Tuesday 31 January 2012

[SF]✪~Rabbit on the Moon ~✪ [On The Moon part]


Title       :               [Fiction] Rabbit on the Moon [ On the moon Part ]


Writer   :               Nalikakeaw


Pairing  :               Yamayuma, Koyashige








ตอนก่อนหน้านี้จ๊ะ กันงง








ตอนนี้..ผมอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง รอบตัวล้อมด้วยทุ่งหญ้ากว้างไกล สุดขอบเขตของทุ่งหญ้าคือต้นไม้สูงใหญ่ขนาดหลายคนโอบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ทะเลสาบที่ผิวน้ำราบเรียบ ไร้ระลอกคลื่นและใสเหมือนกระจก ที่ริมทะเลสาบนั้นมีบ้านแบบโบราณที่หาได้ยากนักในสมัยนี้  บ้านทรงสูง มีสี่ชั้น   หลังคามุงจากฟางข้าวหนาและสูงชันลาดจากชั้นบนสุดจนเกือบถึงชั้นหนึ่ง ดูคล้ายบล็อกไม้สามเหลี่ยมตั้งอยู่บนพื้น




คุณอาจไม่เห็นว่ามันแปลกตรงไหน?... คุณคงคิดว่าผมคงอยู่ในหมู่บ้านโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งในชนบท




แต่เชื่อผมเถอะ..ที่ที่ผมอยู่นี่ แปลกประหลาดกว่าที่คุณคิด  เพราะทุกสิ่งที่ผมเอ่ยมานั้น ล้วนเป็นสีเงินเรืองรองราวกับว่าทุกสิ่งสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง  ทั้งต้นไม้ใบหญ้า น้ำในทะเลสาบ หรือก้อนหินทุกก้อนที่อยู่บนทางเดินนี้




"บ้านฉันสวยใช่มั๊ยล่ะ ชวนมาเที่ยวตั้งหลานหนแล้วก็ไม่ยอมมา"




ผมหันไปมองเด็กหนุ่มร่างบางที่ยืนอยู่ข้างๆกันด้วยความประหลาดใจ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ก็คือตัวของผมเอง ผมสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงยืนสองขา ใส่เสื้อผ้า สวมรองเท้า ทั้งๆที่เมื่อห้านาทีก่อน ผมยังเดินเท้าเปล่า สี่ขา สวมแค่ปลอกคอหนังธรรมดาๆ วิ่งตามน้องๆอยู่เลย




"งงอะไรเนี่ยยามะ ยูมะก็บอกแล้วไง ว่าถ้าขึ้นมาที่นี่แล้วจะกลายเป็นคนน่ะ ซื่อบื้อ"




ดูมัน!! ผมละอยากจะยื่นขาหน้า เอ๊ย!! มือทั้งสองข้างไปเขกหัวไอ้สองแสบนี่ซะจริง คนมันไม่ชินนี่หว่า ใครจะเหมือนายสองคนพอขึ้นมาถึงนี่ปุ๊บก็วิ่งพล่านจนต้นหญ้าสูงเกือบท่วมหัวราบไปแถบหนึ่ง




"ก็มันตื่นเต้นนี่ ได้ขึ้นมาอยู่บนดวงจันทร์ทั้งที เนอะแฮมทาโรเนอะ"




น้องสองตัว เอ๊ย!! คน  หันไปพยักเพยิดสนับสนุนกันเอง เฮ้อ~ เด็กหนอเด็ก  ทั้งชี่น้อยและแฮมทาโรอาจคิดว่าการมาที่นี่เหมือนได้ออกไปเที่ยวนอกบ้าน  แต่สำหรับผม .. การที่ได้มาเหยียบบนดวงจันทร์นี่ มันเป็นสิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ผมขาสั่นตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างลงบนทางแสงจันทร์  แสงสีเงินส่องสว่างทอดยาวจากดวงจันทร์ลงบนบ่อน้ำ เส้นทางที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้




แต่ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ? ..




ก็เมื่อหลายเดือนก่อนมีกระต่ายจากดวงจันทร์ตัวหนึ่งตกลงในสระน้ำบ้านผมน่ะสิ พาไปให้ป๋ากับมี๊เลี้ยงได้หนึ่งเดือน ก็มีแมวขายาวตาตี่มาแสดงตัวว่าเป็นพ่อกระต่าย จากนั้นไม่นานป๊ะป๋าแมวตัวนั้นก็พาลูกๆอีกสี่ตัวลงมาจากดวงจันทร์ มาก่อวีรกรรมให้ป๋ากับมี๊ของผมใจหายเล่น




แล้ววันนี้..ผมก็อาจจะต้องทำให้ป๋ากับมี๊ใจหายอีก  ถ้าหากว่ากลับลงไปบนโลกไม่ทันเวลา ถ้าป๋ากลับมี๊กลับมาถึงบ้านแล้วไม่เจอแมวขาวตัวอ้วน กระรอกน้อยกับแฮมสเตอร์ละก็..




"ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงเราก็กลับไปบนโลกก่อนที่ทุกคนจะกลับถึงบ้านแน่ๆ เพราะฉันเองก็ต้องกลับไปรับหน้าเรียวซังกับฮิโระจังเหมือนกัน"




ผู้ชายตัวสูง ตาตี่ ผมทองที่เดินตามหลังมาบอกให้ผมคลายกังวล ชายคนนี้ เมื่ออยู่บนโลก เขาคือแมวที่มีชื่อว่าโคโค่ หรือไอ้โคะของเจ้านายเรียว คนข้างบ้านของป๋ากับมี๊ของผมเอง แต่พอได้มาอยู่บนดวงจันทร์ เวทมนตร์บนนี้ก็ทำให้แมวกลายเป็นคนได้เฉยเลย




ผมเองก็ด้วย.. จากแมวสีขาวตัวกลมๆ ก็กลายเป็นมนุษย์  ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง รู้แค่ว่าพอก้าวขาพ้นจากทางแสงจันทร์ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป  กระต่ายห้าตัว กระรอกน้อยกับแฮมสเตอร์ที่วิ่งนำไปก่อน กลายร่างเป็นเด็กหนุ่ม ทุกคนสวมกิโมโนลวดลายแตกต่างกัน แต่ก็คุ้นตา เพราะสีและลายอย่างเดียวกับสีของแต่ละคนเมื่อยามเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่บนโลกมนุษย์ทุกประการ อย่างผมที่เป็นแมวสีขาวก็สวมชุดกิโมโนสีขาว ยูมะกับป๊ะป๋าโคโค่สวมกิโมโนลายทางแบบลายเสือสีดำเทาสลับกัน เพราะเวลาที่อยู่บนโลก พ่อลูกคู่นี้เป็นแมวกับกระต่ายที่มีสีและลายแบบเดียวกันเป๊ะ




อย่าถามนะครับ ว่าแมวมีลูกเป็นกระต่ายได้ยังไง เพราะผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน..




"เด็กๆ ไปหาหม่ามี๊ก่อนแล้วค่อยไปเล่นกันนะ"




"คร๊าบบบบ"








+++++++++++++++++++++++++++++++++



หม่ามี๊งั้นเหรอผมคิดอย่างตื่นเต้น ผมกำลังจะเข้าไปในบ้านริมทะเลสาบ เพื่อไปพบกับแม่ของยูมะและพี่น้องเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย จากที่ได้ฟังมา หม่ามี๊ของยูมะเป็นกระต่ายที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์ เป็นผู้ที่ใช้เวทมนต์บันดาลให้คำขอที่มีความตั้งใจแน่วแน่ ไม่ว่าจะเป็นคำขอของใครก็ตามให้เป็นจริง




"หม่ามี๊~!!!"




ขบวนลูกกระต่ายในร่างมนุษย์แข่งกันวิ่งโครมครามเข้าไปในบ้าน เคนโตะวิ่งนำหน้าน้องๆเข้าไปในห้องด้านในพลางส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ชี่น้อยกับแฮมทาโรมาเกาะแขนผมคนละข้างด้วยความตื่นเต้น เราสามคนเคยคุยกันว่าหม่ามี๊ของยูมะจะต้องเป็นคนที่ดุและเข้มงวดมากแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงจะดูและกระต่ายแสนซนทั้งหลายไม่ได้




พอป๊ะป๋าโคะพาเราทั้งสามเข้าไปในห้อง ทุกเสียงก็เงียบลงทันที ป๊ะป๋าโคะก้าวยาวๆเข้าไปประคองร่างของใครคนหนึ่งที่สวมชุดกิโมโนสีเงิน ที่นอนอยู่บนฟูกสีขาวกลางห้องให้ลุกขึ้นนั่ง  พลางหันไปดุลูก




"อย่ากระโดดใส่หม่ามี๊แบบนั้นสิ"




ลูกๆทั้งห้าคนกลิ้งลงจากฟูก ลงไปนอนเท้าคางบนพื้นเสื่อเรียงกันตามลำดับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เฝ้ามองป๊ะป๋าประคองหม่ามี๊ไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่




"หม่ามี๊~ เมื่อไหร่พวกเราจะได้เห็นหน้าน้องล่ะ"




เคนโตะ ลูกคนโตในบรรดาพี่น้องกระต่ายถามขึ้น อ่ะ..ยูมะเคยบอกว่ากำลังจะมีน้องนี่นะ มิน่าล่ะ หม่ามี๊ชิเงะท้องโตเชียว แต่ว่า นี่มันก็หลายเดือนมาแล้วทำไมไม่คลอดสักทีล่ะ




"คงอีกไม่นานแล้วล่ะ"




หม่ามี๊ชิเงะยิ้มอย่างใจดี เผื่อแผ่ยิ้มหวานมาให้ผมกับน้องๆทำให้ผมใจชื้นขึ้น เริ่มมองสำรวจไปรอบๆห้อง ห้องนี้ไม่เหมือนห้องนอนเลย มีแค่โต๊ะตัวเล็กๆวางของเพียงไม่กี่ชิ้น กับฟูกเท่านั้น




"ปกติชิเงะนอนชั้นบนสุดน่ะ แต่พอท้องก็เดินไม่สะดวกเลยต้องนอนข้างล่างนี่"




"แล้วทำไมไม่ใช้เวทมนต์เหาะขึ้นไปล่ะ"




แฮมทาโรโพล่งสวนคำป๊ะป๋าโคะด้วยความอยากรู้ จนผมกลัวว่าหม่ามี๊ชิเงะจะใช้เวทมนต์ดีดน้องผมกลับไปบนโลก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น




"เวทมนต์บนดวงจันทร์นี้ มีไว้ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรอก แฮมสเตอร์น้อย"




ผมเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนั้นเองว่าทำไมป๊ะป๋าโคะถึงได้รักหม่ามี๊ชิเงะหนักหนา จนถึงกับยอมทิ้งบ้านบนโลกมาอยู่ที่นี่เป็นเดือน  เพราะกระต่ายบนดวงจันทร์นี้ไม่ได้มีแค่ความน่ารักน่าเลี้ยงเหมือนกระต่ายทั่วไป หม่ามี๊ชิเงะเป็นคนที่นุ่มนวลอ่อนหวาน ใจดี และพร้อมจะแบ่งปันความรักให้กับทุกคนแม้กระทั่งคนแปลกหน้าอย่างผมและน้องๆ




ยิ่งมอง..ทุกสิ่งรอบตัวก็ยิ่งเหมือนภาพฝัน




"โอ๊ย!!"




อยู่ดีๆภาพฝันอันแสนสุขก็สลายหายวับ ผมรู้สึกเพียงแค่ว่าโดนอะไรหนักๆตีเข้าที่หัว พอกระพริบตาเพื่อมองชัดๆ ก็เห็นยูมะอยู่ข้างๆกำลังทำตาดุใส่ผม




"นายเอาหมอนมาตีหัวฉันทำไมเนี่ย?"




"ห้ามมองหม่ามี๊อย่างงั้นนะ"




เสียงหัวเราะใสๆเหมือนเป็นระฆังห้ามทัพก่อนที่หมอนในมือยูมะจะทุบลงมาบนหัวผมอีกรอบ หม่ามี๊ชิเงะมุดหน้ากับอกป๊ะป๋าโคะเพื่อกลั้นหัวเราะ มองผมด้วนแววตารู้ทันยังไงพิกล




"เด็กๆออกไปเล่นข้างนอกเถอะ หม่ามี๊ง่วงแล้วล่ะ"




"เย้~!"







+++++++++++++++++++++++++++++++++






"ทำไมห้ามมองล่ะยูมะ"




"ไม่รู้ล่ะ!! ยังไงก็ห้ามมอง"




"แม่นายน่ารักดีออก ทำไมมองไม่ได้"




ยูมะหันกลับมาทำตาเขียวใส่ผม ตอนที่เรากำลังเดินตัดทุ่งหญ้าสีเงิน เพื่อไปให้ถึงป่าสนพันปีที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ หม่ามี๊ชิเงะบอกว่าพี่เลี้ยงสองคนของแก๊งกระต่ายพักผ่อนอยู่ที่นั่น พี่ๆน้องๆของยูมะรวมทั้งไอ้สองแสบของผมวิ่งแข่งกันไปจนถึงชายป่าแล้ว เหลือแต่ยูมะที่ดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีกับผมที่คอยเดินตามแบบมึนๆ




"ก็ไม่ชอบนี่"




"แล้วทำไมถึงไม่ชอบล่ะ?"




"ไม่รู้"




กรรมของแมว ยูมะน่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นโกรธใคร ถูกพี่น้องแกล้งยังไงก็ไม่เคยจะเคืองซัดนิด แล้วทำไมวันนี้แจ็คพ็อตมาลงที่ผมได้หว่าดูซิเนี่ย พูดอะไร..ถามอะไร ก็ตอบว่า"ไม่"คำเดียว  เดี๋ยวปั๊ดจัดไม้ตายแมวเหมียวให้ซักดอก




พลั่ก!!!




"โอ๊ยยยยยยยยย!!!"




ยูมะร้องลั่น ล้มไปบนผืนหญ้าสีเงินเพราะถูกผมกระโดดทับ




"เหมียวบ้า!! ลงไปเลยนะ!! หนัก!!"




"บอกก่อนซิ ว่าทำไมถึงไม่ชอบ ไม่งั้นไม่ลง"




วิธีการนี้เสี่ยงต่อการกลายเป็นแมวหัวขาดอย่างยิ่ง ถ้าเกิดป๊ะป๋าโคะหรือหม่ามี๊ชิเงะมาเห็นเข้า ผมคงโดนดีดลงไปบนโลกแบบสายฟ้าแลบ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงนั่งมองยูมะโวยวายฟาดแขนขากับพื้นหญ้าต่อไป ผอมๆแบบนี้เดี๋ยวก็หมดแรงไปเอง




แต่ผมคิดผิด!!




ยูมะไม่โวยวายแล้วก็จริง แต่ร้องไห้แทน ..




"เฮ้ยย!!"




ผมร้องลั่น ดึงยูมะให้ลุกขึ้นนั่งอย่างลนลาน แกล้งลูกเขาจนร้องไห้ ไม่ตายคราวนี้จะไปตายคราวไหน ยูมะปาดน้ำตาป้อยๆ บอกว่าเจ็บหลัง ผมลืมไปว่าพอเป็นมนุษย์ร่างกายสูงใหญ่ขึ้น น้ำหนักก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา ยูมะตอนเป็นกระต่ายก็ผอมจะแย่ ตอนเป็นคนก็ไม่ต่าง ถูกผมกระโดดนั่งทับหลังไม่หักก็บุญแล้ว




"โอ๋ๆๆ อย่าร้องๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ ไม่ร้องแล้วนะ ขอโทษ เมี๊ยวๆๆๆๆ"




ผมกอดยูมะ ถูแก้มตัวเองกับแก้มเนียนเหมือนที่เคยพันแข้งพันขาอ้อนป๋ากับมี๊  แป๊บเดียว ยูมะก็หายโกรธแล้ว




"เหมียวเนี่ย อ้อนเหมือนปะป๊าเวลาที่ง้อหม่ามี๊เลย"




"ก็เป็นแมวเหมือนกันนี่นา"




"เหรอ?"



ยูมะพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ส่วนผมก็ได้แต่เกยคางบนไหล่บาง ทำตาปริบๆคอยฟัง


 

"แล้ว- แมวนี่ ต้องชอบทุกอย่างเหมือนกันมั๊ย"




"หืมม์ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ"




"ก็" ยูมะเอียงหัวเหมือนไม่แน่ใจว่าจะถามดีไหม "ก็เมื่อกี๊อ่ะเหมียวมองหม่ามี๊เหมือนที่ปะป๊ามองเลย"




เหอ?.. นี่ใช่ไหมครับสาเหตุที่ทำให้ยูมะโกรธผม ที่แท้ก็หวงหม่ามี๊แทนป๊ะป๋าหรอกเรอะ?




"ก็คงหวงมั้ง..ฉันคิดแต่ว่า ถ้าเกิดนายชอบหม่ามี๊ขึ้นมาแล้วฉันจะทำยังไงดีอ่ะ"




"ฮะๆๆๆ ยูมะนี่น๊า~ " ผมลงไปหัวเราะกลิ้งบนพื้นหญ้า ยูมะหน้าแดงแล้วแดงอีกด้วยความอาย "หม่ามี๊ของนายน่ารักดีอยู่หรอก แต่ฉันไม่ได้ชอบแบบนั้นซักหน่อยนี่"




"จริงนะ ไม่ได้ชอบหม่ามี๊แบบเดียวกับปะป๊าจริงๆนะ"




"จริงสิ"




ชอบได้ไงละครับ เดี๋ยวแมวขายาวจะได้กระโดดฟรีคิกประไร




"เย้!!! งั้นไปเล่นกันเถอะ"




เผลอแป๊บเดียว ยูมะก็วิ่งนำผมไปไกลแล้ว แต่อย่านึกว่าผมจะยอมแพ้นะ ยังไงซะ แมวก็วิ่งเร็วกว่ากระต่ายอยู่วันยังค่ำ










+++++++++++++++++++++++++++++++++









"เหนื่อยยย!!!"




ผมนอนตายท่ามกลางป่าสน หลังจากที่วิ่งตามยูมะมาได้สักสิบกิโลเมตร ขาแข้งมันก็เริ่มล้าจนก้าวต่อไปไม่ไหว ให้ตามทันก็ทำได้อยู่แต่ยูมะจะวิ่งเร็วไปไหนเนี่ย




"ทำไมยอมแพ้แล้วล่า~ วิ่งแค่นี้เอง"




"สมน้ำหน้า ตอนอยู่ที่บ้านเอาแต่นอนนี่นา"




เสียงของชี่น้อยดังมาจากที่ไหนสักแห่งเหนือตัวผม แต่เมื่อผมมองขึ้นไปก็เห็นแต่กิ่งก้านต้นสนสั่นไหวรุนแรง เหมือนกับว่ามีฝูงลิงสักฝูงปีนป่ายอยู่บนนั้น แต่ก่อนที่จะได้รู้แน่ชัดว่าคืออะไร เสียงดุๆที่ผมไม่คุ้นหูก็ดังมาจากด้านหลัง




"ขึ้นไปบนนั้นอีกแล้ว! ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"




ร่างของคนสองคนเดินพ้นจากร่มเงาสีเงินเข้ามาหา คนหนึ่งคือน้องชายผม แฮมทาโรในร่างมนุษย์ กับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ผมสีดำ รูปร่างผอมสูง สวมชุดกิโมโนสีเขียวอมฟ้าเหมือนสีของน้ำทะเล กำลังเงยหน้าพูดกับกิ่งสนที่ส่องแสงสีเงินวูบวาบไปตามแรงไหว ครู่หนึ่งก็มีร่างเด็กหนุ่มอีกสามคนกระโดดตุ๊บลงมาจากต้นไม้




"บ่นมากจริงน๊า~ นายเนี่ย"




เด็กหนุ่มฟันกระต่าย พูดออกมาอย่างเบื่อๆ เขาวสวมชุดสีน้ำตาลอ่อนๆที่ดูเหมาะกับบุคลิกร่าเริง ไม่อยู่นิ่ง




"ไม่บ่นได้เหรอ มีหน้าที่คอยดูแลเด็กแท้ๆ แทนที่จะห้ามกลับไปวิ่งเล่นด้วยกันอยู่บนต้นไม้โน่น"




"เป็นพี่เลี้ยงก็ต้องเล่นกับเด็กๆด้วยสิ ดูแลไปด้วยเล่นไปด้วยไง"




เด็กหนุ่มหน้าหวานสวมกิโมโนสีดำปนเทาพูดออกมาบ้าง แล้วหันไปพยักเพยิดขอความเห็นจากเด็กหนุ่มฟันกระต่ายที่ยืนอยู่ข้างกัน แล้วก็ต้องหลบสายตาดุๆที่จ้องกลับมาด้วยการมองพื้นแทน




"มัวแต่เล่นจนลืมดูแลน่ะสิ ถ้าเกิดมีใครตกลงมาบาดเจ็บจะทำยังไง"




"ยาบุคุงงงง เล่นมาตั้งนานแล้วไม่เคยเห็นมีใครตกซ๊ากกกที"




เด็กหนุ่มตัวสูงอีกคนพูดขึ้นบ้าง เขาดูเด็กกว่าใครทั้งหมดในบรรดาพี่เลี้ยงแต่ก็ตัวสูงกว่าใครเช่นกัน เขาสวมกิโมโนสีเขียวอ่อน ร่าเริงแจ่มใส  เด็กหนุ่มฟันกระต่ายสวมกิโมโนสีน้ำตาล ส่วนหนุ่มหน้าหวานอีกคนนั้นสวมกิโมโนสีเทา ดูจากหน้าตาแล้ววัยน่าจะใกล้เคียงกับบรรดาแก๊งกระต่าย ทั้งสามคนไม่น่าจะมาเป็นพี่เลี้ยงได้เลย เป็นหัวโจกน่าจะเหมาะกว่า




"ว๊ากกกก!!!"




เสียงจากเบื้องบนดึงความสนใจของพวกเราให้มองหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน ใครสักคนกำลังตกผ่านกิ่งก้านสนลงมาอย่างรวดเร็ว ทำใบสนร่วงกราวๆ ไม่ใช่แค่ยูโกะแต่ชี่น้อยก็ร่วงลงมาด้วย




เด็กหนุ่มในชุดกิโมโนสีเขียวถลาไปข้างหน้ารอรับร่างของชี่น้อย เพื่อนอีกสองคนก็ไปคอยรับยูโกะให้ลงถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ แต่ดูเหมือนจะพึ่งไม่ได้เอาซะเลยเพราะดันวิ่งเอาหัวโหม่งกันเองคนละโป๊ก ก่อนจะหงายหลังลงไปนอนนับดาวบนพื้น ส่วนผม ยูมะ กับแฮมทาโรยืนมองเฉยๆ ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงชี่น้อยหรอกครับ ถ้าคุณเป็นผม คุณจะรู้ว่าไม่มีอะไรน่าห่วงสักนิด ตอนอยู่ที่บ้านก็ห้อยโหนโจนทะยานระหว่างเชือกถักบนเพดานกับพื้นอยู่บ่อยไป ไม่เห็นตกลงมาเข้งขาหักซักที  ตอนเป็นคนก็คงเหมือนกันแหละ



 
ยูโกะหล่นลงมาดังตุ๊บ แต่ไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหน เพราะหล่นลงบนหลังพี่เลี้ยงที่นอนกองบนพื้นอยู่ก่อนแล้ว ส่วนน้องชายผม ตีลังกาเกลียวสามตลบลงสู่พื้นได้อย่างสวยงาม ปานนักยิมนาสติกดีกรีเหรียญทอง




พอหายตะลึง ยาบุก็เอ่ยปากบ่นขึ้นมาเป็นคนแรก แล้วแก๊งกระต่ายที่เหลือก็ถูกเรียกตัวให้ลงจากต้นไม้แบบไม่มีข้อแม้








+++++++++++++++++++++++++++++++++






พวกเรามาล้อมวงกินข้าวกันไม่ไกลจากที่เดิมนัก ตอนแรก พอรู้ว่าจะได้กินข้าว ผมก็เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที จะอะไรละครับ ก็แก๊งค์กระต่ายกะไอ้สองแสบของผมน่ะ เป็นมังสวิรัติกันทั้งนั้น แล้วผมเคยกินผักได้ซะที่ไหน?
 



โชคยังดีที่ยาบุคุงเห็นสีหน้าผะอืดผะอมของผมแล้วเกิดเห็นใจ ยื่นกล่องข้าวใบหนึ่งให้ผม ข้างในมีปลาที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆวางซ้อนกันอยู่เต็มกล่อง บนตัวปลาสีเงินที่ถูกนึ่งจนสุกแล้วยังมีมีร่องรอยของเกล็ดเล็กๆที่ถูกแล่ออกไป ผมรู้ว่ามันกินได้ แต่ผมไม่เคยเห็นปลาพวกนี้มาก่อนเลย กลิ่นก็ไม่คุ้นด้วย




"นี่น่ะ เรียกว่าปลานวลจันทร์ทะเล รสชาติดีใช้ได้ แต่ก้างเยอะไปหน่อย ระวังด้วยก็แล้วกัน"


 

ผมพยังหน้าหงึกๆหยิบชิ้นปลาใส่ปากเคี้ยวด้วยความหิวจัด บรรดาแก๊งกระต่ายกับพี่เลี้ยงทำจมูกย่นใส่ผม บอกว่าเหม็น แล้วก็หันไปแทะแท่งแครอทกัน



 
"เอ๊ะ! ยาบุคุงกินเนื้อด้วยเหรอ ?"  ผมถามขึ้นเพราะเห็นยาบุคุงกินปลากล่องเดียวกับผมแบบไม่มีบ่น




"ตอนอยู่บนโลกฉันก็กินปลานี่"




"แอ๊ว ออน อู่ อน โอก อาอุอุง อิน"ไอ อ๊ะ?"




เสียงอ้อแอ้คล้ายคนลิ้นจุกปากเรียกความสนใจเราสองคนจนลืมหัวข้อสนทนา ผมแทบสำลักก้างปลาตอนที่หันไปเจอแฮมทาโรกำลังทำแก้มพองจนแทบจะแตก เพราะดันเอาผักที่กัดๆเคี้ยวๆไปเก็บไว้ในแก้ม ไม่ยอมกลืน




"แฮมทาโร ชี่น้อย ตอนนี้เป็นคนแล้วเอาของกินไปเก็บที่แก้มแบบนั้นไม่ได้นะ ต้องกลืนลงไปสิ"




สองแสบทำตาแบ๊วใส่กัน แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี สำลักค่อกแค่กอยู่หลายยกกว่าจะกลืนหมด




"ทำไมเก็บไม่ได้อ๊ะ? ก่อนจะขึ้นมานี่ก็เก็บเม็ดทานตะวันไว้ตั้งเยอะ เอาไว้กินเวลาหิว"




ผมก็จนปัญญาจะอธิบายเหมือนกัน ปล่อยให้คนที่ฉลาดกว่าอธิบายน่าจะดี




"นี่ๆๆ เราเล่นทายปัญหากัน" ฮิคารุ เด็กหนุ่มฟันกระต่ายในชุดกิโมโนสีน้ำตาลโพล่งขึ้น ทุกคนสบตากันแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที




"แล้วจะทายอะไรละ"




"คำถาม .. พวกเราเป็นอะไร ตอนที่อยู่บนโลก เฉพาะพวกเรานะ "

 


ฮิคารุชี้ไปที่ตัวเองกับเพื่อนๆอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนพี่น้องกระต่ายที่รู้คำตอบอยู่แล้วมีหน้าที่เป็นคนดูอย่างเดียว




"โหย!! แบบนี้ใครจะไปรู้ฟะ!! สัตว์บนโลกมีตั้งเยอะ"




"พวกเราสองคนทายง่ายที่สุดแล้วน๊า~ นายน่าจะเคยเห็นบ่อยๆ ในหนังสารคดีบนโลกน่ะ"




เคย์ หนุ่มหน้าหวานบอกใบ้ให้ แต่คำใบ้แบบนี้วันหลังไม่ต้องก็ได้ สรรพสัตว์ในสารคดีมีเป็นล้าน ตั้งแต่หนอนไส้เดือนไปจนถึงไดโนเสาร์ ใครทายถูกผมจะขอเลขไปให้ป๋ากะมี๊ซื้อหวย




"ดูที่อาหารสิ"




"อ๋อ!! ลิง!!"




ชี่น้อยสมองใสทายถูกทันทีที่ยาบุคุงบอกคำใบ้ที่สอง อ้อ~ มิน่าถึงสามารถปีนป่ายวิ่งเล่นบนต้นไม้กับแก๊งลูกกระต่ายครึ่งแมวได้




"จริงน่ะ ทั้งสองคนเป็นลิงเหรอ? ทำไมสีเสื้อไม่เหมือนกันล่ะ"




แฮมทาโรถาม เพราะเคย์สวมชุดกิโมโนสีดำล้วน แต่ฮิคารุเป็นสีน้ำตาล




"ก็เป็นลิงคนอย่างกันนี่ ฉันน่ะเป็นลิงสีดำล่ะ"




เคย์ยิ้มแป้นใส่หน้าตางงงวยของชี่น้อยกับแฮมทาโร ผมก็เพิ่งรู้นี่แหละครับว่าลิงมีหลายประเภท สำหรับผมแมว กระรอก หนูถึงแต่ละตัวจะหน้าตาหรือสีไม่เหมือนกัน แต่ก็แมวก็คือแมว กระรอกคือกระรอก และหนูก็คือหนูอยู่ดี




"ลิงสีดำ ที่หน้าขาวๆใช่ป่ะเคย์"




"โย่ว!! ถูกต้อง"




แล้วคู่หูฮิกเคย์ก็เริ่มปอกกล้วยใส่ปากสบายใจ ยูโตะ เด็กหนุ่มตัวสูงสวมกิโมโนสีเขียวชี้นิ้วที่ตัวเองบ้าง ผมนึกไม่ออกเลยครับว่านอกจากต้นไม้ บนโลกยังมีอะไรที่เป็นสีเขียวอีก




"กบ!!"




ตอนที่อยู่บ้านชี่น้อยชอบไปเกาะไหล่ป๋ากับมี๊เวลาที่ทั้งสองคนดูโทรทัศน์ และรายการโปรดที่ดูกันบ่อยๆคือสารคดีครับ ผมรับรองว่าหนนี้ชี่น้อยทายถูกล้านเปอร์เซนต์ ถ้าดูจากหน้าตาบูดๆเบื่อๆของยูโตะแล้วละก็นะ




"ไม่สนุกเลย ชี่น้อยเก่งเกินไปแล้ว"




"มันง่ายเกินไปต่างหาก ตัวสีเขียว แขนขายาว แล้วก็กินแมลงเป็นอาหาร"
 
 
 
  
"กบหรอกเหรอ? เห็นตัวยาวๆก็นึกว่าเป็นงูเขียวซะอีก"




แฮมทาโรถามทำตาปริบๆ จากนั้นเราก็หันเหความสนใจไปที่คำถามสุดท้าย ดูเหมือนคำถามนี้จะยากจนชี่น้อยทำคิ้วยุ่งเป็นนานสองนานก็ยังทายไม่ถูก




"ขอคำใบ้"




ถึงจะพูดจาห้วนๆไปบ้าง แต่ท่าทางเกาะขาจ้องตาอ้อนๆแบบนั้นมันได้ผลทุกทีเวลาที่เจ้าแฮมอยากได้อะไร




"ฉันอยู่ในทะเล"




ช่วยได้มาก! คำตอบแคบลงมาเกือบครึ่งโลก ชี่น้อยยิ่งขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก แฮมทาโรตะกายขึ้นไปบนตัก วางมือทั้งสองลงบนไหล่ของยาบุคุงด้วยความสงสัย น้องคงลืมตัวว่าตอนนี้เป็นคนไม่ใช่แฮมสเตอร์จะไปนั่งตักทำอยากรู้อยากเห็นเหมือนเวลาอยู่กับมี๊ได้ที่ไหน  แต่ยาบุคุงก็ใจดีเกินคาด นอกจากจะไม่ไล่แล้วยังยิ้มให้อีก




"นึกออกมั๊ยแฮมทาโร"




อย่าว่าแต่เจ้าแฮมเลยครับ กระรอกฉลาดอย่างชี่น้อยยังส่ายหน้า ยูมะเลยบอกคำใบ้เพิ่มให้อีกหน่อย




"ฉลาดแล้วก็เป็นมิตรที่สุดในท้องทะเลไงล่ะ"




"เอ่อ~ ปลา- ปลาโลมา"




ชี่น้อยตอบแบบไม่แน่ใจ แต่แก๊งกระต่ายกับพี่เลี้ยงเฮลั่น ระหว่างนั้น แฮมทาโรยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สองมือเลื่อนจากไหล่ไปที่แก้มของยาบุคุง




"ปลาโลมา? หน้าตาอย่างงี้ น่าจะเป็นปลากระเบนมากกว่า!"









+++++++++++++++++++++++++++++++++










กินข้าวอิ่ม เคนโตะ ก็นำทีมน้องๆอย่างฟูมะ โฮคุโตะ ยูโกะ และชี่น้อย ไปหาเรื่องซนต่อ โดยมีพี่เลี้ยงตามไปดูแล (?)ห่างๆ  ฮิคารุ เคย์ ยูโตะ ฉวยโอกาสตอนที่ยาบุคุงกำลังตอบคำถามแฮมสเตอร์ช่างซักแอบหลบไปอีกด้านหนึ่งของป่าสน สงสัยจังว่าจะไปสรรหาอะไรมาเล่นกันอีก




"ไม่ไปเล่นกับเค้าล่ะ ยูมะ?"
 



"ไม่เอาอ่ะ อยากไปหาหม่ามี๊ "




"ก็ดีเหมือนกัน ฉันมีเรื่องอยากถามปะป๊ากับหม่ามี๊ของนายเยอะเลย แฮม-"




ผมไม่ทันรู้ตัวว่าเสียงถามแจ้วๆนั้นเงียบลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หันไปอีกทีแฮมสเตอร์น้องผมก็หลับอุตุอยู่ในอ้อมแขนของยาบุคุงซะแล้ว 




"ไปกันเถอะ ฉันจะดูแลแฮมทาโรให้เอง"




เป็นพี่น้องกันมานานผมก็รู้ดีหรอกว่าแฮมทาโรน่ะน่ารัก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าปลาโลมาติดใจอะไรแฮมสเตอร์ตัวนี้ถึงขนาดที่ลืมว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องดูแลพี่น้องกระต่ายครึ่งแมวที่กำลังตีลังกาห้อยโหนเป็นลิงค่างอยู่บนยอดสนพันปีโน่นต่างหาก












ยูมะพาผมเดินออกจากป่าสน ลัดทุ่งหญ้าสีเงินที่เอนไหวเบาๆโดยไม่มีแรงลม ใบหญ้าเย็นเฉียบปัดถูกเราตอนที่เดินผ่าน บนดวงจันทร์นี้ไม่เคยมีกลางวัน มีแต่ท้องฟ้าสีดำกับดวงดาวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแสงตะวันคอยให้ความอบอุ่น ที่นี่จึงมีแค่ฤดูหนาวเท่านั้น




"เราไม่ไปที่บ้านกันเหรอ?"




"หม่ามี๊อยู่ที่บ่อน้ำแหละ"




เราเดินผ่านบ้านออกไปไม่ไกลก็เจอบ่อน้ำที่ว่า เป็นบ่อน้ำเล็กๆเหมือนบ่อปลาของเจ้านายเรียว คนข้างบ้าน มีแนวต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมือนจะอยู่มานานพอๆกับพระจันทร์ดวงนี้ ดูเก่าแก่ แล้วก็มีพลังมากกว่าต้นไม้ต้นอื่นๆบนดวงจันทร์ ใต้ต้นไม้นั้น หม่ามี๊ชิเงะกับป๊ะป๋าโคะนั่งพิงกันกำลังจ้องมองลงไปในบ่อน้ำนั้น ระหว่างที่เราสองคนกำลังจะเดินไปถึง ก็มีแสงสว่างจ้าวาบขึ้นมาจนผมตาพร่าเกือบเดินสะดุดหัวทิ่ม





"หม่ามี๊กำลังทำให้คำอธิษฐานของใครซักคนบนโลกเป็นจริงอยู่ล่ะ"




ยูมะวิ่งไปอ้อนแม่ทิ้งให้ผมยืนเอ๋ออยู่คนเดียว ผมยืนลังเลอยู่ซักพักถึงค่อยเดินตามไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ไปนั่งลงตรงโคนไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง มองลงไปยังบ่อน้ำเล็กๆนั้นด้วยความสงสัย มันก็เป็นบ่อปลาธรรมดาๆนี่เอง แค่มันไม่มีปลาเลยสักตัว แล้วน้ำในบ่อก็ใสสะอาดส่องแสงสีเงินเรืองรองเมือนทุกอย่างรอบตัวผม สงบนิ่งจนดูเหมือนกระจกบานใหญ่




"ถ้าหากว่าน้ำในบ่อนี้ไม่สงบ ก็เป็นสัญญาณว่า กำลังมีคำอธิษฐานที่รอให้ฉันช่วยให้สมหวังอยู่ ฉันถึงต้องมานั่งอยู่ข้างๆบ่อนี้ทุกวันไงล่ะ"




"คงเหนื่อยน่าดูเลยเนอะ"




ผมว่าบนโลกน่ะ คงมีคำอธิษฐานล้านแปดยิ่งกว่าดาวบนท้องฟ้าซะอีก




"ก็จริง  แต่ถ้าหากว่าอธิษฐานแล้วรอคอยให้สมหวังอย่างเดียว คำขอนั้นจะไม่มีทางส่งมาถึงที่นี่ได้เลย ต้องมีความมุ่งมั่นพยายามด้วยตนเองเท่านั้น คำอธิษฐานจึงจะมาถึงดวงจันทร์นี้ได้"




ผมพยักหน้าหงึกๆพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของหม่ามี๊ชิเงะ  ระหว่างนั้นยูมะก็เอาหูแนบท้องหม่ามี๊แล้วอยู่ๆก็สะดุ้งตกใจร้องลั่น




"หม่ามี๊!!! อะไรไม่รู้ถีบลูกกกกก"




"ก็คงเป็นน้องนั่นแหละยูมะ ท่าทางจะซนน่าดู"




ป๊ะป๋าโคะหัวเราะอารมณ์ดี แต่ผมรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นึกภาพไม่ออกเลยว่าแก๊งกระต่ายครอกสองจะซนระเบิดระเบ้อขนาดไหน พี่เลี้ยงสี่คนจะไหวเร้อ~




"ก็คิดอยู่ว่าจะหาพี่เลี้ยงเพิ่ม แต่ว่าไม่ค่อยมีใครอยากมาอยู่บนนี้ตลอดไปหรอก"




"ทำไมล่ะ"




"ก็มันน่าเบื่อน่ะสิ ตอนที่ฉันอยู่คนเดียวน่ะ เหงามากเลยนะ ได้แต่นั่งอยู่ข้างๆบ่อน้ำนี่ คอยมองความเป็นไปบนโลก"




มิน่า ถึงได้มองจนหล่นลงไปให้แมวงาบจนมีลูกด้วยกันตั้งห้าตัว




"ตั้งแต่มีลูก ชีวิตฉันก็ไม่เหงาอีกเลยล่ะ วันๆต้องคอยวิ่งตามไม่ให้ไปทำโน่นหักนี่หัก วันดีคืนดีก็ตัดหญ้าในทุ่งหญ้าซะเตียนโล่ง เมื่อเดือนก่อนเพิ่งทำต้นสนพันปีโค่นไปอีกสองต้น อ่ะ"




น้ำในบ่อเริ่มสั่นไหว แล้วค่อยๆหมุนวนขึ้นเป็นภาพของสัตว์คู่หนึ่ง หน้าตาเหมือนแมวแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ เพราะดูเป็นสัตว์ที่ทรงพลังกว่าแข็งแรงกว่า ตัวหนึ่งเป็นสีขาวมีลายสีดำพาดตามลำตัวเป็นริ้วๆ ส่วนอีกตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหมือนสีใบไม้แห้ง แต่มีลายแต้มเป็นจุดๆอยู่ตรงหน้าผาก ทั้งคู่ดูเหงาเศร้านอนเคียงกันอยู่ในกรงมืดๆแคบๆที่ไหนซักแห่งบนโลก ยูมะละจากท้องของหม่ามี๊จ้องมองลงไปในบ่อน้ำบ้าง




"ลูกจะทำอย่างหม่ามี๊ได้มั๊ย?"




"ได้สิ แต่ต้องตั้งใจให้ดีนะ คอยฟังเสียงว่าพวกเขาอธิษฐานว่าอะไร แล้วเราถึงจะช่วยเขาได้"




ยูมะหลับตาลง หายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มีป๊ะป๋ากับหม่ามี๊คอยให้กำลังใจอย่างเงียบๆ แต่ผมสิตื่นเต้นจนหัวใจจะระเบิดอยู่แล้ว 




แล้วบ่อน้ำนั้นก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบอีกครั้ง แม้จะไม่สว่างจนทำให้ตาพร่าเหมือนครั้งก่อน แต่ก็ไม่ได้อ่อนแสงเหมือนดวงไฟที่ใกล้ดับ แล้วน้ำในบ่อที่ปั่นป่วนสั่นไหวก็ค่อยกลับมานิ่งสงบดังเดิม




"เหนื่อยจังเลยหม่ามี๊~"




หม่ามี๊ชิเงะลูบหัวลูกอย่างเอ็นดู ยูมะหาวปากกว้างขนาดนี้ก็ยังน่ารักเนอะ พอป๊ะป๋าบอกให้ไปนอนยูมะก็งัวเงียมานอนซบตักผมเหมือนว่าผมเป็นเบาะนอนประจำตัวงั้นแหละ แล้วก็หลับปุ๋ยไปเลย น่าเป็นห่วงจัง




"แค่ใช้พลังมากไปเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรน่าห่วง"




หม่ามี๊บอกอย่างนั้นผมก็โล่งอก อีกหน่อยยูมะก็คงต้องรับหน้าที่นี้ต่อจากหม่ามี๊สินะ คิดแล้วกลุ้ม~




แล้วเสียงประหลาดทำให้ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเอง เงยหน้าขึ้นสบตาป๊ะป๋ากับหม่ามี๊ที่ทำคิ้วขมวดใส่กัน เสียงที่ได้ยินมาจากไกลๆนั่น... มันลั่นเอี๊ยดอ๊าด ตามด้วยเสียงครืนสนั่น แล้วผืนดินที่ผมนั่งอยู่ก็สะเทือน




"สงสัยว่าเด็กๆจะทำต้นสนพันปีโค่นอีกแล้วละมั๊ง"




เอ่อ..ป๊ะป๋าครับ หม่ามี๊ครับ ถ้าลูกกระต่ายครอกต่อไปคลอดออกมา ป่าสนบนนี้จะเหลือเหรอครับ?






End...................................

No comments:

Post a Comment