Saturday 6 June 2015

[Fiction] Once Upon a time...Ten

Title       -:-          Once Upon a time…  Ten

Writer   -:-           Nalikakeaw

Pairing  -:-           HaruYuya,Yabuhika

















             “มารยาน่ะ  รู้จักไหม? เอาออกมาใช้ซะบ้างสิ!!


                รู้จักสิ   ยูยะไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาเสียหน่อยถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร  ... หรือต้องทำยังไง  แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ยูยะเป็นกังวลจนต้องเอามาปรึกษาพี่ชายเลย


                “เกี่ยวสิ  ทำตามที่พี่บอกนั่นแหละ”


                คุณหมอยังยืนยันคำเดิมหนักแน่น  ยูยะเริ่มสงสัยแล้วว่าพักนี้พี่ชายเขาคงทำงานหนักเกินไปจนสมองเบลอ  เลยไม่เข้าใจที่ยูยะพูด


                “อะไรล่ะ” คุณหมอถามเมื่อเห็นน้องชายใช้สายตาสำรวจเขาปานว่าเป็นเครื่องเอ็กซ์เรย์


                “พี่ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ  ฉันไม่ได้กลัวว่าฮารุจะไปสนใจคนอื่นหรอกนะ  แต่ห่วงว่ายายพวกนั้นจะไปกวนใจฮารุจนโดนฉีกเป็นชิ้นๆต่างหาก”


                คุณหมอทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย ชวนให้คนมองหงุดหงิด  เพราะมันเป็นสีหน้าที่พี่ชายทำบ่อยๆเมื่อยูยะดื้อรั้น   แต่ตอนนี้เขาใช่เด็กน้อยเสียเมื่อไหร่กัน


                เสียงเคาะประตูห้องพักแพทย์ดังขึ้น   ยูยะถอนใจเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือคนส่งดอกไม้


                แต่ครั้งนี้...ไม่ได้ส่งแค่กุหลาบสีแดง


                กุหลาบขาวช่อใหญ่พอๆกันถูกวางตรงหน้าคุณหมอ  ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณหมอจะได้รับดอกไม้จากคนไข้  ญาติพี่น้องของพวกเขา  หรือแม้กระทั่งคนที่แอบชอบ   เพราะนอกจากพี่ชายจะเป็นหมอที่เก่งกาจแล้ว  ยังมีรูปร่างหน้าตา รอยยิ้มชวนให้คนมองใจละลาย


                แต่กุหลาบขาวช่อนี้   ไม่มีชื่อคนส่ง  ไม่มีการ์ด  หรือข้อความใดๆฝากมาทั้งนั้น


                ยูยะสังหรณ์ใจแปลกๆ.... พอมองหน้าพี่ชายก็รู้ว่าทั้งคู่กำลังคิดเหมือนกัน


                มันชัดเจนเกินไป .... คงไม่ใช่คนเดียวกันส่งมาหรอกนะ   เพราะถ้ายูยะเดาถูก  ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร   รับรองได้ว่าต้องชะตาขาดในไม่ช้าแน่




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






             มารยา....


                กุหลาบขาว....


                สิ่งเหล่านี้ไม่เหลืออยู่ในความคิดยูยะเลยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่มาถึงกองถ่าย   


                ทั้งทีมงานและยูยะกล่าวทักทายกันด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย  วันนี้มีนักแสดงสมทบเป็นสาวๆกลุ่มใหญ่ ซึ่งช่วยทำให้กองถ่ายที่เคยมีแต่นักแสดงชายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก  และนักแสดงหนุ่มๆที่เคยซนเป็นลิงก็ดูจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยวางมาดหล่อเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวๆ    ยูยะไม่มีปัญหาที่จะต้องร่วมงานกับสาวๆเหล่านี้เลย  เพราะถึงพวกเธอจะคุยกันเสียงดังไปบ้างในช่วงพัก  แต่เวลาทำงานทุกคนก็ทุ่มเทต่องานไม่ต่างจากนักแสดงหลัก   


                มีแค่บางทีที่ยูยะวางตัวไม่ค่อยถูกตอนที่สาวๆหันมาทักทายแล้วเขายิ้มตอบกลับไป  เสียงกรี๊ดของพวกเธอทำเอามนุษย์หมาป่าที่ยืนอยู่คนละฟากของกองถ่ายหันมาถลึงตาใส่เขา


                ยูยะก็อยากตะโกนกลับไปเหลือเกินว่า แก้ปัญหาของนายให้ได้ก่อนเถอะ  แล้วค่อยมายุ่งกับฉัน


                ฮารุมะไม่ได้รังเกียจผู้หญิง  แม้ว่าบางครั้งเสียงพูดคุยกันเบาๆของพวกสาวๆจะทำให้มนุษย์หมาป่ารู้สึกว่ามีผึ้งซักฝูงบินหึ่งๆอยู่ในหัวก็ตาม  นั่นไม่ทำให้ยูยะเป็นกังวลเท่ากับการที่มีสาวๆบางคนคอยเกาะแกะกวนใจฮารุมะหรอก  หากว่าท่าทางออดอ้อนอย่างนั้นจะทำให้มนุษย์หมาป่าสนใจได้สักนิดละก็ ..... ยูยะจะดีใจมาก


                แต่นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว  ยังคอยทำให้ฮารุมะหงุดหงิด  ร่ำๆจะแปลงร่างก่อนวันพระจันทร์เต็มดวงอยู่หลายครั้ง  ยูยะต้องเหนื่อยเป็นสิบเท่าเพราะต้องคอยกันไม่ให้สาวๆพวกนั้นกลายเป็นศพที่หัวกับตัวไม่ติดกัน

               
เหมือนอย่างวันนี้   ตอนที่ยูยะเพิ่งจะหลับพักสายตาได้ไม่ถึงนาที  เสียงฮือฮาแตกตื่นก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงตวาดกราดเกรี้ยวของฮารุมะ


                สิ่งแรกที่เห็น  คือนักแสดงหญิงคนหนึ่ง  กำลังฉีกยิ้มไร้เดียงสาราวกับไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้ทำอะไรผิดไป ทั้งๆที่ลิปสติกสีสดที่เคยอยู่บนริมฝีปาก  ได้ย้ายไปอยู่บนฮารุมะเสียตั้งครึ่ง  ขณะที่ฮารุมะกำลังเช็ดถูลิปสติกออกอย่างเอาเป็นเอาตาย 


                วินาทีที่จ้องตากัน  ยูยะก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะชอบฮารุมะจริง   แต่ความรู้สึกอยากจะเอาชนะมีมากกว่านั้นร้อยพันเท่า


                ยูยะไม่ชอบแข่งกับใคร  แต่จะปล่อยให้มนุษย์หมาป่าฉีกร่างให้กลายเป็นเศษเนื้อก็ดูจะโหดร้ายเกินไปสำหรับหญิงสาว


                “สนใจเธอเหรอ?ฮารุ” ยูยะลุกขึ้นนั่งอย่างไม่รีบร้อน  มองสำรวจนักแสดงประกอบสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยท่าทางเหมือนเด็กน้อยขี้สงสัย  “แล้วแต่นายเลยนะ  ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”


                ถูกผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้จู่โจมจูบ  ฮารุมะยังไม่รู้สึกโกรธเท่านี้  คนของเขานอกจากจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว  ยังสนับสนุนแกมผลักไสให้เขาไปมีคนอื่น


                “ฉันไม่ต้องการใครนอกจากนาย”   ฮารุมะคำรามให้ได้ยินกันทั้งกองถ่าย ก่อนพุ่งเข้าหาคนที่นั่งทำหน้าเฉยอยู่บนโซฟาหมายจะสำเร็จโทษ  โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเตรียมตัวรับมืออยู่


                ยูยะเอนหลังพิงโซฟาแบบสบายๆ  ยกเท้ายันหน้าอกมนุษย์หมาป่ากะจังหวะก่อนเข้าถึงตัวได้พอดิบพอดี  จากนั้นค่อยใช้รอยยิ้มสยบความกราดเกรี้ยวของฮารุมะ  “ฉันล้อเล่นน่ะ”  แตะนิ้วเรียวไล้ไปตามโครงหน้าของอีกฝ่าย ทำเอาหมาบ้ากระพริบตาปริบๆเพราะตามอารมณ์คนสวยไม่ทัน  “แต่ถ้าอยากจะจูบละก็....”  เว้นจังหวะให้ปีศาจตรงหน้าลุ้นนิดหน่อย


                “ไปเช็ดลิปสติกออกให้หมดซะ!...แล้วถ้าจะให้ดี”  นัยน์ตาสีอำพันเปลี่ยนเป็นวาววับ  สะกดคนฟังให้ลืมความโกรธไปชั่วขณะ  “ไปลบกลิ่นน้ำหอมฉุนๆที่ติดอยู่ตามตัวมาด้วยล่ะ  ฉัน-ไม่-ชอบ

                เน้นคำสุดท้ายช้าๆชัดๆ   มนุษย์หมาป่าไม่รอช้ากระโดดข้ามโซฟาวิ่งออกไปนอกสตูดิโอด้วยความเร็วสูงสุด  ช่างแต่งหน้าทำผมและฝ่ายเสื้อผ้าร้องกรี๊ดตามหลังไปเป็นขบวน   เพราะฟังจากที่ยูยะพูดเมื่อครู่  ทุกคนเดาได้ทันทีว่าหมาบ้าจะไปกระโดดน้ำตามล้างตัวคำสั่งเจ้าของแน่ๆ


                ยูยะถอนใจ....... เขาไม่ชอบการแข่งขันแย่งชิงอะไรกับใครทั้งนั้น


                แต่ถ้าอยากจะท้าชิงนักล่ะก็ .....


                มีปัญญา... ก็มาแย่งไปให้ได้สิ!!!!




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                “ในที่สุดก็แผลงฤทธิ์จนได้”



                ตั้งแต่วันที่น้องมาขอคำปรึกษา  คุณหมอก็คอยตามติดชีวิตน้องด้วยความเป็นห่วง  ถึงขนาดเปลี่ยนกำแพงห้องผู้ป่วยของยูมะให้กลายเป็นโทรทัศน์จอยักษ์    วันไหนไม่ว่างก็ใช้ให้น้องชายคนเล็กคอยจับตาดูให้   บางครั้งดูไปเห็นน้องชายถูกกวนใจก็ร่ำๆอยากจะสาปแม่พวกนั้นให้กลายเป็นหมูหมากาไก่เสียให้หมด   แต่ก็รู้ดีว่าการปกป้องน้องแบบไข่ในหินนั้นไม่ช่วยอะไร


                และความอดทนของคุณหมอก็ส่งผลคุ้มค่า   ในที่สุดยูยะก็ลุกขึ้นมากำราบแมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญพวกนั้นเสียที   เสียดายที่น้องยังใจดีไปหน่อย   เป็นคุณหมอหน่อยไม่ได้  พ่อจะตบให้แบนติดพื้นแล้วพ่นด้วยยาฆ่าแมลง  เอาให้ไม่ได้ผุดได้เกิดเชียว


                ยูมะนั่งทำหน้าเมื่อยฟังเสียงบ่นกระฟัดกระเฟียดของพี่ชาย   เมื่อก่อน   ยูมะเคยนึกดีใจที่พี่ชายคนรองนั้นมีนิสัยต่างจากพี่ชายคนโตราวฟ้ากับเหว  แต่ตอนนี้ยูมะเริ่มไม่แน่ใจแล้ว  ว่าสองคนนี้นิสัยต่างกันจริงไหม?


 “พี่สอนอะไรพี่ยูยะเนี่ย?”


                “ไม่ได้สอน”  แค่บอกเฉยๆ  ประโยคเดียว แล้วก็ไม่ได้แนะด้วยว่าให้ใช้มารยาสาไถยแบบไหน 


                ที่เห็นนั่น... น้องมันคิดเองทำเองล้วนๆ


                ยูมะขนหัวลุกเมื่อเริ่มเห็นเค้าลางความร้ายกาจของพี่ชายคนโตในร่างของพี่ชายคนรอง  คุณหมอยูยะหมั่นเขี้ยวขยี้หัวน้องแรงๆ ไปหนึ่งที  ก่อนจะย้ำเตือนความจริงกรอกหูน้อง  “ของแบบนี้มันไม่ต้องสอนกันหรอก  เรามันสายเลือดเดียวกัน  พี่เป็นยังไง  น้องก็เป็นแบบนั้นแหละ”


               
น้องเล็กส่ายหน้าปฏิเสธสุดแรง  “ไม่มีทาง!!! เรื่องนิสัยเจ้าเล่ห์นี่ยอมรับได้  แต่เรื่องยั่วผู้ชายน้องคงสู้พี่สองคนไม่ไหวหรอก”




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






หลังจากถูกน้องชายเล่นงานด้วยวาจาแล้ว  คุณหมอก็เดินลงส้นเท้าตึงๆ พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องอาหารที่ชั้นสามของโรงพยาบาล  ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งข้างระเบียงกระจก  พยายามระงับความโมโหที่ลงโทษน้องไม่ทัน  เพราะยูมะนั้นวิ่งหนีออกจากห้องไปก่อนที่เขาจะทันได้ร่ายคำสาป


ยั่วผู้ชาย!!! ยูมะไปเรียนคำพูดแบบนั้นมาจากไหนกัน?  



“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ?”


คุณหมอไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนมายืนอยู่ข้างๆ  จนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงขึ้นมานั่นแหละ  ด้วยความที่ถูกเข้าหาด้วยวิธีการอย่างนี้มาเป็นร้อยๆครั้ง  คุณหมอจึงหันขวับตวัดสายตาจิกไปทางเจ้าของเสียงด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเต็มพิกัด  คนถูกจ้องตกใจจนแทบจะทำถาดอาหารหลุดมือเลยทีเดียว


“ขอโทษครับ  ผมไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนคุณหมอ  แต่...ที่โต๊ะอื่นมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว”


คุณหมอคนสวยหรี่ตามองผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้ใจ   ตอนนี้เป็นเวลาตีสอง   เวลาอย่างนี้จะมีใครมานั่งกินข้าวกัน???


คุณหมอยูยะมองซ้ายทีขวาทีด้วยอาการตื่นตกใจเล็กๆ  ณ เวลานี้  สองนาฬิกาของวันใหม่  ห้องอาหารเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจากทุกแผนก  หมอและพยาบาลบางคนควรจะออกเวรและกลับบ้านไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว  หรือแม้แต่คนไข้ที่ควรจะเข้านอนไปแล้วด้วย  โต๊ะอาหารมีคนนั่งเกือบเต็ม เว้นที่ว่างไว้หนึ่งที่นั่งทุกโต๊ะ  ทุกสายตาจับจ้องมาที่คนตัวสูงที่ยังยืนอยู่  คาดหวังให้ไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย


คุณหมอเพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต  คนตัวสูงรีบกล่าวขอบคุณแล้วก็นั่งลงจัดการอาหารทันที  ระหว่างนั้นคุณหมอก็หันไปยิ้มหวานใส่คนไข้  เตือนเป็นนัยๆว่าท่านทั้งหลายควรพาตัวเองกลับเข้าห้องไปพักผ่อนได้แล้ว   หลายคนอิดออดไม่ยอมไป  คุณหมอเลยจำต้องถลึงตาขู่สำทับ  ทุกคนจึงค่อยพากันเดินออกไป  แต่ก็ไม่วายบ่นเสียดายให้คุณหมอได้ยิน


“รบกวนคุณหมออย่าเพิ่งไปได้ไหมครับ?”


                คนถูกเรียกหันขวับไปทางต้นเสียงทันที  เลิกคิ้วเป็นเชิงถามอีกฝ่าย  แล้วก็ได้คำตอบกลับมาว่า  ถ้าคุณหมอลุกไปตอนนี้   ทุกคนก็จะอาจจะเดินเข้ามาคุยกับเขา  จนไม่มีเวลากินข้าว


                “ผมไม่ได้รังเกียจพวกเขานะครับ เพียงแต่อยากมีเวลาหายใจสักหน่อย”   และที่เขาขอมาร่วมโต๊ะกับคุณหมอ  เพราะคิดว่าจะทำให้ทุกคนเกรงใจจนไม่กล้าเข้ามารบกวน  ได้ฟังอย่างนี้  คุณหมอก็เลยไม่รู้จะตีความว่านั่นเป็นคำชมหรือคำด่ากันแน่


                และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่มีแก่ใจจะพูดอะไรต่อเสียด้วย  คุณหมอยูยะจึงใช้โอกาสนี้สำรวจอีกฝ่ายไปเงียบๆ


                รูปร่างสูงหนา หน้าตาหล่อเหลา  ผิวสีน้ำผึ้ง  แต่งตัวดี  คุณสมบัติเหล่านี้ไม่เพียงพอให้ใครคนหนึ่งกลายเป็นที่รู้จักชื่นชมของใครๆได้  คนตรงหน้านี้มีมากกว่านั้น   บุคลิก  รอยยิ้ม  หรืออะไรบางอย่างที่หลอมรวมให้ผู้ชายคนนี้ดูมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนรอบข้าง  เมื่อมองดูให้ชัดขึ้นไปอีก คุณหมอก็พบว่าภายใต้บุคลิกที่ดูเป็นมิตรนั้นซ่อนความถือดี เย็นชา  และอะไรบางอย่างชวนให้ค้นหา


                ตอนนั้นเองที่ช่อกุหลาบขาวช่อใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะ  เมื่อพนักงานแจ้งว่าส่งให้ใคร   เสียงถอนใจเบาๆของคุณหมอเรียกความสนใจจากเพื่อนร่วมโต๊ะ


                “ดูเหมือนคุณหมอจะไม่ชอบดอกไม้”


                “เปล่า  แค่ไม่ชอบคนที่ส่งมาแค่นั้นแหละ  ส่งมาอยู่ได้ทุกวันแต่กลับขี้ขลาดไม่ยอมเสนอหน้ามาให้เห็น  นี่มันก็เยอะจนไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน  ของเมื่อวานที่เอาไปวางในห้องดับจิตก็ยังไม่เหี่ยวเลย”     คุณหมอทำท่าคิดไม่ตก  “คุณช่วยเอามันไปหน่อยก็แล้วกัน   เอาไปเยี่ยมคนไข้แถวนี้ก็ได้  ถือว่าตอบแทนที่อนุญาตให้คุณร่วมโต๊ะด้วยไงล่ะ”


                สั่งแล้วก็ลุกจากไป  ทิ้งกุหลาบขาวไว้กับคนที่เพิ่งถูกตราหน้าว่าขี้ขลาดไปอย่างไม่ใยดี




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                โทโมฮิสะ  ยามาชิตะ   กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสะใจดังมาทางโทรศัพท์ 


                ฮิคารุหัวเราะหนักเสียจนหายใจแทบไม่ทัน   ลูกพี่หนอลูกพี่  เตือนกันดีๆก็ไม่เชื่อ  สุดท้าย  นอกจากคนสวยจะไม่สนใจแล้ว  ยังโดนด่ากลับมาฟรีๆอีกต่างหาก


                “เขาหมายถึงคนที่ส่งดอกไม้มาต่างหาก”


                “ก็แล้วมันคนเดียวกันรึเปล่าเล่า  ลูกพี่  ถึงคุณหมอจะยังไม่รู้ก็เถอะ”


                “เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะน่า!!! ว่าแต่แกเถอะ  เมื่อไหร่จะกลับมา  หรือว่าหนนี้ขายรูปได้ราคาดีจะเลิกเป็นปาปารัสซีไปแล้ว”


                “ยังหรอกน่า  แค่กลับมากบดานเหมือนเคยนั่นแหละ  แต่คราวนี้คงนานหน่อย”


                “เอาเถอะ  พร้อมเมื่อไหร่ก็กลับมาก็แล้วกัน  ฉันมีเรื่องให้ช่วย”


                “เรื่องจีบคุณหมอเรอะ!!!  ตอนนี้เอาแค่คำอวยพรไปก่อนก็แล้วกัน”


                โทโมฮิสะวางสายไปด้วยความขุ่นเคือง   โดยไม่รู้เลยว่าความโชคร้ายได้มาเยือนถึงตัวแล้ว  เพราะการที่ชายหนุ่มแอบมาโทรศัพท์ในสวนของโรงพยาบาล  ทำให้บทสนทนาเมื่อครู่ไม่พ้นหูพ้นตาของยูมะไปได้  สายลมช่วยพาเสียงขึ้นไปให้ได้ยินถึงบนดาดฟ้า  แม้จะได้ยินเพียงบางคำ  แต่ก็ชัดเจนจนจับใจความสำคัญเอาไว้ได้


                “เขาเป็นคนส่งดอกไม้มาให้พี่ล่ะ”


                ยูมะขมวดคิ้วยุ่งพอๆกับพี่ชายคนโตที่ยืนอยู่ข้างกัน 


                “แล้วก็ดูเหมือนจะมีเพื่อนเป็นปาปารัสซีด้วย  ปกติพวกไอดอลกับปาปารัสซีไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ?”


                “นั่นสิ”


                คุณหมอมองตามหลังร่างสูงที่กำลังเดินตัดผ่านสวนออกไปที่ประตูหน้า  แล้วจู่ๆ ก็มีถังขยะถังใหญ่  ลอยไปกระแทกศรีษะของไอดอลชื่อดัง อย่าง  โทโมฮิสะ  ยามาชิตะ   ล้มคว่ำลงไปกองตรงทางเดินหน้าโรงพยาบาลอย่างสวยงาม




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






                “พี่คงไม่ได้สนใจเขาใช่ไหม?”


                คนเป็นน้องถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ   คนอย่างคุณหมอยูยะไม่เคยสนใจสีสันของวงการมายา  นอกจากผลงานของน้องชายแล้วก็ไม่เคยจะเปิดโทรทัศน์หรือนิตยสาร  เรื่องสนใจดาราหรือไอดอลคนอื่นๆนั้นไม่เคยอยู่ในหัว


                จึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนักที่อยู่ๆ คุณหมอก็เกิดอยากจะรู้เรื่องราวของไอดอลหนุ่ม  ที่ชื่อ โทโมฮิสะ  ยามาชิตะขึ้นมา  ถึงขนาดที่ขอร้องให้ยาบุไปหาข้อมูลมาให้ 


                “ถามผิดแล้วล่ะ ยูยะ  ต้องถามว่าถ้าได้ตัวเจ้านั่นมาแล้วจะเอาไปทำอะไรต่างหาก”


                คุณหมอเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร  ตวัดสายตาขวับไปทางมนุษย์หมาป่าที่วันนี้ทำตัวเชื่องคลอเคลียไม่ห่างเจ้านาย  “ยอมรับว่าสนใจ  แต่ได้มาแล้วจะเอาไปทำอะไรยังตอบไม่ได้  แต่ตอนนี้ฉันสงสัย  ว่าวันนี้ยูยะเปลี่ยนสบู่หรือกลิ่นน้ำหอมใหม่ถูกใจหรือยังไง  ถึงได้ดมตัวน้องฉันอยู่ได้”


                “เปล่า  ก็แค่กลิ่นของยูยะ  ฉันชอบ”


                คนฟังคำตอบแล้วก็ถอนใจ  ลืมไปว่าหมามันหน้าด้าน  แล้วตอนนั้นเองยูมะที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่ด้วย  ก็ยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นจากพี่ชายคนรองบ้าง


                “อืมม์ ไม่เหม็น  ไม่หอม  ไม่มีอะไรแปลกไปจากมนุษย์ทั่วไป  ทำไมพี่ถึงชอบล่ะ”


                คนถูกถามอึ้งไป  เพราะตั้งแต่ต้น  มนุษย์หมาป่าไม่เคยคิดหาเหตุผลว่าทำไม   เขาจึงต้องการมียูยะเพียงคนเดียว  เพราะคำสาบานนั้นผูกมัดยูยะไว้ให้มีแต่เขา   ส่วนตัวเขานั้นถูกผูกมัดไว้กับหน้าที่ที่จะต้องดูแลยูมะ  และมีอิสระที่จะมีใครอื่นสักกี่คนก็ได้


                แต่เขาก็ไม่มี... และไม่คิดจะมี


                สีหน้าเอ๋อๆของมนุษย์หมาป่าทำให้คุณหมอหลุดขำ   แม้จะรู้คำตอบดียิ่งกว่าใคร  แต่การที่จะต้องอธิบายออกมาให้คนอื่นเข้าใจนั้นคงยากเกินความสามารถ    เพราะเจ้าตัวทำท่าคิดหนักจนคิ้วผูกกันเป็นปมทีเดียว


                “ติดกลิ่น”  เหมือนบางคนที่โตแล้วยังติดกอดหมอนเน่า ผ้าห่มเก่าๆที่ใช้เมื่อตอนเป็นเด็ก  แต่ในกรณีของฮารุมะ  กลิ่นของยูยะคงเป็นอะไรที่พิเศษมาก  “โดยเฉพาะตอนที่มีเซ็กซ์”


                บอกได้เลยว่าคุณหมอเดาได้ตรงเผง  เพราะมนุษย์หมาป่าทำสีหน้าแบบว่า  อย่างนั้นล่ะ ใช่เลย   ในขณะที่น้องสองคนทำตาโตใส่พี่ชาย “พี่ว่าอะไรนะ?”


                “พูดง่ายๆก็คือตอนที่เราเกิดอารมณ์อย่างว่า  ร่างกายก็จะสร้างกลิ่นพิเศษเฉพาะตัว ยั่วยวนฝ่ายตรงข้ามไง  ปกติมนุษย์มักจะไม่รู้ตัวหรอก  แต่สำหรับมนุษย์หมาป่าคงสัมผัสได้ชัดเจนสินะ”


                 “แล้วก็ชอบมากด้วย”  ฮารุมะยักคิ้วตอบ  แต่สิ่งที่ทำให้คุณหมออยากเตะหมายิ่งกว่าท่าทางกวนประสาทนั่นก็คือคำถามต่อมา  ที่ถามว่าคุณหมอรู้เรื่องนี้มาจากไหน  เพราะพ่อมดนั้นถึงจะมีเวทย์มนต์  แต่ก็ยังมีประสาทสัมผัสอย่างมนุษย์อยู่ดี


                คุณหมอเพียงแค่ยิ้มเย็นๆแทนคำตอบ   ในขณะที่น้องสองคนนั่งเงียบ


                ยูมะหวนนึกถึงเหล่าปีศาจหลายตนที่พี่ชายทั้งสองเคยได้พานพบ  แต่น้อยนักที่จะได้มีชีวิตรอดกลับไป  เพราะหวังได้ครอบครองเพียงความงามและพลังอำนาจ  จึงถูกล่อลวงให้ติดกับ และสุดท้ายปีศาจที่ยโสว่าตนมีอำนาจเหนือเผ่าพันธุ์ใดๆ   ก็ไม่ได้เหลือสิ่งใดไว้มากกว่าเศษธุลี


                กับศัตรู... พี่ชายคนโตของยูมะนั้นโหดร้าย  ฮารุมะเองยังยอมรับว่าหากไม่มีคำสาบานที่มีต่อยูยะ  ตัวเองก็อาจจะกลายเป็นชิ้นส่วนสำหรับการทดลองที่ดองอยู่ในขวดโหลก็เป็นได้


                ยูยะรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ .... ตอนแรกยูยะเพียงแต่แปลกใจที่พี่ชายกับฮารุมะสามารถพูดคุยกันได้โดยที่ไม่แง่งๆใส่กันเหมือนเคย  แต่เมื่อบทสนทนาวกมาถึงเรื่องของตัวเอง  ยูยะก็ทำหน้าไม่ถูก  นี่หรือคือเหตุผลที่มนุษย์หมาป่าคอยสำรวจร่างกายเขาทั่วทุกตารางนิ้วด้วยจมูกและริมฝีปากนั้นอยู่ทุกค่ำคืน


                ยิ่งได้รู้ ... ยิ่งรู้สึกถึงทุกสัมผัสนั้นได้อย่างชัดเจน  ทำให้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว


                “ตัวร้อน?...นายไม่สบายเหรอยูยะ?”


                บางครั้งยูยะก็นึกอยากให้ฮารุมะไม่ได้มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมอย่างนี้  นอกจากจะแม่นยำยิ่งกว่าเครื่องมือแพทย์แล้ว  ยังแสดงผลเร็วซะจนยูยะไม่มีโอกาสปฏิเสธ  


                มนุษย์หมาป่าทำตาปริบๆ  เมื่ออยู่ดีๆคนข้างกายก็เอนตัวพิงอกเขาแล้วหลับไป  เสียงหัวใจเต้น  จังหวะลมหายใจ  บ่งบอกว่ายูยะนั้นหลับสนิทไปแล้วจริงๆ


                “หลับไปซะแล้ว เฮ้ย!!!  นายจะไปไหน!? สรุปว่ายูยะไม่สบายรึเปล่าเนี่ย  กลับมาตรวจก่อนสิโว้ย!!!


                มนุษย์หมาป่าจำต้องนั่งนิ่งๆเป็นหมอนเพราะกลัวยูยะจะตื่น  ก็ยังอุตสาห์ตะโกนตามหลังคุณหมอที่สะบัดชายเสื้อกาวน์เดินออกไปจากห้องก่อนที่ยูยะจะหลับเสียอีก  ยูมะต้องจุ๊ปากเตือน  พี่เลี้ยงจึงหยุดได้  แต่ไม่วายหันมากระซิบกระซาบถามว่าตกลงยูยะไม่สบายเป็นอะไรแน่  ยูมะส่ายหัวแรงก่อนจะชิ่งออกไปนอกห้องอีกคน


                “ขนาดพี่อยู่ด้วยกันทุกวันยังไม่รู้  แล้วน้องจะรู้ได้ไงล่ะ?”


               



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++








                ฮิคารุ ... กำลังคิดถึง ยาบุ  โคตะ  ไอ้ผู้จัดการดาราหน้าเหลี่ยมจอมเจ้าเล่ห์นั่น  ป่านนี้เจ้านั่นจะรู้หรือยังว่ารูปที่คุณหมอยูยะจูบกับฮารุมะเป็นฝีมือเขา   แล้วเส้นเลือดในสมองของหมอนั่นจะแตกตายไปหรือยังถ้าได้รู้ว่าเงินที่เขาได้รับมันเป็นตัวเลขที่สูงมากแค่ไหน?   มันทำให้ฮิคารุจ่ายค่าจ้างพยาบาลล่วงหน้าของเคย์ได้ทั้งปี  แล้วก็สามารถเก็บตัวอยู่เงียบๆไปได้พักใหญ่ๆ


                แม้ว่าเงินที่ได้มานั้นจะอยู่บนความทุกข์ความเจ็บปวดของใคร  แต่ฮิคารุก็เลือกที่จะให้ความสำคัญกับคนตรงหน้ามากกว่า


                อิโนะโอะ เคย์  ญาติเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่บนโลกนี้   พ่อของเคย์  เป็นลุงของเขา  พี่ชายแท้ๆของพ่อ  ครอบครัวของทั้งสองสนิทกัน  และเคย์ก็เป็นทั้งพี่น้องและหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขา  ฮิคารุใช้ชิวิตอย่างนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆมาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่ง


                ครอบครัวของทั้งสองตกลงว่าจะไปเที่ยวทะเลด้วยกัน  เคย์และพ่อแม่ของทั้งคู่ออกเดินทางในตอนเช้าด้วยรถยนต์  โดยที่ฮิคารุสัญญาว่าจะนั่งรถไฟตามไปเมื่อสอบเสร็จ   แต่เมื่อกลับถึงบ้านในตอนบ่าย  ฮิคารุกลับได้รับข่าวร้าย  รถยนต์ที่ครอบครัวนั่งไปถูกรถบรรทุกชนตกเหว  นอกจากเคย์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว... ไม่มีใครรอดชีวิต


                เคย์ใช้เวลารักษาตัวอยู่ครึ่งปีกว่าจะหายสนิท   แต่อุบัติเหตุคราวนั้นก็ทำให้เคย์ไม่เหมือนเดิม  ลูกพี่ลูกน้องของเขากลายตุ๊กตาที่วันๆได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ  เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย  ในตอนนั้นฮิคารุแทบจะไม่ต่างอะไรเหมือนกัน  คือมีชีวิตอยู่ไปวันๆ...


                และหลังจากที่บอกราตรีสวัสดิ์กันอย่างเซื่องซึมในคืนหนึ่ง  เคย์ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย  ทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้าย  อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุก็หายดีแล้ว  เหมือนกับว่าเคย์แค่หลับไปเฉยๆโดยไม่รู้สาเหตุ


                เงินเก็บที่พ่อกับแม่ของทั้งคู่เหลือไว้ให้  หมดไปกับค่าหมอ ค่ายา และค่าจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลเคย์โดยเฉพาะ  จนสุดท้ายฮิคารุแทบจะไม่เหลืออะไรเลย 


                เขาได้เจอนักแสดงหนุ่มที่ชื่อโทโมฮิสะ  ยามาชิตะ  ตอนที่ตัดสินใจว่าจะขายสมบัติชิ้นสำคัญชิ้นสุดท้าย  กล้องถ่ายรูปที่พ่อกับแม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด  แต่สุดท้ายก็ตัดใจขายมันไม่ลง


                ระหว่างทางกลับบ้าน  เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักด้วยความรู้สึกอับจนหนทางและเจ็บแค้น  ก่นด่าใครก็ตามที่บันดาลให้ชีวิตของเขามีแต่ความทุกข์ยากแสนสาหัสอย่างนี้  ... แล้วโทโมฮิสะก็โผล่มา 


                ฮิคารุจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาพบกันยังไงและตอนไหน   จำได้เพียงว่าสุดท้ายทั้งคู่นั่งคุยกันที่ริมฟุตบาธ โทโมฮิสะมองมาที่กล้องถ่ายรูปที่เขากอดเอาไว้แน่น และพูดออกมาว่า  “ใช้ความสามารถของนายสิ”


                นับตั้งแต่นั้น... ด้วยข่าวที่นักแสดงหนุ่มหามาให้  ฮิคารุก็กลายเป็นปาปารัสซีเต็มตัว  และด้วยอาชีพนี้เขาจำเป็นต้องทำตัวเป็นหมาป่าออกล่าข่าวและใช้ชีวิตโดดเดี่ยว  เงินทั้งหมดที่หามากลายเป็นค่าจ้างให้นางพยาบาลพิเศษ   ฮิคารุยอมจ่ายมากกว่าค่าจ้างปกติเพื่อแลกกับการดูแลอย่างดีที่เคย์จะได้รับ  เลือกนางพยาบาลที่มีประสบการณ์สูง ไม่มีครอบครัว  ไว้ใจได้  ไม่ถามอะไรมาก  เพื่อให้เคย์ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืน      และเพื่อให้อาชีพของเขายังเป็นความลับอยู่ต่อไป


                หาข่าว ขายภาพ  หลังจากได้เงินก็กลับมากบดานอยู่บ้าน  คอยดูแลเคย์ตอนกลางคืนสลับกับนางพยาบาลที่จ้างมา  สองปีมาแล้ว อาการของเคย์ก็ยังเหมือนเดิม คือได้แต่หลับอยู่อย่างนั้น  รับอาหารทางสายยาง  ต้องคอยพลิกตัวทุกสองชั่วโมงให้เพื่อไม่ให้เกิดแผลกดทับ  คอยขยับแขนขาให้เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ


                เพราะฮิคารุเชื่อว่าเคย์จะต้องตื่นขึ้นมาได้... ในสักวันหนึ่ง


                แต่ตอนนี้ฮิคารุกังวลถึงเรื่องของยาบุ  โคตะ คนนั้น  เร็วๆนี้เขาอาจจะต้องย้ายเคย์ไปอยู่ที่อื่น  เพราะไอ้ผู้จัดการจอมเจ้าเล่ห์นั่นต้องตามมาพบความลับของเขาได้ในไม่ช้า


                และฮิคารุก็ไม่อยากให้หมอนั่นเอาเรื่องของเคย์มาเล่นงานเขาเป็นอันขาด






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





No comments:

Post a Comment