Title -:- Once Upon a time… Ten
Writer -:- Nalikakeaw
Pairing -:- HaruYuya,Yabuhika
“มารยาน่ะ รู้จักไหม? เอาออกมาใช้ซะบ้างสิ!!”
รู้จักสิ
ยูยะไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาเสียหน่อยถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ... หรือต้องทำยังไง
แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ยูยะเป็นกังวลจนต้องเอามาปรึกษาพี่ชายเลย
“เกี่ยวสิ ทำตามที่พี่บอกนั่นแหละ”
คุณหมอยังยืนยันคำเดิมหนักแน่น
ยูยะเริ่มสงสัยแล้วว่าพักนี้พี่ชายเขาคงทำงานหนักเกินไปจนสมองเบลอ เลยไม่เข้าใจที่ยูยะพูด
“อะไรล่ะ”
คุณหมอถามเมื่อเห็นน้องชายใช้สายตาสำรวจเขาปานว่าเป็นเครื่องเอ็กซ์เรย์
“พี่ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ ฉันไม่ได้กลัวว่าฮารุจะไปสนใจคนอื่นหรอกนะ
แต่ห่วงว่ายายพวกนั้นจะไปกวนใจฮารุจนโดนฉีกเป็นชิ้นๆต่างหาก”
คุณหมอทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย
ชวนให้คนมองหงุดหงิด เพราะมันเป็นสีหน้าที่พี่ชายทำบ่อยๆเมื่อยูยะดื้อรั้น แต่ตอนนี้เขาใช่เด็กน้อยเสียเมื่อไหร่กัน
เสียงเคาะประตูห้องพักแพทย์ดังขึ้น ยูยะถอนใจเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือคนส่งดอกไม้
แต่ครั้งนี้...ไม่ได้ส่งแค่กุหลาบสีแดง
กุหลาบขาวช่อใหญ่พอๆกันถูกวางตรงหน้าคุณหมอ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณหมอจะได้รับดอกไม้จากคนไข้ ญาติพี่น้องของพวกเขา หรือแม้กระทั่งคนที่แอบชอบ เพราะนอกจากพี่ชายจะเป็นหมอที่เก่งกาจแล้ว ยังมีรูปร่างหน้าตา รอยยิ้มชวนให้คนมองใจละลาย
แต่กุหลาบขาวช่อนี้ ไม่มีชื่อคนส่ง ไม่มีการ์ด
หรือข้อความใดๆฝากมาทั้งนั้น
ยูยะสังหรณ์ใจแปลกๆ....
พอมองหน้าพี่ชายก็รู้ว่าทั้งคู่กำลังคิดเหมือนกัน
มันชัดเจนเกินไป
.... คงไม่ใช่คนเดียวกันส่งมาหรอกนะ
เพราะถ้ายูยะเดาถูก
ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร
รับรองได้ว่าต้องชะตาขาดในไม่ช้าแน่
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มารยา....
กุหลาบขาว....
สิ่งเหล่านี้ไม่เหลืออยู่ในความคิดยูยะเลยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่มาถึงกองถ่าย
ทั้งทีมงานและยูยะกล่าวทักทายกันด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย วันนี้มีนักแสดงสมทบเป็นสาวๆกลุ่มใหญ่
ซึ่งช่วยทำให้กองถ่ายที่เคยมีแต่นักแสดงชายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก และนักแสดงหนุ่มๆที่เคยซนเป็นลิงก็ดูจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยวางมาดหล่อเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวๆ ยูยะไม่มีปัญหาที่จะต้องร่วมงานกับสาวๆเหล่านี้เลย
เพราะถึงพวกเธอจะคุยกันเสียงดังไปบ้างในช่วงพัก
แต่เวลาทำงานทุกคนก็ทุ่มเทต่องานไม่ต่างจากนักแสดงหลัก
มีแค่บางทีที่ยูยะวางตัวไม่ค่อยถูกตอนที่สาวๆหันมาทักทายแล้วเขายิ้มตอบกลับไป เสียงกรี๊ดของพวกเธอทำเอามนุษย์หมาป่าที่ยืนอยู่คนละฟากของกองถ่ายหันมาถลึงตาใส่เขา
ยูยะก็อยากตะโกนกลับไปเหลือเกินว่า
แก้ปัญหาของนายให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยมายุ่งกับฉัน
ฮารุมะไม่ได้รังเกียจผู้หญิง แม้ว่าบางครั้งเสียงพูดคุยกันเบาๆของพวกสาวๆจะทำให้มนุษย์หมาป่ารู้สึกว่ามีผึ้งซักฝูงบินหึ่งๆอยู่ในหัวก็ตาม นั่นไม่ทำให้ยูยะเป็นกังวลเท่ากับการที่มีสาวๆบางคนคอยเกาะแกะกวนใจฮารุมะหรอก หากว่าท่าทางออดอ้อนอย่างนั้นจะทำให้มนุษย์หมาป่าสนใจได้สักนิดละก็
..... ยูยะจะดีใจมาก
แต่นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว ยังคอยทำให้ฮารุมะหงุดหงิด
ร่ำๆจะแปลงร่างก่อนวันพระจันทร์เต็มดวงอยู่หลายครั้ง
ยูยะต้องเหนื่อยเป็นสิบเท่าเพราะต้องคอยกันไม่ให้สาวๆพวกนั้นกลายเป็นศพที่หัวกับตัวไม่ติดกัน
เหมือนอย่างวันนี้
ตอนที่ยูยะเพิ่งจะหลับพักสายตาได้ไม่ถึงนาที เสียงฮือฮาแตกตื่นก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงตวาดกราดเกรี้ยวของฮารุมะ
สิ่งแรกที่เห็น คือนักแสดงหญิงคนหนึ่ง
กำลังฉีกยิ้มไร้เดียงสาราวกับไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้ทำอะไรผิดไป
ทั้งๆที่ลิปสติกสีสดที่เคยอยู่บนริมฝีปาก
ได้ย้ายไปอยู่บนฮารุมะเสียตั้งครึ่ง
ขณะที่ฮารุมะกำลังเช็ดถูลิปสติกออกอย่างเอาเป็นเอาตาย
วินาทีที่จ้องตากัน ยูยะก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะชอบฮารุมะจริง แต่ความรู้สึกอยากจะเอาชนะมีมากกว่านั้นร้อยพันเท่า
ยูยะไม่ชอบแข่งกับใคร แต่จะปล่อยให้มนุษย์หมาป่าฉีกร่างให้กลายเป็นเศษเนื้อก็ดูจะโหดร้ายเกินไปสำหรับหญิงสาว
“สนใจเธอเหรอ?ฮารุ”
ยูยะลุกขึ้นนั่งอย่างไม่รีบร้อน มองสำรวจนักแสดงประกอบสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
ด้วยท่าทางเหมือนเด็กน้อยขี้สงสัย
“แล้วแต่นายเลยนะ
ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”
ถูกผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้จู่โจมจูบ ฮารุมะยังไม่รู้สึกโกรธเท่านี้ คนของเขานอกจากจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว ยังสนับสนุนแกมผลักไสให้เขาไปมีคนอื่น
“ฉันไม่ต้องการใครนอกจากนาย” ฮารุมะคำรามให้ได้ยินกันทั้งกองถ่าย
ก่อนพุ่งเข้าหาคนที่นั่งทำหน้าเฉยอยู่บนโซฟาหมายจะสำเร็จโทษ โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเตรียมตัวรับมืออยู่
ยูยะเอนหลังพิงโซฟาแบบสบายๆ
ยกเท้ายันหน้าอกมนุษย์หมาป่ากะจังหวะก่อนเข้าถึงตัวได้พอดิบพอดี จากนั้นค่อยใช้รอยยิ้มสยบความกราดเกรี้ยวของฮารุมะ “ฉันล้อเล่นน่ะ” แตะนิ้วเรียวไล้ไปตามโครงหน้าของอีกฝ่าย ทำเอาหมาบ้ากระพริบตาปริบๆเพราะตามอารมณ์คนสวยไม่ทัน “แต่ถ้าอยากจะจูบละก็....” เว้นจังหวะให้ปีศาจตรงหน้าลุ้นนิดหน่อย
“ไปเช็ดลิปสติกออกให้หมดซะ!...แล้วถ้าจะให้ดี” นัยน์ตาสีอำพันเปลี่ยนเป็นวาววับ สะกดคนฟังให้ลืมความโกรธไปชั่วขณะ “ไปลบกลิ่นน้ำหอมฉุนๆที่ติดอยู่ตามตัวมาด้วยล่ะ ฉัน-ไม่-ชอบ”
เน้นคำสุดท้ายช้าๆชัดๆ
มนุษย์หมาป่าไม่รอช้ากระโดดข้ามโซฟาวิ่งออกไปนอกสตูดิโอด้วยความเร็วสูงสุด
ช่างแต่งหน้าทำผมและฝ่ายเสื้อผ้าร้องกรี๊ดตามหลังไปเป็นขบวน เพราะฟังจากที่ยูยะพูดเมื่อครู่ ทุกคนเดาได้ทันทีว่าหมาบ้าจะไปกระโดดน้ำตามล้างตัวคำสั่งเจ้าของแน่ๆ
ยูยะถอนใจ.......
เขาไม่ชอบการแข่งขันแย่งชิงอะไรกับใครทั้งนั้น
แต่ถ้าอยากจะท้าชิงนักล่ะก็
.....
มีปัญญา...
ก็มาแย่งไปให้ได้สิ!!!!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ในที่สุดก็แผลงฤทธิ์จนได้”
ตั้งแต่วันที่น้องมาขอคำปรึกษา คุณหมอก็คอยตามติดชีวิตน้องด้วยความเป็นห่วง ถึงขนาดเปลี่ยนกำแพงห้องผู้ป่วยของยูมะให้กลายเป็นโทรทัศน์จอยักษ์ วันไหนไม่ว่างก็ใช้ให้น้องชายคนเล็กคอยจับตาดูให้
บางครั้งดูไปเห็นน้องชายถูกกวนใจก็ร่ำๆอยากจะสาปแม่พวกนั้นให้กลายเป็นหมูหมากาไก่เสียให้หมด แต่ก็รู้ดีว่าการปกป้องน้องแบบไข่ในหินนั้นไม่ช่วยอะไร
และความอดทนของคุณหมอก็ส่งผลคุ้มค่า ในที่สุดยูยะก็ลุกขึ้นมากำราบแมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญพวกนั้นเสียที เสียดายที่น้องยังใจดีไปหน่อย เป็นคุณหมอหน่อยไม่ได้ พ่อจะตบให้แบนติดพื้นแล้วพ่นด้วยยาฆ่าแมลง เอาให้ไม่ได้ผุดได้เกิดเชียว
ยูมะนั่งทำหน้าเมื่อยฟังเสียงบ่นกระฟัดกระเฟียดของพี่ชาย เมื่อก่อน
ยูมะเคยนึกดีใจที่พี่ชายคนรองนั้นมีนิสัยต่างจากพี่ชายคนโตราวฟ้ากับเหว แต่ตอนนี้ยูมะเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ว่าสองคนนี้นิสัยต่างกันจริงไหม?
“พี่สอนอะไรพี่ยูยะเนี่ย?”
“ไม่ได้สอน” แค่บอกเฉยๆ
ประโยคเดียว แล้วก็ไม่ได้แนะด้วยว่าให้ใช้มารยาสาไถยแบบไหน
ที่เห็นนั่น...
น้องมันคิดเองทำเองล้วนๆ
ยูมะขนหัวลุกเมื่อเริ่มเห็นเค้าลางความร้ายกาจของพี่ชายคนโตในร่างของพี่ชายคนรอง คุณหมอยูยะหมั่นเขี้ยวขยี้หัวน้องแรงๆ ไปหนึ่งที ก่อนจะย้ำเตือนความจริงกรอกหูน้อง “ของแบบนี้มันไม่ต้องสอนกันหรอก เรามันสายเลือดเดียวกัน พี่เป็นยังไง
น้องก็เป็นแบบนั้นแหละ”
น้องเล็กส่ายหน้าปฏิเสธสุดแรง “ไม่มีทาง!!!
เรื่องนิสัยเจ้าเล่ห์นี่ยอมรับได้ แต่เรื่องยั่วผู้ชายน้องคงสู้พี่สองคนไม่ไหวหรอก”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากถูกน้องชายเล่นงานด้วยวาจาแล้ว คุณหมอก็เดินลงส้นเท้าตึงๆ
พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องอาหารที่ชั้นสามของโรงพยาบาล ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งข้างระเบียงกระจก พยายามระงับความโมโหที่ลงโทษน้องไม่ทัน เพราะยูมะนั้นวิ่งหนีออกจากห้องไปก่อนที่เขาจะทันได้ร่ายคำสาป
ยั่วผู้ชาย!!!
ยูมะไปเรียนคำพูดแบบนั้นมาจากไหนกัน?
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ?”
คุณหมอไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนมายืนอยู่ข้างๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงขึ้นมานั่นแหละ ด้วยความที่ถูกเข้าหาด้วยวิธีการอย่างนี้มาเป็นร้อยๆครั้ง
คุณหมอจึงหันขวับตวัดสายตาจิกไปทางเจ้าของเสียงด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเต็มพิกัด
คนถูกจ้องตกใจจนแทบจะทำถาดอาหารหลุดมือเลยทีเดียว
“ขอโทษครับ
ผมไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนคุณหมอ
แต่...ที่โต๊ะอื่นมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว”
คุณหมอคนสวยหรี่ตามองผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้ใจ ตอนนี้เป็นเวลาตีสอง เวลาอย่างนี้จะมีใครมานั่งกินข้าวกัน???
คุณหมอยูยะมองซ้ายทีขวาทีด้วยอาการตื่นตกใจเล็กๆ ณ เวลานี้
สองนาฬิกาของวันใหม่
ห้องอาหารเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจากทุกแผนก
หมอและพยาบาลบางคนควรจะออกเวรและกลับบ้านไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว หรือแม้แต่คนไข้ที่ควรจะเข้านอนไปแล้วด้วย โต๊ะอาหารมีคนนั่งเกือบเต็ม
เว้นที่ว่างไว้หนึ่งที่นั่งทุกโต๊ะ
ทุกสายตาจับจ้องมาที่คนตัวสูงที่ยังยืนอยู่ คาดหวังให้ไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย
คุณหมอเพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต คนตัวสูงรีบกล่าวขอบคุณแล้วก็นั่งลงจัดการอาหารทันที ระหว่างนั้นคุณหมอก็หันไปยิ้มหวานใส่คนไข้ เตือนเป็นนัยๆว่าท่านทั้งหลายควรพาตัวเองกลับเข้าห้องไปพักผ่อนได้แล้ว หลายคนอิดออดไม่ยอมไป คุณหมอเลยจำต้องถลึงตาขู่สำทับ ทุกคนจึงค่อยพากันเดินออกไป แต่ก็ไม่วายบ่นเสียดายให้คุณหมอได้ยิน
“รบกวนคุณหมออย่าเพิ่งไปได้ไหมครับ?”
คนถูกเรียกหันขวับไปทางต้นเสียงทันที เลิกคิ้วเป็นเชิงถามอีกฝ่าย แล้วก็ได้คำตอบกลับมาว่า ถ้าคุณหมอลุกไปตอนนี้ ทุกคนก็จะอาจจะเดินเข้ามาคุยกับเขา จนไม่มีเวลากินข้าว
“ผมไม่ได้รังเกียจพวกเขานะครับ
เพียงแต่อยากมีเวลาหายใจสักหน่อย”
และที่เขาขอมาร่วมโต๊ะกับคุณหมอ เพราะคิดว่าจะทำให้ทุกคนเกรงใจจนไม่กล้าเข้ามารบกวน ได้ฟังอย่างนี้ คุณหมอก็เลยไม่รู้จะตีความว่านั่นเป็นคำชมหรือคำด่ากันแน่
และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่มีแก่ใจจะพูดอะไรต่อเสียด้วย คุณหมอยูยะจึงใช้โอกาสนี้สำรวจอีกฝ่ายไปเงียบๆ
รูปร่างสูงหนา
หน้าตาหล่อเหลา ผิวสีน้ำผึ้ง แต่งตัวดี
คุณสมบัติเหล่านี้ไม่เพียงพอให้ใครคนหนึ่งกลายเป็นที่รู้จักชื่นชมของใครๆได้ คนตรงหน้านี้มีมากกว่านั้น บุคลิก
รอยยิ้ม
หรืออะไรบางอย่างที่หลอมรวมให้ผู้ชายคนนี้ดูมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนรอบข้าง เมื่อมองดูให้ชัดขึ้นไปอีก
คุณหมอก็พบว่าภายใต้บุคลิกที่ดูเป็นมิตรนั้นซ่อนความถือดี เย็นชา และอะไรบางอย่างชวนให้ค้นหา
ตอนนั้นเองที่ช่อกุหลาบขาวช่อใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะ เมื่อพนักงานแจ้งว่าส่งให้ใคร เสียงถอนใจเบาๆของคุณหมอเรียกความสนใจจากเพื่อนร่วมโต๊ะ
“ดูเหมือนคุณหมอจะไม่ชอบดอกไม้”
“เปล่า แค่ไม่ชอบคนที่ส่งมาแค่นั้นแหละ ส่งมาอยู่ได้ทุกวันแต่กลับขี้ขลาดไม่ยอมเสนอหน้ามาให้เห็น นี่มันก็เยอะจนไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน
ของเมื่อวานที่เอาไปวางในห้องดับจิตก็ยังไม่เหี่ยวเลย” คุณหมอทำท่าคิดไม่ตก “คุณช่วยเอามันไปหน่อยก็แล้วกัน เอาไปเยี่ยมคนไข้แถวนี้ก็ได้ ถือว่าตอบแทนที่อนุญาตให้คุณร่วมโต๊ะด้วยไงล่ะ”
สั่งแล้วก็ลุกจากไป ทิ้งกุหลาบขาวไว้กับคนที่เพิ่งถูกตราหน้าว่าขี้ขลาดไปอย่างไม่ใยดี
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โทโมฮิสะ ยามาชิตะ
กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสะใจดังมาทางโทรศัพท์
ฮิคารุหัวเราะหนักเสียจนหายใจแทบไม่ทัน ลูกพี่หนอลูกพี่ เตือนกันดีๆก็ไม่เชื่อ สุดท้าย
นอกจากคนสวยจะไม่สนใจแล้ว
ยังโดนด่ากลับมาฟรีๆอีกต่างหาก
“เขาหมายถึงคนที่ส่งดอกไม้มาต่างหาก”
“ก็แล้วมันคนเดียวกันรึเปล่าเล่า ลูกพี่
ถึงคุณหมอจะยังไม่รู้ก็เถอะ”
“เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะน่า!!!
ว่าแต่แกเถอะ เมื่อไหร่จะกลับมา
หรือว่าหนนี้ขายรูปได้ราคาดีจะเลิกเป็นปาปารัสซีไปแล้ว”
“ยังหรอกน่า แค่กลับมากบดานเหมือนเคยนั่นแหละ แต่คราวนี้คงนานหน่อย”
“เอาเถอะ พร้อมเมื่อไหร่ก็กลับมาก็แล้วกัน ฉันมีเรื่องให้ช่วย”
“เรื่องจีบคุณหมอเรอะ!!! ตอนนี้เอาแค่คำอวยพรไปก่อนก็แล้วกัน”
โทโมฮิสะวางสายไปด้วยความขุ่นเคือง
โดยไม่รู้เลยว่าความโชคร้ายได้มาเยือนถึงตัวแล้ว
เพราะการที่ชายหนุ่มแอบมาโทรศัพท์ในสวนของโรงพยาบาล
ทำให้บทสนทนาเมื่อครู่ไม่พ้นหูพ้นตาของยูมะไปได้ สายลมช่วยพาเสียงขึ้นไปให้ได้ยินถึงบนดาดฟ้า แม้จะได้ยินเพียงบางคำ แต่ก็ชัดเจนจนจับใจความสำคัญเอาไว้ได้
“เขาเป็นคนส่งดอกไม้มาให้พี่ล่ะ”
ยูมะขมวดคิ้วยุ่งพอๆกับพี่ชายคนโตที่ยืนอยู่ข้างกัน
“แล้วก็ดูเหมือนจะมีเพื่อนเป็นปาปารัสซีด้วย ปกติพวกไอดอลกับปาปารัสซีไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นสิ”
คุณหมอมองตามหลังร่างสูงที่กำลังเดินตัดผ่านสวนออกไปที่ประตูหน้า แล้วจู่ๆ ก็มีถังขยะถังใหญ่ ลอยไปกระแทกศรีษะของไอดอลชื่อดัง อย่าง โทโมฮิสะ
ยามาชิตะ
ล้มคว่ำลงไปกองตรงทางเดินหน้าโรงพยาบาลอย่างสวยงาม
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“พี่คงไม่ได้สนใจเขาใช่ไหม?”
คนเป็นน้องถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ คนอย่างคุณหมอยูยะไม่เคยสนใจสีสันของวงการมายา นอกจากผลงานของน้องชายแล้วก็ไม่เคยจะเปิดโทรทัศน์หรือนิตยสาร
เรื่องสนใจดาราหรือไอดอลคนอื่นๆนั้นไม่เคยอยู่ในหัว
จึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนักที่อยู่ๆ
คุณหมอก็เกิดอยากจะรู้เรื่องราวของไอดอลหนุ่ม
ที่ชื่อ โทโมฮิสะ ยามาชิตะขึ้นมา ถึงขนาดที่ขอร้องให้ยาบุไปหาข้อมูลมาให้
“ถามผิดแล้วล่ะ ยูยะ
ต้องถามว่าถ้าได้ตัวเจ้านั่นมาแล้วจะเอาไปทำอะไรต่างหาก”
คุณหมอเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร
ตวัดสายตาขวับไปทางมนุษย์หมาป่าที่วันนี้ทำตัวเชื่องคลอเคลียไม่ห่างเจ้านาย “ยอมรับว่าสนใจ แต่ได้มาแล้วจะเอาไปทำอะไรยังตอบไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันสงสัย
ว่าวันนี้ยูยะเปลี่ยนสบู่หรือกลิ่นน้ำหอมใหม่ถูกใจหรือยังไง ถึงได้ดมตัวน้องฉันอยู่ได้”
“เปล่า ก็แค่กลิ่นของยูยะ ฉันชอบ”
คนฟังคำตอบแล้วก็ถอนใจ ลืมไปว่าหมามันหน้าด้าน แล้วตอนนั้นเองยูมะที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่ด้วย ก็ยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นจากพี่ชายคนรองบ้าง
“อืมม์
ไม่เหม็น ไม่หอม ไม่มีอะไรแปลกไปจากมนุษย์ทั่วไป ทำไมพี่ถึงชอบล่ะ”
คนถูกถามอึ้งไป เพราะตั้งแต่ต้น มนุษย์หมาป่าไม่เคยคิดหาเหตุผลว่าทำไม เขาจึงต้องการมียูยะเพียงคนเดียว เพราะคำสาบานนั้นผูกมัดยูยะไว้ให้มีแต่เขา
ส่วนตัวเขานั้นถูกผูกมัดไว้กับหน้าที่ที่จะต้องดูแลยูมะ และมีอิสระที่จะมีใครอื่นสักกี่คนก็ได้
แต่เขาก็ไม่มี...
และไม่คิดจะมี
สีหน้าเอ๋อๆของมนุษย์หมาป่าทำให้คุณหมอหลุดขำ แม้จะรู้คำตอบดียิ่งกว่าใคร
แต่การที่จะต้องอธิบายออกมาให้คนอื่นเข้าใจนั้นคงยากเกินความสามารถ เพราะเจ้าตัวทำท่าคิดหนักจนคิ้วผูกกันเป็นปมทีเดียว
“ติดกลิ่น” เหมือนบางคนที่โตแล้วยังติดกอดหมอนเน่า
ผ้าห่มเก่าๆที่ใช้เมื่อตอนเป็นเด็ก
แต่ในกรณีของฮารุมะ
กลิ่นของยูยะคงเป็นอะไรที่พิเศษมาก
“โดยเฉพาะตอนที่มีเซ็กซ์”
บอกได้เลยว่าคุณหมอเดาได้ตรงเผง เพราะมนุษย์หมาป่าทำสีหน้าแบบว่า อย่างนั้นล่ะ ใช่เลย ในขณะที่น้องสองคนทำตาโตใส่พี่ชาย
“พี่ว่าอะไรนะ?”
“พูดง่ายๆก็คือตอนที่เราเกิดอารมณ์อย่างว่า ร่างกายก็จะสร้างกลิ่นพิเศษเฉพาะตัว
ยั่วยวนฝ่ายตรงข้ามไง
ปกติมนุษย์มักจะไม่รู้ตัวหรอก
แต่สำหรับมนุษย์หมาป่าคงสัมผัสได้ชัดเจนสินะ”
“แล้วก็ชอบมากด้วย” ฮารุมะยักคิ้วตอบ แต่สิ่งที่ทำให้คุณหมออยากเตะหมายิ่งกว่าท่าทางกวนประสาทนั่นก็คือคำถามต่อมา ที่ถามว่าคุณหมอรู้เรื่องนี้มาจากไหน เพราะพ่อมดนั้นถึงจะมีเวทย์มนต์ แต่ก็ยังมีประสาทสัมผัสอย่างมนุษย์อยู่ดี
คุณหมอเพียงแค่ยิ้มเย็นๆแทนคำตอบ
ในขณะที่น้องสองคนนั่งเงียบ
ยูมะหวนนึกถึงเหล่าปีศาจหลายตนที่พี่ชายทั้งสองเคยได้พานพบ แต่น้อยนักที่จะได้มีชีวิตรอดกลับไป เพราะหวังได้ครอบครองเพียงความงามและพลังอำนาจ จึงถูกล่อลวงให้ติดกับ
และสุดท้ายปีศาจที่ยโสว่าตนมีอำนาจเหนือเผ่าพันธุ์ใดๆ ก็ไม่ได้เหลือสิ่งใดไว้มากกว่าเศษธุลี
กับศัตรู...
พี่ชายคนโตของยูมะนั้นโหดร้าย
ฮารุมะเองยังยอมรับว่าหากไม่มีคำสาบานที่มีต่อยูยะ
ตัวเองก็อาจจะกลายเป็นชิ้นส่วนสำหรับการทดลองที่ดองอยู่ในขวดโหลก็เป็นได้
ยูยะรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้
.... ตอนแรกยูยะเพียงแต่แปลกใจที่พี่ชายกับฮารุมะสามารถพูดคุยกันได้โดยที่ไม่แง่งๆใส่กันเหมือนเคย แต่เมื่อบทสนทนาวกมาถึงเรื่องของตัวเอง ยูยะก็ทำหน้าไม่ถูก
นี่หรือคือเหตุผลที่มนุษย์หมาป่าคอยสำรวจร่างกายเขาทั่วทุกตารางนิ้วด้วยจมูกและริมฝีปากนั้นอยู่ทุกค่ำคืน
ยิ่งได้รู้ ...
ยิ่งรู้สึกถึงทุกสัมผัสนั้นได้อย่างชัดเจน
ทำให้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
“ตัวร้อน?...นายไม่สบายเหรอยูยะ?”
บางครั้งยูยะก็นึกอยากให้ฮารุมะไม่ได้มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมอย่างนี้ นอกจากจะแม่นยำยิ่งกว่าเครื่องมือแพทย์แล้ว ยังแสดงผลเร็วซะจนยูยะไม่มีโอกาสปฏิเสธ
มนุษย์หมาป่าทำตาปริบๆ เมื่ออยู่ดีๆคนข้างกายก็เอนตัวพิงอกเขาแล้วหลับไป เสียงหัวใจเต้น จังหวะลมหายใจ
บ่งบอกว่ายูยะนั้นหลับสนิทไปแล้วจริงๆ
“หลับไปซะแล้ว เฮ้ย!!! นายจะไปไหน!?
สรุปว่ายูยะไม่สบายรึเปล่าเนี่ย
กลับมาตรวจก่อนสิโว้ย!!!”
มนุษย์หมาป่าจำต้องนั่งนิ่งๆเป็นหมอนเพราะกลัวยูยะจะตื่น
ก็ยังอุตสาห์ตะโกนตามหลังคุณหมอที่สะบัดชายเสื้อกาวน์เดินออกไปจากห้องก่อนที่ยูยะจะหลับเสียอีก ยูมะต้องจุ๊ปากเตือน พี่เลี้ยงจึงหยุดได้
แต่ไม่วายหันมากระซิบกระซาบถามว่าตกลงยูยะไม่สบายเป็นอะไรแน่
ยูมะส่ายหัวแรงก่อนจะชิ่งออกไปนอกห้องอีกคน
“ขนาดพี่อยู่ด้วยกันทุกวันยังไม่รู้ แล้วน้องจะรู้ได้ไงล่ะ?”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฮิคารุ ...
กำลังคิดถึง ยาบุ โคตะ
ไอ้ผู้จัดการดาราหน้าเหลี่ยมจอมเจ้าเล่ห์นั่น
ป่านนี้เจ้านั่นจะรู้หรือยังว่ารูปที่คุณหมอยูยะจูบกับฮารุมะเป็นฝีมือเขา แล้วเส้นเลือดในสมองของหมอนั่นจะแตกตายไปหรือยังถ้าได้รู้ว่าเงินที่เขาได้รับมันเป็นตัวเลขที่สูงมากแค่ไหน? มันทำให้ฮิคารุจ่ายค่าจ้างพยาบาลล่วงหน้าของเคย์ได้ทั้งปี แล้วก็สามารถเก็บตัวอยู่เงียบๆไปได้พักใหญ่ๆ
แม้ว่าเงินที่ได้มานั้นจะอยู่บนความทุกข์ความเจ็บปวดของใคร
แต่ฮิคารุก็เลือกที่จะให้ความสำคัญกับคนตรงหน้ามากกว่า
อิโนะโอะ
เคย์
ญาติเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่บนโลกนี้ พ่อของเคย์
เป็นลุงของเขา พี่ชายแท้ๆของพ่อ ครอบครัวของทั้งสองสนิทกัน และเคย์ก็เป็นทั้งพี่น้องและหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขา ฮิคารุใช้ชิวิตอย่างนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆมาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่ง
ครอบครัวของทั้งสองตกลงว่าจะไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เคย์และพ่อแม่ของทั้งคู่ออกเดินทางในตอนเช้าด้วยรถยนต์
โดยที่ฮิคารุสัญญาว่าจะนั่งรถไฟตามไปเมื่อสอบเสร็จ แต่เมื่อกลับถึงบ้านในตอนบ่าย ฮิคารุกลับได้รับข่าวร้าย
รถยนต์ที่ครอบครัวนั่งไปถูกรถบรรทุกชนตกเหว นอกจากเคย์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว...
ไม่มีใครรอดชีวิต
เคย์ใช้เวลารักษาตัวอยู่ครึ่งปีกว่าจะหายสนิท แต่อุบัติเหตุคราวนั้นก็ทำให้เคย์ไม่เหมือนเดิม
ลูกพี่ลูกน้องของเขากลายตุ๊กตาที่วันๆได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ในตอนนั้นฮิคารุแทบจะไม่ต่างอะไรเหมือนกัน คือมีชีวิตอยู่ไปวันๆ...
และหลังจากที่บอกราตรีสวัสดิ์กันอย่างเซื่องซึมในคืนหนึ่ง เคย์ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้าย อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุก็หายดีแล้ว เหมือนกับว่าเคย์แค่หลับไปเฉยๆโดยไม่รู้สาเหตุ
เงินเก็บที่พ่อกับแม่ของทั้งคู่เหลือไว้ให้ หมดไปกับค่าหมอ ค่ายา และค่าจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลเคย์โดยเฉพาะ จนสุดท้ายฮิคารุแทบจะไม่เหลืออะไรเลย
เขาได้เจอนักแสดงหนุ่มที่ชื่อโทโมฮิสะ ยามาชิตะ
ตอนที่ตัดสินใจว่าจะขายสมบัติชิ้นสำคัญชิ้นสุดท้าย กล้องถ่ายรูปที่พ่อกับแม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด
แต่สุดท้ายก็ตัดใจขายมันไม่ลง
ระหว่างทางกลับบ้าน
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักด้วยความรู้สึกอับจนหนทางและเจ็บแค้น
ก่นด่าใครก็ตามที่บันดาลให้ชีวิตของเขามีแต่ความทุกข์ยากแสนสาหัสอย่างนี้ ... แล้วโทโมฮิสะก็โผล่มา
ฮิคารุจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาพบกันยังไงและตอนไหน จำได้เพียงว่าสุดท้ายทั้งคู่นั่งคุยกันที่ริมฟุตบาธ
โทโมฮิสะมองมาที่กล้องถ่ายรูปที่เขากอดเอาไว้แน่น และพูดออกมาว่า “ใช้ความสามารถของนายสิ”
นับตั้งแต่นั้น...
ด้วยข่าวที่นักแสดงหนุ่มหามาให้
ฮิคารุก็กลายเป็นปาปารัสซีเต็มตัว
และด้วยอาชีพนี้เขาจำเป็นต้องทำตัวเป็นหมาป่าออกล่าข่าวและใช้ชีวิตโดดเดี่ยว เงินทั้งหมดที่หามากลายเป็นค่าจ้างให้นางพยาบาลพิเศษ ฮิคารุยอมจ่ายมากกว่าค่าจ้างปกติเพื่อแลกกับการดูแลอย่างดีที่เคย์จะได้รับ เลือกนางพยาบาลที่มีประสบการณ์สูง
ไม่มีครอบครัว ไว้ใจได้ ไม่ถามอะไรมาก เพื่อให้เคย์ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืน
และเพื่อให้อาชีพของเขายังเป็นความลับอยู่ต่อไป
หาข่าว
ขายภาพ
หลังจากได้เงินก็กลับมากบดานอยู่บ้าน
คอยดูแลเคย์ตอนกลางคืนสลับกับนางพยาบาลที่จ้างมา สองปีมาแล้ว อาการของเคย์ก็ยังเหมือนเดิม
คือได้แต่หลับอยู่อย่างนั้น
รับอาหารทางสายยาง
ต้องคอยพลิกตัวทุกสองชั่วโมงให้เพื่อไม่ให้เกิดแผลกดทับ คอยขยับแขนขาให้เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ
เพราะฮิคารุเชื่อว่าเคย์จะต้องตื่นขึ้นมาได้...
ในสักวันหนึ่ง
แต่ตอนนี้ฮิคารุกังวลถึงเรื่องของยาบุ โคตะ คนนั้น
เร็วๆนี้เขาอาจจะต้องย้ายเคย์ไปอยู่ที่อื่น
เพราะไอ้ผู้จัดการจอมเจ้าเล่ห์นั่นต้องตามมาพบความลับของเขาได้ในไม่ช้า
และฮิคารุก็ไม่อยากให้หมอนั่นเอาเรื่องของเคย์มาเล่นงานเขาเป็นอันขาด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
No comments:
Post a Comment