย์ทำงานอยู่  เคย์โตะเป็นคนจัดการทุกอย่างด้วยการจับอาซากะโยนออกไปนอกร้านชนิดที่ว่าไม่กล้ากลับมาอีกเลย


“อ๋อ  มิน่าล่ะ  พอเห็นหน้าเคย์โตะถึงได้แผ่นแน่บไปแบบนั้น ”


“ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บตัวแบบนั้นหรอก แต่..ห้ามดีๆแล้วไม่ฟัง”


“ช่างเถอะ  ถูกสั่งสอนซะบ้างก็ดี    ฮิคารุเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรกหลังจากที่อึ้งไปพักใหญ่  “ขอบคุณนะ”


โคตะเห็นแบบนั้นแล้วก็ส่ายหน้า ทีเมื่อกี๊เขาจะไปสั่งสอนอาซากะบ้าง ฮิคารุกลับขวางเอาไว้ ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย 


“พวกเราจะมารับของเก่าพวกนี้กลับไปแล้ว” ยูโตะพยักเพยิดไปทางมุมห้องที่มีของเก่าวางอยู่เต็ม ทำให้หัวข้อสนทนาเปลี่ยนจากอาซากะไปเป็นเรื่องของเก่าทันที


“เจอเจ้าของแล้วเหรอ?”  ฮิคารุถามอย่างเคยชิน  เพราะคุ้นเคยกับการที่ยูโตะจะเอาของเก่าไปมอบคืนให้ใครต่อใครแล้ว  แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกแปลกๆ  คล้าย..เสียดายหรืออาจจะหวงแหนหีบใบนั้น  และอาจจะแปลกใจยิ่งกว่าเดิมที่รู้ว่าโคตะและเคย์ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน


“พวกคุณรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นเจ้าของ – คือ หมายถึงว่าแบบนี้ ใครๆก็อ้างได้ พอได้ของก็เอาไปขายต่อ แบบนี้กำไรสุดๆ”


“จะอยากรู้เรื่องของคนอื่นไปทำไม ธุระไม่ใช่”


“อยากมีความรู้ไว้ถมรอยหยักในสมอง มันผิดตรงไหน?  ฉันอยากรู้ว่าพวกเขามีวิธีการพิสูจน์ยังไง ว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริง ใครเป็นพวกชอบแอบอ้าง”


เคย์ที่อยู่ตรงกลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  แต่ก่อนที่จะได้ห้ามปราม  เสียงหัวเราะเบาจากเคย์โตะก็เรียกความสนใจจากโคตะและฮิคารุเอาไว้ก่อนที่จะเกิดการปะทะคารม


“ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ  ... ไม่ว่าเมื่อไหร่”


“ใคร?พวกเราเหรอ?” ฮิคารุลืมเรื่องโต้เถียงเมื่อครู่ทันที  แต่เคย์โตะไม่มีคำตอบ นอกจากส่งยิ้มชวนสงสัยและคำตอบเรื่องที่โคตะอยากรู้มาให้แทน


“ของทุกชิ้นมีพลังงานและพลังนั้นเป็นเหมือนภาชนะที่เก็บความทรงจำเอาไว้ภายใน  ผู้ที่เป็นเจ้าของเปรียบเสมือนผู้ถือกุญแจ  ที่จะไขเอาความทรงจำเหล่านั้นออกมา”


“แล้วจะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนถือกุญแจที่ว่านั่นล่ะ?”


โคตะนึกเซ็งคนที่เพิ่งจะถามเขาว่าจะอยากรู้เรื่องคนอื่นไปทำไมแล้วก็เป็นเสียเอง  แต่ด้วยความอยากรู้ของตัวเองที่มีมากกว่า  โคตะจึงปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป


“ความคุ้นเคย  ความคิดถึง ความโหยหาเมื่อใครสักคนได้เห็น หรือสัมผัสของสิ่งนั้น  จะบอกให้รู้”


“เท่านั้นเองเหรอ?”


ทั้งเคย์โตะและยูโตะยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าไม่เชื่อถือของโคตะ


“เป็นเรื่องที่อธิบายยาก  แต่จะเข้าใจได้ง่าย เมื่อได้เห็นกับตาตนเอง  เคยเห็นมาแล้วไม่ใช่หรือ? อย่างเช่น เรื่องเตียงสี่เสาหลังนั้น”  ประโยคหลังหันไปถามฮิคารุ  เจ้าตัวพยักหน้ายอมรับแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่


“เตียงไหน?”  ยาบุข้องใจ  แต่คราวนี้เคย์เป็นคนตอบ 


“เตียงของฉัน- เตียงสี่เสาสลักลายงูที่อพาร์ทเมนท์”


เคย์ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครแม้แต่กับฮิคารุ   ว่าวินาทีแรกที่เห็นเตียงหลังนั้น  เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด  ทั้งๆที่แน่ใจว่าไม่เคยเห็นเตียงหลังนั้นมาก่อนเลย  แต่กลับผูกพัน  ราวกับว่าได้ใช้ชีวิตอยู่กับเตียงหลังนั้นมานานแสนนาน  และลายงูสลักที่อยู่บนเสาเตียงทั้งสี่ด้านที่ฮิคารุบอกว่ามันน่ากลัว  เคย์รู้สึกว่าผู้ใดก็ตามที่สลักลายงูนั้นลงบนเสาเตียง  มีเจตนาเพื่อให้งูปกป้องผู้ที่เป็นเจ้าของ  หรือผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนั้น


และเคย์ก็เชื่อมั่นอย่างหนักแน่น  ว่าหากเขาได้นอนหลับบนเตียงนั้น  เขาจะไม่ต้องกลัวอันตรายใดๆ


“เอ่อ-นั่นแหละ เตียงหลังนั้น”  ฮิคารุไม่อยากจะเล่า เพราะเกรงว่าจะถูกโกรธที่ปกปิดเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เอาไว้  “ก่อนหน้าที่เคย์จะซื้อไป  มีคนมาขอซื้อไปหลายราย  แต่ไม่ทันข้ามคืนก็เอากลับมาคืน  พอถามสาเหตุ ลูกค้าก็บอกว่าโดนผีหลอกบ้าง ฝันร้ายบ้าง     อาซากะก็เคยอยากได้เตียงหลังนี้  แต่ตอนที่จะยกกลับไปไว้ที่บ้าน คนงานช่วยกันเกือบสิบคนก็ยกไม่ขึ้น  อย่าว่าแต่ยกเลยช่วยกันผลักตั้งหลายคนเตียงยังไม่เคลื่อนสักนิด”


ฮิคารุไม่อยากจะคิดเอาเองว่าเตียงมันคงไม่อยากจะไปอยู่กับอาซากะ เพราะพยายามกันอยู่หลายวันเตียงก็ไม่ขยับเขยื้อน  จนอาซากะต้องเป็นฝ่ายยอมเลิกราไปเอง


“พอเคย์บอกว่าอยากได้  ทุกสิ่งทุกอย่างก็ง่ายดายไปหมด  ฉันใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำตอนที่ขนเตียงไปให้เคย์”


และเหตุการณ์นอกเหนือจากนั้นที่ทำให้ฮิคารุฝันร้ายไปหลายคืน  คือตอนที่เหลือบไปเห็นงูบนเสาเตียงแสยะยิ้มให้  เมื่อยกเตียงขึ้นไปวางในห้องของเคย์เรียบร้อยแล้ว


“นายกำลังจะบอกว่าเตียงนั่นมีผีสิง  แล้วนายก็ขายมันให้น้องฉันเนี่ยนะ”


“แต่ฉันไม่เคยเจออะไรอย่างที่ว่าเลยนะ”


เคย์ชิงพูดก่อนที่พี่ชายจะทะเลาะกับเพื่อนรัก  ยูโตะเลยทิ้งท้ายปริศนาให้คิดก่อนที่จะบอกลา


“นั่นสิน๊า~ หลายคนเจอแต่เรื่องประหลาด มีแต่คุณคนเดียวที่หลับสบายบนเตียงนั่น  ไม่คิดบ้างเหรอว่ามันอาจจะมีเหตุผลอะไรสักอย่าง  ที่ทำให้เป็นแบบนั้น”


เมื่อก้าวเท้าออกจากบ้านของฮิคารุ  ยูโตะก็เอ่ยปากตำหนิเคย์โตะทันที


“ข้าบอกให้เจ้าใช้ภาษาอย่างมนุษย์อย่างไรเล่า เจ้าพูดภาษาอย่างคนโบราณอย่างนั้น จะถูกสงสัยเอาได้”


“ภาษาของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป  ข้าไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย”


เคย์โตะบ่น  ยูโตะย่นจมูกใส่


“มันยากตรงไหน? แค่พูดให้เหมือนมนุษย์ในยุคนี้ ไม่ใช่มนุษย์เมื่อสองสามร้อยปีที่แล้วแบบเนี๊ยะ เข้าใจป่ะ”


“อย่ามัวกังวลเรื่องภาษาพูดของข้าเลย  ตอนนี้เรามีเรื่องอื่นให้กังวลมากกว่า”


“เรื่องใดรึ?”


“เจ้าไม่รู้สึกหรือ? ตอนที่อยู่ในบ้าน   ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่เรารู้จักดี”


“โอ๊ะ นั่นสิข้าก็รู้สึกเช่นกัน  แต่เจ้าพวกนั้นถูกสั่งห้ามไม่ให้มาจนกว่าจะถึงเวลานี่นา”


“คงคิดถึงแม่กระมัง  ไม่ได้พบกันมานานแล้ว”


“แต่พี่สะใภ้ยังจำอะไรไม่ได้สักอย่าง  เมื่อข้ามผ่านชาติภพ  ความทรงจำเก่าก่อนจึงถูกลบไปสิ้น  พี่เราจึงไม่ออกมาพบหน้าพี่สะใภ้เสียที  เพราะไม่รู้ว่าเมื่อได้พบพี่สะใภ้จะมีท่าทีอย่างไร  หากทั้งความทรงจำและความรักถูกลืมเลือนไปเสียสิ้น  พี่ชายเราคงผิดหวัง”


“พี่ชายเราคงไม่ยอมสิ้นหวังง่ายๆกระมัง  สู้อุตส่าห์อดทนรอมาหลายร้อยปี  อย่างไรเสียก็ต้องพาพี่สะใภ้กลับไปให้ได้แน่”


“ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องรอดูต่อไป”












+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                โคตะไปส่งน้องที่หน้าอพาร์ทเมนท์  ดูบริเวณรอบๆจนแน่ใจแล้วว่าตัวปัญหาไม่ได้อยู่แถวนั้น ก่อนกลับยังฝากคำเตือนต่างๆนานาให้ระวังอาซากะ  เคย์รับคำอย่างว่าง่ายเพราะรู้ว่าพี่ชายเป็นห่วง


“ระวังเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอก  ความจริงนายน่าจะกลับไปนอนที่บ้านนะ  อยู่คนเดียวแบบนี้ฉันไม่ไว้ใจ”


“ถ้าอาซากะตามไปถึงที่บ้าน คุณอารู้เรื่องเข้า  ฉันไม่อยากให้ท่านไปเป็นห่วง”


“ทำเป็นพูดดี  ที่จริงคิดถึงเตียงผีสิงนั่นอยู่ใช่มั๊ยล่ะ”  โคตะเคาะหัวน้องไปหนึ่งที  เรื่องที่เคย์โตะและยูโตะเล่าเขาไม่อยากจะเชื่อ  แต่ถ้าเรื่องที่ฮิคารุเล่าเป็นความจริงเขาก็ไม่อยากให้เคย์นอนบนเตียงนั่นอีก


“ไม่ใช่เตียงผีสิงหรอกน่า  ไม่เคยเห็นเจออะไรแปลกๆสักครั้งเลย”


“เรื่องเตียงเอาไว้ก่อน  ฉันห่วงเรื่องอาซากะมากกว่า  กลับเข้าห้องแล้วล็อคประตูให้เรียบร้อย  ห้ามเปิดประตูให้คนแปลกหน้าด้วย  เข้าใจมั๊ย”


เคย์เกือบจะหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินพี่ชายสั่งอย่างนั้น  แต่ก็ยอมรับปากเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจก่อนจะบอกลา  โคตะยืนรอจนน้องชายเข้าไปในอพาร์ทเมนท์แล้วจึงออกเดินบ้าง แต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงน้องอยู่ดี  เหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างบอกว่าจะเกิดเรื่องร้าย   แต่วันนี้เขามีธุระด่วนอยู่เป็นเพื่อนน้องไม่ได้เสียด้วย


ร่างสูงหยุดยืนอย่างรีรอ  ลางสังหรณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ   แต่โคตะก็เลือกที่จะบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไร  หันหลังกลับเดินออกห่างจากอพาร์ทเมนท์ของเคย์


แต่โคตะไม่รู้เลยว่าลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยพลาด  แต่ตัวเขาเองที่พลาดเพราะมองข้ามความรู้สึกนั้นไป เพราะเมื่อเคย์ขึ้นมาถึงชั้นที่พัก  ก็พบกับอาซากะ  มายืนรออยู่หน้าห้องแล้ว


เคย์เพียงแต่ถอนใจเล็กน้อย  ความรู้สึกที่มีต่ออาซากะตั้งแต่แรกนั้นไม่เคยเปลี่ยน  ไม่เกลียดแต่ก็ไม่รัก  เพียงแต่ตอนนี้ร่างบางเริ่มรู้สึกระอากับนิสัยเอาแต่ใจอย่างเหลือร้ายของอาซากะเสียแล้ว  เขาอยากจะหันหลังกลับ แต่อาซากะก็หันมาเจอเข้าพอดี  เคย์จึงต้องเดินเข้าไปหาอย่างเลี่ยงไม่ได้


คนตรงหน้ามีท่าทีสำนึกผิด  แต่เคย์ก็ไม่รู้สึกยินดีนักที่เห็น  และคงแสดงออกชัดเจนทางสีหน้า  ทำให้อาซากะมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย


“ผมมาขอโทษเรื่องวันนี้”


“ครับ”


คำตอบรับสั้นๆจากเคย์คงทำให้อาซากะไม่พอใจนัก  เพราะอีกฝ่ายแทบจะเก็บซ่อนความไม่พอใจไว้ไม่ได้  อาซากะคงคาดหวังว่าเคย์จะพูดอะไรมากกว่านี้  แต่เคย์ก็ไม่มีอะไรจะพูด 


“แต่ที่ผมทำไปทั้งหมด  ก็เพราะผมชอบเคย์มากจริงๆ”


อาซากะพูดออกมาโดยไม่สบตาเขา  นานมาแล้วพี่ชายเคยสอนว่าคนที่พูดโดยไม่มองตาคนฟังนั้นเป็นคนโกหก ที่ไม่มองตาก็เพราะ กลัวคนฟังล่วงรู้ถึงความในใจ และวันนี้ฮิคารุก็เพิ่งจะเตือนว่า  คนอย่างอาซากะจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ


ความรู้สึกบางอย่างจากส่วนลึกในใจ..ก็เตือนเคย์ว่าไม่ควรเชื่อคำพูดนี้


เขาจึงรับฟังที่อาซากะพูดอย่างเงียบๆ  ไม่แสดงท่าทีตอบรับหรือปฏิเสธ  มองความโกรธเกรี้ยวที่กำลังปะทุขึ้นในดวงตาของอาซากะอย่างใจเย็น  สุดท้ายอาซากะก็เป็นฝ่ายถอนใจแรงๆและบอกลาอย่างหงุดหงิด  ซึ่งเคย์ก็ไม่รีรอที่จะบอกลาเช่นกัน


เมื่ออาซากะหันหลังเดินจากไป  เคย์จึงหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาเปิดประตูห้องตามปกติ  แต่พอก้าวเข้าไปในห้องได้เพียงไม่กี่วินาที  ห้องทั้งห้องก็โคลงเคลงจนเขายืนไม่ติดพื้น ล้มลงตรงหน้าประตูนั่นเอง  เคย์สะบัดหัวแรงๆหลายครั้ง  เขาไม่ได้ง่วง แต่เปลือกตากลับหนักอึ้ง  เหมือนกำลังจะหมดสติ  ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้ป่วยไข้เลยแม้แต่น้อย


จากนั้น ร่างบางก็รู้สึกถึงความเย็นชื้นที่ปลายนิ้ว  ของเหลวใสๆที่เขาสัมผัสบนเครื่องอ่านคีย์การ์ดที่หน้าประตู  ร่างบางไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร  หรือเพราะเหตุใดมันจึงไปอยู่ตรงนั้น


“ไม่!!!!


ร่างบางพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้ปิดประตูล็อคให้แน่นหนา  ทว่าช้าเกินไป  ร่างกายเขาหนักราวกับถูกถ่วงด้วยสมอเรือ  และเปลือกตาก็กำลังจะปิดลง   ภาพสุดท้ายที่ได้เห็น คือร่างสูงของอาซากะกำลังก้าวเข้ามาในห้อง  ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นที่ทำให้เคย์หวาดกลัวจับขั้วหัวใจ






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                “นายบังคับให้ฉันต้องทำแบบนี้เองนะ”


                อาซากะยิ้มเย้ยหยันร่างที่นอนอยู่บนพื้น  ล้วงขวดยาเล็กๆออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางมองอย่างชื่นชม  ยาสลบชนิดรุนแรงที่สุด  เขาเพียงแค่ป้ายลงเครื่องอ่านคียการ์ดและรอให้เคย์สัมผัสมัน  แล้วภายในไม่กี่วินาทีก็จะหมดสติ  เหมือนกับเคย์ตอนนี้


                ร่างสูงปิดประตูล็อคอย่างใจเย็น  อย่างไรเสียเคย์ก็หนีเขาไปไม่ได้อีกแล้ว  และจะหนีไปไม่ได้ตลอดกาล  อาซากะนึกไม่ออกเลยว่าเขาจะสะใจสักเพียงไหนเมื่อได้เห็นสีหน้าของยาบุ  โคตะ  เมื่อมันได้รู้ว่าน้องชายที่รักนักหวงหนา  กลายเป็นสมบัติของเขา


                เมื่อพ้นคืนนี้ไป  อาซากะ  จะเป็นคนบอกข่าวดีให้โคตะรู้ด้วยตัวเองแน่!


                เสียงฟู่ฟ่อ  ดังขึ้นภายในห้อง  แผ่วเบา แต่เรียกความสนใจของอาซากะให้มองไปรอบๆห้อง  ทีแรกคิดว่าหูแว่ว  แต่เสียงนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆราวกับสะท้อนออกมาจากผนังรอบตัว  อาซากะหันซ้ายหันขวาหาที่มาของเสียงนั้นอย่างนึกระแวง   เสียงของสัตว์แน่  แต่เขารู้ว่าเคย์ไม่เคยมีสัตว์เลี้ยง


                แล้วทันใดนั้น  ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าก็ทำให้อาซากะถึงกับตัวชา  งูสีดำที่เขาไม่ได้เห็นตั้งแต่แรก  กำลังเลื้อยลงมาจากเตียงสี่เสาโบราณที่ตั้งอยู่มุมห้อง  ตรงเข้ามาหา  ดวงตาสีแดงของมันสว่างเจิดจ้าราวกับจะแผดเผาให้กลายเป็นจุณ  อาซากะยืนเหงื่อท่วมตัวอยู่ตรงนั้น  จ้องมองงูสี่ตัวที่เลื้อยมาหยุดอยู่ตรงหน้า  มันแผ่แม่เบี้ย  ชูหัวขึ้นสูงเท่าระดับอก  ลิ้นสองแฉกแลบเลียสัมผัสอากาศพร้อมเสียงฟู่ๆ  ตัวหนึ่งชูหัวขึ้นสูงกว่าตัวอื่นๆ  อาซากะเบิกตากว้างเมื่อถูกดวงตาสีแดงเจิดจ้าจ้องมองอาฆาต  อาซากะเข่าอ่อนเมื่อมันอ้าปากกว้างเผยเขี้ยวพิษอันตราย


                แต่สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวจนฉี่แทบราด  คือเสียงฟูฟ่อที่ได้ยินนั้น  กลับกลายเป็นเสียงคน 


                “อย่าแตะต้องเขา  จำไว้  อย่าแตะต้องเขาอีก”


                น้ำเสียงเยือกเย็นบาดหู   ความกลัวไหลอาบทั่วร่าง  งูทั้งสี่ตัวลดหัวลงเลื้อยรอบร่างบางที่นอนนิ่งไม่ไหวติง  อาซากะคลานหนีออกมาจากห้องด้วยความกลัวตายอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึก  งูทั้งสี่ตัวส่งเสียงฟ่อๆหัวเราะเย้ยหยัน  เสียงนั้นจะตามหลอกหลอนอาซากะไปชั่วกัปชั่วกัลป์  ตราบเท่าที่อาซากะยังคงคิดร้ายต่อผู้เป็นนายของมัน


                ประตูห้องปิดลงอย่างเงียบเชียบ  กลอนบิดล็อคด้วยตัวมันเองอย่างรู้งาน  เปลวไฟสีทองผุดขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า  มันส่องแสงเรืองรองสะท้อนอัญมณีสีแดงในดวงตาของงู  พวกมันทั้งสี่เลื้อยกลับขึ้นไปประจำที่เมื่อร่างสูงของเจ้านายก้าวออกมาจากเงามืด


                “นายท่าน”


                “พวกเจ้าทำได้ดี”


                “เหตุใดจึงไม่อนุญาตให้พวกข้าฆ่ามันเสีย”


                “เคย์ไม่ปรารถนาความตายของผู้ใด  แม้จะเป็นความตายของคนชั่วเช่นอาซากะก็ตาม”


                ร่างงามถูกช้อนอุ้มขึ้นแนบอก  ทว่าผู้เป็นเจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงนั้นกลับรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่เกร็งไปทุกส่วนของร่างที่หลับใหล  ราวกับว่าจิตใต้สำนึกกำลังดิ้นรนต่อต้าน แม้ว่าจะหลับตาแต่คิ้วเรียวกลับขมวดมุ่นอย่างคนที่จมอยู่ในฝันร้าย


                “เด็กดีของข้า  เจ้าปลอดภัยแล้ว”


                เสียงกระซิบแผ่ว  สัมผัสจากฟูกและผ้าห่มกำมะหยี่ที่คุ้นเคย  ไออุ่นจากผู้ที่เอนกายลงแนบข้าง  รอยจูบที่ประทับลงตรงหว่างคิ้ว  ทำให้ร่างที่แข็งเกร็งผ่อนคลาย  ราวกับจะรับรู้ได้ถึงการปกป้อง  แวบหนึ่งที่เคย์ฝืนลืมขึ้นอย่างยากลำบาก เพียงเพื่อรับรู้ว่าผู้ที่อยู่เคียงข้างไม่ใช่อาซากะ  จึงหลับลงอย่างผ่อนคลายได้ในที่สุด


                “คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”


                ปลายจมูกโด่งแตะลงบนแก้มเนียนอย่างแสนคิดถึง   จากนั้นดวงตาสีทองของปีศาจจึงเลื่อนไปจับจ้องบริวารของตน  ดวงตาของงูที่เสาเตียงยังสว่างเรืองรอง


                “พวกเจ้าคิดจะจ้องมองอยู่อย่างนั้นตลอดคืนรึ?”


                เรามีหน้าที่คอยเฝ้าดูแลความปลอดภัย ให้แก่นายท่านทั้งสอง


                ผู้เป็นนายหัวเราะเสียงทุ้มต่ำอย่างอารมณ์ดี 


                “เจ้าคงลืมไปแล้วกระมัง  ว่าเคย์ได้สั่งพวกเจ้าเอาไว้อย่างไร  เมื่อยามที่เขาอยู่กับข้าบนเตียงนี้  เขาสั่งให้พวกเจ้าหลับตา “


                “โปรดให้อภัยพวกเราด้วยนายท่าน  นานแสนนานเหลือเกินแล้วที่ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่เคียงข้างกันเช่นนี้”


                “ในเมื่อรู้แล้วก็จงหลับตา  หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว  หรือไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้ากลับไปรอนายของเจ้าอยู่บนเรือ”


                ดวงตางูหรี่แสงกระทั่งดับลง   เหลือเพียงแสงอบอุ่นจากเปลวไฟสีทองที่ยังลอยอยู่กลางห้อง  ร่างบางขยับตัวพลางถอนใจ


                “เคย์  เจ้ากำลังฝันถึงอดีตของเราอยู่ใช่หรือไม่” ปีศาจกระซิบแผ่วให้เสียงซึมแทรกเข้าไปในห้วงฝันของคนที่หลับไหล “หลายปีมาแล้วที่เจ้าฝันถึงอดีตของเรา แต่กระนั้นเจ้าก็ยังจำอะไรไม่ได้”  แสงสีทองในดวงตาปีศาจหม่นแสง แต่แล้วกลับทอแสงเรืองอบอุ่นอีกครั้ง “ข้าไม่โทษเจ้า  ข้ารู้ว่าเจ้าทรมานกับความฝันซ้ำๆที่เลือนหายไปเมื่อลืมตาตื่น  แต่ในค่ำคืนนี้  เมื่อข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้า  ข้าก็อยากให้เจ้าฝันถึงคืนแรกที่เราได้เคียงคู่”


                เปลวไฟสีทองอ่อนแสงลงช้าๆ  จนกระทั่งหายไป  ภายในห้องเหลือเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟจากภายนอก


                “คืนวิวาห์ของเรา”








+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







                ดวงอาทิตย์เลื่อนคล้อยลอยต่ำจนลับขอบฟ้า   แสงสีทองลับลาหาย  ทิ้งไว้เพียงท้องฟ้ายามราตรีมืดดำ ไร้แสงจันทร์  แต่ยังคนมีแสงดาวพราวพรายบนท้องฟ้า  ดวงดาวน้อยใหญ่มากมายจับกลุ่มเรียงรายจากขอบฟ้าฝั่งหนึ่งจรดอีกฟากฝั่งฟ้า  ดุจดังเส้นทางแห่งสรวงสวรรค์


                หากแต่ผู้ที่อยู่บนเรือสีดำนั้นมิได้มีใจชื่นชมความงดงามเหล่านั้น   ร่างบางเดินวนไปวนมา  กระวนกระวายอยู่บนดาดฟ้าเรือ  เพราะคืนนี้แล้ว  ปีศาจผู้เป็นนายแห่งเรือสีดำนี้  จะมาทวงสัญญาจากเขา


                ปีศาจตนนั้นได้ทำตามเงื่อนไขของเคย์ไปแล้วสองข้อ   เงื่อนไขข้อแรก  เรือที่อาซากะใช้ปล้นชิงทรัพย์จากเรือพาณิชย์อื่นๆถูกจมลงสู่ก้นทะเลสมดังที่เขาปรารถนา  เงื่อนไขที่สอง  การประลองดาบ  เคย์พ่ายแพ้อย่างหมดท่า  เชิงดาบของปีศาจตนนั้นยอดเยี่ยมเสียจนไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจวิเศษใดๆ  ฝีมือของทั้งคู่ไม่มีใครแพ้ใคร  แต่หลังจากที่ประลองหนึ่งวันและหนึ่งคืน  เคย์ก็ต้องจำยอมพ่ายแพ้ให้อีกฝ่าย  เพราะร่างกายของเขาอ่อนล้าจนประลองต่อไม่ไหว


                แต่กับเงื่อนไขข้อสุดท้ายนั้น  เคย์ประหลาดใจที่ปีศาจตนนั้นยอมทำตาม  คำเล่าลือที่ว่าหากปีศาจยอมเปิดเผยนามที่แท้จริงต่อผู้ใด  เท่ากับปวารณาตนเป็นทาสรับใช้คนผู้นั้น


                ยูยะ  คือนามของปีศาจตนนั้น  ...


                “หรือว่านั่นจะไม่ใช่นามที่แท้จริง?”


                ร่างบางนึกสาปแช่งในความโง่เขลาของตนเอง   หากคำที่คนโบราณล่ำลือกันนั้นเป็นความจริง ไฉนเลยปีศาจตนนั้นจะยอมให้ตนเองตกเป็นทาสของผู้ใดได้ง่ายๆ  ปีศาจตนนั้นอาจจะเอ่ยนามของผู้ใดก็ได้เพื่อโกหกเขา


                “นั่นคือนามของข้า  นามที่มารดาของข้ามอบให้ยามที่ข้าถือกำเนิด”


                เคย์ถอยหนีจากเสียงที่อยู่ๆก็ดังขึ้นด้านหลังเสียจนเกือบจะชนกับกราบเรือ  อีกฝ่ายปรากฏกายได้เงียบเชียบเหมือนเงา  เปลวไฟสีทองผุดขึ้นจากความว่างเปล่า สาดแสงส่องไปทั่วดาดฟ้าเรือ  ร่างสูงสง่าสวมอาภรณ์สีดำตลอดกาย ก้าวเข้ามาหาช้าๆ  มองร่างบางด้วยสายตาขบขันที่ทำให้ผู้ถูกมองขุ่นเคืองใจ


                “บางเรื่องที่เจ้าได้ยินได้ฟังมา  ใช่ว่าจะเป็นความจริงเสมอไป”


                สาปแช่งความโง่เขลาของตัวเองอีกครั้ง  เคย์ไม่ควรเชื่อคำที่ใครๆเล่าต่อกันมา จนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตนเอง


                “ข้ามาทวงสัญญาของข้า”


                คำพูดเพียงเท่านั้น  ก็ทำให้ลมหายใจของผู้ฟังติดขัด  ไม่ว่าจะหาเหตุประวิงเวลาสักเท่าใด  สุดท้ายวันนี้ก็ต้องมาถึง  วาจาอาจเป็นเหมือนสายลม  เมื่อเอ่ยปากแล้วไม่อาจเรียกคืนได้  ในเมื่ออีกฝ่ายรักษาสัญญา   ตนเองก็ไม่อาจบิดพลิ้วได้เช่นกัน


                “ร- รอเดี๋ยวก่อน ข้า-มีเรื่องที่ต้องถามท่าน”


                “เจ้ากำลังหาเหตุเพื่อจะหลบเลี่ยงข้า”


                “ไม่  ข้าเพียงอยากรู้  ว่า-   หากท่านได้สิ่งที่ปรารถนาแล้ว ท่านจะปล่อยข้าไปหรือไม่“


                คำถามนั้นตะกุกตะกักซ้ำยังแผ่วเบาจนแทบไม่พ้นริมฝีปาก   นัยน์ตาสีทองทรงอำนาจมีแววอ่อนโยนลงเล็กน้อย  แต่ผู้ที่เป็นเจ้าสาวของปีศาจนั้นมิได้รับรู้   เพราะกระดากอายในคำถามของตนจึงไม่กล้าสบตาคมกล้าคู่นั้น


                “ตามธรรมเนียมอย่างมนุษย์  พวกเขาแยกจากกันเมื่อได้ผ่านพ้นคืนวิวาห์หรือไม่?”


                คำถามนั้นคือคำตอบ  การวิวาห์คือการครองคู่กันตราบจนชั่วชีวิต 


                “เมื่อผ่านพ้นคืนนี้ไป  มิใช่เพียงร่างกาย  แต่ชีวิตเจ้า  จะต้องเป็นของข้า  ชั่วนิรันดร์”


                “ชั่วนิรันดร์”  ร่างบางทวนคำเสียงแผ่ว  ความหวังที่จะได้กลับไปพาพี่ชายและพี่สาวถูกถ่วงทิ้งลงสู่ก้นทะเลลึกเบื้องล่างไปชั่วกาล  “ถ้าเช่นนั้น  ข้าขอคำสัญญาจากท่านข้อหนึ่ง”


                “คำสัญญาว่าท่านจะไม่ติดตามทำร้าย พี่ชายและพี่สาวของข้า”


                “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าจะทำเช่นนั้น?”


                “เพราะข้าไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริง  ข้ามาที่นี่  เพื่อช่วยให้พวกเขาหนีไป”


                “ก่อนหน้านั้น  ข้าได้ทำตามเงื่อนไขของเจ้าครบสามข้อแล้ว  ในคืนนี้เจ้ายังมีข้อต่อรองเสียอีก  ไม่คิดว่ามันมากไปหรือ?  เด็กน้อย”


                ผู้ทรงอำนาจเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล  หากแต่คนฟังยังจับกระแสความไม่พอใจที่แฝงไว้ได้  เคย์กำมือแน่นห้ามความกลัวที่กำลังไหลบ่าท่วมร่าง


                “ไม่เลย  หากว่ามันต้องแลกด้วยทั้งหมด -ของชีวิตข้า  และนี่ก็เป็นคำขอจากข้า  มิใช่เงื่อนไข”


                นัยน์ตาสีทองคมกริบ จับจ้องใบหน้างาม  ที่ฝืนทำเป็นกล้าทั้งที่นัยน์ตาสั่นระริก  เคย์ไม่รู้เลยว่าเงื่อนไขต่อรองที่ตนสร้างมิได้ทำให้ผู้เป็นนายแห่งเรือนี้เบื่อหน่ายหรือขุ่นเคือง  มีแต่จะพอใจมากขึ้นเท่านั้น  เหมือนกับได้เล่นสนุกกับการไล่ต้อนลูกนกตัวน้อยๆให้มาอยู่ในกำมือ


                “ข้าเคยบอกกับเจ้า  เมื่อเราพบกันครั้งแรกว่าข้าพอใจเจ้ามากกว่า  และข้าก็ยังคงคิดเช่นนั้น  แต่ในเมื่อเจ้ากล้าขอ  ข้าจะให้คำมั่นแก่เจ้าเพื่อเป็นของขวัญในคืนวิวาห์นี้   เจ้าพอใจหรือยัง  มีสิ่งใดที่อยากขอจากข้าอีกหรือไม่”


                คำถามนั้นราวกับจะประชด แต่เคย์กลับมองเห็นรอยยิ้มขันจากดวงตาสีทอง  ปีศาจตนนี้เห็นทุกสิ่งเป็นเพียงเรื่องสนุก  ทั้งเรื่องของอาซากะ  และเรื่องการวิวาห์ในคืนนี้   ในขณะที่เคย์กลัวจนแทบไม่อาจประคองร่างกายให้ยืนอยู่ได้  ร่างบางส่ายหน้า  เรียกรอยยิ้มพอใจให้กับปีศาจที่ยืนอยู่เบื้องหน้า


                “ดี  พิธีวิวาห์ระหว่างเราจะได้เริ่มเสียที”








+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                พิธีวิวาห์หรือ?  เขาไม่เคยได้ไปร่วมงานวิวาห์ของคนบนเกาะเลยสักครั้ง  แต่ก็พอรู้ว่าพิธีการนั้นทำในโบสถ์ท่ามกลางสักขีพยานมากมาย  แต่บนเรือลำนี้ไม่มีผู้ใดเลย  นอกจากทั้งสอง  แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ทำพิธี  และใครกันจะมาเป็นสักขีพยาน


                “เราไม่จำเป็นต้องมีบาทหลวงมาทำพิธีให้  แต่อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีผู้รับรู้เรื่องการวิวาห์ของเรา  และข้าได้เชิญเขามาแล้ว”


                เคย์เหลียวมองรอบตัวที่มีแต่ความมืดอันเงียบสงัดด้วยความหวาดหวั่น  ผู้ที่ถูกเชิญมานั้นย่อมไม่ใช่มนุษย์แน่  แต่ร่างสูงกลับเดินผ่านหน้าเคย์ตรงไปหัวเรือ  จ้องมองลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่าง  ก่อนจะหันกลับมาหา


                “มานี่สิเคย์  มาพบแขกคนสำคัญของเรา”


                ท้องทะเลเบื้องล่างนั้นมืดดำจนแทบมองไม่เห็นอะไร  แต่ที่ทำให้เคย์ไม่กล้ามองลงไปยังท้องทะเลมากนัก  คือระยะห่างจากตัวเขาจนถึงท้องทะเลเบื้องล่าง   มันช่างห่างไกลนัก  เมื่อยืนอยู่ตรงนี้  เคย์รู้สึกเหมือนว่ากำลังยืนอยู่บนปากเหวสูงชัน  หากตกลงไป  เขาคงไม่ได้มีชีวิตรอดไปพบพี่สาวพี่ชายเป็นแน่


                โครงร่างของอะไรบางอย่างเริ่มปรากฏชัดในความมืด  เคย์พยายามเขม้นมองจึงรู้ว่ามันคือเรือพาณิชย์ที่เมื่อเทียบกับเรือที่เขายืนอยู่นี่แล้วขนาดของมันดูเล็กลงไปถนัดตา  และด้วยอำนาจบางอย่างที่ทำให้เรือลำนั้นกำลังลอยเหนือน้ำทะเล   ใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ


                เมื่อประจักษ์ถึงพลังอำนาจของปีศาจที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยตาตนเองแล้วเคย์ก็ยิ่งหวาดกลัว  แต่เมื่อมองเห็นเรือลำนั้นได้อย่างชัดเจน   ความกลัวกลับถูกแทนที่ด้วยความโกรธและความชิงชัง


                เรือแห่งความชั่วร้ายที่เขาคิดว่ามันถูกจมลงสู่ก้นทะเลเมื่อเดือนก่อนกลับปรากฎอยู่ตรงหน้า   สมบูรณ์ ไร้ร่องรอยใดที่บ่งบอกว่ามันเคยอยู่ใต้ทะเลมาก่อน  ลอยลำสูงจากผิวน้ำอยู่ในระดับเดียวกับเรือปีศาจ


                “พวกเขามิได้มีเรือเพียงลำเดียวหรอก   เคย์  คนเหล่านั้นซ่องสุมกำลังคนและเรือเพื่อปล้นชิงมาช้านาน  จะมีเรือที่เหมือนกันอีกสักกี่ลำก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  และนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเรา”   น้ำเสียงทรงอำนาจนั้นทำให้เคย์ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้ง   “และชาวเรือย่อมไม่ตายง่ายๆเพียงเพราะเรือจม”


                เปลวไฟแห่งปีศาจนับร้อยผุดขึ้นจากความว่างเปล่ารอบตัว  ขับไล่ความมืดมน  แสงสีทองส่องสว่างทั่วเรือทั้งสอง   เคย์จึงได้เห็น  ว่าบนเรือนั้นยังมีมนุษย์อยู่


                “อาซากะ”


                และอาซากะก็มองเห็นเคย์แล้วเช่นกัน  เพียงแต่อาซากะถูกมัดติดอยู่กับเสากระโดงเรือแรก  จึงไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้  เคย์หันขวับกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นนายแห่งมหานาวาแห่งราตรีนี้ทันที ที่เริ่มเข้าใจเหตุผลบางอย่าง


                “เพราะเหตุนี้เองท่านถึงได้เลือกข้า”

               
                เขาเข้าใจแล้ว  เหตุผลที่ปีศาจตนนี้ยอมทำตามเงื่อนไขโดยไม่มีคำโต้แย้ง  เพื่อให้ได้ตัวเคย์ไปเป็นเจ้าสาวในที่สุด


                “ท่านรู้ว่าอาซากะปรารถนาในตัวข้า  ท่านจึงชิงตัวข้ามา  เพื่อแก้แค้น “

               
                ร่างบางก้าวถอยหนีมือแกร่งที่เอื้อมมาหา  แต่หาพ้นไม่  สัมผัสอุ่นจนเกือบร้อนที่ข้างแก้มนั้นทำให้สะดุ้ง  หากแต่ริมฝีปากที่ยกยิ้มเล็กน้อยด้วยความพอใจนั้น  กลับตรึงสายตาของเคย์เอาไว้ไม่ให้มองไปที่ใด  นี่เองรอยยิ้มของปีศาจ  เปี่ยมล้นด้วยมนต์เสน่ห์  ลึกลับและน่ากลัว  แต่ไม่อาจละสายตาได้


                “เจ้าฉลาด  น่าเสียดายที่อาซากะหลงใหลเจ้าเพียงรูปกาย  มิใช่สติปัญญา”


                รอยยิ้มพอใจแปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยันเมื่อหันไปมองผู้ที่ถูกมัดอยู่บนเรืออีกลำ 


“ความโง่เขลาของอาซากะ ทำให้ดวงดาวที่มันเฝ้าหมายปองตกลงมาอยู่ในมือข้า”


ที่อาซากะกรีดร้องด้วยความเจ็บแค้น  “ไม่ !!! เคย์ !!! เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้  ข้าไม่ยอมรับ!!เจ้าต้องเป็นของข้า!!


                 ร่างบางยืนมองอาซากะดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการด้วยความรู้สึกสับสนในทีแรก   เขาเคยคิดว่าปีศาจนั้นโหดเหี้ยม ชั่วร้าย แต่อาซากะได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามนุษย์ก็ชั่วร้ายหรืออาจจะโหดร้ายยิ่งกว่าปีศาจ  


                หากว่าย้อนเวลากลับไป  เพื่อให้เคย์ได้เลือกอีกครั้ง   ระหว่างมนุษย์อย่างอาซากะและปีศาจตนนี้  เขาก็ยินดีที่จะเลือกที่จะเป็นเจ้าสาวของปีศาจ


                “ข้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะต้องเป็นของเจ้า  อาซากะ”


                “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว   จะไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้อีก   เคย์  จงบอกให้แขกของเราได้รับรู้เสีย  ว่าเจ้าเต็มใจที่จะเป็นเจ้าสาวของข้า”


                “ข้าเต็มใจเป็นเจ้าสาวของท่าน  ปีศาจผู้เป็นนายแห่งเรือลำนี้”


                “และข้ายินดียอมรับเจ้าเป็นเจ้าสาวของข้าเช่นกัน  เคย์”


                เพียงเท่านี้  ...  ธรรมเนียมอย่างมนุษย์  มีพิธีการมากมาย  แต่ความสำคัญมีเพียงการยอมรับในกันและกัน   เพื่อที่จะครองคู่  อยู่ด้วยกันตราบจนชั่วชีวิต


                “พิธีวิวาห์อย่างมนุษย์  มีเพียงเท่านี้เองหรือ?”


                ถามราวกับรู้สึกเสียดาย  เคย์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย  แต่เมื่อรู้สึกถึงแววตาล้อเลียนที่มองมาจึงรู้ว่า กำลังถูกอีกฝ่ายยั่วเย้า   แล้วจู่ๆแก้มเนียนก็ร้อนผ่าว  ด้วยรำลึกได้ว่า  ยามที่พี่สาวแอบหนีออกจากคฤหาสน์เพื่อไปร่วมงานวิวาห์ของสาวใช้ในบ้านนั้น  แคลกลับมาเล่าให้ฟังว่าอย่างไร 


                สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำก่อนจะสิ้นสุดพิธี... ทั้งสองฝ่าย  เจ้าบ่าวและเจ้าสาวมอบจุมพิตแก่กัน..


                “ต้องทำอย่างไร? เจ้ารู้ดีไม่ใช่หรือ?  เคย์”


                ร่างบางรู้สึกสับสน  ทั้งโกรธทั้งอาย  ทั้งยังไม่เข้าใจความคิดของผู้ที่อยู่ตรงหน้า  ปีศาจหนอช่างลึกลับเสียยิ่งกว่าทะเล  ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่น  คำถามนั้นราวกับจะสั่งว่า  ในเมื่อรู้แล้วจงทำตามธรรมเนียมนั้น 


                เคย์สูดหายใจลึกรวบรวมความกล้า  ใช่ว่าเขาจะไร้เดียงสาเสียจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร  เพียงแต่... เขาไม่เคยทำเช่นนี้กับใคร 


                นัยน์ตาสีทองเรืองแสงขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ  เมื่อเคย์ก้าวเข้าไปชิด  ก่อนจะยืดตัวประทับริมฝีปากลงบนแก้มตน  ทิ้งรอยสัมผัสเจือจางอบอุ่นไว้แล้วผละห่างอย่างรวดเร็ว  หากแต่ร่างสูงก้าวตาม  ร่างบางถอยไปจนชิดกราบเรือ  ไม่มีทางใดให้หนีอีก เมื่ออีกฝ่ายวางแขนบนกราบเรือคร่อมร่างไว้  ใบหน้าหล่อเหลาคลอเคลียชิดใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจ


                “น่ารักจริง..เจ้าสาวของข้า”


                ณ เวลานั้น   วูบแรกที่ริมฝีปากถูกสัมผัส  ร่างบางดิ้นรนต่อต้าน  แต่เพียงไม่นาน  ไอร้อนจากริมฝีปากที่บดเบียด  แขนแกร่งที่โอบเอวบาง  มือที่ประคองศรีษะ    ก็ทำให้เคย์หลงลืมทุกสิ่ง   ลืมว่าตนเองเป็นใคร  มาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด  สิ่งเดียวที่รับรู้ได้  คือความหอมหวานที่อีกฝ่ายได้มอบให้


                เนิ่นนานกว่าที่ทุกสิ่งจะหยุดลง  ร่างบางรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งกาย  ซ้ำยังมึนงงราวกับจะป่วยไข้  เรี่ยวแรงหดหาย  ปล่อยให้อีกฝ่ายช้อนกายขึ้นอุ้มแนบอก  เสียงร้องตะโกนเคียดแค้นของอาซากะเรียกสติที่เหลือเพียงน้อยนิดให้กลับคืนมา 


                “ท่านจะ- ฆ่าเขาหรือ?”


                ปีศาจก้มมองเจ้าสาวในอ้อมแขน  ที่แม้จะยังควบคุมลมหายใจไม่ได้  แต่ยังมีแก่ใจจะถามถึงผู้อื่น


                “เจ้าห่วงมันรึ?”


                “ไม่! เพียงแต่  ข้า-ไม่ปรารถนาความตายของผู้ใด”


                คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายด้วยจุมพิตร้อนแรงของปีศาจ    สติสัมปชัญญะที่เพิ่งกลับคืนมาดับวูบไปดุจเปลวเทียนในสายลม  เปลวไฟสีทองทั้งหมดดับวูบลง  พร้อมๆกับเรือที่แขวนค้างอยู่บนความว่างเปล่า  ตกลงสู่ผืนน้ำดำมืดเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว  เมื่อตัวเรือกระแทกน้ำชิ้นส่วนของเรือก็แตกกระจัดกระจาย  เหมือนไข่นกที่ร่วงลงบนหินผา  เรือทั้งลำจมลงสู่ก้นทะเล  เหลือเพียงมหานาวาแห่งปีศาจ  ลอยลำสงบนิ่งอยู่บนผืนทะเลกว้างใหญ่  และกลืนหายไปในความมืดในที่สุด









+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                เคย์ปรารถนาให้ตัวเองสิ้นสตินับตั้งแต่ที่ร่างถูกวางลงบนเตียง   แต่ความจริงหาเป็นดังนั้นไม่   ร่างบางรับรู้ทุกอย่าง  ชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด  ริมฝีปากที่บดเบียดลงมาอย่างร้อนแรงหนักแน่น  มือร้อนที่ลากไล้ไปทั่วกาย  แขนแกร่งที่กอดรัดจนหายใจไม่ออก  แต่สิ่งที่ทำให้ร่างบางหวาดกลัว  คือนัยน์ตาสีทองเต็มไปด้วยอารมณ์  ที่กำลังจะทำให้ร่างบางหลอมละลาย  ตอบสนองไปกับอารมณ์นั้น


                “เจ้ากลัวข้า”


                “ข้ากลัว- ความปรารถนาของท่าน”


                ร่างบางรวบรวมลมหายใจตอบเสียงกระซิบถามนั้นอย่างยากลำบาก  เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากนั้นอ้อมแขนที่รัดแน่นคลายออกเล็กน้อย 


                “ความปรารถนาของข้า  ก็เป็นเช่นเดียวกับความปรารถนาของมนุษย์  บอกข้าสิ เคย์  ว่าเจ้าไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย  เมื่อยามที่เจ้าเติบโตพ้นวัยเด็ก”


                มือร้อนลูบผ่านหน้าท้องขาวเนียน  วนไล้ซุกซนแล้วลากลงต่ำ  เคย์กัดริมฝีปากกลั้นเสียงคราง ร่างกายร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ  ตามแรงชักพา  ร่างบางดิ้นรนครวญครางอยู่ใต้อาณัติของร่างที่แกร่งกว่า  เนิ่นนานกว่าที่ความทรมานนั้นจะสิ้นสุด  เคย์รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ร่างกายได้ปลดปล่อย


                แต่ค่ำคืนนี้มิได้จบลงง่ายดาย...

                เคย์กรีดร้องเมื่อกายแกร่งเบียดเข้าหา  ความอึดอัดรัดแน่น แล่นไปทั่วร่างจนหายใจไม่ออก  มือเรียวจิกลงบนไหล่หนาระบายความเจ็บปวด 


                “ไม่-ไม่-!


                สิ่งที่แทรกเข้ามานั้นทั้งร้อน  ทั้งแข็งแกร่ง  ร่างกายเขาไม่อาจทนรับมันได้ แต่ก็ไม่อาจผลักไส  ทำได้พียงกรีดร้องแทบสิ้นสติ


                “เคย์  จงอย่าฝืน อย่าต่อต้านข้า   ให้ข้า...นำเจ้าไป”


                อีกฝ่ายจะนำเขาไปที่ใดสุดจะรู้ได้  แต่เคย์ก็ตอบรับน้ำเสียงทุ้มพร่าด้วยการวาดแขนโอบแผ่นหลังชุ่มเหงื่อของอีกฝ่ายเอาไว้   เผยอริมฝีปากตอบรับรสจูบนุ่มนวลที่ทำให้ลืมเลือนความรู้สึกเสียดแทงจากเบื้องล่าง 


                ขอให้ความทรมานอันยาวนานนี้สิ้นสุดลงเสียที...









+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







3 comments:

  1. พี่สะใภ้ไม่เป็นไรหรอกน้องเม่นๆ *ตบไหล่ถึงอยู่คนเดียว*
    กลับไปดูพี่ชายพวกแกเถอะ ป่านนี้รอเข้าหอจนหน้าเหี่ยวหมดแล้วมั้ง

    โคตะกะฮิคารุนี่ทะเลาะกันทั้งเรื่องจริงๆ
    อย่าบอกนะว่าเจ้าของหีบคือแคล??
    แล้วทำไมเคย์มาเกิดใหม่ คุณปีศาจไม่ยึดวิญญาณไว้หล่ะ!!

    ReplyDelete
  2. CeciliaKwang18/03/2013, 19:39

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
    ให้ข้า...นำเจ้าไป กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
    อิตาปีศาจตนนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หลอกล่อเคย์ของข้าให้หลงกลจน 'สมยอม'
    เจอกันครั้งแรกแบบนี้ก็เรียกได้ว่าปิ๊งกันแล้ว แต่ต้องมาดูกันอีกทีว่าจอมปีศาจจะทำยังไงให้เคย์รักได้จริงๆ
    แล้วคู่บุฮิคเมื่อไหร่จะจีบกันอย่างจริงจังสักที ลุ้นอยู่นะ 5555+

    ReplyDelete
  3. อ๊ายยยยยยย เพิ่งว่างมาอ่านนน

    กรีดร้องงงง ลุ้นไปด้วยกะอิเคย์
    กว่าคุณปีศาจจะออกมา เท่ห์เชียวววววว
    จะเป็นไงต่อล่ะ อิเคย์จะจำได้มั้ย

    รอตอนต่อไปน้าา

    ปล.บุฮิคตีกันตลอด 55+

    ReplyDelete